พี่ก็งงนะแบงค์  เราพูดกันถึงนามธรรม แต่นี่แกเล่นเอารูปธรรม

ที่พูดกันอยู่ เราพูดถึงชื่อและวิถีชีวิต ที่มันเป็นชีวภาพ

แต่ที่คุณอาจารย์ใหญ่ยกตัวอย่าง มันเป็นกายภาพ 

ตัวอย่างที่อาจารย์ใหญ่ยกมาพี่ว่ามันคนละประเด็นเลยอ่ะ คือว่าพี่ก็ระดับปัญญาชนนะ  พี่ยังไม่ค่อยจะเข้าใจเลยอ่ะ(สงสัยพี่เป็นคนโง่อ่ะ)

เอาล่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วยกกรณีเรื่องนี้เลยก็ได้  เรื่องศพที่คุณอาจารย์ใหญ่ยกตัวอย่างมาถ้าเปรียบกับหมอดูนะแบงค์นะ  

ถ้าหมอดูคือนักศึกษา  การที่คนที่ศึกษาศพ แล้วออกมาบอกชาวบ้านว่า เนี่ยศพที่เรียนเนี่ย ชื่อแซ่นี้ๆๆๆๆๆ หรือชี้นำว่า ศพที่เรียนอยู่เนี่ย เป็นเจ้าของธุรกิจขายxyz เคยเปิดร้านอยู่หน้าโรงเรียนkgb ที่ซอยbmx  แล้วคนก็แห่ไปดู... นี่คือผิดจรรยาบรรณ  สติปัญญาชาวบ้านอย่างพี่ ที่พี่คิดอยู่ กำลังพูดกันอยู่คือกรณีนี้  

 แต่ที่คุณอาจารย์ใหญ่บอกว่าไปเอาศพออกมา  ก็จะกลายเป็นว่า พอเราพูดถึงดวง เราก็ไปลากเจ้าของดวงมายืนโด่เด่ มายืนเปิดขี้ไคลหรือแหวกใฝให้ดู โดยที่ไม่เอ่ยชื่อ  แล้วบอกว่าคนพาเจ้าของดวงมายืนอยู่เนี่ย..ผิดจรรยาบรรณ  

มันคนละประเด็นกันรึเปล่า(หว่า?)....(เกาหัวแกร่กๆๆๆ)

การที่นำศพออกมา หรือการนำเจ้าของดวงออกมาปรากฏกาย ไม่ผิดจรรยาบรรณนะพี่ว่า .... แต่มัน"ผิดปกติ" มนุษย์มนาเขาไม่ทำกัน(ยกเว้นกรณีที่เจ้าของดวงเต็มใจมายืนยิ้มให้ดูเองก็เป็นอีกประเด็นนึง  ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับจรรยาบรรณ)

อีกอย่างนึง พี่คิดว่าถ้า"ปัญญาชนต้องสามารถรู้ได้"พี่ก็จะบอกให้แบงค์รู้ไว้ตรงนี้เลยนะครับว่า 

คนที่ใกล้ตาย ทางสถาบันเขา"มักจะ"ไม่รับบริจาค  การบริจาคร่างกายต้องแสดงเจตจำนงค์ในขณะที่มีสติสมบูรณ์ ร่างกายสมบูรณ์ไม่มีโรคติดต่อ  ไม่มีโรคร้ายแรง  และบุตรหลานต้องยินยอมที่จะมอบให้สถาบันด้วย  สถาบันถึงจะรับ  เจ้าของร่างกายเขารู้ดีอยู่แล้วว่าศพของเขาจะต้องถูกผ่าถูกกรีดซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แต่ให้ก็เพราะ"เต็มใจ"เพื่อนำไปให้ปัญญาชนที่ถูก"คัดเลือกมาอย่างดีแล้ว" มาเรียนรู้มาศึกษาซึ่งย่อมไม่ใช่ที่สาธารณะเพราะสถาบันที่มีสติปัญญา 

ประเด็นของเขา  ไม่ตรงกับประเด็นที่พี่คิดว่าเป็นประเด็นหลัก

อ้อ...อีกอย่างนึง  ศพที่สถาบันรับบริจาค แล้วนำไปให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาเรียนรู้ลักษณะทาง"กายภาพ"ของมนุษย์นั้น  นักศึกษาและสถาบัน เรียกร่างกายของผู้ที่เสียสละเพื่อมวลมนุษยชาติท่านนั้นว่า  ..."อาจารย์ใหญ่"...ด้วยนะแบงค์นะ

สภากาชาดไทย  ก็ต้องใช้ ด เด็ก สะกดถึงจะถูกต้อง (อันนี้ระดับธรรมดาชนก็สามารถรู้ได้)

พี่บริจาคร่างกายทั้งหมดทุกส่วน ให้สภากาชาดไทยมาหลายปีแล้ว  ขอถือโอกาสนี้เลย  เชิญชวนท่านทั้งหลาย บริจาคเงินให้สภากาชาดของชาติไทยเรา  ที่มีองค์พระบาทสมเด็จพระบรมราชินีนาถ สภานายิกาสภากาชาดไทย และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี อุปนายิกา ผู้อำนวยการสภากาชาดไทย  ทรงเป็นองค์ประธานอยู่ 

โดยธนาณัติในนาม "ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย" สั่งจ่าย ปทฝ.จุฬาลงกรณ์ หรือ

โอนเข้าบัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย สำนักงานจัดหารายได้"

ธนาคารไทยพาณิชย์  สาขาสภากาชาดไทย  เลขที่บัญชี  045-2-48899-3

ธนาคารกสิกรไทย  สาขาสีลม เลขที่บัญชี 001-2-25888-9 

ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เลขที่บัญชี 101-0-11980-6

ธนาคารกรุงไทย  สาขาสุรวงศ์  เลขที่บัญชี 023-1-41177-4

ธนาคารทหารไทย  สาขาคลองเตย  เลขที่บัญชี 015-2-43046-8

ธนาคารนครหลวงไทย  สาขาธนิยะ เลขที่053-2-09275-6

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาศาลาแดง  เลขที่ 103-1-32323-8

ธนาคารไทยธนาคาร สาขาย่อยสีลม เลขที่ 045-2-04000-4

ใบเสร็จรับเงินบริจาคของสภากาชาดไทย นำไปหักลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย 

สาธุ......ใครไม่บริจาค ก็ไม่เป็นไร  คงยังไม่สะดวก แต่ถ้าใครบริจาค  เคก็ขอให้มหากุศลอันนี้ได้โปรดดลบันดาล ให้ผู้บริจาค   

   ปัญญาไวใสบริสุทธิ์แสนผุดผ่อง    

จะเกี่ยวข้องเรียนสิ่งใดให้เกิดผล

ให้ก้าวหน้ามีความสุขทุกชั้นชน

ให้มรรคผลเกิดสำเร็จเสร็จทุกกาล

ให้หลุดพ้นภัยผจญทุกหนแห่ง

ให้แข็งแกร่งกายและใจอย่างไพศาล

ให้ชีวิตราบรื่นดีไม่มีมาร

ให้ร่ำรวยและเบิกบานทุกกาลเทอญ.......

(ว่าแล้วก็ต้องไปซะหน่อย  อวยพรแล้วก็อยากได้ซะเอง...อิๆๆ)

อ้อน้องแบงค์...พี่ไม่มาเถียงด้วยแล้วนะ พี่เถียงคนไม่ค่อยเป็นน่ะ

ไม่ค่อยชอบใจ กับ" ปัญญาชน " ที่ว่ามานี่เท่าไหรน่ะครับ

จริงๆผมไม่อยากจะทะเลาะกับคนอายุเยอะกว่า เพราะมันไม่ค่อยดี    อย่าให้ผมต้องพูดเลยน่ะครับ สำหรับแค่การแยกแยะประเด็นพี่ยังไม่เข้าใจ  หรือพี่เข้าใจแต่ไม่ยอมรับว่าคนอื่นๆเค้าเข้ามาเสนอความเห็นยังไง พี่ก็เลือกเบนเข็มเส้นทางประเด็นกลับเข้าสู่ตัวเอง  บิดเบือนความเห็นของคนอื่น ให้เค้าตอบว่า"ใช่" แบบเถียงไม่ได้ เพราะพี่พูดมามันถูกอยู่แล้วนี่ครับ  อะไรที่ยกมา  แล้วพี่ตอบข้อคิดเห็น เรื่อง "น้ำมันพืช" ของคนอื่นเค้ารึยังล่ะคับ ก่อนที่จะว่าคนอื่นหนะ

ผมคงไม่พูดแล้วเข้าใจยากเกินนะคับ ถ้าจะว่าผมก็ช่วยแย้งให้ผมเข้าใจด้วยน่ะครับ เพราะผมเจอบ่อย เวลาเถียงกับใคร ตอนนั้นจะหงุดหงิดน่าดู ตงรที่ เราพูดอะไรออกไป แล้วคนนั้นไม่เข้าใจไม่ยอมแย้งกลับมาในลักษณะที่เรารับรู้ว่าเค้าเข้าใจ คือพูดไปอีกเรือ่ง โดยไม่สนเลยว่าทางเราได้บอกอะไรไปแล้วมั่ง  อย่าไม่พอใจผมเพราะผมกำลังแสดงความเห็น ผมไม่ค่อยชอบทะเลาะกับใครหน้า คอมพิวเตอร์เท่าไหร  มันระบายไม่ค่อยได้

นี่ พี่อาจารย์ใหญ่ พี่กำลังเถียงใคร ว่าใคร เหอรคับ

พี่ได้อ่านข้อความของ คนอื่นที่เข้ามาตอบประเด็นรึเปล่าครับ ว่าเค้าชี้แจ้งเรื่องอะไรยังไง  พี่บอกจุดยืนของพี่มา ทุกคนก็เข้าใจนี่ครับ แต่ที่พี่แย้งกลับมานี่ มันคนล่ะทางกันเลยน่ะครับ

เหมือนกับพี่ยืนกรานบอกว่า น้ำแก้วนี้มันไม่อร่อย คนอื่นก็เข้ามาบอกว่า น้ำแก้วนี้มันไม่อร่อยจริงๆ นั่นแหละ แต่ลองชิมมันให้ดีๆสิ จริงๆแล้วมันไม่ใช่น้ำ มันเป็นน้ำมันพืช    ....พี่ก็แย้งกลับมาอีกที่เป็นคนล่ะทาง บอกว่า น้ำแก้วนี้นั่นเอาไปให้ใครกินมันก็ไม่อร่อยทั้งนั้น เพราะฉะนั้นน้ำแก้วนี้ไม่อรอ่ยทุกคนต้องเชื่อ โดยพี่ไม่สนเลยว่า ที่เค้าบอกว่า มันเป็นน้ำมันพืชนั่นคืออะไร ใช่น้ำมันพืชจริงรึเปล่า......เท่านั้น

คิดว่าผมคงอุปมา ไม่ผิดน่ะครับ 

เป็นอย่างนี้ผมขอยกตัวอย่าง มีหญิงคนหนึ่งใกล้ตายจึงตัดสินใจมอบร่างกายให้สภากาชาติเพื่อหวังให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาร่างกายของเขาหลังที่เขาได้ตายไปแล้วโดยเขาก็ไม่รู้ว่าร่างของเขาจะถูกเป็นตัวอย่างที่ใด แต่หากผู้เรียนขาดจรรยาบรรณหรือคุณธรรม นำร่างเขามาศึกษาในที่สาธารณะมีผู้คนเห็นมากมาย โดยคนทั่วไปก็ไม่รู้ว่าศพนี้เป็นใคร แต่ทำไมผู้เรียนไม่นำศพเขาไปศึกษาที่ห้องเฉพาะมีแต่ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นไม่ใช่ที่สาธารณะ

ประเด็นของผมอยู่ตรงนี้ผมว่าระดับปัญญาชนต้องสามารถรู้ได้ครับ.

ผมว่า กาลกีณี มหาจักรนี่มัน ไม่ธรรมดาจะตายอยู่แระ แปลกตรงไหน หรือว่าผมความรู้น้อยไปต้องขอโทษด้วยฮะ

ใช่ครับคุณอาจารย์ใหญ่ครับ  มีคนมากมายที่จะเข้าข่ายที่ท่านว่ามา  แต่ในภาวะ ในสถานการณ์ มันก็มี กรอบของคุณสมบัติ ที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่ากำลังเอ่ยถึงใคร  ถ้าเปลี่ยนจากคำว่า นายกรัฐมนตรี เป็น นักบริหาร หรือเจ้าของบริษัท มันก็จะกว้างกว่า 

ผมเห็นด้วยกับท่านครับว่าไม่ยุติธรรมกับเจ้าของดวง(ถ้าเจาะจงได้ว่าเป็นใคร)

 แต่ไม่เห็นด้วยตรงจุดที่เฉพาะเจาะจงชี้นำให้คนที่อ่าน มีตัวเลือกในการ"คาดว่า" เป็นใคร น้อยจนเหลือแค่คนเดียวที่คนทั้งประเทศจะนึกออกกัน 

ลองเจอประโยคกล่าวถึงคุณสมบัติขนาดนี้ เป็นภาษาไทยแล้วผมคิดว่าไม่มีใครไปนึกถึงนายกรัฐมนตรีประเทศกำบงสะพือ หรือนายกรัฐมนตรี นายประจิม  ชิมบัวลอยอย่างแน่นอนครับผม 

กรณีท่านอ.สิทธา บอกว่า"ดวงคนเจ้าชู้ " หรือที่คุณผู้ด้อยความรู้กล่าวว่า "ท่านนายกรัฐมนตรีและนักกฎหมายอันดับต้นๆ " ก็ยังมีตัวเลือกมากจนยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นใคร ผมคิดว่าการเอ่ยถึงแบบนี้ถูกใจผมครับ 

ท่านอาจารย์ใหญ่อาจจะมีความเห็นที่ต่างจากผมอีก รบกวนขอคำแนะนำหรือชี้แนะด้วย  เผื่อว่าจะเป็นแนวทางให้ท่านอื่นได้อีกครับผม

เรียนท่านอาจารย์ใหญ่

การเรียนด้านนี้ไม่ใช่สิ่งที่เสียหายนะครับอยู่ที่คน  ตัวอย่างที่ผมรู้ มีท่านนายกรัฐมนตรีและนักกฏหมายอันดับต้น ๆ ของไทยที่พวกเรารู้จักกันดี ก็มีความรู้ด้านนี้ เพียงแต่น้องเขาต้องแบ่งเวลาให้เป็น เท่านั้น นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด

ผู้ด้อยความรู้

ตอบ  นศ.ทพ.ชานนท์

ตัวอย่างดวงคนเจ้าชู้  เช่น

เกิดวันที่ 15 ก.พ. 2464 เวลาประมาณ 8.00 น. (มีภรรยา 2 คน และที่ไม่เป็นทางการอีกนับไม่ถ้วน)

ตัวอย่างดวงคนไม่มีคู่

1. เกิดวันที่ 17 พ.ย. 2491 เวลา 12.40 น.

2.เกิดวันที่ 25 เม.ย.  2500  เวลา  14.12 น.

นำดวงโสเภณีมาวิเคราะห์แต่ไม่ได้เอ่ยให้นำสืบได้ว่าเป็นใครก็ถือว่ายังไม่ผิดจรรยาบรรณ

 แต่ที่คุณครูใหญ่ยกตัวอย่างมา แล้วสามารถแนะให้นำสืบหรือเข้าใจได้ว่าเป็นใคร ถือว่าคุณครูใหญ่ทำผิดจรรยาบรรณนะครับ

(ความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียว  ไม่ทราบว่าท่านอื่นมีความเห็นอย่างไรครับ)

แต่ที่นำดวงโสเภณีมาวิเคราะห์ ว่ามีดาว ๑ เป็นกาลกีณี แล้วได้ตำแหน่งมหาจักรนั้นไม่ดี ซึ่งเจ้าของดวงเขารู้หรือไม่ว่ามีบุคคลอื่นนำดวงชะตาเขามาวิจารณ์ในที่สาธารณะ มันยุติธรรมแล้วหรือ จรรยาบรรณโหรเขาก็มีอยู่ ถ้าคิดเรียนโหราศาสตร์ก็ควรมีจรรยาบรรณโหรด้วยครับแม้ว่าพึ่งเริ่มต้น อีกอย่างกฎเกณฑ์บางอย่างไม่ใช่จะถูกต้องตลอด ตัวอย่างบางคนเกิดวันจันทร์ ๒ อาทิตย์ ๑ เป็นกาลกิณี อาทิตย์ ไปอยู่ราศีกรกฎเป็นคนมีชื่อเสียงกว้างขวางและเคยเป็นถึงนายกรัฐมนตรี!!!