ReadyPlanet.com


อ.สิทธาครับมีวิธีแก้กรรมฉบับอ.รึเปล่าฮะ




ผู้ตั้งกระทู้ นศ.ทพ.ชานนท์ :: วันที่ลงประกาศ 2006-12-06 21:20:15 IP : 124.121.171.237


1

ความคิดเห็นที่ 8 (1519169)

ไม่ทราบว่าจะขอ CD ได้ด้วยวิธีไหนคะ สนใจมากค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น kedsara วันที่ตอบ 2008-08-05 20:22:29 IP : 58.64.48.171


ความคิดเห็นที่ 7 (1480574)

การใช้อำนาจบุญแก้กรรมเก่า-แก้ปัญหาชีวิต
โดย พระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล

วัดป่าสามแยก
ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์

(ก่อนอ่านตั้งนะโม ๓ จบ)

ผู้เปิดเผยเคล็ดเรื่องนี้คือ ท่านพระอาจารย์เกษม อาจิณฺณสีโล ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่หล้า พระอริยะเจ้าแห่งวัดภูจ้อก้อ จ.มุกดาหาร อุปสมบทเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๙ ท่านมีประสบการณ์ทางจิตที่โลดโผนพิสดารแม้เดินจงกรมก็สามารถเดินเหยียบอากาศเอาผ้าไปพาดไว้บนกิ่งไม้สูงสิบเมตรได้ ทั้งสามารถมองเห็นภูตผีปิศาจ นาค ครุฑ ยักษ์ อย่างชัดแจ้งแม้กระทั่งลืมตา มีญาณระลึกชาติย้อนหลังได้มากมายหลายชาติเป็นพระสงฆ์ที่ใช้เวลาท่องเที่ยวไปในนรกสวรรค์ปานเรื่องพระมาลัยโปรดสัตว์โลกนับครั้งไม่ถ้วน

ด้วยท่านเป็นพระที่ไม่สนใจในเรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียง ทั้งเทพยาดาสูง-ต่ำ ตลอดจนภูตผีปิศาจต่างให้ความเคารพท่านมาก วัดของท่านจึงเป็นศูนย์รวมของเทพยาดา และภูต-ผี-ปิศาจ-อสูรกาย-สัมภเวสี
ที่ตกทุกข์ได้ยากทั่วทุกสารทิศ พากันหลั่งไหลมุ่งไปหาขอความช่วยเหลือจากท่าน แต่ละวันผู้คนมากหน้าหลายตาต่างดั้นด้นข้ามป่า ข้ามเขา ผ่านหนทางอันทุรกันดารไปกราบท่าน
เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาเคราะห์กรรมต่างๆ ซึ่งท่านก็เพียงแต่แนะนำหลักการใช้บุญแก้กรรมแบบง่ายๆ

แต่ทว่า..........ได้ผลชะงักงันอย่างคาดไม่ถึงอย่างชนิดที่ไม่มีพระรูปไหนกล้าพูดแนะนำได้อย่างนี้ เรามักท่องเป็นคาถาอยู่ร่ำไปว่า เวรกรรมนั้นแก้ไม่ได้ แต่พระอาจารย์ท่านยืนยันรับประกันอย่างหนักแน่นให้ฟ้าผ่าห่ากินว่า..........แก้ได้ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก ไม่ต้องทำพิธีสวดอะไรให้ใหญ่โตเสียเวลา เสียเงินเสียทองให้มากมาย แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ว่า ทุกวันนี้คนทำบุญกันไม่เป็น ดึงบุญที่เคยทำมาใช้
ก็ทำไม่เป็น เป็นแต่ตะบันก้มหน้าก้มตาชดใช้กรรม อย่างเดียว อย่างจนตรอกอยู่ท่าเดียว หลายท่านเมื่อนำคำสอนที่ท่านแนะนำไปปฏิบัติต่างก็ได้รับผลดีเกินคาด แต่ด้วยความที่ท่านไม่อยากเด่นอยากดัง
หากใครจะขอประวัติของท่านมาลงหนังสือ ท่านจะไม่ยอมพูดด้วย ท่านจะมีเมตตามากในการเทศน์การสอนญาติโยม แม้กลางคืนก็ยังต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนทิพย์ ไม่หยุดหย่อน
พร่ำสอนเผยแพร่เคล็ดนี้ทั้งวันคืน

ท่านมีแผ่นซีดีแจกจ่ายให้นำไปฟังแล้วบอกว่า “ฟังแล้วให้นำไปปฏิบัติแล้วแจกจ่ายกันฟังต่อ ฟังเข้าใจแล้วไม่จำเป็นต้องถ่อมาหาท่านที่วัด เพราะวันๆ ท่านก็เหนื่อยพออยู่แล้วการจะทำบุญทำที่ไหนก็ได้ เช่น ทำบุญกับพ่อแม่เป็นพระอรหันต์อยู่ในบ้าน แล้วอุทิศบุญให้เทวดา และเหล่าสรรพสัตว์ในโลกทิพย์ก็ได้ผลเท่ากับถวายทานให้พระอรหันต์วัดของท่านมีพอกินพอใช้แล้ว ไม่ขาดแคลนอะไรจึงไม่จำเป็นต้องหลั่งไหลมาทำบุญกับท่านก็ได้”

วิชาเจริญเมตตาแผ่บุญกุศลนี้ พระอาจารย์กล่าวว่าเคยใช้กันมานานตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่เพิ่งสาบสูญไปเมื่อ ๓๐๐-๔๐๐ ปีมานี่เอง ถ้าค้นคว้าในพระไตรปิฎกก็พบมากแห่งที่เกี่ยวข้องกับการทำบุญ
และเทวดาผู้รับบุญท่านมีเรื่องราวพิสดารมหัศจรรย์ในกรรมฐานอย่างมากมาย การตอบคำถามถึงปัญหาในการปฏิบัติธรรม ท่านจะตอบอย่างห้าวหาญ ทั้งคำถามในด้านโลกียะและโลกุตระ
ความหยาบละเอียดของ...

อารมณ์พระอริยะเจ้าแต่ละระดับทะลุไปจนถึงพระนิพพาน ทุกคำถามมีคำตอบจากท่าน สุดแต่ผู้ถามจะถามปัญหาใด ลีลาการตอบคำถามของท่านจะออกแบบบ้านๆ ฟังแล้วเข้าใจง่ายไม่ต้องตีความ
นำไปสู่การปฏิบัติพัฒนาทางจิตยิ่งๆ ขึ้นไป หนังสือที่ประมวลสรุปไว้นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่ออ่านแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ท่านก็จักประสบความสุขสำเร็จตามปรารถนาแต่เรื่องนี้มิได้มุ่งหวังจะไม่ให้ใครไม่ต้องตาย !! มิได้มุ่งหวังจะทำให้ใครอยู่ค้ำฟ้าไปตลอดกาล

กฎของไตรลักษณ์ย่อมเป็นไปตามไตรลักษณ์ ไหนๆ เราก็ต้องตาย แต่ในเมื่อเรามีทางเลือกที่จะตายได้อย่างสุขสงบ ตายอย่างไม่ต้องมีทุกขเวทนา และตายได้อย่างมีสติถึงพร้อม
แล้วอย่างนี้เราจะปฏิเสธได้หรือ อีกอย่างหนึ่งข้อมูลสาระนี้จะไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อท่านที่ยังเหนียวแน่นอยู่กับมานะสังโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ขาดซึ่งอิทธิบาท๔ เช่นนี้แม้ฟ้าดินก็หมดปัญญาที่จะเข้าไปยุ่งอะไรกับท่าน เมื่อป้อนยาเข้าปากแต่ไม่ยอมกลืนยา จะคายทิ้งก็สุดแท้แต่ท่านเถิด

ที่มาของการเปิดเผยเคล็ดการแผ่บุญแก้กรรม

ชีวิตของมนุษย์และสัตว์ ทั้งในโลกนี้และในโลกทิพย์ล้วนมีส่วนสัมพันธ์ถึงกันในเรื่องกฎแห่งกรรมอยู่ ตลอดเวลา ในการเวียนว่ายตายเกิดไปๆ มาๆ จะหาที่ไม่เคยเป็นญาติไม่เคยเป็นเพื่อน ไม่เคยเป็นเจ้ากรรม นายเวรต่อกันนั้นไม่มี ชีวิตของทุกผู้ทุกคนจึงมีส่วนสัมพันธ์กันไม่มากก็น้อย ทั้งในส่วนดีมากและดีน้อย ทั้งในส่วนเลวมากและเลวน้อยทั้งในส่วนที่ทำให้เกิดความเคียดแค้นชังมากและชังน้อย ทั้งในส่วนที่รักและ อุปการะมากและน้อยตามแต่กรณี

การได้ดีตกยาก เจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์และสัตว์ ส่วนหนึ่งเกิดจากผลกรรมในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ อีกส่วนหนึ่งได้รับเหตุปัจจัยกระทบจากสิ่งรอบข้าง อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการกระทำของวิญญาณลี้ลับที่เรามองไม่เห็น เช่น เทวดาช่วยเหลือ เทวดาให้โทษ ผีให้โทษ เจ้ากรรมนายเวรที่เคียดแค้นชิงชังให้โทษ ในคนทุกคน สัตว์ทุกตัว จะมีเทวดารักษาอย่างน้อย ๒ องค์ เทวดาประจำตัวนี้แหละที่มีอิทธิพลต่อเราอย่างคาดไม่ถึงบ้างก็ชอบช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จ หรือช่วยปกป้องคุ้มครองให้เรารอดพ้นจากภัยอันตรายที่น่าหวาดเสียวมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งบางทีเราก็ยกให้เป็นอานุภาพของวัตถุมงคลที่แขวนคอเสียก็มี

เด็กน้อยบางคนแม้ไม่มีวัตถุมงคลแขวนคอเลย แต่ตกบ้านตกเรือนด้วยความซุกซน แต่ไม่ได้รับอันตราย เพราะเหมือนมีใครมาอุ้มไว้ก่อนตกถึงพื้นก็มี บุคคลบางคนไม่มีวัตถุมงคลติดตัวเลย
แต่สามารถหลุดพ้นจากอุบัติเหตุ และการดักทำร้ายของศัตรูมาได้อย่างปาฏิหาริย์ นั่นคือ การปกปักรักษาจากเทวดาประจำตัวเขา และ/หรือญาติในโลกทิพย์ของเขา

ในเรื่องกฎของกรรม เราชาวพุทธคงไม่มีใครปฏิเสธ เมื่อตนเองกำลังเดือนร้อน กำลังเครียดหรือ กำลังทุกข์ทรมานในเรื่องใดๆ ที่จำต้องยอมทนอย่างไม่มีทางเลือก หลายๆท่านมักจะนึกจะคิดแต่เพียงว่า จะขอรับชะตากรรมนั้น หวังจะชดใช้ให้มันหมดเวรหมดกรรมจบๆ กันไป การคิดเช่นนี้ดูจะเข้าท่าตามหลักการยอมรับในกฎของกรรม แต่ออกจะหยาบและดูโอกาสปิดช่องทางของตนเองอย่างสิ้นเชิง
นี่เองท่านพระอาจารย์ กล่าวว่า พวกเราไม่รู้ว่ามันยังมีทางออกมีทางเลือกที่แสนจะง่าย ทั้งๆ ที่เรามีทางเลือกที่จะยอมรับในผลกรรมด้วยวิธีของตนเองได้ ทั้งๆ ที่เรามีวิธีที่จะชำระล้างหนี้แค้นหนี้กรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขาโดยที่เราก็ไม่ได้เบี้ยวหนี้ โดยที่เรายังเคารพในกฏของกรรม โดยที่เราไม่ต้องทุกข์ทรมาน ไม่ต้องกลุ้มไม่ต้องเครียด ขณะเดียวกันเจ้ากรรมนายเวรเขาก็พอใจกับประโยชน์สุขนี้อย่างเต็มที่ความเคียดแค้นพยาบาทอะไรต่างๆ ที่มีต่อเราก็จางมลายหายสิ้นไป เขาก็เป็นสุข เราก็เป็นสุข แต่นี่.........เรากลับให้เขาเลือกที่จะเล่นงานเราอยู่ฝ่ายเดียว ต่างฝ่ายต่างก็เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งคู่ เขาก็ทุกข์กรุ่นอยู่กับความพยาบาทอาฆาต เราก็ทุกข์ด้วยเวทนาเพราะคอยจ้องแต่จะมาเล่นงานเราอย่างไม่เลิกรา อย่ากระนั้นเลย เรามายอมรับกฎของกรรมแต่โดยดีในแบบฉบับที่เราเลือกได้ด้วย “บุญ” กันดีกว่า คนเราล้วนเคยสั่งสมบุญให้ทานมาแล้วทั้งนั้น ทั้งในชาติก่อนและในชาตินี้ ถ้าจะนึกถึงบุญ มันก็เยอะจนจำไม่หวาดไม่ไหว แต่ด้วยความไม่รู้จักวิธีชำระหนี้แค้นให้แก่เจ้ากรรมนายเวรดั่งว่า ทำบุญไปก็คิดแต่จะรอให้ตายซะก่อนแล้วจึงค่อยไปรับบุญในสรวงสวรรค์แล้วพากันเอาแต่บ่นว่า บุญอะไรก็ทำมาหมดแล้ว ชีวิตไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้นมาสักที

ก็จะดีได้อย่างไร ในเมื่อสักแต่ว่าทำบุญแต่ทำไม่เป็น ถูกสอนสั่งกันมาอย่างผิดๆ มัวแต่ไปรออุทิศให้ตอนกรวดน้ำ เจ้ากรรมนายเวรเขาก็เลยไม่ได้รับ บ้างก็ไม่เคยเผื่อแผ่ให้บุญแก่เทวดาที่รักษาตัวเอง
ไม่เคยให้เจ้ากรรมนายเวรที่ตามจองเวรกันอยู่ ไม่เคยให้เทวดาและญาติทิพย์ที่อาศัยอยู่ในเขตบ้านเขตเรือน ไม่เคยให้แก่เทวดาที่ดูแลรักษากิจการงานห้างร้าน ไม่เคยให้เทวดาที่รักษาเจ้านายของตัวเอง
แถมบางทีการแผ่อุทิศบุญก็ไม่เฉพาะเจาะจงอีก หรือดันไปให้ตอนที่แสงบุญหมดแล้ว เทวดาเหล่านั้นบางองค์อาจมีบุญน้อยมีฤทธิ์น้อย จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้มากแต่ถ้าเขาได้รับอานิสงส์บุญจากเราอย่างถูกวิธีบ่อยๆ เขาจะกลายเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์ มีอำนาจ สามารถช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จได้ดังใจหมาย

วิธีการทำบุญให้เกิดสัมฤทธิผล

พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่มาแห่งบุญไว้ ๓ ประการย่อๆ ดังนี้

๑. บุญเกิดจากการให้ทาน

๒. บุญเกิดจากการรักษาศีล

๓. บุญเกิดจากการภาวนาอบรมจิตใจ

การสร้างความดีทุกประการนั้น ล้วนเป็นแหล่งของการเกิดผลบุญกุศลทั้งสิ้น แล้วก่อให้เกิดอานิสงส์ที่จะสร้างความสำเร็จในชีวิตได้ทุกเรื่อง

บุญอันเกิดจากการให้ทาน เมื่อถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ หรือให้สิ่งของแก่ใคร ไม่ว่าจะเป็นของแก่พ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร แม้เอาข้าวให้หมากิน เอาอาหารโยนให้ปลากินเอาเศษอาหารโปรยให้มดกิน ขณะนั้นจะเกิดกระแสบุญเป็นแสงเรืองรองแผ่ออกจากตัวผู้ให้ทันที และเพียงไม่กี่วินาทีแสงนี้จะพุ่งหายไปเบื้องบนแล้วสะสม เป็นกองบุญของผู้ให้อยู่บนเทวโลก ดังนั้น จึงขอเน้นย้ำว่าหลักสำคัญที่สุดว่า ขณะของหลุดจากมือเมื่อใส่บาตร/ถวายของให้สงฆ์ หรือให้ของแก่ใครก็ตาม เราต้องอธิษฐานจิตแผ่บุญในทันที อย่ามัวไปรอแผ่บุญตอนพระสวด “ยถาสัพพี” เนื่องจากการแผ่ให้ตอนพระยถาฯ อย่างที่เคยปฏิบัติกันมานั้นผิด เพราะกระแสบุญได้เลือนจางหายไปอยู่ในสวรรค์หมดแล้ว ต้องคิดแผ่บุญในทันทีทันใดว่า

“บุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาตัวข้า หรือ บุญนี้จงเป็นของเจ้ากรรมนายเวรของข้า หรือบุญนี้จงเป็นของเทวดา ภูต-ผี-ปิศาจ-ครุฑ-นาค-ยักษ์ ที่สถิตอยู่ในสถานที่เรือกสวนไร่นาหรือเคหะสถานบ้านเรือนของข้า เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการแก้ไขปัญหากลัดกลุ้มในเรื่องไหน”

บุญอันเกิดจากการภาวนาให้อธิษฐานก่อน เช่นว่า ขอบุญที่จะเกิดจากการภาวนาต่อไปนี้ถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บป่วย (เป็นอะไร) หรือเราจะให้ใครก็ให้อธิษฐานเอาเองแล้วก็เริ่มภาวนาได้เลย หลังจากเลิกภาวนาก็ให้อุทิศบุญนี้ไปอีกครั้งหนึ่ง บุญที่เกิดจากการภาวนานี้จะมีพลานุภาพแรงยิ่งกว่าบุญจากการให้ทานมาก

ฉะนั้น พวกภูตผีชั้นต่ำมักจะรับไม่ค่อยได้ เราต้องเปิดช่องไว้ก่อนภาวนา เขาจะเตรียมรับตามกำลังความสามารถของตนเอง เพราะถ้าหากจะให้ตอนที่ภาวนาเสร็จแล้วจึงให้ก็เปรียบเหมือนเราปล่อยน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิงแต่เขาเอาภาชนะที่ไม่เหมาะสมมารับ เขาจะรับไม่ได้เนื่องจากกำลังจิตของเขาไม่แข็งแรงพอ หากเราอธิษฐานเปิดให้เขาเตรียมตัวไว้ก่อนก็เหมือนกับเปิดก๊อกน้ำออกค่อยๆ ใครมีภาชนะน้อยก็เอามาตวงรับตามกำลังที่เขามี แต่สำหรับเทวดาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ท่านสามารถรับบุญใหญ่หลังภาวนาได้อยู่แล้ว เปรียบเหมือนท่านมีโอ่งมีถังขนาดใหญ่สำหรับรองรับน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิงนั่นเอง

บุญอันเกิดจากการรักษาศีล การทำบุญด้วยการตั้งใจรักษาศีล ก็ย่อมเกิดบุญกุศลขึ้นเช่นกัน ทุกครั้งที่ระลึกถึงศีลที่ตัวเองรักษาดีแล้ว ไม่ด่างพร้อย ก็สามารถอธิษฐานส่งบุญได้ว่า“บุญที่ข้าพเจ้าได้รักษาศีลนี้ จึงถึงแก่....................”

หรือในการทำความดีทุกอย่าง เช่นแม้แต่การพูดให้เขาได้สติคิดดี การช่วยเหลือคน การได้ทำประโยชน์ส่วนรวม ย่อมก่อให้เกิดความปิติดีใจ นั่นแหละคือบุญ ให้รีบส่งบุญถึงผู้ที่เราต้องการให้บุญทันที

การเบิกบุญ

การเบิกบุญเก่าที่เคยสั่งสมแต่อดีตมาใช้ บุญที่เราทำไว้แล้วมีมากมายที่สะสมอยู่ในสรวงสวรรค์ ทั้งที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนหรือได้ทำไว้ในชาตินี้ เราสามารถเบิกบุญนั้นมาแจกจ่ายอุทิศให้แก่ผู้อยู่ในโลกวิญญาณได้ เหมือนเรามีเงินเก็บในธนาคารเราก็ใช้บัตรเอทีเอ็มกดเบิกเงินออกมาใช้จ่าย แต่การเบิกบุญนั้น ที่สำคัญลืมไม่ได้เลยคือ ต้องอาศัยอำนาจพระรัตนตรัยขึ้นนำก่อนเสมอ
คือ ให้ตั้งจิตคิดอธิษฐานว่า

“ด้วยอำนาจของพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจแห่งพระธรรม ด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์ จงดลบันดาลให้บุญของข้าพเจ้าที่ทำมาในอดีตจนถึงปัจจุบันถึงแก่.....................................” จะให้ใครก็คิดนึกให้เอาเอง การเบิกบุญแจกจ่ายนี้สามารถให้ได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อนึกขึ้นได้ ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม อุจจาระ ปัสสาวะอยู่ก็ตาม

นานาปัญหาเคราะห์กรรมแก้ได้ด้วยบุญ

ท่านที่ทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โรคภัยไข้เจ็บ ปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่เกิดกับตัวเรานั้น สืบเนื่องจากการกระทำของเจ้ากรรมนายเวรผู้เคียดแค้นชิงชัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ผู้ฆ่าสัตว์ย่อมอายุสั้น ผู้เบียดเบียนสัตว์ย่อมมีสุขภาพไม่ดี เชื้อโรคร้ายแรงต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกาย ก็ล้วนแต่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ทั้งนั้น โรคที่เรื้อรังร้ายแรงการรักษาด้วยวิธีการกินยา
ฉีดยาเข้าไปฆ่าทำลายเขา หรือการใช้พลังจิต-อำนาจสมาธิอย่างใดๆ เข้าไปขับไล่

นอกจากการรักษาที่ขาดเมตตาปราณีอย่างรู่เท่าไม่ถึงการณ์แล้ว ขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้เหล่าเจ้ากรรมนายเวรยิ่งทวีความพยาบาทเคียดแค้นผู้ป่วยมากขึ้นไปอีก หลายโรคจึงหมดหนทางเยียวยา
ผู้ป่วยต้องจมอยู่กับทุกข์เวทนาไปต่างๆ นานา จะตายก็ไม่ให้ตาย จะหายก็ไม่ให้หาย ทรัพย์สินที่มีก็พินาศไปกับค่ารักษา ทุกข์ทั้งคนป่วยทุกข์ทั้งคนที่เป็นญาติๆ เป็นบริวาร ในที่สุดหลายรายต้องจบชีวิตลงไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่มีทางเลือก ทั้งๆ ที่มีโอกาส ทั้งๆ ที่มีบุญอยู่ก็มากมายแต่ไม่รู้จักเบิกมาล้างแค้นให้แก่เขา

ดังนั้น การเยียวยารักษาที่ถูกต้อง ต้องโอนบุญ-เบิกบุญไปให้เฉพาะเจาะจงแก่เจ้ากรรมนายเวรที่กำลังทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยนั้น (อย่าไปบอกว่าให้แก้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ.....เหมือนอย่างที่เคยทำ)

และให้แก่เทวดาผู้รักษาตัวเราไปในขณะเดียวกัน การอธิษฐานเบิกบุญเก่าอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่รบกวน ควรทำวันละหลายๆ ครั้งจนเขาพอใจ อาการป่วยของเราจะหายเร็วขึ้น

วิธีการให้บุญแก้เจ้ากรรมนายเวรควรทำดังนี้เป็นตัวอย่าง เช่น ผู้ที่ป่วยด้วยมะเร็งปอด ก็ส่งโอนบุญอย่างเฉพาะเพาะจงว่า “บุญนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ก่อให้เกิดการเจ็บป่วยมะเร็งตรงปอด
ฯลฯ (สุดแต่มะเร็งหรือเป็นอะไร) พวกเชื้อมะเร็งเมื่อได้รับบุญแล้วขอให้เจ้ามีชีวิตที่ดีขึ้น มีภพภูมิที่สูงขึ้น จงหลุดจากภาวะชีวิตชั้นต่ำเดี๋ยวนี้ เมื่อเราหายแล้วเราจะทำบุญให้แก่พวกเจ้า ส่งชีวิตของพวกเจ้าให้สูงขึ้นเรื่อยๆ พวกเจ้าจงเลิกจองเวรจองกรรมในเราเสียที ตั้งแต่นี้เราจะตั้งตนอยู่ในศีลในธรรม เลิกการเบียดเบียนเข่นฆ่าชีวิตสัตว์อื่นขอส่งบุญที่เกิดจากการรักษาศีลแก่เจ้าด้วย”

ท่านที่กลัดกลุ้มเรื่องบุตรหลาน บริวาร ชอบสร้างแต่ความเดือดร้อน สั่งสอนไม่ฟัง แบบนี้ต้องให้เทวดาผู้รักษาตัวเขาเป็นผู้ขนาบตักเตือน วิธีที่เทวดาตักเตือนนั้นท่านจะสั่งการดลไปที่ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของเขาถ้าเทวดาประจำตัวของเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อได้รับบุญบ่อยๆ เทวดาท่านจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในทิพย์ของตนเอง มีชีวิตที่สุขสบายขึ้น มีฤทธิ์อำนาจขึ้น เขาจะทราบได้เองว่าสิ่งที่เขาได้รับนั้นมาจากไหนเมื่อเราอุทิศบุญให้ ท่านก็อธิษฐานด้วยว่า “เมื่อเทวดาได้รับบุญแล้วขอให้มีความสุขๆ มีกินมีใช้ มีเสื้อผ้าที่อยู่อาศัย และขอให้ช่วยอบรมตักเตือนให้ลูกของข้าเป็นคนดีด้วย”
ดังนี้ ไม่นานหรอกจะเกิดเรื่องพิสดารขึ้นกับบุตรหลานเกเรคนนั้น จนต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นคนดีแน่นอน

คนที่กลัดกลุ้มเรื่องแฟน เรื่องครอบครัว สามี/ภรรยา เรื่องเพื่อน/คนรอบข้าง คู่ครองของตนเอง เป็นคนที่น่าเอือมระอาเหลือเกิน อยากให้คู่ครองเป็นคนดี รักเรา ละเลิกจากความประพฤติชั่วเหลวไหล
ก็ให้ท่านทำยุทธวิธีแบบเดียวกับที่ให้บุญแก่เทวดารักษาบุตร แล้วท่านจะพบกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ

หากกิจการธุรกิจค้าขายของท่านล้มเหลวหรือซบเซา เมื่อท่านทำบุญทุกครั้งควรอุทิศบุญให้เทวดาประจำตัวของท่านและเทวดาที่ดูแลกิจการค้าด้วยพร้อมกันไป แล้วอธิษฐานว่า
“เทวดารับบุญของเราแล้ว โปรดช่วยเหลือกิจการค้าธุรกิจของเราให้ประสบความสำเร็จด้วยเถิด ถ้าเราร่ำรวยขึ้น ก็จะทำบุญให้ท่านยิ่งๆ ขึ้นไปอีก” จะใช้คำเรียกตนเองว่าข้าว่าเรา ก็ได้ทั้งนั้น

ท่านที่เปิดร้านค้าขาย จะเป็นร้านอะไรก็แล้วแต่ เมื่อทำบุญก็ให้อุทิศบุญแก่เทวดาที่รักษาร้านนั้นด้วย แล้วบอกว่า “เทวดาเมื่อได้รับบุญแล้ว โปรดเรียกลูกค้ามาอุดหนุนให้มาก ๆด้วย”

การอุทิศโอนบุญ ไม่ต้องพูด อย่าไปอุทิศตอนกรวดน้ำ ให้ใช้เพียงแค่.....การคิด และต้องรีบคิดให้ทันที !!!! อย่ามัวรีรอชักช้าเป็นอันขาด เพราะแสงบุญที่เกิดขึ้นจะดำรงอยู่ไม่กี่วินาทีแล้วจะหายวับไปอยู่ในสวรรค์ถ้าเราฝึกบ่อยๆ เราจะชำนาญในการคิด

เพราะการคิด.....กระแสบุญจะแรงกว่าการพูดออกจากปาก เวลาหย่อนของลงในบาตรปั๊บให้คิดส่งบุญทันที และต้องคิดให้ชัดเจนอย่าลางเลือน ให้ของแก่ใครเมื่อของหลุดจากมือปุ๊บเราต้องคิดส่งบุญให้ปั๊บทันทีอย่าช้า !!!!

ผู้มีอาชีพเกี่ยวเนื่องกับการฆ่าหรือเบียดเบียนสัตว์อื่น เช่น เจ้าของโรงฆ่าสัตว์ คนขายเนื้อสัตว์ ชาวประมง คนขายปลาสดตามตลาด เชือดไก่ขาย คนเหล่านี้ต้องสร้างบาปกรรมทุกวันๆ
จึงก่อความเคียดแค้นชิงชังให้แก่สัตว์ที่ถูกฆ่าอยู่ทุกวี่วัน เขาก็พยายามจองล้างจองผลาญ แต่ในขณะที่บุญของผู้นั้นยังมีอยู่ เจ้ากรรมนายเวรก็ทำอะไรไม่ได้ แต่หากว่านายเวรเขาสบโอกาสได้ช่องเมื่อไหร่
วิญญาณสัตว์ที่เคียดแค้นเหล่านั้น (นายเวร) จะให้เคราะห์หามยามซวยแก่เราได้ทันที ดังนั้น ต้องพยายามไถ่ถอนกรรมของตัวด้วยการทำบุญ แล้วโอนอุทิศให้วิญญาณสัตว์ที่ตัวเองฆ่า
ทำบ่อยๆ ส่งบ่อยๆ เอาเนื้อสัตว์ที่เราขายนั้นทำอาหารถวายพระหรือเลี้ยงผู้อื่น

อธิษฐานว่า “บุญนี้ให้สัตว์ทั้งหลายที่เราได้ฆ่า หรือผู้อื่นฆ่าเพราะคำสั่งเรา เหล่าสัตว์เหล่าใดได้รับบุญแล้ว ขอให้มีแต่ความสุขความเจริญ มีชีวิตวิญญาณที่ดีขึ้นจงหลุดพ้นจากกรรมเวรที่ตัวเองเคยสร้างไว้แล้ว จงมีภพภูมิที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นเทวบุตรเทวดาในสรวงสวรรค์ เมื่อได้รับบุญแล้ว จงอโหสิกรรมให้เราด้วยอย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย เจ้าตายเพราะเรา แต่ก็มีชีวิตที่ดีขึ้นเพราะเรา ดีกว่าเจ้าตายเองหรือตายเพราะฝีมือผู้อื่น ซึ่งมีชีวิตทุกข์ทรมาน”

ผู้ที่ถูกผีเข้า จงเอาของให้ทานแก่ผู้ทรงศีล จะพระหรือฆราวาสก็ได้ แล้วอุทิศบุญเจาะจงถึงผีในร่างผู้ป่วยขอให้ได้รับบุญนี้ เมื่อได้รับบุญแล้วโปรดออกจากร่างผู้ป่วยเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ยอมออกก็ให้บ่อยๆ ให้สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้เงินห้าบาทสิบบาท ให้กาแฟ ๑ แก้ว โอวัลติน ๑ แก้ว แล้วอุทิศได้ทั้งนั้น

ผู้ที่ถูกคุณไสยให้อธิษฐานดังนี้ “ด้วยอำนาจพระพุทธเจ้า ด้วยอำนาจพระธรรม ด้วยอำนาจ
พระสงฆ์ โปรดจงลบล้างอำนาจชั่วช้าต่ำทราม ที่มีผู้ส่งเข้าผู้ป่วยให้สูญสลายไป ณ บัดนี้”

จากนั้นให้ทานแก่ผู้ทรงศีลขณะนั้นอธิษฐานว่า “ขอบุญนี้จงถึงวิญญาณชั่วร้ายที่มีคนส่งเข้าร่างผู้ป่วย เมื่อเจ้าได้รับบุญแล้วจงมีความสุขความเจริญ จงมีฤทธิ์มีอำนาจหลุดพ้นจากการบังคับกดขี่ของผู้ทรงเวทวิทยาคมที่ส่งเจ้ามา จงออกจากร่างคนป่วยเดี๋ยวนี้”

ถ้าไม่หายให้ทำบ่อยๆ เดี๋ยวอาการก็ดีขึ้นเองโดยไม่ต้องไปทำพิธีอะไรอื่น ไม่ต้องไปเสาะหาจ้างหมอผีผู้มีสิทยาคมที่ไหนมาแก้ เพราะอำนาจของพระรัตนตรัยนั้น ยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาลอยู่แล้ว

หลีกเลี่ยงการสวดมนต์เพื่อขับไล่วิญญาณ บทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนพวกวิญญาณชั้นต่ำในโลกทิพย์ให้ได้รับความเดือดร้อน พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผีไว้ในพระวินัยบัญญัติดังนั้น การสวดมนต์เพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และสังฆานุสติ โปรดอย่าตั้งจิตไปกำราบคุกคามภูตผีปิศาจขั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน เมื่อจะสวดให้ตั้งจิตระลึกเสียก่อนว่า“ภูตผีปิศาจชั้นต่ำทั้งหลาย บัดนี้เราจะกล่าวบทสวดมนต์ ใครชอบฟังเอาบุญกุศลก็ให้ตั้งใจฟัง หากใครฟังแล้วทรมานก็ให้หลีกหนีไปที่อื่นจนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จแล้วจงกลับมาเถิด
เราไม่ได้สวดเพื่อขับไล่ใคร แต่สวดเพื่อเจริญในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเท่านั้น”

โปรดอย่านิมนต์พระมาทำพิธีขับไล่ภูตผีในที่อยู่อาศัย ควรงดเด็ดขาด เพราะวิญญาณนั้นเขาอยู่อาศัยที่นั้นมาก่อนเราอย่างสงบสุข บางตนก็เป็นญาติที่เราเคารพรักมาก่อนตายไปแล้วมีบุญน้อยกุศลน้อย ก็เป็นภูตผีอาศัยอยู่ในบ้านนั้น ภูตผีบางตนมีความทุกข์เดือดร้อนพยายามส่งกระแสความเดือดร้อนให้เรารู้สึกเพื่อจะได้ทำบุญส่งให้เขาแต่คนไม่เข้าใจคิดว่าเขาเบียดเบียนหลอกหลอน จึงนิมนต์พระมาสวดขับไล่ เมื่อเราไปทำพิธีขับเขาก็ยิ่งเดือดร้อนหนักเข้าไปอีก แล้วพวกวิญญาณเหล่านั้นจะรวมหัวกันกลั่นแกล้งผู้คนในบ้านให้เดือดร้อนวุ่นวายกันมากขึ้นมีแต่เรื่องทะเลาะขัดแย้งกันเนืองๆ สังเกตดู บ้านไหนที่มีคนถือวิชาอาคมสวดมนต์

ไล่ผีบ่อยๆ คนในบ้านจะหาความสุข ความสงบไม่ได้เลย พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ทะเลาะขัดแย้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนฆ่ากันตายมานักต่อนัก ฉะนั้น ต่อไปเมื่อมีเหตุเดือดร้อนภายในบ้านหรือภายในองค์กรควรทำบุญอุทิศให้พวกเขา เมื่อพวกเขาอยู่สุขสบายก็จะเลิกรบกวนเรา แล้วจะกลับเป็นองค์รักษ์ชั้นดีที่คอยปกปัก รักษาเราต่อไป

หลีกเลี่ยงการติดผ้ายันต์กันภูตผีในบ้าน หรือการพกเครื่องรางของขลังที่เบียดเบียนวิญญาณชั้นต่ำ เพราะสิ่งเหล่านี้จะกระทบกระเทือนถึงวิญญาณชั้นต่ำให้ได้รับความเดือดร้อนและเคียดแค้น
อันจะส่งผลให้เขาหันกลับมาเป็นเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญเราไม่มีที่สิ้นสุดโดยที่เราไม่รู้ตัว บ้านเรือนเคหะสถานเป็นของที่มีอยู่ในโลกนี้ เป็นทั้งที่อยู่ของผู้มีชีวิตในโลก

และในอีกมิติหนึ่งที่เรามองไม่เห็น ไม่ควรเห็นแก่ตัวว่าเป็นสมบัติของเราเพียงผู้เดียว ควรร่วมกันอยู่กันอย่างสงบสุข พวกวิญญาณต้องอาศัยบุญกุศลถึงอยู่ได้ ถ้าได้รับบุญจากมนุษย์ผู้อยู่อาศัยในผืนแผ่นดินเดียวกันเขาย่อมพึงพอใจและจะรักษามนุษย์ให้มีความสุขความเจริญ แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนไว้ในเทวตาทิสสทักขิฌนุโมทนา ว่า

ยัสมิง ปะเทเส กัปเปติ วาสัง ปัณฑิตะชาติโย

สลวันเตตถะ โภเชตวา สัญญะเต พรหมะจาริโน

ยา ตัดถะ เทวตา อาสุง ตาสัง ทักขิฌะมาทิเส

ตา ปูชิตา ปูชะยันติ มานิตา มานะยันติ นัง

ตะโต นัง อนุกัมปันติ มาตา ปุตตัง วะ โอระสัง

เทวะตานุกัมปิโต โปโส สะทา ภัทรานิ ปัสสะติ

แปลความว่า ผู้ฉลาดชาติบณฑิต เมื่ออาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งใด ควรเชื้อเชิญผู้ทรงศีลเข้าไปเลี้ยงดูในสถานที่แห่งนั้น แล้วอุทิศบุญให้แก่เทวดาผู้อาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้นเทวดาเมื่อได้รับการบูชาแล้วย่อมบูชาตอบ คือ ทำความอนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อุทิศบุญให้แล้วนั้น เหมือนบิดามารดาผู้รักบุตรย่อมอนุเคราะห์บุตร ผู้ใดได้รับการช่วยเหลือการเทวดาแล้วย่อมประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองเป็นนิจ

การให้ทานแก่บุคคลย่อมมีผลบุญแตกต่างกัน ให้ในพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานย่อมเกิดผลมากกว่าให้พระพุทธเจ้าองค์เดียว ให้ในพระพุทธเจ้าย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระอรหันต์
ให้ในพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ในสถานภาพปกติ ให้ในพระอรหันต์ย่อมมีผลเหนือกว่าให้ในพระอนาคามี
ให้ในพระอนาคามีย่อมมีผลมากกว่าให้ในพระสกิทาคามี ให้ในพระสกิทาคามีย่อมมีผลมากกว่าให้แก่พระโสดาบัน ให้ในพระโสดาบันย่อมมีผลมากกว่าให้แก่ผู้ทรงฌาน

ให้ในผู้ทรงฌานย่อมเหนือกว่าให้ในพระผู้ประพฤติศีลตามปกติ ให้ในผู้มีศีลย่อมมากกว่าให้ผู้ไม่มีศีล ให้ในคนย่อมมากกว่าให้ในสัตว์ ให้ในสัตว์ผู้โพธิสัตว์ย่อมมีผลมากกว่าให้ในสัตว์ธรรมดา
ให้ในสัตว์ที่มีคุณย่อมเกิดผลมากกว่าให้แก่สัตว์ที่ไม่มีคุณ และแม้แต่ให้อาหารแก่พวกมดปลวกก็ยังเกิดกุศล ดังนั้น ชื่อว่าการให้ย่อมเกิดบุญกุศลทั้งสิ้น แต่จะมากน้อยก็ต่างกันไป
เงิน ๑ บาท ถวายพระอรหันต์มีผลมากมายนับไม่ได้ แต่ให้ในภิกษุผู้ทุศีลมีผลน้อย นี่คือความแตกต่างของนาบุญ ถ้ารู้จักเลือกก็ให้เลือกเถิด ถ้าเลือกไม่ได้ก็ให้ถวายในสงฆ์ส่วนรวมก็มีอานิสงส์มาก
คนในศาสนาไหนก็ส่งบุญได้ ไม่ว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิก ล้วนมีวิธีสร้างกุศลผลบุญสะสมคุณงามความดีด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเกิดบุญกุศลขึ้นสามารถส่งถึงผู้อยู่ในโลกทิพย์ได้ด้วยวิธีเดียวกัน
ก่อผลลัพธ์แบบเดียวกัน

ผลที่จะเกิดจากการโอนบุญ-เบิกบุญ

- ทำให้เทวดาที่ได้รับบุญแล้วท่านจะมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้น สามารถช่วยเหลือผู้ส่งบุญให้ได้รับความสำเร็จ เทวดาที่รักษาเคหะสถานบ้านช่องบางหลังก็แสดงอิทธิฤทธิ์แทนเจ้าของบ้าน
เปิด-ปิดทีวี วิทยุ และไฟฟ้าในบ้านได้เอง ทำให้พวกโจรขโมยไม่กล้าเข้าไปยกเค้าเพราะเหมือนมีอยู่ในบ้าน ทั้งที่ความจริงไม่มีใครอยู่ในบ้านเลย

เทวดาสามารถป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้บ้าน ป้องกันภัยอันตรายจากพายุ ต้นไม้หักโค่นล้มทับบ้าน บ้านไหนถูกไฟไหม้แสดงว่าเทวดาไม่รักษาเพราะเจ้าของบ้านมีบาปกรรม และไม่เคยส่งบุญให้เทวดาและเจ้ากรรมนายเวร

- ทำให้เจ้ากรรมนายเวรหยุดการจองเวรแล้วกลับมาเป็นเทวดาที่ปกป้องรักษาตัวเรา

- ทำให้เป็นที่รักของเทวดา และมนุษย์-สัตว์ทั้งหลาย ไปทางไหนมาเสน่ห์แก้ผู้พบเห็น การเดินทางไปไหนมาไหนก็จะแคล้วคลาดจากภัยอันตราย

- ธรกิจการค้า หน้าที่การงาน จะราบรื่น จะพบช่องทางทำมาหากินที่แจ้งชัด ถ้าตกงานก็จะได้งานทำ ถ้าเจ้านายเกลียดก็จะรักชอบขึ้น

- ร้านอาหาร ร้านขายของ จะมีแขกเข้าร้านมากกว่าเดิม และอย่าลืม !! ถ้ามีคนมาอุดหนุนให้อธิษฐานบุญให้แก่เทวดาที่รักษาลูกค้าที่มีมาอุดหนุนทันที ต่อมาเทวดาก็จะดลใจให้ลูกค้ากลับ
มาหาเราอีก

- จะหลับก็ง่าย จะนอนก็สบาย ไม่ต้องใช้ยานอนหลับ ไม่ต้องสะดุ้งผวาตกใจ แม้ฝันก็ฝันดี สุขภาพร่างกายก็จะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน

- ครอบครัวจะอยู่กันอย่างอบอุ่นมีความสุข มีความเข้าอกเข้าใจกัน

- เพื่อนบ้านที่เขม่นชิงชัง เป็นเกาเหลาต่อกัน ก็จะหันกลับมาเป็นมิตร รักใคร่ใยดี ให้ความเกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกัน

ในแต่ละวันขอให้ท่านขยันในการโอน เบิก/เปิดบุญให้ถี่ๆ อยู่บ่อยๆ ท่านยิ่งให้ ท่านก็จะได้ผลอย่างคาดไม่ถึง ทั้งบุญก็ได้เพิ่มขึ้นทวีคูณ อีกทั้งยังเป็นการเจริญเมตตาอยู่ในตัว
ยิ่งถ้าท่านเป็นนักศีลนักบุญด้วยแล้ว ยิ่งจะเห็นผลเร็วอย่างมาก ท่านใดสนใจอยากได้แผ่นซีดี วีซีดี การแสดงธรรมของพระคุณเจ้าเกษม เพิ่มเติม โปรดแจ้งความประสงค์ได้

คนจะเลิกทำบาปมาแสวงบุญก็เพราะได้ฟังธรรม คนจะสนใจให้ทาง รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา
ก็เพราะฟังธรรม คนจะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ก็เพราะฟังธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรมทาน คือ การให้ธรรมเหนือกว่าการให้สิ่งอื่นๆ ทั้งหมด แม้ในถวายทานในพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ก็ยังไม่เหนือกว่าการให้ธรรมทานได้”

บุญกุศลที่เกิดจากธรรมทานนี้ ข้าพเจ้าขอมอบแด่เทวดาที่รักษาข้าพเจ้า ท่านผู้อ่านและผู้ฟังทุกท่าน เมื่อเทวดาได้รับบุญนี้แล้วจงมีความสุขความเจริญ มีฤทธิ์มีอำนาจจงช่วยเหลือทุกท่านให้ประสบความรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป ตลอดกาลนานเทอญ

ผู้ใดอยากจะพิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน ให้อนุญาตพิมพ์ได้ แต่ให้ใส่คำว่า “ห้ามขาย” ไว้ที่ปกหน้าและปกหลังของหนังสือด้วย

 

ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลบุญจากการเผยแพร่ธรรมในครั้งนี้ ให้ถึงแก่ญาติทิพย์ ลูกหลานที่แท้งไป นายเวร เทวดาที่รักษา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ มาร คนธรรพ์ นาคา เงือก กินรา รากษส ผี เปรต สัตว์ที่ข้าพเจ้าได้รับประทานประทังชีวิต ขอให้อยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้น ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้ หากบุญไม่ได้รับขอให้เทวดาช่วยบอกกล่าว

          บุญญาดา  บุญญรัตน์

 

ผู้แสดงความคิดเห็น บุญญาดา วันที่ตอบ 2008-06-15 10:38:39 IP : 203.157.71.123


ความคิดเห็นที่ 6 (1035139)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-07-04 19:04:00 IP : 203.146.127.176


ความคิดเห็นที่ 5 (1033022)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-07-04 11:59:40 IP : 203.146.127.178


ความคิดเห็นที่ 4 (726141)

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗

สังยุตตนิกาย สคาถวรรค

 

กกุธสูตรที่ ๘

 

                [๒๖๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระอัญชนวัน สถาน

พระราชทานอภัยแก่เนื้อ เขตเมืองสาเกต ครั้งนั้น กกุธเทวบุตร เมื่อราตรีปฐมยามสิ้นไปแล้ว มีวรรณงามยิ่งนัก ยังอัญชนวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้

ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

                [๒๖๗] กกุธเทวบุตร ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระสมณะ พระองค์ทรงยินดีอยู่หรือ ฯ

                พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรผู้มีอายุ เราได้อะไรจึงจะยินดี ฯ กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ถ้าอย่างนั้นพระองค์ทรงเศร้าโศกอยู่หรือ ฯพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรผู้มีอายุ เราเสื่อมอะไรจึงจะเศร้าโศก ฯ

                กกุธเทวบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ถ้าอย่างนั้นพระองค์ไม่ทรงยินดีเลย ไม่ทรงเศร้าโศกเลยหรือ ฯ

                พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นเช่นนั้นผู้มีอายุ ฯ

                [๒๖๘] กกุธเทวบุตร กราบทูลว่าข้าแต่ภิกษุ พระองค์ไม่มีทุกข์บ้างหรือ ความเพลิดเพลิน    ไม่มีบ้างหรือ ความเบื่อหน่ายไม่ครอบงำพระองค์ผู้ประทับนั่งแต่พระองค์เดียวบ้างหรือ ฯ

                [๒๖๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่าดูกรท่านผู้อันคนบูชา เราไม่มีทุกข์เลย และความเพลิดเพลินก็ไม่มี อนึ่ง ความเบื่อหน่าย ก็ไม่ครอบงำเราผู้นั่งแต่                ผู้เดียว ฯ

                [๒๗๐] กกุธเทวบุตรกราบทูลว่าข้าแต่ภิกษุ ทำไมพระองค์จึงไม่มีทุกข์ ทำไมความเพลิดเพลินจึงไม่มี ทำไมความเบื่อหน่าย จึงไม่ครอบงำพระองค์ผู้นั่ง           แต่ผู้เดียว ฯ

                [๒๗๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่าผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิดเพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละ จึงมีทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลินไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ ฯ

                [๒๗๒] กกุธเทวบุตรกราบทูลว่านานหนอ ข้าพระองค์จึงพบเห็นภิกษุ ผู้เป็นพราหมณ์ดับรอบแล้ว ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์ ข้ามพ้นเครื่องข้องในโลกแล้ว ฯ

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕  บรรทัดที่ ๑๖๙๕ - ๑๗๓๐.  หน้าที่  ๗๗ - ๗๙.

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธาฯ วันที่ตอบ 2006-12-07 22:07:34 IP : 203.150.86.83


ความคิดเห็นที่ 3 (726003)
-ขอบคุฌครับอ. เวลาที่จิตมันเศร้าหมองผมมักทำสมาธิ ใช้มรณานุสติครับมักจะเอาอยู่ครับ บางทีมันเบื่ออยากตายไปเลยก็มีครับแบบไม่อยากเกิดอีก หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอนลูกๆไว้แบบนี้ครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น นศ.ทพ.ชานนท์ วันที่ตอบ 2006-12-07 21:09:05 IP : 124.121.176.6


ความคิดเห็นที่ 2 (724223)

ข้อคิดเตือนใจ

 

อยากสวยให้หมั่นถือศีล....  อยากรวยให้หมั่นทำทาน ....  อยากปัญญาชาญให้หมั่นภาวนา ฯ

************

อย่าดูหมิ่น  บาปกรรม  จำนวนน้อย

จักไม่ด้อย   ตามต้อง   สนองผล

เหมือนตุ่มน้ำ   เปิดหงาย    รับสายชล

ย่อมเต็มล้น     ด้วยอุทก   ที่ตกลง

อันคนโง่    สั่งสม   บ่มบาปบ่อย

ทีละน้อย     ทำไป   ด้วยใจหลง

ย่อมเต็มล้น   ด้วยบาปนั้น   เป็นมั่นคง

บาปย่อมส่ง   สุ่นรก   ตกต่ำพลันฯ

***********************

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธาฯ วันที่ตอบ 2006-12-06 22:22:30 IP : 203.156.28.47


ความคิดเห็นที่ 1 (724213)

เอาฉบับย่อไหมล่ะครับ  รวดเร็วทันใจดีก็ต้องแก้ที่ใจตัวเองนั่นแหละครับ  คือการแก้กรรม ทุกอย่างเกิดจากใจถ้าใจดีแล้วทุกอย่างก็จะดีตามไปเอง  ใจเป็นนาย  กายเป็นบ่าว  ใจดีก็ย่อมคิดดี, พูดดี, ทำดี  ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากมหาเหตุคือ "ใจ" เป็นสำคัญ  จะเป็นคนพาล,บัณฑิต, อริยสงฆ์ ก็เกิดจากใจเจ้าของผู้พาให้ประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามอำนาจอิทธิพลของใจตัวเอง

คำถามมีว่าแล้วจะทำอย่างไรให้ใจมันดีก็ต้องเดินตามวิชาพระก็คือใช้กรรมฐาน(ฐานที่ตั้งแห่งการงานทางใจ) นั่นแหละครับเป็นอุปกรณ์ฝึกหัดดัดแปลงจิตใจให้มันดี  ซึ่งมี 2 ประเภท

1.สมถกรรมฐาน  คือการฝึกใจให้เข้าถึงความสงบตั้งมั่นเพื่อให้เกิดฐานแห่งสติที่มั่นคง

2.วิสปัสสนากรรมฐาน  คือการฝึกสติปัญญาให้รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่งของตัวเอง(ขันธ์ห้า)

รู้แล้วได้อะไร...........รู้แล้วก็หายหลง  .......หลงในอะไร.....หลงในภพในชาติที่เกิดมาไงครับ......พอหายหลงแล้วจิตดวงนั้นก็พลิกสภาพกลายเป็นผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบาน จริงๆ ไม่กลับไปหลงอีก(เพราะมีญาณหยั่งรู้ภายในว่าสิ่งนี้เป็นทุกข์, สิ่งนี้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์  , สิ่งนี้คือการดับแห่งทุกข์  และสิ่งนี้คือทางแห่งการดับทุกข์)  ทำให้เขาคนนั้นเลื่อนฐานะจากปุถุชนกลายเป็นอริยบุคคล,  อริยสงฆ์ไป  เพราะเหตุที่มีใจประเสริฐไม่ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลแห่งความหลงมัวเมาในขันธ์ห้าอีก...จึงพ้นจากกรรมที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในที่สุด(นิพพาน) ของเหล่านี้เป็นเรื่องของวาสนาบารมีใครมีมากก็ทำได้มากเข้าถึงได้ง่าย  ใครมีน้อยก็ทำได้ยากเข้าถึงได้ยากต้องต่อสู้ฝืนใจตัวเองค่อนข้างมาก  แต่ก็มิได้หมายความว่าต้องรอวาสนาบารมีแล้วจึงค่อยทำเพราะถ้าไม่ลงมือทำจะไปเอาวาสนาบารมีที่ไหนมาเกื้อหนุนในภพชาติต่อไป

หมายเหตุ.....เวลาคนมีเคราะห์เขาจึงนิยมถือศีลปฏิบัติธรรมสักระยะหนึ่งเพื่อฟอกใจที่หลงให้สว่างมิให้ตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของเจ้ากรรมนายเวรที่ย่อมมีอำนาจอิทธิพลกับดวงจิตที่มืดมัว(มีเคราะห์)    ดวงจิตแบบนั้นย่อมถูกพญามารกลุ้มรุมทำร้ายได้อย่างง่ายดาย  แต่ดวงจิตใดที่สว่างด้วยอำนาจของกรรมฐานและบุญกุศล(แม้เพียงชั่วระยเวลาอันสั้น)ย่อมเป็นที่เกรงขามแก่ภูตผีปีศาจ(พวกที่มาจากทุขคติภูมิย่อมเกลียดกลัวความสว่าง)ทำให้แคล้วคลาดพ้นภัยไปได้ในยามที่ดวงชะตาเขาเข้าเกณฑ์"ฆาต" (ถ้าเขารู้ตัวก่อนแล้วรีบปฏิบัติ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธาฯ วันที่ตอบ 2006-12-06 22:14:03 IP : 203.156.28.47



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.