ReadyPlanet.com


ฤกษ์ โดย ตาบอดส่องตะเกียง&นีโม่


ฤกษ์ปฐมบท

เอาหละ หลังจากข้าพเจ้าโด๊ป M150 ไปได้ 1 ขวด เราก็จะมาร่ายเรื่องฤกษ์กันในแบบทัศนะส่วนตัวของข้าพเจ้า(เน้นทัศนะส่วนตัวนะครับ) ตามที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับจักรวาลในแบบดาราศาสตร์กันก่อน เพื่อความเข้าใจในแบบ วัย-สะ-รุ่น คนรุ่นใหม่สมัยวิทยาศาสตร์กันก่อน ตามมาครับข้าพเจ้าจะพาไปท้องฟ้าจำลองห้องฉายดาวของตาบอดส่องตะเกียงกัน
ขณะนี้เรายืนอยู่บนดาวเคราะห์(Planet)ดวงหนึ่ง ซึ่งมีนานมังกรว่า โลก(Earth) ซึ่งเป็นดาวเคราะห์สีฟ้าอมเขียว โลกเรานั้นตั้งอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล โดยมีเจ้าลูกไฟดวงโตๆ ดวงหนึ่งเป็นประธานของระบบเรา โดยเราขนานนามลูกไฟนั้นว่า ดวงอาทิตย์ ซึ่งบริวารนั้นก็มีดาวเคราะห์มากมาย เช่น ดาวพุธ ศุกร์ โลก อังคาร พฤหัส เสาร์ ยูเรนัส เนปจูน และ พลูโต นี่แหละที่เรารวมเรียกว่าระบบสุริยะจักรวาล
แต่ที่เรารู้จักระบบสุริยะจักรวาลของเราแล้ว ก็ยังมีระบบเช่นนี้อีกมากมายในในจักรวาลนี้ ซึ่งมากมายเกินคณานับ ซึ่งเอาแค่กาแล็กซี่(Galaxy) ของเราไม่ต้องพูดถึงกาแล็กซี่อื่นซึ่งมีอีกนับไม่ถ้วน กาแล็คซี่ของเรานั้นมีชื่อเรียกซึ่งเราเรียกกันจนติดปากว่า ทางช้าเผือก หรือ ธารน้ำนม(Milky Way) นั้นก็มีดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์เช่นเรามากมายก่ายกอง คิดดูเอาเถอะว่าพระอาทิตย์ในระบบสุริยะของเราเพียงดวงเดียว ยังมีผลต่อเราขนาดนี้ ทำให้เกิดฤดูกาล ความร้อน-ความหนาว ความมืด-ความสว่าง ทำให้ดอกไม้ใบไม้บานสะพรั่ง ทำให้เกิดระบบชีวิตบนโลกได้ แล้วดาวฤกษ์หรือพระอาทิตย์ที่มีอยู่บนท้องฟ้าอีกมากมายทำไมจะไม่มีผลต่อโลก อย่าลืมพระอาทิตย์ทุกดวงมีพลังงานที่มหาศาล มีคลื่นความสั่นสะเทือนมากมายก่ายกอง
ยังผลให้บรรพจารย์ผุ้รจนาคัมภีร์โหราศาสตร์ต้องนำกลุ่มดาวฤกษ์เหล่านี้มาใช้ในการพยากรณ์ด้วย และเน้นกันมาแต่นมนาน แต่วันนี้บางท่านกลับมองข้ามไปเห็นเป็นสิ่งไร้สาระไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ที่ข้าพเจ้านำมาให้ท่านจะใช้หรือไม่นั่นแล้วแต่ท่าน แต่ศึกษาไว้ก็ไม่เสียหลาย เพื่อต่อยอดได้ในการศึกษาขั้นสูงต่อไป
คราวนี้มาดูการแบ่งกลุ่มดาวฤกษ์ ตามหลักโหราศาสตร์กันว่าท่านจัดแบ่งไว้เช่นไรกันบ้าง ดาวฤกษ์(Star) คือพระอาทิตย์ในแต่ละดวงบนท้องฟ้า ใหญ่บ้างเล็กบ้างกว่าของเราก็มี เมื่อเราเงยหน้าขึ้นไปดูบนท้องฟ้าจะเห็นดาวที่สุกสว่างมากมาย นั่นแหละครับดาวฤกษ์มันจะมีแสดงสว่างนิ่งในตัวเอง ซึ่งจะแตกต่างกับดาวเคราะห์(Plannet) ซึ่งไม่มีแสงในตนเองต้องอาศัยแสงจากพระอาทิตย์ ดาวฤกษ์ทั้งหลายบนท้องฟ้ามักจะอยู่ในตำแหน่งคงที่ในท้องฟ้า ที่ท่านเห็นเคลื่อนย้ายขยับไปก็เพราะโลกเราหมุนเท่านั้นเอง ฉะนั้นจึงแยกดาวฤกษ์เป็นดังนี้


1. พระอาทิตย์ ของเราซึ่งเป็นราชาแห่งสุริยะจักรวาลของเรานี้ เมื่อเป้นประธานของชาวดาวเคราะห์เราก็เลยต้องแยกท่านไว้ต่างหากจากดาวฤกษ์ทั่วไปก่อน และพระอาทิตย์นี้เป็นสิ่งสำคัญในดวงชะตามากเช่นกัน
2. กลุ่มดาวฤกษ์ที่เราเรียกกันว่า กลุ่มนักษัตร เป็นการแบ่งเพื่อการคำนวณเดือน ฤดูกาล ซึ่งแยกได้เป็น 12 ส่วน ซึ่งเราเรียกสรรพนามนำหน้ากลุ่มดาวฤกษ์พวกนี้ว่าราศี มีรายนามดังนี้
2.01 ราศีเมษ (Aries) รูปแกะ
2.02 ราศีพฤษภ (Taurus) รูปโค
2.03 ราศีเมถุน (Gemini) รูปคนคู่
2.04 ราศีกรกฏ (Cancer) รูปปู
2.05 ราศีสิงห์ (Leo) รูปสิงโต
2.06 ราศีกันย์ (Virgo) รูปหญิงสาวถือรวงข้าว
2.07 ราศีตุลย์ (Libra) รูปคนถือตราชั่ง
2.08 ราศีพิจิก (Scorpio) รูปแมงป่อง
2.09 ราศีธนู (Sagittarius) รูปคนโก่งคันศร
2.10 ราศีมกร (Capricorn) รูปมกรหรือแพะทะเล
2.11 ราศีกุมภ์ (Aquarius) รูปคนเทน้ำ
2.12 ราศีมีน (Pisces) รูปปลาคุ่


3. กลุ่มดาวฤกษ์ที่ใช้ในวงการโหราศาสตร์อีก 27 กลุ่ม ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มดวงอาทิตย์ในจักรวาลทั้งนั้น(ซึ่งเดิมทางภารตะแบ่งไว้มากกว่านี้ แต่ปัจจุบันให้เหลือเพียง 27 กลุ่ม) ท่านให้เป็นฤกษ์บน มีดังนี้คือ
3.01 กลุ่มอัศวิณี หรือ อัศวินี ( กลุ่มดาวม้า ) เริ่มตั้งแต่ 00.00 องศา ราศีเมษ – 13.20 องศา ราศีเมษ
3.02 กลุ่มภรณี ( กลุ่มดาวแม่ไก่ หรือ ก้อนเส้า ) เริ่มตั้งแต่ 13.21 องศา ราศีเมษ – 26.40 องศา ราศีเมษ
3.03 กลุ่มกฤตติกา หรือ กฤติกา ( กลุ่มดาวลูกไก่ ) เริ่มตั้งแต่ 26.41 องศา ราศีเมษ – 10.00 องศา ราศีพฤษภ
3.04 กลุ่มโรหิณี ( กลุ่มดาวจมูกม้า หรือ คางหมู ) เริ่มตั้งแต่ 10.01 องศา ราศีพฤษภ – 23.20 องศา ราศีพฤษภ
3.05 กลุ่มมฤคศิระ ( กลุ่มดาวศีรษะเนื้อ ) เริ่มตั้งแต่ 23.21 องศา ราศีพฤษภ – 06.40 องศา ราศีเมถุน
3.06 กลุ่มอราทรา หรือ อารทรา ( กลุ่มดาวฉัตร ) เริ่มตั้งแต่ 06.41 องศา ราศีเมถุน – 20.00 ราศีเมถุน
3.07 กลุ่มปุนรวสุ หรือ ปุนัพสุ ( กลุ่มดาวสำเภา ) เริ่มตั้งแต่ 20.01 องศา ราศีเมถุน – 03.20 องศา ราศีกรกฎ
3.08 กลุ่มปุษยะ หรือ บุษยะ ( กลุ่มดาวปุยฝ้าย ) เริ่มตั้งแต่ 03.21 องศา ราศีกรกฎ – 16.40 องศา ราศีกรกฎ
3.09 กลุ่มอาศเลษะ หรือ อาศเลษา ( กลุ่มดาวแมว หรือ พ้อม ) เริ่มตั้งแต่ 16.41 องศา ราศีกรกฎ – 30.00 องศา ราศีกรกฎ ( สุดนวางค์ขาด )
3.10 กลุ่มมาฆะ หรือ มฆา ( ดาววานร หรือ งอนไถ ) เริ่มตั้งแต่ 00.00 องศา ราศีสิงห์ – 13.20 องศา ราศีสิงห์
3.11 กลุ่มปุรพผลคุนี หรือ บุรพผลคุนี ( กลุ่มดาวเพดานหน้า ) เริ่มตั้งแต่ 13.21 องศา ราศีสิงห์ – 26.40 องศา ราศีสิงห์
3.12 กลุ่มอุตตรผลคุนี หรือ อุตรผลคุนี ( กลุ่มดาวเพดานหลัง ) เริ่มตั้งแต่ 26.41 องศา ราศีสิงห์ – 10.00 องศา ราศีกันย์
3.13 กลุ่มหัสตะ ( กลุ่มดาวศอกคู้ หรือ ฝ่ามือ ) เริ่มตั้งแต่ 10.01 องศา ราศีกันย์ – 23.20 องศา ราศีกันย์
3.14 กลุ่มจิตรา ( กลุ่มดาวตาจรเข้ ) เริ่มตั้งแต่ 23.21 องศา ราศีกันย์ – 06.40 องศา ราศีตุลย์
3.15 กลุ่มสวาติ หรือสวาตี ( กลุ่มดาวช้างพัง ) เริ่มตั้งแต่ 06.41 องศา ราศีตุลย์ – 20.00 องศา ราศีตุลย์
3.16 กลุ่มวิสาขะ ( กลุ่มดาวแขนนาง หรือ เขากระบือ ) เริ่มตั้งแต่ 20.01 องศา ราศีตุลย์ – 03.20 องศา ราศีพิจิก
3.17 กลุ่มอนุราธะ ( กลุ่มดาวหมี หรือ หน้าไม้ ) เริ่มตั้งแต่ 03.21 องศา ราศีพิจิก – 16.40 องศา ราศีพิจิก
3.18 กลุ่มเชฎฐา หรือ เชษฐา ( กลุ่มดาวแพะ หรือ ช้างใหญ่ ) เริ่มตั้งแต่ 16.41 องศา ราศีพิจิก – 30.00 องศา ราศีพิจิก ( สุดนวางค์ขาด )
3.19 กลุ่มมูละ ( กลุ่มดาวช้างน้อย ) เริ่มตั้งแต่ 00.00 องศา ราศีธนู – 13.20 องศา ราศีธนู
3.20 กลุ่มปุรพาษาฒ ( กลุ่มดาวแรดตัวผู้ หรือ ช้างพลาย ) เริ่มตั้งแต่ 13.21 องศา ราศีธนู – 26.40 องศา ราศีธนู
3.21 กลุ่มอุตตราษาฒ ( กลุ่มดาวแรดตัวตัวเมีย หรือ ช้างพัง ) เริ่มตั้งแต่ 26.41 องศา ราศีธนู – 10.00 องศา ราศีมกร
3.22 กลุ่มสราวณะ หรือ ศรวณะ ( กลุ่มดาวคนจำศีล ) เริ่มตั้งแต่ 10.01 องศา ราศีมกร – 23.20 องศา ราศีมกร
3.23 กลุ่มธนิษฐา หรือ ธนิษฐะ ( กลุ่มดาวกา ) เริ่มตั้งแต่ 23.21 องศา ราศีมกร – 06.40 องศา ราศีกุมภ์
3.24 กลุ่มสคภิสัท หรือ ศตภิษัช ( กลุ่มดาวมังกร หรือ งูเลื้อย ) เริ่มตั้งแต่ 06.41 องศา ราศีกุมภ์ – 20.00 องศา ราศีกุมภ์
3.25 กลุ่มปูราภัทรปท หรือ บุรพภัทรบท ( กลุ่มดาวราชสีห์ตัวผู้ ) เริ่มตั้งแต่ 20.01 องศา ราศีกุมภ์ – 03.20 องศา ราศีมีน
3.26 กลุ่มอุตตรภัทร หรือ อุตรภัทรบท ( กลุ่มดาวราชสีห์ตัวเมีย ) เริ่มตั้งแต่ 03.21 องศา ราศีมีน – 16.40 องศา ราศีมีน
3.27 กลุ่มเรวดี หือ เรวตี ( กลุ่มดาวปลาตะเพียน ) เริ่มตั้งแต่ 16.41 องศา ราศีมีน – 30.00 องศา ราศีมีน ( สุดนวางค์ขาด )
ชื่อกลุ่มดาวฤกษ์เหล่านี้บางที่เขียนต่างกันบ้าง แต่มักอ่านใกล้เคียงกัน ให้ดูเอาตามองศา และ ราศีเป็นหลักในการดูกลุ่มฤกษ์ว่าอยู่ในฤกษ์ใด


4. แล้วโบราณท่านยังแบ่งเป็นอีก 9 ฤกษ์ใหญ่ สลับกันไปใน ตำแหน่งจุดตัดสุดนวางค์ขาด เพื่อใช้ประกอบฤกษ์บน โดยให้เป็นฤกษ์ล่าง มีดังนี้
4.01 ทลิทโทฤกษ์ ตรงกับ ชนมนักษัตร ของทางภารตะ
4.02 มหัทธโนฤกษ์ ตรงกับ สมบัติ ของทางภารตะ
4.03 โจโรฤกษ์ ตรงกับ วิบัติ ของทางภารตะ ( มีนักษัตรพิษให้โทษ )
4.04 ภูมิปาโลฤกษ์ ตรงกับ เกษม ของทางภารตะ
4.05 เทศาตรีฤกษ์ ตรงกับ ปรัตยุระ ของทางภารตะ ( มีนักษัตรพิษให้โทษ )
4.06 เทวีฤกษ์ ตรงกับ สาธะกะ ของทางภารตะ
4.07 เพชฌฆาตฤกษ์ ตรงกับ นิธนะ ของทางภารตะ ( มีนักษัตรพิษให้โทษ )
4.08 ราชาฤกษ์ ตรงกับ มิตระ ของทางภารตะ
4.09 สมโณฤกษ์ ตรงกับ ปรมมิตระ ของทางภารตะ


เมื่อเราไล่จากกลุ่ม ดาวฤกษ์ ลงมาก็จะมาถึง ดาวเคราะห์ ( Planet ) ที่เราจะใช้กันในโหราศาสตร์ มีดาวดังนี้ จันทร์ , พุธ , ศุกร์ , อังคาร , พฤหัส , เสาร์ , ยูเรนัส , เนปจูน , พลูโต , ราหูและเกตุของสากล ( จุดตัดระหว่างวงโคจรของจันทร์ที่โคจรรอบโลก กับของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ ) และ สุดท้ายจุดคำนวณเกตุไทย ซึ่งอันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า ท่านนายมี ลงกาใหม่ ท่านได้คำนวณจากสิ่งใดแต่ก็เป็นที่ยอมรับว่าใช้ได้ดีในวงการโหราศาสตร์ไทย


เอาละครับวันนี้แค่นี้ก่อน หมดฤทธิ์ M150 แล้ว ตาข้าพเจ้าเริ่มปรือแล้ว วันวันหน้าเราจะมาต่อบทที่ 2 กัน ในภาคสรรพตำราที่โบราณจารย์ท่านได้จารกันไว้ ในแต่ละทัศนะของบรรพจารย์ต่างๆ ไปตรวจกันหรือยังว่า ลัคนา อาทิตย์ และ จันทร์ ของท่านอยู่ในฤกษ์อะไร แล้วประมาณวันอาทิตย์ หรือ วันจันทร์ เรามาฟังเรื่องดาวฤกษ์เหล่านี้กันต่อในบทที่ 2

เอาเป็นว่ากระทู้นี้ข้าพเจ้าจะทำไว้เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษา อ้างอิง สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาโหราศาสตร์ และ รักวิชานี้ ตั้งใจจรรโลงวิชานี้ให้อยู่สืบต่อไป ฉะนั้น ไม่ต้องชม ไม่ต้องด่า ข้าพเจ้าไม่ว่ากรณีใดๆ แต่มาร่วมเสนอความคิดกันได้บนหลักการ ท่านใดสนใจที่จะร่วมช่วยข้าพเจ้าศึกษาหาข้อมูลมาแจกจ่าย เพื่อนพ้องก็เชิญได้ กระทู้นี้เปิดกว้างในเรื่องเกี่ยวกับฤกษ์ ไม่ว่าจะเป็นแนวใดก็ตาม อันนี้เป็นสิ่งที่ดี เชิญมาด้วยใจเมตตา และ บริสุทธิ์ ถือว่าสร้างทานด้วยการให้ปัญญากัน ไปละตาลายแล้ว ขอลี้ภัยไปนอนก่อน เดี๋ยวเรี่ยวแรงดีอีกรอบ จะกลับมาขึ้นงานต่อครับ


ผู้ตั้งกระทู้ ตาบอดส่องตะเกียง :: วันที่ลงประกาศ 0000-00-00 00:00:00 IP :



ความคิดเห็นที่ 9 (1800)
5. เทศาตรีฤกษ์
.....โบราณนั้นกล่าวว่าเป็นฤกษ์แพศยา สำส่อน คนไม่เลือก ซึ่งเป็นความหมายที่เป็นไปในแง่ลบ ทั้งนี้เป็นเพราะสังคมไทยที่ผู้หญิงมักจะต้องเป็นกุลสตรีเป็นผ้าพับไว้ อยู่แต่ในเรือนชานเท่านั้น ส่วนหน้าที่การงานนอกบ้านจะเป็นหน้าที่ของผู้ชาย แต่วันนี้มาตรฐานนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปมากแล้วฉะนั้นเราก็ต้องปรับเปลี่ยนคำทำนายด้วยเช่นกันเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย ซึ่งอีกอย่างฤกษ์นี้ก็ไม่ได้มีความหมายในแง่ลบเสมอไป ดังนั้นเราต้องมาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ก่อน ถึงความหมายแบบกลางๆ ของฤกษ์นี้ ฤกษ์นี้น่าจะหมายถึง การเดินทางที่บ่อย การอยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง การพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งทำให้ชาวฤกษ์นี้เหมาะสำหรับงานบริการ งานเกี่ยวกับการเดินทาง การต่างประเทศ การสื่อสาร และ งานที่ต้องมีหน้าที่ที่ต้องให้เกียรติเอาใจใส่ต่อบุคคลต่างๆ เช่น งานการทูต การสื่อสารมวลชน งานการบันเทิง ไทต์คลับ บาร์ โรงภาพยนต์ อาบอบนวด คาบาเร่ต์ เสริมสวย ตัวแทนจำหน่าย ขายประกัน กิจการโรงแรม งานเกี่ยวกับการสัญจรของผู้คน
.....เป็นฤกษ์ของเพศหญิง จึงทำให้คนฤกษ์นี้เป็นคนมีเสน่ห์ น่ารัก นิสัยว่องไว รอบคอบช่างคิด ชอบการสังคม อารมณ์ปรวนแปรง่าย รักความยุติธรรม มีโอกาสพบปะผู้คนมากมาย
5.1 มฤคศิระ-เทศาตรีฤกษ์
.....ส่งผลให้คุณเป็นคนหลงใหลในสิ่งที่ตนเองรัก โดยมักไม่ค่อยลืมหูลืมตา เขาว่าอะไรก็ว่าตามเขาไปหมด และความรักเช่นนี้มักนำความทุกข์ยากมาให้คุณ เพราะคุณจะติดอยู่กับความรัก ความผูกพัน ห่วงหาอาลัยได้ง่าย คนฤกษ์นี้มักมีรสนิยมสูง ชอบความหรูหรา มีเสน่ห์ในตัวเอง น่ารัก ว่องไว บูชาความรักสูง เป้นคนช่างคิด ชอบการสังคม อารมณ์ปรวนแปรง่าย รักความยุติธรรม เหมาะแก่งานบริการ การเดินทาง การต่างประเทศ การสื่อสาร การบันเทิงต่างๆ และ เกี่ยวกับความงาม
5.2 จิตรา-เทศาตรีฤกษ์
.....มักเป็นคนรูปโฉมงามสง่า มีเสน่ห์ชวนหลงใหล เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง ได้รับการถะนุถนอมดี เป็นคนรักความยุติธรรม สงบสันติ ชอบสิ่งสวยงามเป็นพิเศษ เป็นคนมีสัจจะดี พร้อมที่จะเสียสละเพื่อส่วนรวมเสมอ วางตัวและเข้าสังคมได้ดี นิสัยร่าเริงสนุกสนาน มักเกี่ยวข้องกับงานสาธารณชน มักเป็นคนอยู่ไม่เป็นที่ ชอบเปลี่ยนอะไรบ่อยๆ ดีกับงานบริการ ตัวแทนจำหน่าย การเดินทางสัญจร การสื่อสาร การบันเทิงต่างๆ เสริมสวยและความงาม และศิลปะต่างๆ แต่ชาวฤกษ์นี้ให้ระวังเกี่ยวกับภัยทางน้ำ หรือ สัตว์น้ำให้มากสักหน่อย เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยถูกกับชาวฤกษ์นี้เลย
5.3 ธนิษฐา-เทศาตรีฤกษ์
.....มักชอบใช้ชีวิตที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่โลภมากและไม่มักใหญ่ใฝ่สูง แต่ชีวิตก็มักอดไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชาวฤกษ์นี้มีจุดยืนที่ดีคือมิตรภาพ รักพวกพ้อง รักความยุติธรรม สงบสันติ และ พร้อมที่จะเสียสละ ทำงานร่วมกับหมู่คณะได้ดีเยี่ยม เป็นที่ชื่นชอบในวงสังคม นิสัยร่าเริงสนุกสนาน เกี่ยวกับงานมักเป็นงานเกี่ยวกับสาธารณะชนต้องพบปะผู้คนมากหน้าหลายตา อยู่ไม่ค่อยเป็นที่ เหมาะกับงานให้บริการ ตัวแทนจำหน่าย การสื่อสาร การเดินทาง ศิลปะต่างๆ และ สถานเสริมความงาม
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:07:00 IP :


ความคิดเห็นที่ 8 (1799)
4.ภูมิปาโลฤกษ์
.....โบราณท่านก็ว่าไว้อีกว่าภูมิปาโลฤกษ์ เป็นฤกษ์ของผู้รักษาแผ่นดิน ฉะนั้นผู้กำเนิดในฤกษ์นี้มักมีนิสัยการเป็นผู้นำติดตัวมา ชอบการปกครอง ถ้ารับราชการ หรือ ทำกิจการที่เกี่ยงข้องกับการเกษตรก็จะรุ่งเรืองตามลำดับ ดีเกี่ยวกับด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สถาปนิก วิศวกร นักผังเมือง ผู้กำเนิดมาในฤกษ์นี้มักจะได้เป็นผู้นำในอาชีพของตน ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์เพศชาย คนฤกษ์นี้มักเจ้าความคิด เจ้าปัญหา มักสนใจในศิลปวิทยาในทุกแขนง เป็นคนมีระเบียบ มีเหตุมีผล ระมัดระวังตัวเองสูง มักชอบไตร่ตรองก่อนทำอะไรเป็นประจำ พูดน้อยแต่ต่อยหนัก ซึ่งเหมาะแก่งานปกครองคน อสังหาริมทรัพย์ สิ่งตีพิมพ์ การสื่อสาร บรรณาธิการข่าว ข่าววิทยุโทรทัศน์ ผู้บริหารสื่อต่างๆ เป็นต้น
4.1 โรหิณี-ภูมิปาโลฤกษ์
.....ทำให้เป็นคนที่มักตกอยู่ใต้อำนาจของความโกรธ ความดุร้าย แข็งกร้าว เป็นคนค่อนข้างเด็ดขาด ยามใดที่เกิดโทสะบุคคลรอบข้างมักถูกหางเลขไปตามๆ กัน แต่เมื่อหายจากโทสะชาวฤกษ์นี้มักจะคิดได้ถึงสิ่งที่ตนกระทำลงไป แล้ว สามารถนำมาคิดปรับแต่งได้ดี มักชอบการเป็นผู้นำ ชอบความมีอำนาจ และมักมีตำแหน่งในการงานเสมอ ถ้ารับราชการมักจะก้าวหน้าได้ดี เป็นคนเจ้าความคิด ระเบียบจัด แต่ก็มีเหตุผล ระมัดระวังตัวเองสูง มักวางแผนก่อนทำอะไรลงไปแต่ต้องระวังบางครั้งอาจรีบร้อนเพราะโทสะจนเสียการได้ เป็นคนชอบเรียนรู้ศิลปวิทยาการเกือบทุกแขนง เป็นคนมีวาจาบาดลึก อาชีพที่ดีมักเกี่ยวข้องกับการปกครองบริหารคน งานเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และ ดีเกี่ยวกับงานประเภทหนังสือ การสื่อสาร การค้าด้วย แต่คนในฤกษ์นี้ต้องระวังให้เป็นพิเศษเกี่ยวกับ อารมณ์ขี้หงุดหงิด อารมณ์โกรธของตนให้มาก เพราะคนอื่นอาจจะไม่กล้าเข้าหา เข้ามาบอกเล่าปัญหาอะไรให้คุณฟังก็ได้
4.2 หัตถะ-ภูมิปาโลฤกษ์
.....มักเป็นคนฉลาด รอบรู้ หยิ่งในศักดิ์ศรีตนแม้ชีวิตจะต้องลำบากยากเข็ญก็ไม่ได้ทำให้ชาวฤกษ์นี้รู้สึกว่าตนเองมีปมด้อยแต่อย่างไร เป็นคนคาดหวังอะไรสูงมากจนต้องเตือนให้ระวังสักนิด เพราะชีวิตเรานั้นไม่มีใครสมหวังดั่งที่คิดไว้ทุกคน ชาวฤกษ์นี้มักเป็นผู้นำคน เป็นนักปกครองที่ดี รับราชการก็ก้าวหน้าดี เป็นคนเจ้าความคิดเจ้าระเบียบ อาจจะจู้จี้จุกจิกสักนิดหน่อย มักชอบเรียนรู้ในสิ่งรอบตัวได้ดี มีเหตุผลหนักแน่น พูดน้อยแต่มีน้ำหนักดี มักถูกกับงานเกี่ยวกับการปกครอง และ อสังหาริมทรัพย์ คนฤกษ์นี้มักเป็นคนบูชาความรัก ไปพร้อมๆ กับความต้องการอำนาจที่วาดฝันไว้ ซึ่งต้องพยายามระวังเพราะมักจะนำมาซึ่งเรื่องยุ่งยามมาสู่ตัวคุณ และ สามารถทำให้คุณเสียหายได้เช่นกัน
4.3 ศรวณะ-ภูมิปาโลฤกษ์
.....คนฤกษ์นี้มักเป็นที่พึ่งของคนทั่วไป มีสติปัญญาดี เป็นคนที่มักให้คำแนะนำ หรือ เตือนสติ ในการแก้ปัญหาให้แก่ผู้อื่นได้ดี แต่ลึกๆ มักมีความทนงตัวเมื่อมีคู่แข่งหรือมีผู้อื่นจะมาทำตัวเสมอเหมือน มักจะยอมรับไม่ค่อยได้ จุดอ่อนในข้อนี้ต้องระวังสักหน่อย เพราะคุณอาจจะกลายเป็นเครื่องมือของผู้อื่นที่อาจจะยุให้คุณไปทะเลาะกับศัตรูของเขาได้
.....คนฤกษ์นี้มักมีลักษณะของผู้นำ จึงมักมีตำแหน่งงานเกี่ยวกับการปกครองอยู่เสมอ หากทำราชการก็มักจะเจริญก้าวหน้าดี ทั้งยังเป็นคนเจ้าความคิดชอบเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ เสมอไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ใด เป็นคนค่อนข้างมีระเบียบ มีเหตุผล มีความระมัดระวังตัวเองสูง เป็นคนพูดน้อยแต่มักต่อยหนัก แต่มีข้อด้อยอยู่ตรงที่ความต้องการในอำนาจ หรือ การหวงอำนาจ และเป็นคนที่ค่อนข้างจะหูเบาเชื่อคนง่าย
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:07:00 IP :


ความคิดเห็นที่ 7 (1798)
3. โจโรฤกษ์
.....โบราณกล่าวไว้ว่าผู้เกิดในฤกษ์นี้มักเป็นโจรเป็นนักเลงอันธพาล ข้าพเจ้ามักไม่ค่อยจะเห็นด้วย เพราะเราถอดรหัสมาตรงเกินไป โจโร ก็เหมือนคำว่าจร ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า การเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดนิ่ง ฉะนั้นโจโรฤกษ์ในทัศนะข้าพเจ้านั้นหมายถึง ผู้ทำอะไรคิดอะไร รวดเร็ว กระทำคล้ายดั่งโจรคือไปเร็วมาเร็ว รีบกระทำให้เสร็จสิ้น สมัยโบราณถ้าผู้ใดมีบุตรที่ถือกำเนิดมาในฤกษ์นี้มักจะต้องทำการสะเดาะเคราะห์แก้เคล็ดให้แก่บุตรหลานกัน หรือ ต้องพยายามเอาใจใส่ให้จงหนักเพื่อมิให้ไปเป็นดังฤกษ์ทำนาย กาลเวลาผ่านไปคนสมัยปัจจุบันหาได้สนใจเช่นนี้ไม่ จึงไม่ค่อยตกใจกับเรื่องนี้มากนัก
....เทาที่เห็นมาคนที่มีฤกษ์กำเนิดในฤกษ์นี้หลายต่อหลายท่าน ก็ไม่เห็นจะเป็นโจรสักราย ฤกษ์อื่นเป็นโจรก็ถมไป (กำเนิดในฤกษ์นี้มักจะมีหน้าที่เกี่ยวกับการใช้กำลัง ใช้อาวุธ การต่อต้านทำลายล้าง งานซิกแซ็กแกมโกง พวกชอบฝืนต่อกฎระเบียบของสังคม และ บางครั้งก็ชอบท้าทายสังคมอย่างสันติ บุคลิกนิสัยของชาวโจโรฤกษ์นั้นก็คล้ายๆ พระอังคารมีบุคลิกคล่องแคล่วว่องไว มีเล่ห์เหลี่ยมสูง ฉลาดแกมโกง หงุดหงิดง่ายโกรธง่ายหายเร็ว ชอบการบริการ มีความกระตือรือร้นสูงตามอาการตกกระทบ ใจกว้างใจนักเลง มักมีอาชีพเกี่ยวกับงานบริการ ทหาร ตำรวจ พนักงานต้อนรับ เป็นต้น มักมีความคิดสร้างสรรค์ แหวกแนว เป็นนักปฏิรูป ไม่ชอบแบบแผนประเพณีที่คร่ำครึไร้เหตุไร้ผล มีลางสังหรณ์ที่แม่นยำ เป็นคนคิดเร็วทำเร็ว เป็นคนที่ผู้อื่นคาดเดายากถึงความคิด หรือ ตามไม่ค่อยทันความคิดของชาวโจโรฤกษ์ มักสนใจปรัชญา ศาสตร์ลี้ลับ วิชาทำนายทายทัก บุคลิกท่วงทีมีเสน่ห์ดึงดูดใจคน ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์เพศหญิง
.....ฉะนั้นคนเกิดหรือมีบุตรหลานกำเนิดในฤกษ์นี้ไม่ต้องตกอกตกใจ เกินกว่าเหตุ ว่าจะต้องเป็นโจรต้องขื่อคา เหมือนดั่งบิดาของอหิงสกะ หรือ องคุลีมาลทำ ต้องเปลี่ยนชื่อแก้เคล็ด ผลักไสไล่ส่งไปไกลตัว อาจารย์ก็ไม่เอาแถมหลอกซ้ำเพียงแต่เราใช้ปัญญาจับพิจารณาก็พอจะถอดรหัสนี้ได้ เพราะเขาเป็นอย่างที่กล่าวมาเท่านั้นเองพึงดูแลเอาใจใส่ สอนธรรมให้ถูกทาง ส่งเสริมเปลูกฝังเขาให้มีใจเป็นนักกีฬา เป็นศิลปะ อย่าส่งเสริมให้เขาเป็นโจรดั่งที่โบราณกล่าวไว้ รับประกันถ้าจับถูกทางเขาจะไม่มุ่งปทางร้ายแน่นอน
3.1 กฤตติกา-โจโรฤกษ์
.....ส่งผลให้เป็นคนรูปงาม มีความรู้รอบตัวดี มักสนใจในศิลปศาสตร์ทั้งหลาย มักมีปัญหาเรื่องความรัก มักไปชอบคนที่เขามีคนรักแล้ว หรือ รักคนที่บิดามารดาเขาหวงแหน มักมีนิสัยหยิ่งทรนง แม้แต่ครูบาอาจารย์ ด้วยคิดว่าความคิดตนนั้นเหนือกว่าเก่งกว่า ในด้านเพื่อนฝูงมักจะดีมาก เมื่อดีก็ดีร่วมกันเมื่อร้ายก็พากันร้ายแบบไม่เป้นขบวน เป็นคนกล้าเผชิญกับสิ่งต่างๆ รอบคอบไม่ผลีผลาม มักชอบวางแผนการไว้ก่อนอย่างเหนือชั้น รวมถึงการลอบทำร้าย แย่งชิงได้มาซึ่งการเลื่อยขาเก้าอี้เขา เรื่องความรักมักเป็นคนมีความปรารถนาที่เร่าร้อนและรุนแรง อีกทั้งเอาอกเอาใจคนรักเก่งอีกต่างหาก
3.2 อุตรผลคุนี-โจโรฤกษ์
…..มักเป็นคนรูปงาม มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น มีความรู้ดี มักชอบเรียนรู้ตลอดเวลา ถ้าได้ทำราชการมักเป็นใหญ่เป็นโต ผู้ใหญ่มักให้ความไว้วางใจสนับสนุน คิดอ่านอยากได้อะไรมักได้ดังหวัง แต่มักจะได้มาโดยวิธีที่ไม่ค่อยจะขาวสะอาดนัก ไม่ใช่ได้มาเพราะความสามารถเป็นหลัก มักได้มาเพราะความสามารถพิเศษเฉพาะด้านของตนในทางแกมโกง ช่วงชิง วิ่งเต้นเส้นสาย หรือใช้เล่ห์เพทุบายจนได้มา ฉลาดแกมโกงสูงอันจะพาตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงตาม เรื่องความรักมักมีปัญหาเพราะความแกมโกงหรือความเจ้าเล่ห์เอาเปรียบเข้าข้างตัวเองของคุณนั่นเองต้องระวังไว้เป็นพิเศษ มักมีความคิดอ่านรวดเร็วดั่งสายลม มักมีความคิดที่แหวกแนว เป็นนักปฏิรูปปฏิวัติหัวก้าวหน้า ไม่ชอบยึดติขนบธรรมเนียมประเพณีที่ไร้เหตุผล เป็นคนมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำ ทำอะไรคิดอะไรผู้อื่นมักตามไม่ค่อยทันหรือดาดเดายาก เป็นนักวางแผนการตัวยงไม่ว่าจะทำสิ่งใด ความรักมักมีความปรารถนารุนแรงและมักเร่าร้อน เอาใจคนที่เรารักเก่ง รักและชอบในปรัชญา มักแสวงหาความหลุดพ้นในส่วนลึกของหัวใจ มักชอบและสนใจค้นคว้าในศาสตร์ลี้ลับ หรือ โหราศาสตร์ มีเสน่ห์ดึงดูดที่มีพลังแบบไม่ธรรมดาเป็นความพิเศษเฉพาะตัว
3.3 อุตราษาฒ-โจโรฤกษ์
…..เป็นคนที่มีความวิริยะอุตสาหะมากเหลือ จนผู้อื่นรักใคร่ให้ความเอ็นดู และนับถือในความรู้ความสามารถความพยายามของคุณ เป็นคนบูชาในอุดมคติของความรัก รักใครรักจริงไม่ลืมหูลืมตา ทำทุกอย่างเพื่อคนที่เรารักเพื่อให้ได้เขามาครอบครอง เป็นคนอ่อนไหวกับความรักมาก หากชอกช้ำหรือพลัดพรากสูญเสียความรักไป คนฤกษ์นี้อาจถึงกับคิดอะไรสั้นๆ ได้ หรือ ต้องทุกข์ระทมกับความสูญเสียนั้นเป็นเวลานาน ฉะนั้นคนฤกษ์นี้พึ่งพยายามเพื่อใจเวลารักใครสักคนไว้ครึ่งๆ จะเป็นการดีเผื่อไว้สำหรับเตรียมรับความสูญเสียผิดหวัง ถ้าเป็นสตรีกำเนิดในฤกษ์นี้ให้พึงระวังเกี่ยวกับระบบช่องคลอดสักหน่อย เมื่อยามตั้งครรภ์ มดลูกของคุณมักจะอ่อนแอ มีโอกาสแท้งได้ง่าย หรือ คลอดก่อนกำหนดเวลา หรือ บุตรเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กอยู่ คนฤกษ์นี้มักต้องการอะไรแล้วต้องได้ดั่งใจหวัง ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีใดก็ตามแต่ดุจก้าวขึ้นบัลลังก์เลือด เพราะฤกษ์นี้ชอบการแย่งชิงมา ซึ่งมันท้าทายความสามารถของคุณได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ผู้ใหญ่มักชื่นชมในตัวคุณ ในนิสัยกระตือรือร้น และ พลังที่แฝงอยู่ในตัวคุณ

.....เห็นไหมครับ***ที่ว่า โจโรฤกษ์ ร้ายนักร้ายหนามันก็มีดีในตัวของมันเองเหมือนกัน ไม่เป็นลองฤกษ์ดีๆ ทั้งหลายสักเท่าใดหรอก ถ้าเราถอดรหัสและหยิบเอาด้านดีของมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ นี่แหละที่ข้าพเจ้าย้ำนักย้ำหนา ว่าเวลามองอะไรอย่ามองมันด้านเดียว ***ที่เราบอกว่ามันดีนักดีหนา ในมุมกลับกันมันอาจจะร้ายที่สุดก็ได้ ส่วน***ที่เห็นแล้วร้องยี้ ว่ามันร้ายสุดๆ บางทีมันอาจจะให้คุณประโยชน์เหลือคณานับกว่า***ที่เราเคยมองมันว่าดีเสียอีก ทุกอย่างมันอยู่ที่เราจะหยิบด้านดีของมันมาใช้ให้เป็นหรือไม่ ดุจองคุลีมาล อาจจะหลงไปกับอวิชชา ชั่วขณะ แต่สุดท้ายด้านดีของเขาก็ปรากฏให้เราเห็นตราบเท่าทุกวันนี้ เมื่อเขารู้จักฉุกคิดและหยิบด้านดีนั้นมาใช้ให้ถูกทาง อย่าพึ่งไปกลัว ( ภัย ) เพราะความกลัวนั้นมันเกิดขึ้นภายในใจเราเอง เพียงแต่เราใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว ดึงความไม่กลัว ( อภัย) มาใช้ให้เป็นก็เท่านั้นเองทุกอย่างก็จะลงตัว ไปหละครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้จะมาต่ออีก 3 ฤกษ์ หรือ อาจจะมากกว่าถ้าไม่เหนื่อยเสียก่อน ฤกษ์ดีเราวิจารณ์กันน้อยหน่อย เพราะ ผู้กำเนิดในฤกษ์ดียิ้มเยาะพวกฤกษ์ไม่ดีมานานแล้ว คราวนี้แหละเป็นทีของพวกที่กำเนิดมาในฤกษ์ไม่ดีบ้างละ จะวิจารณ์ให้พวกที่กำเนิดในฤกษ์ดีๆ นั้นอิจฉากันไปเลย
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:06:00 IP :


ความคิดเห็นที่ 6 (1797)
2. มหัทธโนฤกษ์
.........มหัทธโนฤกษ์ ตามคัมภีร์โบราณท่านให้เป็นคำสั้นๆ ว่าเป็นฤกษ์เศรษฐี เป็นฤกษ์ของเพศชาย มักจะมีความสุขุมรอบคอบ ทำอะไรเชื่องช้าค่อยเป็นค่อยไป มีเหตุมีผล มีความคิดสร้างสรรค์ดี มีศีลธรรมยุติธรรม มองโลกในแง่ดี ใจบุญ ใจอ่อนขี้สงสาร เป็นตัวของตัวเอง มักเป็นคนละเอียดชอบกลั่นกรอง เป็นนักปฏิบัติ เป็นคนโชคดี มีเพื่อนฝูงมากและมักเป็นที่ยอมรับในวงสังคม มักชอบทำอะไรที่โปร่งใส ชอบการลงทุนน้อยได้ผลตอบแทนมาก งานมักคิดโครงการและชอบจับงานใหญ่ๆ

2.1 ภรณี-มหัทธโนฤกษ์
.....ชีวิตในเยาว์วัยมักลำบาก มักถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้ายป้ายสี และ มักรุ่งเรืองได้รวดเร็วอาจประสบความสำเร็จเป็นใหญ่เป็นโตได้แม้ในวัยหนุ่มสาว มักมีศัตรูมากแต่ก็รู้จักหลบหลีกได้ดี และมักจะทำให้ศัตรูเปลี่ยนมาเป็นมิตรได้เก่ง ชีวิตมักค่อยข้างสบาย ทำอะไรได้ผลประโยชน์สูงโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก
2.2 บุรพผลคุนี-มหัทธโนฤกษ์
…..มักเป็นคนโกรธขี้หงุดหงิด ตกอยู่ในความโกรธง่ายแล้วมักจะตอกกลับอย่างเจ็บปวดโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม อันอาจเป็นเหตุที่นำมาสู่ความสูญเสียในชีวิตได้พึ่งต้องระวังให้จงมาก มักมีชีวิตค่อนข้างสบาย ประกอบผลประโยชน์อะไรมักไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก มักมีอัตตาสูง และมักคิดว่าอะไรๆ ง่ายไปหมด
2.3 ปุรพษาฒ-มหัทธโนฤกษ์
.....มักชอบคบหาสมาคมกับผู้ที่มีทัศนะแตกต่างกับตน และมักจะขัดแย้งกันในทางทัศนะบ่อย จนอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้ ชีวิตมักเจอความขัดแย้งในทัศนะหรือพฤติกรรมนิสัยที่แตกต่างกับตนเองบ่อย ชีวิตนั้นค่อนข้างจะสบาย ทำการค้าก็มักทำกำไรได้สูงโดยไม่ต้องเหน็ดเนื่อยหรือลงทุนอะไรมากมาย และมักเห็นว่าผู้อื่นนั้นด้อยกว่าตนได้บ่อยครั้ง
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:05:00 IP :


ความคิดเห็นที่ 5 (1796)
คราวนี้มาฟังทัศนะจากตำราเล่มนี้กันบ้าง ว่าเขาว่าไว้เช่นไร โดยข้าพเจ้าจะแบ่งเป็นตอนๆ ไว้ และจะทยอยนำมาเล่าสู่กันฟังทีละตอนๆ ตามกำลังของข้าพเจ้า

1. ทลิทโทฤกษ์
.........ตำราโบราณท่านให้เป็นฤกษ์ของชูชก ซึ่งจะเห็นได้ว่าชูชกนั้นมีบ้านช่องแต่กับไม่ค่อยอยู่ ต้องออกเร่ร่อนเพื่อขอบริจาคะ เที่ยวนอนตามป่าเขาลำเนาไพร เที่ยวขอจนร่ำรวย แต่ก็หามีสุขไม่ เมื่อได้ทรัพย์ก็นำไปฝากสหายเก่าว้า แต่ก็ถูกสหายเก่านั้นโกงเสียอีก
.........อันความจนในฤกษ์นั้นโบราณท่าน หาได้จำเพาะว่า จนทางทรัพย์สิน แต่รวมไปถึง จิตใจ ด้อยโอกาส ด้วย ดังนั้นผู้ที่ถือกำเนิดมาในฤกษ์นี้ มักต้องมีวิถีชีวิตที่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากสักหน่อย มีเรื่องให้คับข้องใจบ่อยๆ แต่ในมุมกลับกัน ชาวฤกษ์นี้มักมีความอดทนสูง มีความมานะพยายามแสวงหาโอกาสมาก โบราณท่านให้คำจำกัดความว่า ขอทาน แต่ไม่ได้บอกว่ารวยหรือจน บางครั้งก็เป็นเศรษฐีที่ชอบขอ หรือ ชอบของฟรีก็ได้ ท่านเน้นว่าเป็นฤกษ์แห่งการขอ ดังนั้นเราจึงถอดรหัสได้หลายกรณี เช่น ชอบขอความร่วมมือ ขอยศขอศักดิ์ เป็นภาวะของผู้ต้องการอะไรแล้วต้องแสวงหาแต่จะมุ่งไปทางวิธีที่ง่ายกว่า ซึ่งครอบคลุมไปในคนทุกชนชั้นไม่ว่าจะยากดีมีจน วรรณะสูงหรือวรรณะต่ำ
.........ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์เพศชาย มีส่วนเสริมให้เจ้าชะตามีบุคลิกนิสัยไปทางบุรุษเพศ มีความอดทนสูง มั่นคง ดื้อดึง มุ่งมั่นแม้จะต้องยากลำบากก็ตาม เป็นผู้มีความรับผิดชอบสูง มักต้องได้รับการอนุเคราะห์ช่วยเหลือหรือร่วมมือจากผู้อื่นในแบบต่างๆกัน

1.1 อัศวินี-ทลิทโทฤกษ์
.....มักเป็นคนขัดสนข้นแค้น แต่ทรงไว้ซึ่งความดีในจิตใจ มีความกตัญญูกตเวทีสูง มักชอบแสวงหาวิชาความรู้ใส่ตนเองเสมอ แต่ก็มักเอาวิชาความรู้ไปใช้ในทางที่ผิด หรือ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าใดนัก มักขัดแย้งกับผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นคนเอาตัวรอดได้ดี แม้ช่วงต้นของชีวิตจะต้องลำบากมากมายเช่นไร แต่จงจำไว้ว่าบั้นปลายมักประสบความสำเร็จด้วยดี ด้วยความดีที่มีสถิตอยู่ในจิตใจ เป็นคนรู้จักป้องกันตัวเองได้ดี ด้านความรักมักจะสุขสมหวังเอาใจเก่ง โชคดีในการขอความช่วยเหลือสนับสนุนจากผู้อื่น มักขยันหาทรัพย์ได้ไม่ค่อยได้ความสุขจากทรัพย์ที่หามาได้เท่าที่ควร
1.2 มาฆะ-ทลิทโทฤกษ์
.....มักจะเป็นคนมีฐานะดี พร้อมด้วยทรัพย์และข้าทาสบริวาร แต่มักมีบุตรยาก ผู้ใหญ่มักไม่ค่อยให้คุณ มักเสียหายเพราะการไว้ใจคนเกินไป หรือ ถูกครหานิทาบ่อยๆ ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้มักเป็นคนหัวอุดมคติ สุขุมเยือกเย็น คงเส้นคงวา รักความยุติธรรม เคารพผู้มีคุณวุฒิหรือวัยวุฒิมากกว่า มักเป็นคนเคร่งเครียด เอาจริงเอาจังคนบางครั้งมองเป็นคนไม่ค่อยเบิกบาน มักมีชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย มักเป็นคนชอบซ้อนอารมณ์ หาทรัพย์ได้ยากหรือหาได้แต้องมีภาระรับผิดชอบมาก ชอบเก็บออมและไม่ค่อยได้ใช้ทรัพย์เพื่อประโยชน์สุขของตนมากนัก มักได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นเสมอ
1.3 มูละ-ทลิทโทฤกษ์
.....มักมีความรักที่ไม่ค่อยเป็นไปอย่างที่ต้องการที่ปรารถนา มักผิดหวังเรื่องคู่ครองพลัดพรากจากกัน มักมีความรักที่ต้องซ่อนเร้น อันทำให้ผู้กำเนิดในฤกษ์นี้ต้องเศร้าโศกเสียใจเสมอ มักทำงานเกี่ยวกับพื้นดิน เช่น ก่อสร้าง สถาปนิก วิศวกร งานทางการเกษตร งานสังคมสงเคราะห์ หรือ ทำงานกับชนชั้นล่าง มักมีชีวิตที่เหน็ดเหนื่อย หาทรัพย์ยาก หาได้ก็มักไม่ได้ใช้ให้เพียงพอแก่ความสุขสบายของตนเอง มักชอบเก็บออม มักได้รับความร่วมมือที่ดีบ่อยครั้ง
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:04:00 IP :


ความคิดเห็นที่ 4 (1795)
แทรก ฤกษ์กำเนิด
.........เมื่อได้อ่านจากข้อความข้างบน บางท่านถึงกับหวาดกลัวเมื่อทราบว่าฤกษ์กำเนิดของตนเองนั้นไปตกฤกษ์ที่ไม่ดี ทำให้บางท่านเสียกำลังใจอันจะทำให้เกิดผลเสียดั่งที่กังวล นั่นมักเป็นไปอย่างงมงายกันจนมากเกินงาม เราลองพิจารณากันก่อนด้วยปัญญาเถิดว่ามีหลายคนก็ถือกำเนิดมาในฤกษ์ที่ไม่ดีแต่ทำไมเขาจึงไม่เป็นไปตามนั้น มันมีเหตุปัจจัยอะไรบ้าง ก่อนที่เราจะปักใจเชื่อตามโบราณไปเสียทุกอย่างโดยไม่ใช้ปัญญาเข้าจับพิจารณา
.........โบราณนั้นก็มีตัวอย่างให้เราได้ศึกษากัน อาทิ องคุลีมาล พุทธสาวกแห่งพระศาสดาตถาคตเจ้าโคตม ซึ่งบันทึกไว้ว่าถือกำเนิดมาในโจโรฤกษ์ โดยบิดา-มารดาได้ตั้งนามให้เพื่อแก้เคล้ดว่า <greem+>อหิงสกะ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ไม่เบียดเบียน แม้กระนั้นก็ตามหาได้ลดความเป็นโจรสังหาร 999 ศพไปมิได้ แถมยังคิดประหารมารดาตนเอง นั้นอหิงสกะเกิดอวิชชาขึ้นเพราะเหตุใด จนมาพบกับพระพุทธองค์ และได้ดื่มด่ำปริศนาตถาคตจนเกิดวิชชา ใช้ปัญญาจับต้องและพิจารณา เช่นนั้น ท่านเห็นว่าอหิงสกะผู้นี้หยุดอิทธิพลของฤกษ์ไม่ดี ด้วยผู้อื่น หรือ ด้วยตนเองเล่า อันจะดีร้ายเรานั่นเองเป็นผู้กำหนด เราไม่หยุดมันแล้วใครเล่าจะหยุดให้เรา ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงพิจารณาเองเถิด อย่าวิตกกังวลต่อฤกษ์กำเนิดให้มากไปนัก ควรพิจารณาจากเหตุปัจจัยเป็นหลัก รู้จักใช้ปัญญาปรับแก้ ฤกษ์กำเนิดนั้นไม่ได้สำคัญไปกว่าการกระทำดอก ดั่งโบราณท่านว่า พรหมลิขิต 3 ส่วน คนนั้นแลกระทำเอง 7 ส่วน โบราณท่านแฝงปริศนาในตำราโหราศาสตร์ไว้มาก จงถอดสลักให้เป็นเถิดจะเกิดมงคล

.........ฤกษ์นั้นโบราณท่านให้ความสำคัญกับพระจันทร์มาก ยามใดที่จันทราโคจรผ่านขอบฟ้าไปยังกลุ่มฤกษ์ใด ราศีใด เวลาใด ท่านว่าย่อมส่งผลถึงคนเรา และ ธรรมชาติด้วย เมื่อคิดคำนวณเก็บสถิติได้เช่นนั้นแล้วก็จดบันทึกตกทอดมายังปัจจุบันให้เราศึกษาถอดรหัสกันต่อไป ซึ่งเมื่อใช้ปัญญา หรือ หลักสถิติพิจารณา เราจะเห็นว่า คนดังๆ หลายๆ ท่านก็มีทั้งถือกำเนิดมาในฤกษ์ที่ว่าดี และ ไม่ดี ทั้งนั้น ฉะนั้นมาฟังการทำนายเล่นๆ จากตำราเล่มหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้อ่านเจอมา เพื่อเป็นการผ่อนคลายหลังจากที่ได้ อ่านเรื่องฤกษ์อย่างเป็นทฤษฎีกันมามากพอแล้ว อันนี้เป็นช่วงพักดื่มน้ำดื่มท่ากัน แล้วมาดูกันสิว่าท่านนั้นอยู่ในฤกษ์ใดกันบ้าง

ไปชมกันเลยดีกว่า
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:04:00 IP :


ความคิดเห็นที่ 3 (1794)
ถ้าท่านใดมีแผ่นจานหมุน หรือ รูปของตำแหน่งฤกษ์ ก็นำมาประกอบแล้วพิจารณาดูตามจะเห็นได้ชัดเจนตามที่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปนี้

ข้อ 4 การจัดหมู่ดาวฤกษ์ เป็นหมวดกอง
.........เมื่อ 1 จักรราศี มี 12 ราศี และ 27 ฤกษ์ ราศีหนึ่งมี 9 นวางค์ ฉะนั้น 1 จักรราศีจึงมี 108 นวางค์ ฤกษ์หนึ่งมี 4 ลูกนวางค์ แต่คำว่านวางค์ในฤกษ์นี้ไม่นิยมเรียกกัน เพราะคำว่านวางค์เป็นส่วนของตรียางค์ จึงมักเรียก นวางค์ ว่า “ บาทฤกษ์ “ มีพระเคราะห์ประจำเกษตรประจำบาทฤกษ์คือ พระเคราะห์เกษตรประจำนวางค์นั่นเอง ดังจะอธิบายต่อไปนี้
.........ฤกษ์ที่ 1 เริ่มจาก สันปุรัตถิมา ( ศูนย์ตะวันออก ) คือเส้นขั้วระหว่างราศีเมษ กับ ราศีมีนต่อกัน แล้วจึงเวียนซ้ายมาทางราศีพฤษภ จนครบ 4 ลูกนวางค์เป็นสุดเขตของฤกษ์ที่ 1 ส่วนฤกษ์ที่ 2 ที่ 3 ฯลฯ ก็รับช่วงต่อกันตามลำดับจนครบทั้ง 27 ฤกษ์ สุดท้ายที่ราศีมีน เราเรียกทั้งหมดว่าหมู่ดาวฤกษ์

ดาวฤกษ์ทั้ง 27 หมู่นั้น ถูกจัดไว้เป็น 3 กอง คือ:-
กองที่ 1 ตั้งแต่ฤกษ์ที่ 1 ถึงฤกษ์ที่ 9 จาก 00.00 องศาของราศีเมษ ถึง 30.00 องศาของราศีกรกฎ
กองที่ 2 ตั้งแต่ฤกษ์ที่ 10 ถึงฤกษ์ที่ 18 จาก 00.00 องศาของราศีสิงห์ ถึง 30.00 องศาของราศีพิจิก
กองที่ 3 ตั้งแต่ฤกษ์ที่ 19 ถึงฤกษ์ที่ 27 จาก 00.00 องศาของราศีธนู ถึง 30.00 องศาของราศีมีน
.........ต่อจากนี้ เอาบาทฤกษ์ลำดับที่ 1 – 9 ของกองทั้ง 3 มารวมกันตามลำดับเป็นหมวดๆ ละ 3 ฤกษ์ คงเป็น 9 หมวด แล้วตั้งชื่อประจำหมวดใหม่เป็นชื่อสำหรับหมวดฤกษ์ ส่วนชื่อฤกษ์ทั้ง 27 หมู่ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเป็นชื่อเฉพาะความหมายของหมู่ดาวฤกษ์แต่ละหมู่ตามรูปนักษัตรต่อเมื่อนำมารวมเป็น 9 หมวดแล้วจึงได้ขนานนามขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นความหมายของฤกษ์ที่จะใช้ทำการโดยตรง ไม่ใช่ของหมู่ดาว แล้วจะกล่าวในบทต่อไป

ข้อ 5 ว่าด้วยหมวดฤกษ์
......... หมวดที่ 1 ได้แก่ฤกษ์ที่ 1 , 10 และ 19 เรียกว่า ทลิทโทฤกษ์ แปลว่า ผู้มักน้อย ผู้เข็ญใจ ผู้ขอ ผู้ต้องเหน็ดเหนื่อย ผู้อดทน ผู้ที่ต้องรับผิดชอบสูง ฤกษ์นี้เป็นฤกษ์ของ “ ชูชก “ มีพระอาทิตย์เป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็น “ บูรณะฤกษ์ “ คือฤกษ์ที่เต็มโดยสมบูรณ์ คือฤกษ์ที่ไม่ขาดแยกแตกบาทฤกษ์ไปอยู่คนละราศี และเรียกว่า จัตตุรฤกษ์ หรือ ขันธฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่ใช้สำหรับการขอสิ่งต่างๆ เพราะถือว่าเป็นฤกษ์ของชูชก จะทำการขอสิ่งใดก็ง่าย เช่น การขอแต่งงาน ทวงหนี้ ***้ยืม ร้องทุกข์ การทำการใดๆ เพื่อให้ผู้อื่นสงสารกรุณา เปิดร้านขายของชำ ของเก่าชำรุด สมัครงาน ทำการใดๆ ที่ริเริ่มใหม่
………หมวดที่ 2 ได้แก่ฤกษ์ที่ 2 , 11 และ 20 เรียกว่า มหัทธโนฤกษ์ แปลว่า คนมั่งมี ผู้รุ่งเรือง เศรษฐี มีพระจันทร์เป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็น “ บูรณะฤกษ์ “ เป็นฤกษ์ที่ใช้สำหรับการมงคลต่างๆ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน ปลูกสร้างอาคาร ธุรกิจการเงิน การค้าอุตสาหกรรม เปิดห้างร้าน ลาสิกขาบท สะเดาะเคราะห์ และ สารพัดงานมงคล
.........หมวดที่ 3 ได้แก่ฤกษ์ที่ 3 , 12 และ 21 เรียกว่า โจโรฤกษ์ แปลว่า โจร ผู้ปล้น ผู้ลักขโมย นักเลง ผู้ใช้กำลัง ผู้ทำลายล้าง ผู้กล้าหาญมีอำนาจ ผู้ว่องไว มีพระอังคารเป็นผู้รักษาฤกษ์ ฤกษ์บาททั้ง 4 ไม่รวมอยู่ในราศีเดียวกัน คาบเกี่ยวอยู่ 2 ราศีเป็น “ ฉินทฤกษ์ “ คือ ฤกษ์ขาดแตก โดยเฉพาะบาทแรกของต้นราศีนั้น เป็นฤกษ์บาทที่ร้ายแรงมากกว่าบาทอื่น เป็นนวางค์ที่ร้ายแรงมาก ไม่ควรให้ฤกษ์มงคล โบราณใช้ในการปล้นค่าย จู่โจมโดยฉับพลัน ข่มขวัญ บีบบังคับ ทำการปราบปราม การแข่งขันช่วงชิง การแย่งอำนาจและผลประโยชน์ งานเสี่ยงๆ ในระยะสั้นๆ การปฏิวัติ งานของบุคคลในเครื่องแบบแบใช้กำลัง
.........หมวดที่ 4 ได้แก่ฤกษ์ที่ 4 , 13 และ 22 เรียกว่า ภูมิปาโลฤกษ์ แปลว่า ผู้รักษาแผ่นดิน มีพระพุธเป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็น บูรณะฤกษ์ ใช้ในการมงคลต่างๆ งานที่ต้องการความมั่นคงถาวร งานเกี่ยวกับที่ดิน การเกษตร การเช่าซื้อ ก่อสร้าง ปลูกเรือน ยกศาลพระภูมิ แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ ลาสิกขาบท เปิดอาคารห้างร้าน และ สารพัดงานมงคลทั้งปวง
.........หมวดที่ 5 ได้แก่ฤกษ์ที่ 5 , 14 และ 23 เรียกว่า เทศาตรีฤกษ์ แปลว่า ข้ามท้องถิ่น หญิงแพศยา ผู้ท่องเที่ยว บางคราเรียกว่า “ เวสิโยฤกษ์ “ หมายถึงฤกษ์พ่อค้า-แม่ค้า มีพระเสาร์เป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ปลายราศีหนึ่ง และ ต้นราศีหนึ่ง แห่งละ 2 บาทฤกษ์ คือคาบเกี่ยวอยู่ราศีละครึ่ง คือในราศี พฤษภกับเมถุน , กันย์กับตุลย์ และ มกรกับกุมภ์ เป็นฤกษ์อกแตก หรือ พินทุฤกษ์ หรือ ตินฤกษ์ ใช้ในงานการติดต่อการค้าระหว่างถิ่น เกี่ยวกับความสนุกสนานชักชวนคนเข้าออกมาก เปิดโรงมหรสพ สถานเริงรมย์ ซ่องโสเภณี โรงแรม โรงหนัง ตลาดและศูนย์การค้า การประกอบอาชีพนอกสถานที่ อาชีพเร่ร่อน อาชีพที่ต้องย้ายที่อยู่เสมอ
.........หมวดที่ 6 ได้แก่ฤกษ์ที่ 6 , 15 และ 24 เรียกว่า เทวีฤกษ์ แปลว่า นางพญา ความงามหรูหรา ความมีเสน่ห์ โชคลาภ และ การสมความปรารถนา มีพระพฤหัสฯเป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกันเป็น บูรณะฤกษ์ เป็นฤกษ์ที่มุ่งให้เกิดโชคลาภ การเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ การหมั้นหมายและสมรส การส่งตัวเจ้าสาวและเข้าห้องหอ การทำกิจการที่ต้องการชื่อเสียงและมีเสน่ห์ งานมีเกียรติ งานเชิงศิลปะตกแต่งชั้นสูง เปิดร้านค้าอัญมณีเครื่องประดับ ร้านเสริมสวย ตัดเย็บเสื้อผ้า การประชาสัมพันธ์ ลาสิกขาบท ขึ้นบ้านใหม่ ขอความรัก งานเพื่อความสงบเรียบร้อย และ สารพัดงานมงคลทั้งปวง
.........หมวดที่ 7 ได้แก่ฤกษ์ที่ 7 , 16 และ 25 เรียกว่า เพชฌฆาตฤกษ์ แปลว่า ผู้ทำหน้าที่ฆ่า มีพระราหูเป็นผู้รักษาฤกษ์ ฤกษ์บาททั้ง 4 แตกขาดกัน และ ตรงข้ามกับ โจโรฤกษ์ เรียกว่า “ ตรินิเอก “ คืออยู่ปลายราศี 3 ฤกษ์บาท และ ต้นราศี 1 ฤกษ์บาท ไม่ควรให้ฤกษ์ในการมงคลเลย เป็น ฉันทฤกษ์ ( ฤกษ์แตกขาด ) เหมาะสำหรับ การฟันผ่าอันตรายและอุปสรรค ต่อสู้เสี่ยงภัยต่างๆ อาสางานใหญ่ ทำกิจปราบปรามศัตรู ตัดสินคดีความ ประกอบพิธีไสยศาสตร์ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ลงเลขยันต์ สร้างวัตถุมงคลแบบคงกระพันชาตรี สร้างสิ่งสาธารณะกุศลสงเคราะห์ เปิดโรงพยาบาล การรักษาโรคเรื้อรังทีหายยากๆ การยาตราทัพ เจิมอาวุธยุทธภัณฑ์ สร้างโบสถ์วิหารการเปรียญ คล้ายกับโจโรฤกษ์ แต่ฤกษ์นี้จะแรงกว่า
.........หมวดที่ 8 ได้แก่ฤกษ์ที่ 8 , 17 และ 26 เรียกว่า ราชาฤกษ์ แปลว่าผู้ยิ่งใหญ่
ผู้มีอำนาจวาสนา พระเจ้าแผ่นดิน มีพระศุกร์เป็นผู้รักษาฤกษ์ บาทฤกษ์ทั้ง 4 อยู่ในราศีเดียวกัน เรียกว่า บูรณะฤกษ์ เป็นฤกษ์เฉพาะกิจการของผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้นำกิจการขึ้นไปจนถึงพระราชา เหมาะสำหรับงานราชพิธี งานราชการงานเมือง สร้างที่ประทับ งานที่ต้องการชักจูงให้ผู้อื่นดำเนินตาม การเข้ารับตำแหน่งงาน การแสวงหาชื่อเสียงเกียรติยศ การเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ งานมงคลสมรสที่หรูหรามีเกียรติ ลาสิกขาบท การขึ้นบ้านใหม่(สามัญชนควรเว้น ถ้าหาฤกษ์ไม่ได้ก็พออนุโลมใช้ได้ เพื่อดวงชะตาและความเหมาะสม) และ งานมงคลทั้งปวง
.........หมวดที่ 9 ได้แก่ฤกษ์ที่ 9 , 18 และ 27 เรียกว่า สมโณฤกษ์ แปลว่า (สงบเรียบร้อย นักบวช นักสอนศาสนา มีพระเกตุเป็นผู้รักษาฤกษ์ ฤกษ์บาททั้ง 4 อยู่ปลายราศีเดียวกัน แต่บาทฤกษ์สุดท้ายนี้เป็นนวางค์ขาดสุดราศีพอดี เรียกว่า “ จัตตุรฤกษ์ หรือ ขันธฤกษ์ “ จึงเป็นจุดที่มีผลเสียให้เกิดอันตรายต่างๆ ในการแข่งขัน ใช้ได้เฉพาะกิจเกี่ยวกับความสงบความสุจริต เป็นฤกษ์ที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา และ ทางนักบวช เช่น การทำขวัญนาค การอุปสมบท หล่อพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เข้ารับการศึกษา และ การกระทำทุกอย่างเพื่อความสงบร่มเย็นเป็นสุข สงเคราะห์ในฤกษ์นี้ได้ เช่น ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญต่ออายุ

สรุปบทอธิบาย

.........บาทฤกษ์ทั้ง 4 ของ โจโรฤกษ์ , เพชฌฆาตฤกษ์ และ เทศาตรีฤกษ์ นั้นเป็นบาทฤกษ์ที่ร้ายทั้งสิ้น ควรงดการมงคล บาทฤกษ์ที่ 1 ของโจโรฤกษ์ ในนวางค์พฤหัสฯซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุไฟ คือ ราศี เมษ , สิงห์ และ ธนู นั้นเรียกว่า “ เอกตรินิ “ กับ บาทฤกษ์ที่ 4 ของ เพชฌฆาตฤกษ์ ในนวางค์จันทร์ ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุน้ำ คือ ราศี กรกฎ , พิจิก และ มีน เรียกว่า “ ตรินิเอก “ รวม 6 บาทฤกษ์นี้ร้ายนัก เป็นที่สิ้นทำลายทั่วไป ตามทางพยากรณ์มีว่า เมื่อลัคนาจร หรือ อินทภาษบาทจันทร์ มาตกอยู่ในบาทฤกษ์ทั้ง 6 บาทฤกษ์นี้ หากมีดาวบาปเคราะห์มาทับอีกด้วยแล้ว ท่านว่าดวงชะตาเข้าฆาต ในระหว่างนั้นจะถึงตาย ความรุนแรงเสมอด้วยนวางค์ที่ต้องลูกพิษ จึงห้ามวางลัคนาฤกษ์ให้เกาะอยู่ในบาทฤกษ์เหล่านี้เป็นอันขาด แม้ผุ้เกิดมาก็ดี ถ้าลัคนากำเนิดเข้าเกาะอยู่ในนวางค์ทั้ง 6 นี้ ท่านว่าอับเฉามืดมน มักต้องประสพเหตุการร้ายแรงในชีวิต มิฉะนั้นก็ต้องเป้นคนพิกลพิการ ไปด้วยประการใดประการหนึ่ง

ส่วนบาทฤกษ์ที่ขาดอยู่ในราศีละ 3 บาทฤกษ์ คือบาทฤกษ์ที่ 2 , 3 และ 4 ของโจโรฤกษ์อันได้แก่นวางค์ของ เสาร์ , เสาร์ และ พฤหัสฯ ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุดิน คือราศี พฤษภ , กันย์ และ มกร ในประเภทเอกตรินิ กับ บาทฤกษ์ที่ 1 , 2 และ 3 ของเพชฌฆาตฤกษ์ อันได้แก่นวางค์ของ อังคาร , ศุกร์ และ พุธ ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุลม คือ เมถุน , ตุลย์ และ กุมภ์ ในประเภทตรินิเอก รวมทั้ง 18 บาทฤกษ์นี้นับเข้าอยู่ในประเภทร้ายแรงเหมือนกันกับบาทฤกษ์ที่ขาดอยู่ในราศีเพียงบาทฤกษ์เดียว

อีกประเภทหนึ่ง คือ บาทฤกษ์ที่ขาดอยู่ราศีละ 2 บาทฤกษ์ คือบาทฤกษ์ที่ 1 กับ 2 ของเทศาตรีฤกษ์ ได้แก่ นวางค์ของ อาทิตย์ กับ พุธ ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุดิน คือราศี พฤษภ , กันย์ และ มกร กับ บาทฤกษ์ที่ 3 กับ 4 ของฤกษ์เดียวกันนี้ ได้แก่นวางค์ของ ศุกร์ กับ อังคาร ซึ่งขาดอยู่ในราศีธาตุลม คือราศี เมถุน , ตุลย์ และ กุมภ์ ทั้ง 12 บาทฤกษ์นี้เรียกว่า “ ตินฤกษ์ หรือ พินทุฤกษ์ “ ก็นับเข้าอยู่ในประเภทร้ายแรงเช่นกัน แต่รองลงมาจากประเภท เอกตรินิ และ ตรินิเอก

.........ส่วนบาทฤกษ์ต้นของทลิทโทฤกษ์ กับ บาทฤกษ์สุดท้ายของสมโณฤกษ์ นั้นเป็นบาทฤกษ์ที่ไม่สู้ดีนัก ทลิทโทฤกษ์ในฤกษ์บาทที่ 1 เรียกตามศัพท์โหรว่า “ บาทพยะกะริขัง “ ได้แก่นวางค์อังคาร ซึ่งเป็นนวางค์ต้นของราศี เมษ , สิงห์ และ ธนู ส่วน สมโณฤกษ์ในฤกษ์บาทที่ 4 เรียกตามศัพท์โหรว่า “ จัตตุรฤกษ์ “ ได้แก่นวางค์พฤหัสฯ ซึ่งเป็นฤกษ์บาทสุดท้ายของราศี กรกฎ , พิจิก และ มีน ฉะนั้นจึงให้บาทฤกษ์ทั้ง 2 นี้เป็นบาทฤกษ์ที่ขาดตอนจากกองอื่น ซึ่งถือเป้นหัวเลี้ยวหัวต่อของฤกษ์และราศี ทำให้บาทฤกษ์เหล่านี้เสื่อมไปไม่ควรแก่การมงคลบางอย่าง แต่อย่างไรก็ดียังนับว่ามีส่วนร้ายน้อยกว่าบาทฤกษ์ ที่แตกขาดโดยแยกราศีกันอยู่

.........นอกนั้นเป็นบาทฤกษ์ที่ดีทั้งสิ้น เหมาะแก่การมงคลทั้งปวงตามความหมายฤกษ์
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:03:00 IP :


ความคิดเห็นที่ 2 (1793)
.........ก่อนจะเรียนรู้วิธีการให้ฤกษ์จำต้องเข้าใจในเรื่อง “ ขันธฤกษ์ “ คือหมู่หมวดต่างๆ ของฤกษ์เป็นปฐมบทเสียก่อน เพราะเป็นมูลเหตุแห่งฤกษ์ มีหมวดกองฤกษ์ตามลำดังดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ว่าด้วยนวางค์
.........นวางค์ แปลว่า 9 โดยแบ่งราศีๆ หนึ่งเป็น 9 ส่วน ( 1 ราศี 30 องศา มี 9 นวางค์ๆ ละ 3 องศา 20 ลิปดา ) มีนามตามลำดับ ตั้งแต่นวางค์ลูกที่ 1 – 9 ดังนี้
1. ปฐมนวางค์
2. ทุติยะนวางค์
3. ตติยะนวางค์
4. จตุตถะนวางค์
5. ปัญจมะนวางค์
6. ฉัฐมะนวางค์
7. สัตตมะนวางค์
8. อัฏฐมะนวางค์
9. นวมะนวางค์
.........นวางค์ใดที่ขึ้นอยู่กับ ตรียางค์ ที่เป็นลูกพิษ หรือ ตรงกับบาทฤกษ์ที่ขาดแตก เป็นนวางค์ที่ให้โทษไม่ควรแก่การมงคล ดังจะอธิบายต่อไปข้างหน้า

ข้อ 2 ว่าด้วยตรียางค์
......... ตรียางค์ แปลว่า 3 โดยจะแบ่ง 1 ราศีออกเป็น 3 ส่วนๆ ละ 10 องศา ฉะนั้น 1 ตรียางค์ จะเท่ากับ 3 นวางค์ เรียกนามตามลำดับตรียางค์ 1 – 3 ดังนี้
1. ปฐมตรียางค์
2. ทุติยะตรียางค์
3. ตติยะตรียางค์
ฉะนั้น 1 ราศีจึงมี 3 ตรียางค์ และ ก็ถูกกำหนดกฎเกณฑ์เป็นตรียางค์ลูกพิษ ราศีละ 1 ตรียางค์ ตามเกณฑ์ดังนี้
.........ราศี เมษ , กันย์ , ธนู และ มีน ให้ปฐมตรียางค์แรก ของ 4 ราศีนี้ ต้องลูกพิษ นาค
.........ราศี พฤษภ , สิงห์ , ตุลย์ และ กุมภ์ ให้ทุติยะตรียางค์ที่ 2 ของ 4 ราศีนี้ ต้องลูกพิษ ครุฑ
.........ราศี เมถุน , กรกฎ , พิจิก และ มกร ให้ตติยะตรียางค์ที่ 3 ของ 4 ราศีนี้ ต้องลูกพิษ สุนัข หรือ เขี้ยวหมู
ตรียางค์ ที่ต้องลูกพิษนั้นท่านว่าเป็นตรียางค์ที่ร้าย ให้โทษภัย มิควรให้ฤกษ์วางลัคนา ที่ตรียางค์ต้องลูกพิษเป็นอันขาด

ข้อ 3 ว่าด้วยหมู่ดาวฤกษ์
.........หมู่ดาวฤกษ์ ( พระอาทิตย์ ) คือ หมู่พระอาทิตย์ หรือ ดาวฤกษ์ที่อยู่ประจำที่ แล้วพระจันทร์ของเราโคจรผ่านเข้าไปในหมู่ดาวฤกษ์นั้น เมื่อพระจันทร์โคจรผ่านครบ 27 หมู่ฤกษ์ ก็จะเป็นเวลา 1 เดือนตามหลักจันทรคติ และ เราจึงสมมติชื่อกลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง 27 หมู่ตามความหมายของรูปหมู่ดาว ซึ่งคล้ายคลึงกับ กลุ่มดาวฤกษ์ในหมู่นักษัตร แล้วเราก็ตั้งนามให้แก่หมู่กลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง 27 กลุ่มนั้น ดังนี้
01. กลุ่มดาวม้า ทั้ง 7 ดวง เรียกว่า อัศวินี หมวดฤกษ์ ทลิทโท มีพระอัศวิน เป็นเทพประจำฤกษ์
02. กลุ่มดาวแม่ไก่ ทั้ง 3 ดวง เรียกว่า ภรณี หมวดฤกษ์ มหัทธโน มีพระยามะ เป็นเทพประจำฤกษ์
03. กลุ่มดาวลูกไก่ ทั้ง 8 ดวง เรียกว่า กฤตติกา หมวดฤกษ์ โจโร มีพระอัคนี เป็นเทพประจำฤกษ์
04. กลุ่มดาวจมูกม้า ทั้ง 7 ดวง เรียกว่า โรหิณี หมวดฤกษ์ ภูมิปาโล มีพระประชาบดี เป็นเทพประจำฤกษ์
05. กลุ่มดาวหัวเนื้อ ทั้ง 3 ดวง เรียกว่า มฤคศิรษะ หมวดฤกษ์ เทศาตรี มีพระโสม เป็นเทพประจำฤกษ์
06. กลุ่มดาวฉัตร ทั้ง 1 ดวง เรียก อารทรา หมวดฤกษ์ เทวี มีพระรุทระ เป็นเทพประจำฤกษ์
07. กลุ่มดาวสำเภา ทั้ง 3 ดวง เรียก ปุนัพพสุ หมวดฤกษ์ เพชฌฆาต มีพระอทิติ เป็นเทพประจำฤกษ์
08. กลุ่มดาวปุยฝ้าย ทั้ง 5 ดวง เรียก ปุษย หมวดฤกษ์ ราชา มีพระพฤหัสมุนี เป็นเทพประจำฤกษ์
09. กลุ่มดาวแมว ทั้ง 5 ดวง เรียก อสิเลส หมวดฤกษ์ สมโณ มีพระสาระปะ เป็นเทพประจำฤกษ์
10. กลุ่มดาววานร ทั้ง 5 ดวง เรียก มาฆะ หมวดฤกษ์ ทลิทโท มีพระปิตะเร เป็นเทพประจำฤกษ์
11. กลุ่มดาวเพดานหน้า ทั้ง 2 ดวง เรียก ปุรพผลคุนี หมวดฤกษ์ มหันธโน มีพระภาคะ เป็นเทพประจำฤกษ์
12. กลุ่มดาวเพดานหลัง ทั้ง 2 ดวง เรียก อุตตรผลคุนี หมวดฤกษ์ โจโร มีพระอรัยยมัน เป็นเทพประจำฤกษ์
13. กลุ่มดาวฝ่ามือ ทั้ง 5 ดวง เรียก หัตถ หมวดฤกษ์ ภูมิปาโล มีพระสวิตะ เป็นเทพประจำฤกษ์
14. กลุ่มดาวจรเข้ ทั้ง 1 ดวง เรียก จิตรา หมวดฤกษ์ เทศาตรี มีพระตวัษฏฤ เป็นเทพประจำฤกษ์
15. กลุ่มดาวช้างพัง ทั้ง 4 ดวง เรียก สาติ หมวดฤกษ์ เทวี มีพระวายุ เป็นเทพประจำฤกษ์
16. กลุ่มดาวเขากระบือ ทั้ง 3 ดวง เรียก วิสาข หมวดฤกษ์ เพชฌฆาต มีพระอินทรคณะ เป็นเทพประจำฤกษ์
17. กลุ่มดาวหมี ทั้ง 4 ดวง เรียก อนุราช หมวดฤกษ์ ราชา มีพระมิตระ เป็นเทพประจำฤกษ์
18. กลุ่มดาวช้างใหญ่ ทั้ง 14 ดวง เรียก เชษฎา หมวดฤกษ์ สมโณ มีพระอินทระ เป็นเทพประจำฤกษ์
19. กลุ่มดาวช้างน้อย ทั้ง 9 ดวง เรียก มูล หมวดฤกษ์ ทลิทโท มีพระนิริติ เป็นเทพประจำฤกษ์
20. กลุ่มดาวแรดตัวผู้ ทั้ง 3 ดวง เรียก ปุพพาสาฬห หมวดฤกษ์ มหัทธโน มีพระอาปะหะ เป็นเทพประจำฤกษ์
21. กลุ่มดาวแรดตัวเมีย ทั้ง 5 ดวง เรียก อุตราสาฬห หมวดฤกษ์ โจโร มีพระวิษเวเทวะ เป็นเทพประจำฤกษ์
22. กลุ่มดาวคนจำศีล ทั้ง 3 ดวง เรียก ศรวณะ หมวดฤกษ์ ภูมิปาโล มีพระวิษณุ เป็นเทพประจำฤกษ์
23. กลุ่มดาวกา ทั้ง 4 ดวง เรียก ธนิษฐา หมวดฤกษ์ เทศาตรี มีพระวสุเทวะ เป็นเทพประจำฤกษ์
24. กลุ่มดาวงูเลื้อย ทั้ง 4 ดวง เรียก ศตภิษัช หมวดฤกษ์ เทวี มีพระวรุณ เป็นเทพประจำฤกษ์
25. กลุ่มดาวราชสีห์ตัวผู้ ทั้ง 2 ดวง เรียก ปุพพภัทรบท หมวดฤกษ์ เพขฌฆาต มีพระอชเอกบาท เป็นเทพประจำฤกษ์
26. กลุ่มดาวราชสีห์ตัวเมีย ทั้ง 2 ดวง เรียก อุตราภัทรบท หมวดฤกษ์ ราชา มีพระอศิรพูทัยนะ เป็นเทพประจำฤกษ์
27. กลุ่มดาวปลาตะเพียน ทั้ง 36 ดวง เรียก เรวดี หมวดฤกษ์ สมโณ มีพระปูษัณ เป็นเทพประจำฤกษ์

ชื่อของแต่ละฤกษ์อาจเรียกแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ละตำรา และ ความเห็นของแต่ละอาจารย์ เพราะของเรานั้นถอดความมาจากภาษาอินเดีย ฉะนั้นแต่ละที่อาจเรียกไม่เหมือนกัน ส่วนตำราดาวฤกษ์ของทางภารตะ เขาจะแบ่งออกถึง 28 ฤกษ์ โดยมีฤกษ์มากกว่าไทยเรา 1 ฤกษ์ ซึ่งมีชื่อว่า Vega ซึ่งอยู่ระหว่าฤกษ์ที่ 21 ( อุตราสาฬห ) กับฤกษ์ที่ 22 ( ศรวณะ ) ไทยเราเรียกว่า ฤกษ์อพิชิต โดยมีพระพรหม เป็นเทพเจ้าประจำฤกษ์ มีดาวอยู่ 1 ดวง ส่วนเทพเจ้าที่ปกปรักรักษาฤกษ์ในแต่ละฤกษ์นั้น ข้าพเจ้าไม่ขอเล่าเพราะจะยาวมาก หากท่านใดสนใจไปหาอ่านเอาในนิทาน มหากาพท์ หรือ คัมภีร์พระเวทย์ ของอินเดียเอา หรือ ถามท่านผู้รู้เกี่ยวกับเทพเจ้าของอินเดียอีกที ก็จะพอได้ทราบว่าเทพเหล่านั้น เป็นเทพอะไรกันบ้าง

แล้วคืนนี้ข้าพเจ้ามาต่อในหมวดขันธ์อื่นๆ ต่อให้อีก ขอพักผ่อนก่อน มีเรี่ยวแรงอีกเมื่อไหรจะมาเล่าให้ฟังต่อ ให้เก็บไว้ศึกษากัน เพราะตำรานี้หายากขึ้นทุกขณะแล้ว ข้าพเจ้าต้องไปตะลุยมา 3 วันติดๆ ถึงจะได้มา เก็บไว้เถิดถ้าวันนี้ท่านยังไม่ค่อยเข้าใจ วันข้างหน้านั้นจะเป็นประโยชน์มากในการเรียนโหราศาสตร์ แล้วท่านจะได้ใช้เองเป็น
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:03:00 IP :


ความคิดเห็นที่ 1 (1792)
.........ข้าพเจ้าขอยกเรื่องฤกษ์ในแนวของท่าน พ.ต. หลวงวุฒิรนพัศดุ์ มาเป็นแนวทางให้เรื่องฤกษ์เป็นท่านแรก และ อาจแทรกแนวความคิดตามแนวข้าพเจ้าและบางตำราลงไปบ้างเล็กน้อย จึงจำต้องกราบสักการะแด่ท่านหลวงวุฒิฯ และ อาจารย์ของข้าพเจ้าที่มีจิตเมตตาชี้นำให้ข้าพเจ้านำเรื่องฤกษ์นี้มาแสดงแก่ท่านทั้งหลายเพื่อเป็นการศึกษา อาจารย์ของข้าพเจ้าท่านได้กล่าวว่าท่านพยายามหลายครั้งหลายหนแล้วที่จะนำตำราของท่านหลวงวุฒิฯ มาแสดงให้ได้ศึกษากัน แต่ท่านอาจารย์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านทำไม่เคยสำเร็จสักทีไม่ทราบว่าเป็นอะไร บางครั้งพิมพ์เสร็จเครื่องก็มีปัญหาข้อมูลหายไป หรือ มีเหตุขัดข้องเป็นประจำ ท่านจึงขอให้ข้าพเจ้าให้ช่วยพิมพ์คำนำของท่านหลวงวุฒิฯ ลงในนี้ด้วยเพื่อให้ทราบเจตนารมณ์ของท่านหลวงวุฒิฯ (หาใช่งมงายแต่อาจารย์ข้าพเจ้าเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อย ท่านจึงนำมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วให้ข้าพเจ้าลองเอามาพิมพ์ดูบ้างว่าจะสำเร็จหรือไม่ ) ขอผลบุญนี้จงบังเกิดแด่ ท่านหลวงวุฒิฯ และ อาจารย์ขอข้าพเจ้าด้วยเทอญ.

คำนำ ของท่านหลวงวุฒิรณพัศดุ์ มีใจความดังนี้

.........อันฤกษ์นั้น แปลตามความหมายว่า เวลาอันเป็นศุภมงคล กิจการใดๆ ที่จะกระทำเพื่อความสุขความเจริญ วัฒนาถาวร ความสำเร็จเพื่อสิทธิ ฯลฯ ผู้เป็นเจ้าของงานหรือผู้เป็นหัวหน้างานแห่งกิจการนั้นๆ ควรกระทำตามคราวและเวลาอันเป็นศุภมงคลแก่ตน ถ้าเป็นการกระทำในส่วนสาธารณะไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของแล้วก็ต้องคิดถึงความมั่นคงให้แก่สถานที่หรือสิ่งที่สร้างเป็นส่วนใหญ่ไม่ต้องคำนึงถึงส่วนบุคคล แต่ต้องเลือกวันและเวลาให้เป็นศุภมงคล เวลาที่มีฤกษ์งามยามดีโบราณเราถือกันว่าเป็นฤกษ์เป็นแม่แรงอันสำคัญในการเริ่มกิจการทั้งปวง ผู้ที่จะประสิทธิ์ประสาทเวลาอันดีงามดังกล่าวแล้วคือโหราหรือผู้มีความรู้ทางให้ฤกษ์ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของงานหวังพึ่งและเชื่อถือ เพื่ออุปการะความเป็นมนุษยชาติด้วยกัน และ บำเพ็ญผลตามมติโหราศาสตร์นิยม จึงเห็นว่าควรมีตำราในการให้ฤกษ์ไว้สำหรับผู้สนใจต่อไป ตำหรับเดิมของเก่าและตำราที่มีผู้พิมพ์จำหน่ายมาแล้วก็พอมีอยู่บ้างแต่ยังไม่แพร่หลาย ความมุ่งหวังอันนี้ทางสมาคมโหรแห่งประเทศไทย จึงได้กำหนดวิชานี้เข้าอยู่ในบทเรียนด้วย ข้าพเจ้า(หลวงวุฒิฯ)ถูกเป็นผู้สอนจึงได้รวบรวมตำราวิธีการให้ฤกษ์ นี้ขึ้น แต่ขอจง ถือว่าเป็นเพียงความรู้ความเห็นที่ข้าพเจ้าได้พยายามศึกษามาแล้วเท่านั้น ซึ่งท่าน(รู้อาจเพิ่มเติมหรือตัดทอนได้ตามมติอันสมควร

.........กฎเกณฑ์ของการให้ฤกษ์นั้นมีมากมายหลายวิธีหลายตำราด้วยกัน ยากที่จะกำหนดมิให้ขัดแย้งแก่ตำตำราทุกเล่มได้อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นกฎเกณฑ์บางข้อจึงได้กล่าวไว้ว่าจำเป็นต้องถืออย่างเคร่งครัดหรือไม่เพียงใด ถึงกระนั้นก็ดี ในข้อที่เห็นว่าจำเป็นทั้งหลายก็ยังนับว่ายากนักยากหนาที่จะหาวันเวลาแห่งฤกษ์ให้สมบูรณ์ได้ดั่งใจนึก ผู้ให้ฤกษ์ต้องใช้ความพิจารณาใคร่ครวญ ในการตัดสินใจเลือกเอาในโอกาสที่ดีมากกว่าร้าย พยายามให้ดีกลบลบร้ายอันควรหลีกให้พ้นนั้นเสีย ผลสุดท้ายคงมีเหลือส่วนดีก่ำเกินส่วนร้ายอยู่ก็นับว่าเป็นฤกษ์ที่พอใช้ได้ ควรใช้ความละเอียดรอบครอบเพื่อหลีกเลี่ยงความพลั้งเผลอบางอย่าง หรือ ความผิดพลาดในการคำนวณนั้น เป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งในการให้ฤกษ์ ท่านจะเสียใจไม่รู้หายในการให้ฤกษ์ผิดพลาดซึ่งจะเป็นไปด้วยประการใดก็ดี เพราะผู้มาขอฤกษ์ย่อมหวังพึ่ง และ เชื่อถือเกียรติคุณของผู้ให้ฤกษ์อย่างเต็มที่

.........มีคำกล่าวแย้งอยู่ทางหนึ่งว่า ฤกษ์ดีนั้นอยู่ที่โอกาสอำนวย คือ คล่องอกคล่องใจเมื่อใดก็เป็นฤกษ์ดีได้เมื่อนั้น อย่างหนุ่มสาวรักกันแล้วตามกันไปโดยไม่ต้องหาฤกษ์ “ เขารักกันนักกันหนา เขาพากันหนี เขามั่งเขามีถมไป “ ดังนี้เป็นตัวอย่างข้าพเจ้าเห็นว่าข้อนี้เป็นเพียงอาจจะเท่านั้น เพราะโอกาสบางคราวอาจตรงกับวันและเวลาฤกษ์ที่ดีก็ได้ ส่วนการคล่องใจนั้นอาจจะค่อนข้างดีเสมอไปก็พอฟัง แต่เพื่อความไม่ประมาทด้วยประการทั้งปวง ล้อมรั้วไว้ก่อนขโมยเข้านั้นจะดีกว่า วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก

.........โอกาสนี้ข้าพเจ้าขออภิวันท์แด่ ท่านบูรพาจารย์ ที่สร้างสรรค์คิดค้นวิธีการให้ฤกษ์ขึ้นไว้ และ บรรดาครูผู้สอนแนะนำข้าพเจ้าในเรื่องนี้ อาทิ คุณพระญาณเวท (ศุข ศุขโชติ) , พันเอกหลวงธรณีนิติญาณ (สวัสดิ์ ธรณีนิติญาณ) ซึ่งท่านทั้ง 2 ท่านนี้ได้ถึงแก่กรรมไปหมดสิ้นแล้ว ขอจงได้รับส่วนผลบุญอันข้าพเจ้าได้สร้างไว้ในอดีตก็ตามในอนาคตก็ตาม ข้าพเจ้าขออุทิศให้ด้วยความกตเวทีเคารพ ขอให้ท่านได้ประสบแต่ความสุขในสัมปรายภพนั้น เทอญ.

และนี่เป็นคำนำของ ท่าน พ.ต. หลวงวุฒิรณพัศดุ์ ที่อาจารย์ข้าพเจ้ากำชับว่าถ้าท่านมอบตำรานี้ให้แก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะนำเผยแพร่ ให้ข้าพเจ้าเผยแพร่คำนำนี้ด้วยทุกครั้ง ข้าพเจ้าจึงทำตามที่อาจารย์ข้าพเจ้าสั่งไว้ทุกประการ

.........วันนี้ก็เปรียบดั่งการไหว้ครูเรื่องฤกษ์ แล้วคราวหน้าข้าพเจ้าจะมาต่อในเรื่องฤกษ์กัน ทั้งเกี่ยวกับฤกษ์กำเนิด และ ความรู้เบื้องต้นในฤกษ์กันต่อ ต่อไปข้าพเจ้าขอไหว้ครูข้าพเจ้าบ้างที่ท่านได้แนะนำแก่ข้าพเจ้า ทั้งท่าน อ.อรุณ , อ.สอ้าน , อ.เทพ , อ.ยอดธง , อ.สิงโต ฯลฯ ขอให้ผลบุญในการเผยแพร่ครั้งนี้จงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ.

.........และการเผลแพร่ครั้งนี้ เนื่องจากมีหลายท่านที่สนใจวิชาโหราศาสตร์ และ ได้พูดคุยกับข้าพเจ้าว่าเขาหาซื้อตำราบางเล่มไม่ได้ เนื่องจากบางเล่มไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาดแล้ว หรือ บางท่านก็อยู่ในต่างจังหวัดไม่มีโอกาสได้ศึกษาตำราดีๆ มากนัก หรือ บางท่านก็ขาดทุนทรัพย์ในการหาซื้อตำรามาศึกษา อาทิมีเด็กคนหนึ่งอยู่เชียงใหม่ที่เคยคุยกับข้าพเจ้าทาง Mail เขาบอกข้าพเจ้าว่าเขารักและสนใจวิชานี้มาก แต่หาตำราดีๆ ศึกษาไม่ได้เลยที่เชียงใหม่ก็ไม่ค่อยมีวางจำหน่ายตำราเก่าๆ เช่นนี้ ตั้งแต่วันนั้นทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าจะมาทำหน้าที่ให้ข้อมูลจะเป็นการดีกว่า ใครใคร่จะเก็บข้อมูลก็เข้ามาเก็บได้เพราะการให้ข้อมูลของข้าพเจ้ามิได้หวังทรัพย์สินแต่ประการใดเป็นไปด้วยสาธารณะ มาตักตวงไปเถิดของฟรียังมีในโลก มารีบตักกันไปความรู้นั้นยิ่งตักยิ่งฉลาด และ ข้าพเจ้ามีเคล็ดในการใช้ฤกษ์ตามที่ท่าน Nemoo แนะนำมาคือ การที่เราซื้ออะไรให้เก็บใบเสร็จนั้นไว้ แล้วนำมาคำนวณหรือดูว่า ขณะที่เราซื้อสินค้านั้นเป็นเวลาใด จันทร์เสวยฤกษ์อะไร ดาวอื่นเป็นเช่นไร แล้วมาติดตามกันว่าสินค้าที่ซื้อมานั้น จะอยู่กับเรานานไหม จะเสียหรือไม่ หรือซื้อปุบแล้วต้องนำไปเปลี่ยนเลย ลองขยันเก็บมาศึกษาเล่นดูครับ ข้าพเจ้าว่าสนุกดีนะ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็เก็บเช่นนั้น คราวหน้ามาต่อกันอีกนะครับ เมื่อข้าพเจ้าว่างจะมาต่อให้ทันที รออ่านกันต่อไปแล้วกัน วันนี้ข้าพเจ้าจะไปหอสมุดแห่งชาติไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมให้อีก ไปก่อนละครับ ยามชาติต้องการและข้าพเจ้าว่าง เรามาเจอกันอีกครั้ง
ผู้แสดงความคิดเห็น ตาบอดส่องตะเกียง วันที่ตอบ 2004-09-24 02:02:00 IP :





แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.