ReadyPlanet.com


คิดลบ “ให้ถึงที่สุด” (เมื่อคิดบวกมันเสื่อมถอย?)


 แรงบันดาลใจ แรงจูงใจ จิตใต้สำนึกที่ดี ควรที่จะ “คิดบวก” เป็นแกนหลักมิใช่หรือ และการคิดลบมันคือ Toxic พิษร้ายต่อความคิดและจิตใจนี่นา? หากมองแบบภาพในอดีตย่อมใช่ แต่ในปัจจุบันบางทีมันอาจสวนทาง…

ภาค “คิดบวก”

ในยุคหนึ่ง “การคิดบวก” ดูจะเป็นสิ่งสำคัญ จากการที่หนังสือ หรือนักพูดต่าง ๆ ชอบหยิบยกมานำเสนอ จนกลายเป็นวลีนิยมอยู่ในช่วงหนึ่ง และย่อมมีกลุ่มคนไม่เห็นด้วยอยู่เช่นกัน จนในยุคปัจจุบันเมื่อโลกถูกเปิดเผยมากขึ้น ไม่ว่าจะทางสังคมหรือตัวตนของผู้คน ผ่านการสื่อสารที่เปิดกว้างและรวดเร็ว คำว่าคิดบวก ดูจะด้อยความนิยมลงและขาดความเชื่อถือมากขึ้นไปทุกที ส่วนหนึ่งก็ถูกทับถมแทนที่ด้วยคำว่า “โลกสวย”

อันที่จริงคำว่า “คิดบวก” เป็นคำที่ดี และมีนิยามต่างจากแค่โลกสวย แต่มันก็เป็นเส้นแบ่งที่เข้าใจยากและมีบริบทของการตีความที่ไม่ชัดเจนตามปัจเจก ประกอบกับเหตุผลที่กล่าวไปว่า ตัวตนของเราหรือผู้คนต่างถูกเปิดเผยมากขึ้น หากใครอ้างอิงว่าตนเป็นคนคิดบวก ย่อมมีโอกาสเห็นมุมย้อนแย้งมากมาย ที่ทำให้คำนี้ยิ่งเสื่อมลงไปด้วยตัวเขาเอง เพราะมันจะเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีทางคิดบวกได้ตลอดเวลาดังที่ตัวเองว่าไว้

ทุกวันนี้ก็มีการแทนที่ด้วยคำอื่นในเชิงการพัฒนาตนเองหรือพัฒนาความคิด เช่น Growth mindset (กรอบคิดแบบพัฒนาได้) ไปจนถึงเริ่มมองว่า ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) ต่างหาก คือสิ่งที่ขาดในปัจจุบัน เพราะ หลายครั้งการคิดบวกก็เหมือนถูกใช้เพียงเพื่อความรู้สึกตัวเองเท่านั้น

ประกอบกับในคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ และรุ่นเก่าหลายคน มีมุมมองต่อผู้คนแบบ “ยอมรับความแตกต่างและเปิดใจ” เพราะได้เห็นความเป็นจริงและการเปลี่ยนแปลงชัดเจนอยู่ในทุกวัน การพยายามคิดบวกจึงดูจำเป็นน้อยลง ต่างจากอดีตที่การเปิดใจยอมรับสิ่งต่าง ๆ เป็นไปได้ยากกว่า และเหตุเดียวกันนี้ คนรุ่นใหม่จึงไม่แยแสว่าใครจะคิดบวก หรือ คิดลบต่อตนเองนัก เลือกแสดงตัวตนพร้อมทั้งอยากเห็นความชัดเจนของตัวตนผู้คน ผ่านการแสดงออก รสนิยม หรือแนวคิดที่พร้อมจะเปิดเผยอยู่แล้วไม่ต้องผ่าน เลนส์ หรือมิติความคิดใดเพิ่มเติมบนโลกการสื่อสารยุคใหม่ ตัวอย่างก็เช่น คนพูดจาหยาบคายคือคนตรงไปตรงมา ไม่ใช่คนไม่มีมารยาทแบบในอดีต

โดยที่ส่วนหนึ่งแม้เราจะเป็นกลุ่มคนที่เคยเห็นความสำคัญของการคิดบวก ก็อาจถูกปลดเปลื้องด้วยค่านิยมยุคหลังไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ในแง่ทั้งเปิดเผย และเปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าแท้แล้วสิ่งนั้นจะดีหรือเคยไม่เหมาะสมตามมุมมองเก่า แต่ก็มองบวกให้กับมันได้นั่นเอง

ตัวแทนการคิดบวก คิดลบในอดีต คือ ภาพผู้หญิงใส่ชุดว่ายน้ำ

ภาพตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านการคิดบวก คิดลบ ที่น่าจะชัดเจนโดยอย่างยิ่งคนที่มีอายุมาพอสมควรแล้ว คือ มุมมองในอดีตของ “รูปผู้หญิงใส่ชุดว่ายน้ำ” เพราะในหลายปีก่อน ต่อให้เป็นดารา ก็ต้องเป็นประเภทดาวยั่ว ดาวโป๊ หรือดาราประกอบเท่านั้น ที่จะสามารถเผยภาพตนเองใส่ชุดว่ายน้ำ นุ่งน้อยห่มน้อยออกสื่อ และถ้าเป็นบุคคลทั่วไป ผุ้หญิงที่เผยแพร่รูปตัวเองใส่ชุดว่ายน้ำ น้อยคนนักจะมองในแง่ดี หรือมองว่าเป็นภาพพจน์ที่ดี มุมนี้คนยุคหลังอาจจะไม่เข้าใจ เพราะเห็นจนชินตา แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเป็นอดีตสิงนี้จะถูกมองในแง่ลบ ต้องเป็นคนคิดบวกมาก ๆ เท่านั้นที่จะมองโดยไม่คิดอคติ หรือไม่วิจารณ์ใด ๆ พูดง่าย ๆ คนส่วนใหญ่ “คิดลบต่อสิ่งนี้”

ดังตัวอย่างที่กล่าวไป ก็ไม่ได้ต้องการสรุปว่า คิดบวกไม่จำเป็น ส่วนตัวในอดีตก็เป็นคนชอบเรื่องคิดบวก ขนาดขึ้นเป็น สถานะบนโปรแกรม msn ว่า Think positive อยู่หลายปี รวมถึงเป็นข้อความหลักบนปก blog เก่าเสมอมาอีกด้วย (สะท้อนความแก่เล็กน้อย 😅)

เพียงแต่ ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน คำว่า “คิดบวก” นั้น ย่อมไม่ควรเป็นความเพ้อฝัน หรือหลอกตัวเอง มันควรจะเป็น “การมองโลกบนความเป็นจริง แล้วเลือกมองหาในสิ่งที่ดีและมีประโยชน์” เสียมากกว่า ดังนั้นเมื่อความเป็นจริงของโลกเริ่มปรับเปลี่ยนไป หากเราคิดบวกจริง เราก็ต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตามในมุมที่สร้างสรรค์ เกิดประโยชน์ และยอมรับได้ว่า คำว่า “คิดบวก” ปัจจุบันมันมีการเปลี่ยนไปมากแล้ว

ในด้านหนึ่งอาจมองว่า การคิดบวกน่าจะยังจำเป็นต่อทัศนคติแง่ลบจนร้ายของใครบางคน ที่ดูว่าเขาคิดลบเข้าขั้นบั่นทอน และเป็นผู้ที่ยอมรับหรือแก้ไขปัญหาได้ยาก เพราะเขามักจะมองภาพลบมาก่อนมากกว่าปกติ แน่นอนว่าหากเป็นสมัยก่อนเราอาจแนะนำว่าให้เขา “เป็นคนคิดบวก” เสียบ้าง แต่ก็เพราะ “การยอมรับ” ที่มากขึ้นอีกนั่นแหละในสังคมปัจจุบัน เราย่อมตีความได้ง่ายกว่าว่า เขาอาจเป็นโรคซึมเศร้า หรือมีปัญหาทางจิต การที่คนทั่วไปนั่งบอกกรอกหูว่าให้คิดบวก ๆ นั้น นอกจากช่วยอะไรไม่ได้ เขาไม่ดีขึ้น อาจผิดวิธีส่งผลร้ายเป็นของแถมให้กับคนที่มีปัญหาทางจิตใจได้อีกด้วย สล็อต

อนึ่ง การคิดบวก อาจเป็นสิ่งสำคัญที่แทรกเข้าเพื่อใช้ในการแยกแยะและตัดสินสิ่งต่าง ๆ ผ่านมุมมองลบของตน หรือทุกวันนี้หลายคนมองผ่านเลนส์เดียวที่ชื่อว่า โซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่ดูอันตรายมาก เพราะเมื่อมีมุมคิดลบในใจขึ้นมา มันก็มีกลุ่มมากมายพร้อมที่จะสร้างกระแสจากเรื่องลบ ๆ ระบบคัดกรองเนื้อหา (algorithm) ก็ยัดเยียดแต่สิ่งเหล่านั้นมาให้ดู และเราเองก็ชอบที่จะเสพสิ่งที่ตอบสนองกับความเชื่อนั้น (Confirmation bias) ดังนั้นในการเสพสื่อ หรือรับข้อมูลใด ๆ ควรมีการคิดบวกแทรกเข้ามาในความคิดบ้างชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อลดอคติลง

โดยรวมแล้วจากสังคม สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป “ไม่ใช่ว่าการคิดบวก เป็นเรื่องที่ไม่ดี หรือไม่จำเป็น” เพียงแต่มันไม่ได้เป็นหลักใหญ่ใจความ หรือเหมาะกับการที่เอามาเป็นแกนคิดหลักอีกต่อไป เพราะสังคมทุกวันนี้เปิดกว้าง และยอมรับในหลายสิ่ง ที่บางครั้งก็เปิดไกลกว่าที่เราจะยอมรับด้วยซ้ำ จนบางครั้งมันเริ่มสุดโต่ง การคิดบวก จึงยังจำเป็นในรูปแบบเป็นมุมคิดเล็ก ๆ เพื่อยับยั้งแรงลบจากความคิดทั้งภายนอกและภายในใจไม่ให้เอนเอียงจนเกินไป เพราะหากยึดแต่คิดบวกมากไปเมื่อใด เราก็อาจกลายเป็นคนที่เอนเอียงสุดโต่งไปได้อีกทางอย่างไม่ยากเลยเช่นกัน

ภาคคิดลบ

พื้นฐานของการคิดลบ มักจะมาจากสิ่งแวดล้อม ขอยกตัวอย่างที่น่าจะทำให้นึกตามได้ทันที ถ้าเราเล่นน้ำอยู่ในคลองแล้วพูดถึงจระเข้ หรือ ถ้าคุณอยู่บ้านร้างกลางคืนคนเดียวแล้วพูดถึงผี เช่นนี้สิ่งแวดล้อมย่อมส่งให้นึกถึงเรื่องลบได้ง่าย มีแรงส่งให้คุณกลัว ระแวง หรือรู้สึกขึ้นมา แต่ถ้าคุณอยู่ในห้างสรรพสินค้าตอนกลางวันที่ผู้คนมากมาย ผีหรือจระเข้ พูดถึงอย่างไร ก็คงยากที่จะระแวงตื่นกลัว

เมื่อพอเห็นได้ว่าสิ่งแวดล้อม หรือช่วงเวลาส่งผลได้ คำว่าคิดบวกเองที่ไม่ใช่คำใหม่ แต่เมื่อย้อนมองไปคำนี้ เริ่มนิยมมากขึ้นหลังจากวิกฤติธุรกิจปี 40 มีนักธุรกิจฆ่าตัวตาย การล้มลงของผู้คนแบบยากที่จะทันตั้งตัว (ต่างจากวิกฤติไวรัส) สังคมและสิ่งแวดล้อมเต็มไปด้วยปัจจัยลบ สถานการณ์ช่างเอื้อให้คนคิดลบได้ง่าย “การคิดบวก” จึงเข้ามาเป็นพระเอกทางความคิดที่สำคัญ ผ่านไป 10 ปี (ที่รอบเศรษฐกิจก็ไม่ได้นานนัก) ก็เกิดวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์อีก สิ่งแวดล้อมลบ ๆ ก็กลับมาอีกครั้ง



ผู้ตั้งกระทู้ warrr (lelemimi76-at-gmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2023-05-16 10:27:45 IP : 95.181.239.137


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.