ReadyPlanet.com


เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค รบกวนขอทราบเกร็ดความรู้เกี่ยวกับดวงชะตารูปจตุสดัย(2)


เรียน  .สิทธา มหาสิทธิโชค 

เนื่องจากกระทู้เดิมไปอยู่หน้า 2 แล้ว  จึงสร้างกระทู้ใหม่ครับ

ต้องขอโทษด้วย

ผมมีเรื่องปรึกษาครับ  ซึ่งไม่เหมาะสมจะลงบนเว็บ

ส่งเมล์ไปแล้วชื่อ

มีเรื่องปรึกษาครับ - เรื่องผู้ใหญ่ที่เป็นกาลีจรอยู่ตอนนี้

รบกวนหน่อยนะครับ

ขอบคุณครับ 

 



ผู้ตั้งกระทู้ จตุสดัย :: วันที่ลงประกาศ 2005-11-02 10:42:21 IP : 202.44.32.11


1

ความคิดเห็นที่ 15 (3090460)
So have the layout of the differentiation, let the Nike + community platform "products and services access" positioning.Nike has on performance. lebron shoes http://www.lebron-shoes.com
ผู้แสดงความคิดเห็น lebron shoes (zymanrrt-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2016-09-26 09:19:41 IP : 208.110.64.202


ความคิดเห็นที่ 14 (376239)
ความเห็นที่ 8 (317457)

เลยขอเสียมารยาทถามในกระทู้นี้เลย

ต้องขอโทษด้วยครับ  เพราะอีกอย่างก็จะติดเสาร์-อาทิตย์-จันทร์(หยุด)  ซึ่งผมไม่สะดวกใช้เน็ต

โดยก้อปในเมล์มา

เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค
ผมไม่ได้มีเรื่องด่วนครับ
แต่มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง
เมื่อเช้าประมาณ  9 โมงวันนี้  ผมส่งเมล์ให้ใหม่แล้วหลังจากที่เมื่อวานพิมพ์ชื่อเมล์ อ. ผิด
ที่ส่งไปเมื่อ   9 โมงเช้า  คิดว่าพิมพ์เมล์ถูกแล้วครับ
 
เนื้อหาต่อไป  เป็นที่จะส่ง  ให้ในเมล์อันแรกเมื่อวานและเมล์ที่ 2 เมื่อตอนเช้าครับ
เรียน อ.สิทธา มหาสิทธิโชค
 
1. ผมถูกหวยรัฐบาล  เลขท้าย 3  ตัว   1  คู่  งวด  1  ธ.ค. 
 48
ตรวจผลเมื่อ 7  ธ.ค.  48 ตอน  5 โมงเย็น  หลังดาว 3  หยุดพักรตอน  14.00  น.
อธิบายดวงดาวอย่างไร
 
2. ดวงผม มีดาว  3   กับ  7  สลับเรือนกัน   7  เป็นนิจ   3  เป็นอุจน์
เป็นอนุเกษตร  จะดีตอนท้าย
แต่ 7  เป็นนิจ(ฟื้น) 
 ตีความอย่างไรครับ
 
 3. ดาวให้คุณ  ให้โทษในราศีต่าง ๆ   คิดเชื่อมโยงกับดาวเสวยอายุ  แทรกได้ไหมครับ  อย่างไร
 
รบกวนหน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ

 



ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย ( anata007@yahoo.com ) วันที่ลงประกาศ 09-12-2005 19:42:30 IP : 202.44.32.9
ผู้แสดงความคิดเห็น จตุ วันที่ตอบ 2006-02-01 18:13:23 IP : 202.44.32.11


ความคิดเห็นที่ 13 (332757)

 

ท่องไปในภพทั้งสาม

โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง

http://www.palungjit.com/buddhism/audio/showthread.php?t=90

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-12-23 10:26:54 IP : 203.150.64.254


ความคิดเห็นที่ 12 (332750)

ถึง   คุณจตุสดัย  

         ถ้าสนใจเรื่องอภิญญาหก   ลองฟังเทศน์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ  วัดท่าซุง  จ.อุทัยธานี   เพิ่มเติมที่เวปนี้ดูนะครับ  จะช่วยให้เข้าใจดีขึ้น

http://www.palungjit.com/buddhism/audio/threadedpost101.html#post101

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธาฯ วันที่ตอบ 2005-12-23 10:21:49 IP : 203.150.64.254


ความคิดเห็นที่ 11 (282968)

การจะเกิดอภิญญาได้นั้น   อย่างน้อยที่สุดต้องอบรมจิตให้ถึงระดับ  ฌานที่ 4  เป็นอย่างต่ำ   ฌาน 4  เป็นบาทของฤทธิ์หรืออิทธิปาฏิหารย์  เนื่องจากจิตในระดับฌาน 4 เป็นจิตบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสนิวรณ์ชั่วขณะมีแต่เอกกัคคตาจิตล้วน  จึงสามารถแสดงฤทธิ์ได้  เว้นแต่ถ้าเป็นพระอริยสงฆ์ฌาน 4 ของท่านจะมีอานุภาพมากกว่า  คือไม่เสื่อมไม่ลุ่มๆดอนๆ  เหมือนพวกโลกียฌานทั่วไป   แม้พวกได้ อรูปฌานเวลาจะแสดงฤทธิ์เขาก็ดำเนินจิตจนสุดกำลังอรูปฌานแล้วก็ต้องถอยมาฌานสี่อยู่ดี  เพราะอรูปฌานมันเป็นอารมณ์ละเอียดเกินไปสภาวะจิตในระดับนั้น  จิตไม่สามารถคิดนึกอะไรได้  เพราะมันวางสังขารความปรุงแต่งทางจิตชั่วขณะจึงนึกอะไรไม่ได้  ต้องถอยมาฌาน 4  (บาทของอภิญญา)แล้วถอยมาอุปจารสมาธิเพื่อทำการอธิษฐานให้เกิดอะไรต่างๆนาๆตามที่เราต้องการ   อย่างสมัยพุทธกาลพระบางองค์เข้านิโรธสมามัติ(เลยอรูปฌาน)ใครเอาไฟมาเผาก็ไม่สามารถทำอันตรายได้   คือ  ถ้าได้ฌานตั้งแต่ ฌานที่ 4  ก็แสดงฤทธิ์ได้แล้วครับ

             อ้อ...เรื่องอภิญญาหมวดจุตูปปาตญาณ  กับทิพจักษุญาณนั้น  ผมได้ตรวจเอกสารแล้วท่านจัดไว้ในหมวดเดียวกันครับ  คือ จุตูปปาตญาณกับทิพจักษุก็อันเดียวกัน  หมายความว่ามีตาทิพย์สามารถรู้เห็นการจุติหรืออุบัติของสัตว์โลกได้   กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ  สามารถรู้กรรมของสัตว์โลกด้วยทิพจักษุญาณได้นั่นเอง   เพียงแต่ลักษณะการเรียกจะไปต่างกันในหมวด วิชชาแปดประการ  ที่เรียกเป็น  "ทิพจักษุ" (ไม่เรียกจุตูปปาตญาณ)

ถ้าเป็นหมวดอภิญญาเรียกว่าจุตูปปาตญาณ(ไม่เรียกทิพจักษุ)  ตรงนี้แหละครับที่ทำให้จำสับสนเสมอ....

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-09 12:12:12 IP : 203.156.27.196


ความคิดเห็นที่ 10 (282948)

เรียน  .สิทธา มหาสิทธิโชค

ขอบคุณที่ตอบปัญหาให้ครับ  และแนะนำหนังสือให้ครับ

ขอถามต่อนะครับ

แสดงว่า  อภิญญา  5  เกิดหลังจากได้รูปฌาน  4  (หลังฌานที่ 4 )ใช่ไหมครับ

ไม่ใช่เกิดหลังจากได้อรูปฌาน

ขอบคุณครับ 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-09 11:42:02 IP : 202.44.32.11


ความคิดเห็นที่ 9 (282598)

         ต้องขอแก้ไขหัวข้อ  อภิญญา  6 หน่อยนะครับ     เนื่องจากไปสับสนกับเรื่องวิชชา 8 ประการ    กล่าวคือ  อภิญญา 6 นั้น  ให้ตัดมโนมยิทธิออก     แล้วเปลี่ยนเป็นอาสวักขยญาณ   จะเป็นอภิญญา 6 ตามหลักคัมภีร์  ดังนี้

1.อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์  เช่น คนเดียวเป็นหลายคน  , ดำดิน, เหาะเหิน)

 2.ทิพจักขุ  (ตาทิพย์)

3.ทิพโสต  (หูทิพย์)

4.เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ใจคนอื่นได้)

5.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ(ระลึกชาติได้)

6.อาสวักขยญาณ

          และที่คุณจตุสดัยเข้าใจเรื่องจุตูปปาตญาณนั้น  เป็นหนึ่งในวิชชาสามของพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้คือ  1.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ   2.จุตูปปาตญาณ  3.อาสวักขยญาณ

                ในอภิญญาทั้ง 6 นั้น  5 ข้อแรกเป็นโลกิยอภิญญา  แต่ถ้ารวมข้อ 6 ไปด้วยจะเป็นโลกุตรอภิญญา    เรื่องอภิญญาทั้ง 5  นี้ทั้งคนธรรมดา, นักบวชนอกศาสนาเราล้วนทำได้ทั้งนั้น   ถ้าเขาฝึกจิตจนถึงระดับฌานจนชำนาญแล้ว    (วสี)   แต่ก็มีโอกาสเสื่อมได้เช่นกัน   จนกว่าจะได้บรรลุอาสวักขยญาณซึ่งมีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นจึงไม่มีเสื่อมข้อนี้แหละครับที่พระเทวทัตทำไม่ได้       และการแสดงฤทธิ์ก็มีลดหลั่นกันไปตามบารมี    เช่น  พระพุทธเจ้าทรงสามารถแสดง "ยมกปาฏิหารย์" ได้แต่เพียงผู้เดียว  ส่วนพระสาวกไม่สามารถทำได้เพราะเป็นปาฏิหารย์ที่แสดงทีละคู่  เช่น  แสดงธรรม   พร้อมกับปาฏิหารย์พระวรกายกลางอากาศในคราวเดียวกัน  หรือให้มีท่อน้ำ  และท่อไฟออกจากพระวรกายของพระองค์ได้พร้อมกัน  ซึ่งพระอริยสาวกทั้งหลายจะแสดงได้ทีละอย่างเท่านั้น   นี่คือส่วนที่แตกต่างด้วยบารมีที่แตกต่างกันระหว่างพระศาสดา  และพระสาวกทั้งหลาย........ถ้าสนใจเรื่องทำนองนี้ผมขอหนังสือที่น่าสนใจสัก  2  เล่ม  คือ 

1.  วิชชาแปดประการ  ของ พล.ตรี  หลวงวิจิตรวาทการ 

 2.ทิพยอำนาจ   เขียนโดย  พระอริยคุณาธาร(ปุสโส  เส็ง  ป.๖)  ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านหลวงปู่มั่น   ภูริทัตโต  ในหนังสือเล่มนี้ยังกล่าวถึงฤทธิ์อภิญญาของหลวงปู่มั่นและความเป็นมาของคนไทยหรือประเทศไทยมีมาอย่างไรเมื่อหลายร้อยปีทีแล้ว  โดยใช้อตีตังสญาณ(ญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ในอดีตอันไกลโพ้น)

 

   

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-08 21:28:36 IP : 203.156.28.40


ความคิดเห็นที่ 8 (282323)

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อภิญญา นั้นมี  6 อย่าง คือ

1.อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์  เช่น คนเดียวเป็นหลายคน  , ดำดิน, เหาะเหิน)

 2.ทิพจักขุ  (ตาทิพย์)

3.ทิพโสต  (หูทิพย์)

4.มโนมยิทธิ(ฤทธิ์ทางใจ) 

5.เจโตปริยญาณ (กำหนดรู้ใจคนอื่นได้)

6.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ(ระลึกชาติได้)

ส่วนผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนาจะได้วิชชาอีก  2 ข้อ  คือ

7.วิปัสสนาญาณ

8.อาสวักขยญาณ

หรือที่พระท่านเรียกว่าวิชชา  8  ประการนั่นเอง

              เรื่องอภิญญาคนธรรมดาทำได้ครับ  ถ้าฝึกสมาธิจนถึงระดับฌานสี่(เอกัคคตาจิต)เป็นต้นไป  โดยการจะทำฤทธิ์ให้เกิดขึ้นได้ต้องกำหนดจิตให้เข้าถึงฌานที่ 4 ก่อน  แล้วกำหนดถอยจิตมากำหนดรู้ระดับอุปจารสมาธิ    เพือระลึกอธิษฐานว่าประสงค์อะไรเช่นกำหนดเพ่งกสินน้ำจนถึงระดับฌานสี่    แล้วถอยจิตมาอยู่ระดับอุปจารสมาธิ(เป็นระดับสมาธิที่จิตคิดนึกได้)แล้วอธิษฐานให้เกิดฝนตก  ณ  บริเวณที่ใดที่หนึ่งตามที่เราต้องการ  แล้วกำหนดจิตเข้าไปยังฌานสี่ใหม่อีกครั้ง      แล้วถอยออกมา  ก็จะเกิดเหตุอัศจรรย์เป็นไปตามอำนาจจิตที่อธิษฐานนั้น.......ถ้าสนใจรายละเอียดก็ลองอ่านคัมภีร์วิสุทธิมรรค  ดูครับมีอธิบายไว้หมด

             สำหรับเรื่องจุตูปปาตญาณนั้นเป็นญาณหยั่งรู้การจุติของสัตว์โลกว่าสัตว์โลกตนนั้นละสังขารจากชาตินี้ไปแล้วจะไปเกิดที่ใดต่อ  หรือต้องการจะรู้ว่าตัวเราตอนมาเกิดนั้นมาอย่างไรอยู่ที่ไหนก็กำหนดญาณชนิดนี้   ก็จะเห็นขั้นตอนกระบวนการทั้งหมดตอนดวงวิญญาณเดิมออกจากร่างเก่าแล้วไปที่ใดต่อ...

              ส่วนทิพจักษุญาณนั้นก้ำกึ่งระหว่างจุตูปปาตญาณ  คือ  ทำให้เห็นของในที่ลับได้หรือสามารถเห็นกายทิพย์ได้จะเห็นได้ชัดเพียงใดขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิของผู้นั้น  เช่น มนุษย์ไม่เห็นเทวดา  แต่เทวดาเห็นมนุษย์   เทวดาไม่เห็นพรหม  แต่พรหมสามารถเห็นเทวดา, มนุษย์ และสัตว์นรก    นอกจากนี้รูปพรหมไม่สามารถเห็นอรูปพรหมได้     แต่อรูปพรหมสามารถเห็นตลอดตั้งแต่รูปพรหมลงมา  แต่อรูปพรหมก็ไม่สามารถเห็นนิพพาน  แต่อรหันต์ท่านสามารถเห็นสัตว์โลกทั้งหมดในภพสามเหมือนคนยืนอยู่บนยอดเขาย่อมมองเห็นคนอยู่ข้างล่างได้ตลอด    จิตยิ่งสงบก็ยิ่งเกิดความสว่างภายในและกายก็ยิ่งโปร่งเบามากยิ่งขึ้น  เรื่องนี้ต้องสอบถามคนฝึกจิตสายธรรมกาย(หลวงพ่อวัดปากน้ำ)/สายมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำจะเข้าใจดีขึ้น

                การอบรมจิตของปุถุชนหรือพระอริยสงฆ์นั้นมิได้หมายความว่าจะได้อภิญญาครบทุกข้อ  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีและจริตนิสัยของแต่ละคน  ดังเช่น  พระอนุรุทธะที่ชำนาญด้านทิพจักษุเป็นเลิศในบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าด้านทิพจักษุ    แม้ตอนพระพุทธองค์ปรินิพพานก็สามารถใช้ญาณติดตามดูจิตของพระพุทธเจ้าได้อย่างชัดเจนตลอดทุกขั้นตอน   พระกรรมฐานส่วนใหญ่ท่านมีอภิญญาทั้งนั้น เพียงแต่จะมีครบหมดทุกข้อหรือไม่เท่านั้น    เช่น  หลวงปู่มั่นท่านชำนาญด้านเจโตปริยญาณ  และอิทธิวิธี      คือ หยั่งรู้ความนึกคิดของผู้คนได้  แม้ไม่กำหนดรู้เพียงแค่เราพูดถึงหรือนินทาท่าน  กระแสจิตของเรามันก็ไปกระทบจิตท่านได้    เคยได้ยินหลวงปู่เทสก์   เทสรังสีพูดเสมอว่าจิตพระอรหันต์แม้ใครพูดถึงท่านก็รู้ได้ทันที   หมายความว่าจิตท่านไวมาก  ดังนั้น  ครูบาอาจารย์จึงมักตักเตือนเวลาเข้าหาพระปฏิบัติให้สำรวมระวังกาย,วาจา, ใจ   ถ้าเคยอ่านประวัติพระอาจารย์ฝั้น  อาจาโร  คงจะเคยทราบตอนท่านดักใจญาติโยมที่มาฟังเทศน์แล้วท่านก็เอาเรื่องที่เขาคิดในใจนั่นแหละมาเทศน์เตือน............เรื่องเจโตปริยญาณเกิดจากอานิสงส์ของการพิจารณา  "กายคตาสติ"   คือพิจารณากายเราด้วยสมาธิระดับฌานจนชำนาญแล้วสามารถปล่อยวางรูปธาตุภายในได้สิ้นเชิง   หมายความว่า    กำหนดจิตครั้งใดเมื่อเห็นรูปนิมิตก็เห็นนิมิตนั้นแปรสภาพไปตามหลักพระไตรลักษณ์ไม่เห็นเป็นตัวตนเหมือนปุถุชน    คือ   เห็นความเปลี่ยนแปลงของนิมิตนั้นแล้วดับสลายไป  ทำให้จิตปล่อยวางวัตถุธาตุแล้วเป็นจิตละเอียดที่สามารถหยั่งรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมทั้งปวงได้   ก็คือหยั่งรู้อาการจิตของคนเราได้นั่นเอง  ได้แก่   เวทนา, สัญญา,  สังขาร,  วิญญาณ  คือจิตมีกิเลส, เศร้าหมองอย่างไรท่านก็หยั่งทราบได้  คิดอะไรอยู่ก็หยั่งทราบได้   เปรียบประดุจคนที่ขึ้นจากใต้น้ำย่อมได้ยินเสียงบนบก   แต่ปุถุชนเหมือนคนที่กำลังดำน้ำย่อมไม่ได้ยินเสียงบนบกได้   เพราะจิตมันหยาบ   แต่จิตพระอริยสงฆ์นั้นละเอียดสามารถปล่อยวางรูปธาตุ     แล้วจึงทำให้จิตท่านละเอียด  การรับรู้อะไรก็พลอยละเอียดตามไปด้วยนั่นเอง   เหมือนวิทยุคลื่น  FM  ย่อมชัดเจนดีกว่าคลื่น AM  นั่นเอง    

                    เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสำนักปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายคือพอเขาฝึกสมถ-วิปัสสนาแล้ว มันก็ต้องไปเจอเข้าจนได้    เหมือนทางผ่าน  และถ้าไปยึดติดด้วยความหลงในฤทธิ์ก็ทำให้เข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ล่าช้า   แต่ถ้าได้นิพพานแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีวันเสื่อมสลาย    เช่น  ฤาษีชีไพรสมัยพุทธกาลสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้แต่พอเห็นผู้หญิงแก้ผ้าอาบน้ำก็ถึงกับตกลงพื้นดินอย่างแรง(จิตหวั่นไหวทำให้สมาธิเคลื่อนจากฐาน)   แต่พระอริยสงฆ์ท่านเห็นกายตามเป็นจริงแล้วว่ามันสกปรก   คือ ญาณของท่านสามารถมองเห็นไตรลักษณ์ตลอดและเห็นทั้งสุภะ(ความงาม)และอสุภะ(ความไม่งาม)พร้อมกันในคราวเดียว   จนจิตมาหยุดอยู่กึ่งกลางคือ   ไม่ยินดีและไม่ยินร้ายต่อรูปทั้งปวง  สมาธิของท่านจึงไม่มีวันเสื่อม  เพราะสามารถถอนอุปทานความหลงว่างามในร่างกายได้แล้วอย่างสิ้นเชิงนั่นเองครับ.....

 

 

 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-08 16:24:08 IP : 203.156.27.99


ความคิดเห็นที่ 7 (282176)

เรียน  .สิทธา มหาสิทธิโชค

1. ผมเห็น  อ. ตอบกระทู้ที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ในเว็บพยากรณ์

ไม่ทราบว่าอ.ศึกษาเรื่องลางบอกเหตุต่าง ๆ หรือเปล่า

เช่น การที่เราเจอสัตว์ต่าง ๆ  จะตีความหมายอย่างไร

เช่น ชาวจีนเชื่อว่า  ถ้าเห็นปลา ระหว่างเดินทางไปศาล    แสดงว่าจะชนะคดี

ที่ผมถามเพราะ  ช่วงนี้บ้านผม  อึ่งอ่างเข้ามาในห้องน้ำบ่อยมาก  และหลายตัว

ทั้งที่หน้าฝนหลายปีที่ผ่านมา  ก็ไม่เคยมี

เพราะเท่าที่สังเกต ช่วงอึ่งอ่างเข้ามาในห้องน้ำบ่อยมากนี้เป็นช่วงมีปัญหากับผู้ใหญ่  แต่ก็มีรายได้เข้ามา  รายจ่ายก็มีออก

จึงพยายามกวาดออกนอกบ้านให้หมด  เพื่อจะได้สงบกับผู้ใหญ่เสียที่

เมื่อคืนกวาดออกไป  1  ตัว  เช้านี้เจออีก  1  ตัว

2. ผมเห็น  อ. ตอบกระทู้ที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ในเว็บพยากรณ์

พูดถึงเรื่องพุทธศาสนาด้วย 

ถามว่าจุตูปปาตญาณ  กับทิพยจักษุญาณ (ญาณหยั่งรู้อนาคต)  ตรงนี้อันเดียวกันใช่ไหมครับ  ในอภิญญา  5  และในอภิญญา  5  คนธรรมดามีได้ครบอภิญญา  5  ใช่ไหมครับ

เพราะเคยได้ยินว่า  ญาณหยั่งรู้อนาคตมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น

 รบกวนหน่อยนะครับ

ขอบคุณครับ 

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-08 13:52:43 IP : 202.44.32.11


ความคิดเห็นที่ 6 (281455)

เรียน  .สิทธา มหาสิทธิโชค

ขอบคุณที่ตอบปัญหาให้ครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-07 19:24:36 IP : 202.44.32.11


ความคิดเห็นที่ 5 (281247)

ราหูในตำแหน่ง  ปกิณกะโชค  คือ สถิตราศีเมถุน,  ตุลย์  และกุมภ์   ส่วนราหูในตำแหน่ง"บุญสุรา" หรือเรียกให้ถูกต้องตามครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณคือ   "บุญศุรา"  ราหูจะอยู่ราศี เมษ,ตุลย์  และกุมภ์

          ในหลักที่ท่านอาจารย์จำรัส  ศิริ  ได้สังเกตมาราหูในตำแหน่งปกิณกะโชค  มักจะทำให้เจ้าชะตาไม่รู้จักขาดทรัพย์  มักจะได้ลาภบ่อยๆแบบไม่รู้ตัวอยู่เสมอ  ซึ่งก็ตรงตามตำราถ้าราหูมาอยู่ราศีกุมภ์แล้วสัมพันธ์กับลัคนาจะส่งผลให้มีบุญและลาภมาก   แต่ถ้ากุมลัคน์(ราศีกุมภ์)แล้วมักจะทำให้ทรัพย์ร้อน  ถึงแม้จะมีบุญก็ตามทีเถอะ    หรือกรณีที่ราหูสถิตในภพลาภะของดวงชะตา(ไม่จำกัดราศี) ตามหลักวิชาท่านก็ว่าได้โยคจะได้เป็นพระยาโดยแท้ฯ  ยิ่งได้รับแสงจากศุภเคราะห์คือ  ๕และ๖  ส่งเสริมให้ชะตารุ่งโรจน์จะปรากฏผลเมื่อ  ๘ เข้ามาเสวยหรือแทรกอายุ  แต่กรณีดวงคุณราหูเป็นกาลกิณีจึงมาลดทอนส่วนดีของราหูในตำแหน่งดังกล่าวกลายเป็นทุกข์ลาภ  คือ  ได้ก็เหมือนไม่ได้คือได้มาแล้วก็ไม่มีความสุข  มีเรื่องทุกข์ตามมาภายหลัง

2. สำหรับอังคารพักรนั้นแม้จะเดินถอยหลังก็ส่งอิทธิพลไปยังภพที่ 4 และ 8 ตามเกณฑ์พิเศษของอังคารเสมอ  แต่เป็นการส่งอิทธิพลที่ให้โทษมาก  การเรียนโหราศาสตร์ถ้านำไปหาเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์  100%  ก้จะทำให้ไม่สามารถพยากรณ์อะไรได้เลยในที่สุดเพราะบางเรื่องบางอย่างมันก็หาเหตุผลเทียบในเชิงวิทยาศาสตร์ไม่ได้หรอกครับ  เช่น  ตำราบอกว่า  ๔, ๖  เป็นธาตุน้ำ แต่ถ้าดูบนดาวเคราะห์ดังกล่าวตามจริงแล้วมันมีน้ำหรือไม่    หรือกรณีหลักโหรฯที่ว่า  ๒กับ๓  เป็นคู่ชู้กันนั้น   คุณคิดว่าคุณสามารถหาเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ ที่พอจะอธิบายให้กับนักวิทยาศาสตร์ยอมรับได้หรือไม่   ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันคนละเรื่องกันเลย   ดังนั้น  สำหรับผมถือว่าโหราศาสตร์เป็นเรื่องของสถิติพยากรณ์ที่โบราณจารย์สังเกตการโคจรของดวงดาวแล้วบังเกิดผลอย่างไรแก่มนุษย์ที่ได้ขอสรุปตรงกันทุกกาลทุกสมัย   แล้วจึงบันทึกไว้เป็นหลักวิชาโหรฯ    ในเรื่องนี้ต้องขออนุญาตยกคำพูดของ ท่าน  อาจารย์.จำรัส    ศิริ  มาเป็นอุทาหรณ์ว่า   "...... อีกพวกหนึ่งอ้างว่าเป็นอิทธิพลของดวงดาว  ในแบบแสดงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องปรมาณูจักร   เกิดมาแสดงแก่รูปธรรม   เพราะบทบาทของหลักกล่าวถึงการแสดงอิทธิพลดาวพระเคราะห์เป็นหลักให้อ่าน   ความจริงแต่เดิมผมก็เชื่ออย่างนี้  พอค้นคว้าไปโดยศึกษาจากวิทยาศาสตร์ด้านดาราศาสตร์มาผสม   เพราะถือว่าเราจะสนองงานได้ดีกว่าที่เราไม่รู้   แต่ในที่สุดผมก็เห็นว่าไม่เกี่ยวกันเลย   ถ้าเราเอาไปรวมกับวิทยาศาสตร์   เราจะทิ้งหลักของโหราศาสตร์ให้ห่างออกไป  จนเกิดเบื่อขึ้นได้  ผมจึงทิ้งหลักวิทยาศาสตร์หันมาถือกฏของวิทยาการทางโหราศาสตร์  เฉพาะหันความสนใจมาในแบบสถิติคล้อยตามในหลักใหญ่ฯ....."   

 

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-07 15:00:10 IP : 203.156.26.233


ความคิดเห็นที่ 4 (280828)

เรียน  .สิทธา มหาสิทธิโชค

ผมส่งเมล์ตอบไปแล้ว  ต้องขออภัยครั้งนี้ส่งช้า

ขอถามทฤษฎีต่อนะครับ

1. เกี่ยวกับราหูในราศีกุมภ์

ซึ่งได้ตำแหน่ง  ปกิณกะโชค  และบุญสุรา

ผมไม่แน่ใจตรง  บุญสุรา  ซึ่งแปลเอาเองว่า  บุญที่เกิดจากสุรา  ง่ายๆ  คือ  ทำการค้าขายเกี่ยวกับสุราจะดี   ซึ่งไม่น่าใช่

เคยได้อ่าน ว่า  จริง ๆ แล้ว   บุญสุรา  คือการที่ถ้ามีงาน  เราจะทำงานนั้นให้จนเสร็จ  คือไม่ทิ้งกลางคัน

ที่    .สิทธา มหาสิทธิโชค  ศึกษามาเป็นอย่างไรครับ

2. มีบางดาวมีเกณฑ์พิเศษ  เช่น  ดาว 3  จะส่องแสงเต็มร้อย ในภพที่  4  และ 8

ซึ่งจะส่องแสงไปทวนเข็มนาฬิกาตามการเดินปกติ

แต่ถ้าดาว  3  ในดวงชะตากำเนิดเกิดเดินถอยหลัง   การส่องแสงเต็มร้อยในภพในภพที่  4  และ 8  จะส่องแสงสวนทางกลับเมื่อดาวเดินปกติหรือเปล่า  คือจะส่องแสงตามเข็มนาฬิกาตามการเดินถอยหลัง

รบกวนหน่อยนะครับ

ขอบคุณครับ 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-07 08:44:45 IP : 202.44.32.11


ความคิดเห็นที่ 3 (277156)

ส่งไปที่ sitha_5@hotmail.com  ก็ได้ครับ ฮันนี้สามารถ CHAT ได้ ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น สิทธา มหาสิทธิโชค วันที่ตอบ 2005-11-02 14:24:08 IP : 203.156.28.116


ความคิดเห็นที่ 2 (277129)

เรียน  .สิทธา มหาสิทธิโชค

เมล์  อ.เต็มแล้ว  ช่วยเคลียร์ด้วยครับ

เพราะเมล์เด้งกลับมาที่ผมว่า

-ไม่สามารถรับเมล์ได้เนื่องจากพื้นที่กล่องจดหมายของผู้ใช้ sitha5@chaiyo.com เต็มค่ะ -

ขอบคุณครับ

หมายเหตุ  - ไม่แน่ใจว่า   chaiyo.com  ให้เมล์  5 mb  หรือเปล่า

อ.ลองใช้เมล์ของ   http://www.yahoo.com/  

เพราะเขาให้  1 gb  ซึ่งน่าจะประมาณ  100  mb  หรือ  1000  mb (ขออภัยจำไม่ได้ครับ)

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-02 13:54:33 IP : 202.44.32.11


ความคิดเห็นที่ 1 (277115)

เรียน  .สิทธา มหาสิทธิโชค

ตอบเมล์แล้ว

ขอบคุณครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น จตุสดัย วันที่ตอบ 2005-11-02 13:43:22 IP : 202.44.32.11



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.