|
![]() |
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค รบกวนขอทราบเกร็ดความรู้เกี่ยวกับดวงชะตารูปจตุสดัย(2) | |
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค เนื่องจากกระทู้เดิมไปอยู่หน้า 2 แล้ว จึงสร้างกระทู้ใหม่ครับ ต้องขอโทษด้วย ผมมีเรื่องปรึกษาครับ ซึ่งไม่เหมาะสมจะลงบนเว็บ ส่งเมล์ไปแล้วชื่อ มีเรื่องปรึกษาครับ - เรื่องผู้ใหญ่ที่เป็นกาลีจรอยู่ตอนนี้ รบกวนหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
| |
ผู้ตั้งกระทู้ จตุสดัย :: วันที่ลงประกาศ 2005-11-02 10:42:21 IP : 202.44.32.11 |
1 |
ความคิดเห็นที่ 15 (3090460) | |
So have the layout of the differentiation, let the Nike + community platform "products and services access" positioning.Nike has on performance. lebron shoes http://www.lebron-shoes.com | |
ผู้แสดงความคิดเห็น lebron shoes (zymanrrt-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2016-09-26 09:19:41 IP : 208.110.64.202 |
ความคิดเห็นที่ 14 (376239) | |
ความเห็นที่ 8 (317457) เลยขอเสียมารยาทถามในกระทู้นี้เลย ต้องขอโทษด้วยครับ เพราะอีกอย่างก็จะติดเสาร์-อาทิตย์-จันทร์(หยุด) ซึ่งผมไม่สะดวกใช้เน็ต โดยก้อปในเมล์มา เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค
ผมไม่ได้มีเรื่องด่วนครับ
แต่มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
เมื่อเช้าประมาณ 9 โมงวันนี้ ผมส่งเมล์ให้ใหม่แล้วหลังจากที่เมื่อวานพิมพ์ชื่อเมล์ อ. ผิด
ที่ส่งไปเมื่อ 9 โมงเช้า คิดว่าพิมพ์เมล์ถูกแล้วครับ
เนื้อหาต่อไป เป็นที่จะส่ง ให้ในเมล์อันแรกเมื่อวานและเมล์ที่ 2 เมื่อตอนเช้าครับ
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค 1. ผมถูกหวยรัฐบาล เลขท้าย 3 ตัว 1 คู่ งวด 1 ธ.ค. 48 ตรวจผลเมื่อ 7 ธ.ค. 48 ตอน 5 โมงเย็น หลังดาว 3 หยุดพักรตอน 14.00 น. อธิบายดวงดาวอย่างไร
2. ดวงผม มีดาว 3 กับ 7 สลับเรือนกัน 7 เป็นนิจ 3 เป็นอุจน์ เป็นอนุเกษตร จะดีตอนท้าย แต่ 7 เป็นนิจ(ฟื้น)
ตีความอย่างไรครับ
3. ดาวให้คุณ ให้โทษในราศีต่าง ๆ คิดเชื่อมโยงกับดาวเสวยอายุ แทรกได้ไหมครับ อย่างไร รบกวนหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย ( anata007@yahoo.com ) วันที่ลงประกาศ 09-12-2005 19:42:30 IP : 202.44.32.9 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุ วันที่ตอบ 2006-02-01 18:13:23 IP : 202.44.32.11 |
ความคิดเห็นที่ 13 (332757) | |
ท่องไปในภพทั้งสาม โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง | |
ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-12-23 10:26:54 IP : 203.150.64.254 |
ความคิดเห็นที่ 12 (332750) | |
ถึง คุณจตุสดัย ถ้าสนใจเรื่องอภิญญาหก ลองฟังเทศน์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เพิ่มเติมที่เวปนี้ดูนะครับ จะช่วยให้เข้าใจดีขึ้น http://www.palungjit.com/buddhism/audio/threadedpost101.html#post101
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธาฯ วันที่ตอบ 2005-12-23 10:21:49 IP : 203.150.64.254 |
ความคิดเห็นที่ 11 (282968) | |
การจะเกิดอภิญญาได้นั้น อย่างน้อยที่สุดต้องอบรมจิตให้ถึงระดับ ฌานที่ 4 เป็นอย่างต่ำ ฌาน 4 เป็นบาทของฤทธิ์หรืออิทธิปาฏิหารย์ เนื่องจากจิตในระดับฌาน 4 เป็นจิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ชั่วขณะมีแต่เอกกัคคตาจิตล้วน จึงสามารถแสดงฤทธิ์ได้ เว้นแต่ถ้าเป็นพระอริยสงฆ์ฌาน 4 ของท่านจะมีอานุภาพมากกว่า คือไม่เสื่อมไม่ลุ่มๆดอนๆ เหมือนพวกโลกียฌานทั่วไป แม้พวกได้ อรูปฌานเวลาจะแสดงฤทธิ์เขาก็ดำเนินจิตจนสุดกำลังอรูปฌานแล้วก็ต้องถอยมาฌานสี่อยู่ดี เพราะอรูปฌานมันเป็นอารมณ์ละเอียดเกินไปสภาวะจิตในระดับนั้น จิตไม่สามารถคิดนึกอะไรได้ เพราะมันวางสังขารความปรุงแต่งทางจิตชั่วขณะจึงนึกอะไรไม่ได้ ต้องถอยมาฌาน 4 (บาทของอภิญญา)แล้วถอยมาอุปจารสมาธิเพื่อทำการอธิษฐานให้เกิดอะไรต่างๆนาๆตามที่เราต้องการ อย่างสมัยพุทธกาลพระบางองค์เข้านิโรธสมามัติ(เลยอรูปฌาน)ใครเอาไฟมาเผาก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ คือ ถ้าได้ฌานตั้งแต่ ฌานที่ 4 ก็แสดงฤทธิ์ได้แล้วครับ อ้อ...เรื่องอภิญญาหมวดจุตูปปาตญาณ กับทิพจักษุญาณนั้น ผมได้ตรวจเอกสารแล้วท่านจัดไว้ในหมวดเดียวกันครับ คือ จุตูปปาตญาณกับทิพจักษุก็อันเดียวกัน หมายความว่ามีตาทิพย์สามารถรู้เห็นการจุติหรืออุบัติของสัตว์โลกได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ สามารถรู้กรรมของสัตว์โลกด้วยทิพจักษุญาณได้นั่นเอง เพียงแต่ลักษณะการเรียกจะไปต่างกันในหมวด วิชชาแปดประการ ที่เรียกเป็น "ทิพจักษุ" (ไม่เรียกจุตูปปาตญาณ) ถ้าเป็นหมวดอภิญญาเรียกว่าจุตูปปาตญาณ(ไม่เรียกทิพจักษุ) ตรงนี้แหละครับที่ทำให้จำสับสนเสมอ....
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-09 12:12:12 IP : 203.156.27.196 |
ความคิดเห็นที่ 10 (282948) | |
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค ขอบคุณที่ตอบปัญหาให้ครับ และแนะนำหนังสือให้ครับ ขอถามต่อนะครับ แสดงว่า อภิญญา 5 เกิดหลังจากได้รูปฌาน 4 (หลังฌานที่ 4 )ใช่ไหมครับ ไม่ใช่เกิดหลังจากได้อรูปฌาน ขอบคุณครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-09 11:42:02 IP : 202.44.32.11 |
ความคิดเห็นที่ 9 (282598) | |
ต้องขอแก้ไขหัวข้อ อภิญญา 6 หน่อยนะครับ เนื่องจากไปสับสนกับเรื่องวิชชา 8 ประการ กล่าวคือ อภิญญา 6 นั้น ให้ตัดมโนมยิทธิออก แล้วเปลี่ยนเป็นอาสวักขยญาณ จะเป็นอภิญญา 6 ตามหลักคัมภีร์ ดังนี้ 1.อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ เช่น คนเดียวเป็นหลายคน , ดำดิน, เหาะเหิน) 2.ทิพจักขุ (ตาทิพย์) 3.ทิพโสต (หูทิพย์) 4.เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ใจคนอื่นได้) 5.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ(ระลึกชาติได้) 6.อาสวักขยญาณ และที่คุณจตุสดัยเข้าใจเรื่องจุตูปปาตญาณนั้น เป็นหนึ่งในวิชชาสามของพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้คือ 1.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ 2.จุตูปปาตญาณ 3.อาสวักขยญาณ ในอภิญญาทั้ง 6 นั้น 5 ข้อแรกเป็นโลกิยอภิญญา แต่ถ้ารวมข้อ 6 ไปด้วยจะเป็นโลกุตรอภิญญา เรื่องอภิญญาทั้ง 5 นี้ทั้งคนธรรมดา, นักบวชนอกศาสนาเราล้วนทำได้ทั้งนั้น ถ้าเขาฝึกจิตจนถึงระดับฌานจนชำนาญแล้ว (วสี) แต่ก็มีโอกาสเสื่อมได้เช่นกัน จนกว่าจะได้บรรลุอาสวักขยญาณซึ่งมีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นจึงไม่มีเสื่อมข้อนี้แหละครับที่พระเทวทัตทำไม่ได้ และการแสดงฤทธิ์ก็มีลดหลั่นกันไปตามบารมี เช่น พระพุทธเจ้าทรงสามารถแสดง "ยมกปาฏิหารย์" ได้แต่เพียงผู้เดียว ส่วนพระสาวกไม่สามารถทำได้เพราะเป็นปาฏิหารย์ที่แสดงทีละคู่ เช่น แสดงธรรม พร้อมกับปาฏิหารย์พระวรกายกลางอากาศในคราวเดียวกัน หรือให้มีท่อน้ำ และท่อไฟออกจากพระวรกายของพระองค์ได้พร้อมกัน ซึ่งพระอริยสาวกทั้งหลายจะแสดงได้ทีละอย่างเท่านั้น นี่คือส่วนที่แตกต่างด้วยบารมีที่แตกต่างกันระหว่างพระศาสดา และพระสาวกทั้งหลาย........ถ้าสนใจเรื่องทำนองนี้ผมขอหนังสือที่น่าสนใจสัก 2 เล่ม คือ 1. วิชชาแปดประการ ของ พล.ตรี หลวงวิจิตรวาทการ 2.ทิพยอำนาจ เขียนโดย พระอริยคุณาธาร(ปุสโส เส็ง ป.๖) ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ในหนังสือเล่มนี้ยังกล่าวถึงฤทธิ์อภิญญาของหลวงปู่มั่นและความเป็นมาของคนไทยหรือประเทศไทยมีมาอย่างไรเมื่อหลายร้อยปีทีแล้ว โดยใช้อตีตังสญาณ(ญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ในอดีตอันไกลโพ้น)
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-08 21:28:36 IP : 203.156.28.40 |
ความคิดเห็นที่ 8 (282323) | |
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อภิญญา นั้นมี 6 อย่าง คือ 1.อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ เช่น คนเดียวเป็นหลายคน , ดำดิน, เหาะเหิน) 2.ทิพจักขุ (ตาทิพย์) 3.ทิพโสต (หูทิพย์) 4.มโนมยิทธิ(ฤทธิ์ทางใจ) 5.เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ใจคนอื่นได้) 6.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ(ระลึกชาติได้) ส่วนผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนาจะได้วิชชาอีก 2 ข้อ คือ 7.วิปัสสนาญาณ 8.อาสวักขยญาณ หรือที่พระท่านเรียกว่าวิชชา 8 ประการนั่นเอง เรื่องอภิญญาคนธรรมดาทำได้ครับ ถ้าฝึกสมาธิจนถึงระดับฌานสี่(เอกัคคตาจิต)เป็นต้นไป โดยการจะทำฤทธิ์ให้เกิดขึ้นได้ต้องกำหนดจิตให้เข้าถึงฌานที่ 4 ก่อน แล้วกำหนดถอยจิตมากำหนดรู้ระดับอุปจารสมาธิ เพือระลึกอธิษฐานว่าประสงค์อะไรเช่นกำหนดเพ่งกสินน้ำจนถึงระดับฌานสี่ แล้วถอยจิตมาอยู่ระดับอุปจารสมาธิ(เป็นระดับสมาธิที่จิตคิดนึกได้)แล้วอธิษฐานให้เกิดฝนตก ณ บริเวณที่ใดที่หนึ่งตามที่เราต้องการ แล้วกำหนดจิตเข้าไปยังฌานสี่ใหม่อีกครั้ง แล้วถอยออกมา ก็จะเกิดเหตุอัศจรรย์เป็นไปตามอำนาจจิตที่อธิษฐานนั้น.......ถ้าสนใจรายละเอียดก็ลองอ่านคัมภีร์วิสุทธิมรรค ดูครับมีอธิบายไว้หมด สำหรับเรื่องจุตูปปาตญาณนั้นเป็นญาณหยั่งรู้การจุติของสัตว์โลกว่าสัตว์โลกตนนั้นละสังขารจากชาตินี้ไปแล้วจะไปเกิดที่ใดต่อ หรือต้องการจะรู้ว่าตัวเราตอนมาเกิดนั้นมาอย่างไรอยู่ที่ไหนก็กำหนดญาณชนิดนี้ ก็จะเห็นขั้นตอนกระบวนการทั้งหมดตอนดวงวิญญาณเดิมออกจากร่างเก่าแล้วไปที่ใดต่อ... ส่วนทิพจักษุญาณนั้นก้ำกึ่งระหว่างจุตูปปาตญาณ คือ ทำให้เห็นของในที่ลับได้หรือสามารถเห็นกายทิพย์ได้จะเห็นได้ชัดเพียงใดขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิของผู้นั้น เช่น มนุษย์ไม่เห็นเทวดา แต่เทวดาเห็นมนุษย์ เทวดาไม่เห็นพรหม แต่พรหมสามารถเห็นเทวดา, มนุษย์ และสัตว์นรก นอกจากนี้รูปพรหมไม่สามารถเห็นอรูปพรหมได้ แต่อรูปพรหมสามารถเห็นตลอดตั้งแต่รูปพรหมลงมา แต่อรูปพรหมก็ไม่สามารถเห็นนิพพาน แต่อรหันต์ท่านสามารถเห็นสัตว์โลกทั้งหมดในภพสามเหมือนคนยืนอยู่บนยอดเขาย่อมมองเห็นคนอยู่ข้างล่างได้ตลอด จิตยิ่งสงบก็ยิ่งเกิดความสว่างภายในและกายก็ยิ่งโปร่งเบามากยิ่งขึ้น เรื่องนี้ต้องสอบถามคนฝึกจิตสายธรรมกาย(หลวงพ่อวัดปากน้ำ)/สายมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำจะเข้าใจดีขึ้น การอบรมจิตของปุถุชนหรือพระอริยสงฆ์นั้นมิได้หมายความว่าจะได้อภิญญาครบทุกข้อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีและจริตนิสัยของแต่ละคน ดังเช่น พระอนุรุทธะที่ชำนาญด้านทิพจักษุเป็นเลิศในบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าด้านทิพจักษุ แม้ตอนพระพุทธองค์ปรินิพพานก็สามารถใช้ญาณติดตามดูจิตของพระพุทธเจ้าได้อย่างชัดเจนตลอดทุกขั้นตอน พระกรรมฐานส่วนใหญ่ท่านมีอภิญญาทั้งนั้น เพียงแต่จะมีครบหมดทุกข้อหรือไม่เท่านั้น เช่น หลวงปู่มั่นท่านชำนาญด้านเจโตปริยญาณ และอิทธิวิธี คือ หยั่งรู้ความนึกคิดของผู้คนได้ แม้ไม่กำหนดรู้เพียงแค่เราพูดถึงหรือนินทาท่าน กระแสจิตของเรามันก็ไปกระทบจิตท่านได้ เคยได้ยินหลวงปู่เทสก์ เทสรังสีพูดเสมอว่าจิตพระอรหันต์แม้ใครพูดถึงท่านก็รู้ได้ทันที หมายความว่าจิตท่านไวมาก ดังนั้น ครูบาอาจารย์จึงมักตักเตือนเวลาเข้าหาพระปฏิบัติให้สำรวมระวังกาย,วาจา, ใจ ถ้าเคยอ่านประวัติพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร คงจะเคยทราบตอนท่านดักใจญาติโยมที่มาฟังเทศน์แล้วท่านก็เอาเรื่องที่เขาคิดในใจนั่นแหละมาเทศน์เตือน............เรื่องเจโตปริยญาณเกิดจากอานิสงส์ของการพิจารณา "กายคตาสติ" คือพิจารณากายเราด้วยสมาธิระดับฌานจนชำนาญแล้วสามารถปล่อยวางรูปธาตุภายในได้สิ้นเชิง หมายความว่า กำหนดจิตครั้งใดเมื่อเห็นรูปนิมิตก็เห็นนิมิตนั้นแปรสภาพไปตามหลักพระไตรลักษณ์ไม่เห็นเป็นตัวตนเหมือนปุถุชน คือ เห็นความเปลี่ยนแปลงของนิมิตนั้นแล้วดับสลายไป ทำให้จิตปล่อยวางวัตถุธาตุแล้วเป็นจิตละเอียดที่สามารถหยั่งรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมทั้งปวงได้ ก็คือหยั่งรู้อาการจิตของคนเราได้นั่นเอง ได้แก่ เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ คือจิตมีกิเลส, เศร้าหมองอย่างไรท่านก็หยั่งทราบได้ คิดอะไรอยู่ก็หยั่งทราบได้ เปรียบประดุจคนที่ขึ้นจากใต้น้ำย่อมได้ยินเสียงบนบก แต่ปุถุชนเหมือนคนที่กำลังดำน้ำย่อมไม่ได้ยินเสียงบนบกได้ เพราะจิตมันหยาบ แต่จิตพระอริยสงฆ์นั้นละเอียดสามารถปล่อยวางรูปธาตุ แล้วจึงทำให้จิตท่านละเอียด การรับรู้อะไรก็พลอยละเอียดตามไปด้วยนั่นเอง เหมือนวิทยุคลื่น FM ย่อมชัดเจนดีกว่าคลื่น AM นั่นเอง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสำนักปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายคือพอเขาฝึกสมถ-วิปัสสนาแล้ว มันก็ต้องไปเจอเข้าจนได้ เหมือนทางผ่าน และถ้าไปยึดติดด้วยความหลงในฤทธิ์ก็ทำให้เข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ล่าช้า แต่ถ้าได้นิพพานแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีวันเสื่อมสลาย เช่น ฤาษีชีไพรสมัยพุทธกาลสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้แต่พอเห็นผู้หญิงแก้ผ้าอาบน้ำก็ถึงกับตกลงพื้นดินอย่างแรง(จิตหวั่นไหวทำให้สมาธิเคลื่อนจากฐาน) แต่พระอริยสงฆ์ท่านเห็นกายตามเป็นจริงแล้วว่ามันสกปรก คือ ญาณของท่านสามารถมองเห็นไตรลักษณ์ตลอดและเห็นทั้งสุภะ(ความงาม)และอสุภะ(ความไม่งาม)พร้อมกันในคราวเดียว จนจิตมาหยุดอยู่กึ่งกลางคือ ไม่ยินดีและไม่ยินร้ายต่อรูปทั้งปวง สมาธิของท่านจึงไม่มีวันเสื่อม เพราะสามารถถอนอุปทานความหลงว่างามในร่างกายได้แล้วอย่างสิ้นเชิงนั่นเองครับ.....
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-08 16:24:08 IP : 203.156.27.99 |
ความคิดเห็นที่ 7 (282176) | |
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค 1. ผมเห็น อ. ตอบกระทู้ที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ในเว็บพยากรณ์ ไม่ทราบว่าอ.ศึกษาเรื่องลางบอกเหตุต่าง ๆ หรือเปล่า เช่น การที่เราเจอสัตว์ต่าง ๆ จะตีความหมายอย่างไร เช่น ชาวจีนเชื่อว่า ถ้าเห็นปลา ระหว่างเดินทางไปศาล แสดงว่าจะชนะคดี ที่ผมถามเพราะ ช่วงนี้บ้านผม อึ่งอ่างเข้ามาในห้องน้ำบ่อยมาก และหลายตัว ทั้งที่หน้าฝนหลายปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมี เพราะเท่าที่สังเกต ช่วงอึ่งอ่างเข้ามาในห้องน้ำบ่อยมากนี้เป็นช่วงมีปัญหากับผู้ใหญ่ แต่ก็มีรายได้เข้ามา รายจ่ายก็มีออก จึงพยายามกวาดออกนอกบ้านให้หมด เพื่อจะได้สงบกับผู้ใหญ่เสียที่ เมื่อคืนกวาดออกไป 1 ตัว เช้านี้เจออีก 1 ตัว 2. ผมเห็น อ. ตอบกระทู้ที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ในเว็บพยากรณ์ พูดถึงเรื่องพุทธศาสนาด้วย ถามว่าจุตูปปาตญาณ กับทิพยจักษุญาณ (ญาณหยั่งรู้อนาคต) ตรงนี้อันเดียวกันใช่ไหมครับ ในอภิญญา 5 และในอภิญญา 5 คนธรรมดามีได้ครบอภิญญา 5 ใช่ไหมครับ เพราะเคยได้ยินว่า ญาณหยั่งรู้อนาคตมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น รบกวนหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-08 13:52:43 IP : 202.44.32.11 |
ความคิดเห็นที่ 6 (281455) | |
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค ขอบคุณที่ตอบปัญหาให้ครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-07 19:24:36 IP : 202.44.32.11 |
ความคิดเห็นที่ 5 (281247) | |
ราหูในตำแหน่ง ปกิณกะโชค คือ สถิตราศีเมถุน, ตุลย์ และกุมภ์ ส่วนราหูในตำแหน่ง"บุญสุรา" หรือเรียกให้ถูกต้องตามครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณคือ "บุญศุรา" ราหูจะอยู่ราศี เมษ,ตุลย์ และกุมภ์ ในหลักที่ท่านอาจารย์จำรัส ศิริ ได้สังเกตมาราหูในตำแหน่งปกิณกะโชค มักจะทำให้เจ้าชะตาไม่รู้จักขาดทรัพย์ มักจะได้ลาภบ่อยๆแบบไม่รู้ตัวอยู่เสมอ ซึ่งก็ตรงตามตำราถ้าราหูมาอยู่ราศีกุมภ์แล้วสัมพันธ์กับลัคนาจะส่งผลให้มีบุญและลาภมาก แต่ถ้ากุมลัคน์(ราศีกุมภ์)แล้วมักจะทำให้ทรัพย์ร้อน ถึงแม้จะมีบุญก็ตามทีเถอะ หรือกรณีที่ราหูสถิตในภพลาภะของดวงชะตา(ไม่จำกัดราศี) ตามหลักวิชาท่านก็ว่าได้โยคจะได้เป็นพระยาโดยแท้ฯ ยิ่งได้รับแสงจากศุภเคราะห์คือ ๕และ๖ ส่งเสริมให้ชะตารุ่งโรจน์จะปรากฏผลเมื่อ ๘ เข้ามาเสวยหรือแทรกอายุ แต่กรณีดวงคุณราหูเป็นกาลกิณีจึงมาลดทอนส่วนดีของราหูในตำแหน่งดังกล่าวกลายเป็นทุกข์ลาภ คือ ได้ก็เหมือนไม่ได้คือได้มาแล้วก็ไม่มีความสุข มีเรื่องทุกข์ตามมาภายหลัง 2. สำหรับอังคารพักรนั้นแม้จะเดินถอยหลังก็ส่งอิทธิพลไปยังภพที่ 4 และ 8 ตามเกณฑ์พิเศษของอังคารเสมอ แต่เป็นการส่งอิทธิพลที่ให้โทษมาก การเรียนโหราศาสตร์ถ้านำไปหาเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์ 100% ก้จะทำให้ไม่สามารถพยากรณ์อะไรได้เลยในที่สุดเพราะบางเรื่องบางอย่างมันก็หาเหตุผลเทียบในเชิงวิทยาศาสตร์ไม่ได้หรอกครับ เช่น ตำราบอกว่า ๔, ๖ เป็นธาตุน้ำ แต่ถ้าดูบนดาวเคราะห์ดังกล่าวตามจริงแล้วมันมีน้ำหรือไม่ หรือกรณีหลักโหรฯที่ว่า ๒กับ๓ เป็นคู่ชู้กันนั้น คุณคิดว่าคุณสามารถหาเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ ที่พอจะอธิบายให้กับนักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้หรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันคนละเรื่องกันเลย ดังนั้น สำหรับผมถือว่าโหราศาสตร์เป็นเรื่องของสถิติพยากรณ์ที่โบราณจารย์สังเกตการโคจรของดวงดาวแล้วบังเกิดผลอย่างไรแก่มนุษย์ที่ได้ขอสรุปตรงกันทุกกาลทุกสมัย แล้วจึงบันทึกไว้เป็นหลักวิชาโหรฯ ในเรื่องนี้ต้องขออนุญาตยกคำพูดของ ท่าน อาจารย์.จำรัส ศิริ มาเป็นอุทาหรณ์ว่า "...... อีกพวกหนึ่งอ้างว่าเป็นอิทธิพลของดวงดาว ในแบบแสดงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องปรมาณูจักร เกิดมาแสดงแก่รูปธรรม เพราะบทบาทของหลักกล่าวถึงการแสดงอิทธิพลดาวพระเคราะห์เป็นหลักให้อ่าน ความจริงแต่เดิมผมก็เชื่ออย่างนี้ พอค้นคว้าไปโดยศึกษาจากวิทยาศาสตร์ด้านดาราศาสตร์มาผสม เพราะถือว่าเราจะสนองงานได้ดีกว่าที่เราไม่รู้ แต่ในที่สุดผมก็เห็นว่าไม่เกี่ยวกันเลย ถ้าเราเอาไปรวมกับวิทยาศาสตร์ เราจะทิ้งหลักของโหราศาสตร์ให้ห่างออกไป จนเกิดเบื่อขึ้นได้ ผมจึงทิ้งหลักวิทยาศาสตร์หันมาถือกฏของวิทยาการทางโหราศาสตร์ เฉพาะหันความสนใจมาในแบบสถิติคล้อยตามในหลักใหญ่ฯ....."
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-07 15:00:10 IP : 203.156.26.233 |
ความคิดเห็นที่ 4 (280828) | |
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค ผมส่งเมล์ตอบไปแล้ว ต้องขออภัยครั้งนี้ส่งช้า ขอถามทฤษฎีต่อนะครับ 1. เกี่ยวกับราหูในราศีกุมภ์ ซึ่งได้ตำแหน่ง ปกิณกะโชค และบุญสุรา ผมไม่แน่ใจตรง บุญสุรา ซึ่งแปลเอาเองว่า บุญที่เกิดจากสุรา ง่ายๆ คือ ทำการค้าขายเกี่ยวกับสุราจะดี ซึ่งไม่น่าใช่ เคยได้อ่าน ว่า จริง ๆ แล้ว บุญสุรา คือการที่ถ้ามีงาน เราจะทำงานนั้นให้จนเสร็จ คือไม่ทิ้งกลางคัน ที่ อ.สิทธา มหาสิทธิโชค ศึกษามาเป็นอย่างไรครับ 2. มีบางดาวมีเกณฑ์พิเศษ เช่น ดาว 3 จะส่องแสงเต็มร้อย ในภพที่ 4 และ 8 ซึ่งจะส่องแสงไปทวนเข็มนาฬิกาตามการเดินปกติ แต่ถ้าดาว 3 ในดวงชะตากำเนิดเกิดเดินถอยหลัง การส่องแสงเต็มร้อยในภพในภพที่ 4 และ 8 จะส่องแสงสวนทางกลับเมื่อดาวเดินปกติหรือเปล่า คือจะส่องแสงตามเข็มนาฬิกาตามการเดินถอยหลัง รบกวนหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-07 08:44:45 IP : 202.44.32.11 |
ความคิดเห็นที่ 3 (277156) | |
ส่งไปที่ sitha_5@hotmail.com ก็ได้ครับ ฮันนี้สามารถ CHAT ได้ ครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-02 14:24:08 IP : 203.156.28.116 |
ความคิดเห็นที่ 2 (277129) | |
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค เมล์ อ.เต็มแล้ว ช่วยเคลียร์ด้วยครับ เพราะเมล์เด้งกลับมาที่ผมว่า -ไม่สามารถรับเมล์ได้เนื่องจากพื้นที่กล่องจดหมายของผู้ใช้ sitha5@chaiyo.com เต็มค่ะ - ขอบคุณครับ หมายเหตุ - ไม่แน่ใจว่า chaiyo.com ให้เมล์ 5 mb หรือเปล่า อ.ลองใช้เมล์ของ http://www.yahoo.com/ เพราะเขาให้ 1 gb ซึ่งน่าจะประมาณ 100 mb หรือ 1000 mb (ขออภัยจำไม่ได้ครับ)
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-02 13:54:33 IP : 202.44.32.11 |
ความคิดเห็นที่ 1 (277115) | |
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค ตอบเมล์แล้ว
ขอบคุณครับ
| |
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-02 13:43:22 IP : 202.44.32.11 |
1 |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1981230 |