ดังนั้น  “ข้อสังเกตในวิชาโหราศาสตร์”   ที่ท่านกำลังถืออยู่นี้   จึงได้แหวกวงล้อมออกมาเป็นตัวของตน   จริงอยู่เมื่อทางไปของโหราศาสตร์เกิดเป็นทาง   ๒-๓  แพร่งขึ้นเช่นนี้    ฉะนั้น การที่จะหลีกเลี่ยงมิให้กระทบกระทั่งกันบ้างนั้นก็ย่อมเป็นวิธีที่จะปฏิบัติได้ยากมากอยู่สักหน่อย   ขอท่านผู้มีใจเป็นธรรมพึงได้โปรดกรุณาเห็นเจตนาอันบริสุทธิ์ใจของผู้เขียนตามควรแก่กรณีด้วย  และข้าพเจ้าขอกราบไหว้ท่านผู้เชี่ยวชาญและรอบรู้ในวิทยาการประเภทนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

               หลังจากเมื่อหนังสือฉบับนั้นได้ตีพิมพ์เสร็จไปแล้ว   ข้าพเจ้าก็คอยเฝ้าสดับตรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากท่านผู้รู้อยู่ด้วยความสนใจ   จนกระทั่งหลายปีต่อมา   ผลจึงปรากฏพอสรุปได้ว่า   ข้อสังเกตนานาประการที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นนั้น   พอไปได้   นิสัยของข้าพเจ้าไม่สู้จะลิงโลดในสักการใดๆอื่น   เท่ากับงานของหนังสือที่ข้าพเจ้าเป็นผู้เขียน   และได้มีเกียรติเข้าอยู่ในการติชมของสาธารณะ   เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าการที่ได้รับคำติชมนั่นแหละ   คือ   บำเหน็จรางวัลอย่างสูง    ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกเป็นที่พึงพอใจนักหนา    ฉะนั้นจึงคิดอยู่ในใจมาช้านานว่า   ถ้าข้าพเจ้ามีโอกาสเมื่อใด   ก็จะได้เสนอข้อสังเกตในวิชาโหราศาสตร์เท่าที่ข้าพเจ้าได้พยายามคิดค้นและรวบรวมไว้ได้เพื่อขอรับคำวิพากษ์วิจารณ์จากท่านผู้รู้ทั้งหลายต่อไป

            ท่านจะเชื่อข้าพเจ้าหรือไม่ก็ตามแต่อัชฌาสัยเถิด    แต่ข้าพเจ้าใคร่ที่จะเรียนให้ท่านทราบสักหน่อยว่า   ภายในระยะเวลา  ๓๐ ปีที่ล่วงมาแล้ว   โหราศาสตร์ได้พาข้าพเจ้าไปพบกับความจริงอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด    พิมพการบนนลาฏนรชนนั้นมีแน่   ท่านอย่าได้พึงพะวงสงสัยเลย    ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า   ท่านศึกษารหัสโหราศาสตร์มาพอจะให้เห็นแจ้งรู้จริงได้เพียงใดเท่านั้น     สำหรับความเห็นของข้าพเจ้าขอยืนยันว่า   โหราศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงของโลกที่สมควรจะศึกษาอย่างแท้จริง    ความเป็นผู้รู้แจ้งในวิชาโหราศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียวจะเป็นสิ่งขัดเกลาวิถีจิตให้กลมกล่อมและห่างไกลกับกิเลสทุกสถาน    บังเกิดการรู้จักความประมาณหน้าประมาณหลังได้ถูกต้องกับกาละและเทศะ   สองฝ่าเท้าจะยืนแนบแน่นอยู่บนพื้นปถพี   อันสมบัติ   สรรเสริญ  นินทา   เสมือนประดุจดั่งสังเวชสถาน    นอกจากพุทธศาสตร์แล้ว     จะไม่มีศาสตร์อื่นใดชี้ทางอดีต ปัจจุบัน  และอนาคตได้แม่นยำเท่าโหราศาสตร์   การปฏิสนธิ  ดำรงอยู่ในสภาวะฉันใด    ตลอดจนการแตกสลายไป   เป็นงานของโหราศาสตร์แขนงเดียวที่จะแจกแจงและจำแนกกรรมได้ถูกต้องและหมดจด    มาเถิดท่านผู้เป็นที่รักทั้งหลาย   ดิลกนาฏของท่านเจริญรูปวิไลลักษณ์   หรือวิกลวิกาลอัปรภาคเป็นไปในลักษณาการสถานใด  ก็ขอจงได้โปรดลองนำเอาข้อสังเกตในวิชาโหราศาสตร์ของข้าพเจ้า   ซึ่งได้ประมวลขึ้นโดยสังเขปนี้ไปประกอบการพินิจพิจารณาดวงชาตาราศีของท่านโดยรอบคอบเทอญ
  

             ดวงชาตาบุคคลเป็นส่วนมากทีเดียว   เมื่อได้พิจารณาพระเคราะห์ในเรือนราศีต่างๆตลอดจนที่สถิตย์ของลัคนาแล้ว   ไม่มีลักษณะแสดงดีแสดงร้าย   แต่เจ้าของดวงชาตาผู้นั้นก็บังเกิดผลดีผลร้ายอย่างสูงเป็นที่น่าประหลาด   และบางดวงชาตาแสดงว่าจะวิบัติเห็นได้ชัดๆแต่เจ้าของดวงชาตาผู้นั้นกลับบังเกิดความวิวัฒน์และพร้อมกันบางดวงชาตากำลังแสดงว่าจะประสบโชคมหาศาล    แต่แล้วเจ้าของดวงชาตากลับได้รับความวิปโยคทุกข์ร้อนอย่างแสนสาหัสก็มีดังนี้   ตามโบราณท่านว่าดวงชาตาทั้งสามลักษณะนี้ให้พิจารณาลัคนาในราศีเกณฑ์เสียก่อน   คือ.-

  ลัคนาในราศีนะระ มีพระเสาร์(๗) เป็นประจำ

  ลัคนาในราศีอัมพุ มีพระอังคาร(๓) เป็นประจำ

  ลัคนาในราศีกีตะ มีพระราหู(๘) เป็นประจำ

  ลัคนาในราศีปัสวะ มีพฤหัสบดี(๕) เป็นประจำ

พระเคราะห์ในลักษณะ นะระ  อัมพุ  กีตะ  และปัสวะ  ทั้ง ๔ ตัวนี้   ถ้าปีใดทักษาจรมาเป็นศรีหรือกาลกิณีต้องลัคนาในราศีเกณฑ์นั้นๆ แล้ว   ย่อมแสดงผลดีผลร้ายอย่างสูงและอย่างหนักมาก  ตามเกณฑ์พยากรณ์ดังกล่าวนี้    สำหรับผู้ที่มีลัคนาในราศีอัมพุต้องหนักหนามากกว่าผู้มีลัคนาอยู่ในราศีเกณฑ์อื่นๆ  เพราะพระอังคาร(๓) มีทางจักรเร็วรุดไม่เหมือนพระเคราะห์ใหญ่ทั้ง  ๓ ตัว  คือพระเสาร์(๗) พระราหู(๘)  และพระพฤหัสบดี(๕)  แปลความว่า  ในระยะสิบปีจะต้องประสบโชคหรือไม่ก็เคราะห์ร้ายเสมอไป
  

            นี้ที่นำมากล่าวก็เพราะว่า   ตำราท่านว่าไว้ในทำนองดังนี้   แต่ในทางสอบสวนค้นคว้าของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าได้พบเงื่อนงำว่า  ความหมายของราศีเกณฑ์นั้น  แท้จริงเพียงแต่จะแสดงสัณฐานของดวงชาตาเฉพาะแต่เมื่อเวลาตกฟากเท่านั้น   มิได้มุ่งหมายล่วงเลยไปถึงการพยากรณ์ในปีปัจจุบันด้วย   จริงอยู่กฏเกณฑ์ของราศีนะระ  อัมพุ  กีตะ  และปัสวะ  โดยมีพระเคราะห์ เสาร์(๗)  อังคาร(๓) ราหู(๘)  พฤหัส(๕)  สถิตย์เสถียรมาแต่วันตกฟากโดยถูกต้องนั้น   ข้าพเจ้ายอมรับว่า  ๘๐%  เจ้าของดวงชาตาที่มีโชคดีได้มีพระเคราะห์นั้นๆ  ดังที่กล่าวไว้ต่างก็พากันดีเด่นในลักษณะต่างๆกัน  แต่กระไรก็ตามดังได้กล่าวไว้แล้วว่า  ตำราโหราศาสตร์นั้นไม่ใช่คัมภีร์ที่จะใช้เพียงแต่อ่านอย่างเดียว  เมื่ออ่านเสร็จแล้วก็ต้องวินิจฉัยความหมายของท่านให้ถ่องแท้เสียก่อน  แล้วจึงจะถือเอาเป็นมติไว้ใช้พยากรณ์ได้   การอ่านหนังสือออก  เด็กๆก็อ่านให้ท่านฟังได้  แต่การแปลความหมายของหนังสือโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือตำราโหราศาสตร์แล้ว  ท่านจะต้องใช้เวลาพินิจพิจารณาให้มากสักหน่อย  ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกๆคนย่อมจะจำชีวประวัติของตนๆได้ดีโดยมิต้องเสียเวลาไปสอบถามจากบุคคลผู้อื่นใด
  

           ฉะนั้น  ถ้าบังเอิญท่านสอบสวนค้นคว้าหลักเกณฑ์อันใดได้แปลกไปกว่าเท่าที่ตำรากล่าวไว้สักชิ้นหนึ่งแล้ว   ทางที่ดีก็ควรจะเอาหลักเกณฑ์ที่ท่านค้นคว้าได้นั้นมาสอบกับชีวประวัติของท่านเข้าเท่านั้น   ท่านก็จะทราบได้ว่าหลักเกณฑ์ที่ท่านค้นคว้าได้นั้นถูกต้องตรงกับชีวประวัติของท่านหรือไม่  เมื่อสอบดูแล้วเห็นว่าแยบคายดี  ท่านก็จดจำเอาไว้สำหรับใช้ทดสอบกับดวงชาตาของผู้อื่นได้ต่อไป   และถ้าการพยากรณ์ให้แก่ผู้อื่นก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจจริงๆ ด้วยแล้วนั่นแหละ   ท่านจึงควรจะยึดถือเอากฎเกณฑ์ที่ท่านค้นคว้าได้เป็นมติ   หรือตำราอีกเล่มหนึ่งได้

           ในเรื่องลัคนาสถิตอยู่ในราศีเกณฑ์ทั้งสี่  คือ  นระ  อัมพุ  กีตะ  และปัสวะนั้น  ข้าพเจ้าใคร่ขอแนะนำให้ท่านทราบถึงเคล็ดลับ   เพื่อผลพยากรณ์ปัจจุบันว่า  เมื่อใดอายุของท่านมีทักษาโดยเฉพาะพระเคราะห์ เสาร์(๗) อังคาร(๓) ราหู(๘)  และพฤหัสบดี(๕) ทั้งสี่ตัวนี้  ถ้าตัวใดตัวหนึ่งทักษามาเป็นศรีหรือกาลกิณีแล้ว   แม้ท่านจะมีลัคนาอยู่ในราศีเกณฑ์ใดๆก็ตามทีเถิด   แต่ในทางพยากรณ์นั้นจะต้องใช้กฎเดียวกันทั้ง  ๔   ลักษณะ   ดังตัวอย่างเช่น

  ก.ลัคนาจะอยู่ราศีใดๆก็ตาม  ถ้าพระเคราะห์เสาร์(๗) อังคาร(๓) ราหู(๘) และพฤหัสบดี(๕)  จรมาเป็นศรีหรือกาลกิณี  ทับลัคนาแล้ว  ก็ต้องพยากรณ์เสมอเหมือนลัคนาอยู่ในราศี”นะระ”  เช่นกันทั้ง  ๑๒  ราศี

  ข.ลัคนาจะอยู่ราศีใดๆก็ตามถ้าพระเคราะห์เสาร์(๗) อังคาร(๓) ราหู(๘) และพฤหัสบดี(๕)  จรมาเป็นศรีหรือกาลกิณี  ห่างจากลัคนาไปสี่ราศีแล้ว  ก็ต้องพยากรณ์เสมอเหมือนลัคนาอยู่ในราศี”อัมพุ”  เช่นกันทั้ง  ๑๒  ราศี

  ค.ลัคนาจะอยู่ราศีใดๆก็ตาม ถ้าพระเคราะห์เสาร์(๗) อังคาร(๓) ราหู(๘)และพฤหัสบดี(๕)  จรมาเป็นศรีหรือกาลกิณี   ขึ้นไปเล็งยันกับลัคนานับได้ ๗ ราศีแล้ว  ก็ต้องพยากรณ์เสมอเหมือนลัคนาอยู่ในราศี”กีตะ”  เช่นกันทั้ง  ๑๒  ราศี

  ง.ลัคนาจะอยู่ราศีใดๆก็ตาม  ถ้าพระเคราะห์เสาร์(๗) อังคาร(๓) ราหู(๘)  และพฤหัสบดี(๕)  จรมาเป็นศรีหรือกาลกิณี  ห่างจากลัคนาไปสิบราศีแล้ว  ก็ต้องพยากรณ์เสมอเหมือนลัคนาอยู่ในราศี”ปัศวะ”  เช่นกันทั้ง  ๑๒  ราศี

             ในเรือนสองของลัคนา  คือ  กฎุมพะ  ในเรือนห้าแก่ลัคนาคือ  ปุตตะ  ในเรือนสิบและสิบเอ็ดกับลัคนา  คือ  กัมมะ  และลาภะ  ถ้ามีพระเคราะห์คู่ใดคู่หนึ่งประดิษฐานอยู่ตรงกับตำแหน่งแล้ว  จะประเสริฐยิ่งนัก  เพราะเคราะห์คู่นั้นมีอยู่ด้วยกัน  ๘  คู่  คือ :-
        พระเคราะห์      อาทิตย์(๑) กับ ราหู(๘)
                 “             อาทิตย์(๑) กับ อังคาร(๓)
                 “             จันทร์(๒) กับ ศุกร์(๖)
                 “             จันทร์(๒) กับ พุธ(๔)
                 “             อังคาร(๓)กับ เสาร์(๗)
                 “             พุธ(๔) กับ พฤหัสบดี(๕)
                 “             พฤหัสบดี(๕)กับ ศุกร์(๖)
                 “             เสาร์  กับ ราหู(๘)
  

             พระพฤหัสบดี(๕)  ถ้าเป็นสามแต่ลัคนาในหัวมีแต่ขี้เรื่อย  ความคิดความจำช่างน้อยอย่างน่าสงสาร
            พระพฤหัสบดี(๕)  หรือพระเสาร์(๗)  เป็นมรณะหรือวินาศแก่ลัคนา  เป็นชาตาของผู้ขาดอุปการะ  โดยมากไม่บิดาก็มารดาได้ตายจากไปตั้งแต่เจ้าชาตายังมีอายุน้อยมาก   หรืออย่างเพลาก็ไม่ได้อยู่กับบิดามารดามาแต่เยาว์วัย   กฎนี้สำหรับใช้สอบเวลาตกฟากได้แม่นยำที่สุด
  

            ธรรมดาศรีอยู่ในเรือนมรณะแก่ลัคนา  คือ  ราศีแปด  โดยมากมักจะมั่งมีทุกคน  แต่ถ้าลัคนาอยู่ในราศีที่พระเคราะห์ศรีเป็นแปด   โดยพระเคราะห์นั้นเป็นประ   หรือเป็นนิจ   กลับแห้งแล้ง   เพราะประหรือนิจไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นศรี   แต่ถ้าเปลี่ยนชื่อเจ้าชาตาให้ศรีซึ่งเป็นประหรือนิจ  เป็นกาลกิณีเสียได้   ชีวิตก็มีหนทางที่จะแจ่มใสขึ้น
  

              พระพฤหัสบดี(๕)กุมลัคนา  เฉลียวฉลาดและซื่อ   จนในที่สุดก็กลายเป็นเซ่อ   คือ  เป็นคนไม่ทันต่อความอลเวงของโลกในปัจจุบัน
พระพฤหัสบดี(๕)เป็นสองแก่ลัคนา สมองใส   เสมอด้วยก้อนแก้ว

                 พระพฤหัสบดี(๕)เป็นสามแก่ลัคนา นอกจากหัวจะมีแต่ขี้เลื่อยแล้ว   ยังมีความอวดดีอวดรู้เกินกว่าจิตแพทย์จะรักษาเยียวยาได้ด้วย   แต่ถ้ามีกาลกิณีกุมลัคนาก็จะกลับกลายเป็นโง่ลบด้วยเขลา   คือ  ปรีชาสามารถคนหนึ่งเหมือนกัน

                  พระพฤหัสบดี(๕)เป็นสี่แก่ลัคนา  เป็นพระเคราะห์ประเสริฐแท้จริงทุกๆด้าน
                  พระพฤหัสบดี(๕)เป็นห้าแก่ลัคนา สติปัญญาออกจะทึบๆไปสักหน่อย
                  พระพฤหัสบดี(๕)เป็นหกแก่ลัคนา กลอกกลิ้งเอาการอยู่
                   พระพฤหัสบดี(๕) เป็นเจ็ดแก่ลัคนาซึ่งลัคนาอยู่ในราศีตุล  มีความคิดความอ่านข้ามหัวมนุษย์  ในราศีพิจิก ทำให้เจ้าชาตากลายเป็นคนสงบ  รักการศึกษา  ศีลธรรมดีโดยมากมีสติปัญญาอย่างปราชญ์  ในราศีธนู   เป็นครูคนได้ทั้งเมืองแต่เป็นครูตนเองไม่ได้   ในราศีมังกร  เป็นคนมีเกียรติและมีความคิดอ่านอย่างสูง  ในราศีกุมภ์  เป็นคนหลักแหลมเฉลียวฉลาดหาตัวจับยาก ในราศีมีน กล้องแกล้งตลบแตลงเป็นเอก ในราศีเมษ  เฉพาะดวงชาตาหญิงมีสัจจธรรมเป็นที่หนึ่ง   สำหรับดวงชาตาชายเป็นคนซื่อสัตย์และเข้มแข็งในการงาน   ในราศีพฤษภเป็นนักปราชญ์ถนัดในวิชาลี้ลับเป็นชีวิตจิตใจ    ในราศีมิถุน  ใฝ่ใจในพระศาสนาและพร้อมกันนั้นในทางโลกก็ใฝ่ใจไม่แพ้กัน   ในราศีกรกฎ   เป็นคนสติปัญญาทื่อมะรื่อชอบกล    ในราศีสิงห์  ชอบเรียนคาถาอาคม  ถ้าศึกษาเดียรัจฉานวิชาจะมีความรู้อย่างน่าอัศจรรย์   ในราศีกันย์ใฝ่ใจในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง   ทั้งจริตมรรยาทก็สงบเสงี่ยมดีด้วย   คำว่า  ในราศี  ที่กล่าวมาแล้วนี้  คือเป็นตำแหน่งที่ลัคนาสถิตอยู่  โดยมีพระพฤหัสบดี(๕)  เป็นเจ็ดเล็งยันแก่ลัคนา
                 พระพฤหัสบดี(๕)เป็นเก้าแก่ลัคนา มีหลักวิชาความรู้มั่นคงดี
                พระพฤหัสบดี(๕)เป็นสิบหรือสิบเอ็ดแก่ลัคนา   ชีวิตอยู่ในสถานะราบรื่นตลอดชีวิต
พระพฤหัสบดี(๕)เป็นสิบสองแก่ลัคนา  นอกจากจะเป็นกำพร้าแต่เล็กแล้ว  ชีวิตจิตใจก็คดโกงสิ้นดี  และมีศิลปอย่างเลิศอยู่ประการหนึ่งคือ   “โกหก”   หน้าตายอย่างสนิท    ถ้าพระพฤหัสบดี(๕)อยู่ในราศีกันย์โดยไม่มีพระเคราะห์อื่นกุมอยู่ด้วย   และพฤหัสบดี(๕)นั้น   เป็นวินาศ
แก่ลัคนาแล้ว  จะกลายเป็นคนตลบแตลงและอกตัญญู   

                 กาลกิณีเข้าครองเรือนเกษตรซึ่งเป็นพฤหัสบดี(๕)ในดวงชาตาหญิง แม้เจ้าชาตาจะอยู่ในสถานะใดก็ตามต้องมีประวัติในทางบัดสีทุกคน  ในทำนองเดียวกัน ถ้าพฤหัสบดี(๕)สถิตในเรือนกาลกิณี   โดยมากมักจะฉลาดอย่างชนิดโกงทุกด้านหาความเป็นมนุษยธรรมได้ยาก    
  

                 โดยเฉพาะในด้านศีลธรรม   และความมั่นคงในสถานะ  พระพฤหัสบดี(๕)  ต้องกุมลัคนา   เป็นสี่  เป็นเก้า    สิบ  และสิบเอ็ด
  

                 พระพฤหัสบดี(๕)  กุมลัคนาอยู่ในราศีกรกฎ  โดยมีพระอังคาร(๓) กับพระเสาร์(๗) ในราศีตุลก็ดี   พระอาทิตย์(๑) กุมลัคนาอยู่ในราศีเมษ   โดยมีพระอังคาร(๓) กับพระเสาร์(๗)  ในราศีตุลก็ดีเป็นชาตาที่ประกอบด้วยโยคอันทรงคุณที่สุด

                  พระพฤหัสบดี(๕) ในเรือนธาตุ คือได้แก่ราศีพฤษภ กันย์ และมังกร  ขอให้กุมลัคนาเท่านั้น  จะมีชีวิตสุขสบายโดยตลอด
                 พระพฤหัสบดี(๕) กับพระเสาร์(๗) กุมกันอยู่ในดวงชาตาผู้ใดจะเป็นคนใฝ่ฝันในสิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้  ถ้าอยู่ในเรือนวินาศนะแก่ลัคนาก็ใกล้ปากคลองสานเข้าไป  ยิ่งพระพุธ(๔) เสียอีกตัวหนึ่งยิ่งใกล้เข้าไปอีกนิด
               พระเคราะห์ถอยราศีเกษตรที่ทรงคุณสมบัติอย่างยิ่งคือ  พระพฤหัสบดี(๕) มหาจักรในราศีพิจิก  พระพุธ(๔) มหาจักรในราศีสิงห์  พระศุกร์(๖) ในราศีกันย์  ดวงชาตาผู้ใดมีพระเคราะห์ดังกล่าวนี้กุมลัคนาประเสริฐนัก
 

              พระพฤหัสบดี(๕) จะไม่มีความหมายแก่ชาตาหญิงที่มีพระพุธ(๔) กับพระศุกร์(๖)กุมกันในราศีธาตุน้ำ  โดยพระเคราะห์ทั้งสองนี้กุมลัคนา  หรือพระอังคาร(๓) กับพระจันทร์(๒)กุมกันโดยพระเคราะห์ทั้งสองนี้มีองศาสัมผัสแก่ลัคนา  หรือมีพระราหู(๘) กับพระจันทร์(๒)กุมกันโดยไม่เลือกว่าจะเป็นราศีไหน  เว้นแต่บังเอิญไปอยู่ ในราศีที่เป็นศรี หรือ  กาลกิณีก็สงบ   พระเคราะห์ทั้ง ๓ คู่ตามที่กล่าวนี้  ถ้ากุมลัคนาหญิงอยู่  พระพฤหัสบดี(๕) แม้จะอยู่ในลักษณะที่ดีแสนดีปานใดก็ตาม  ก็ไม่สามารถจะยับยั้งสติมิให้หญิงผู้มีพระเคราะห์แรงร้ายดังที่กล่าวนี้  ให้แลเห็นผิดเป็นชอบได้เสมอ
  

               พระอังคาร(๓) กับพระจันทร์(๒) กุมกันในราศีที่เป็นวินาศนะแก่ลัคนา มักมีอารมณ์อันสงบระงับดียิ่ง  และมีพระราหู(๘) เป็นมรณะด้วย ถ้าบวชก็ไม่คิดสึก

                 พระเคราะห์ใดๆ ก็ตามที่เป็นศรีแก่เจ้าเรือนเกษตรโดยพระเคราะห์ที่อาศัยนั้นทรงคุณสมบัติ  เช่น พระอาทิตย์(๑) อุจจาวิลาส  สถิตอยู่ในราศีมีนเป็นต้น  พระเคราะห์ที่สถิตจะแสดงคุณสมบัติตามทักษาของเจ้าชาตาอย่างสูงสุด

              พระราหู(๘) กับพระเสาร์(๗) ครองอยู่ในภพกัมมะที่เรือนเกษตรพระอังคาร(๓) ชอบเล่นแร่แปรธาตุ และถ้ากัมมะนั้นอาศัยเรือนปัตนิ  โดยประสมกับคู่ธาตุเช่น  พระอาทิตย์(๑) ในราศีพฤษภ หรือราศีตุล มักจะถือเอาอาชีพเป็นเมีย  ไม่ชอบเอาคนเป็นเมีย  คือ หายใจเป็นงานเป็นเงินไปหมด

               อายุเป็นวินาศนะแก่ลัคนา  และอายุนั้นอยู่ในเรือนกาลกิณี  เป็นชาตาของผู้มีอายุยืน  แต่ขี้โรคอย่างงอมแงม
  

               พระศุกร์(๖) ในราศีมังกร มีนิสัยใจคอแปลกและวิตถาร
                พระเสาร์(๗) กุมพระจันทร์(๒) ก็ดี  พระเสาร์(๗) กับพระอังคาร(๓)กุมกันก็ดี  ถ้าอยู่ในราศีธาตุไฟสายตาไม่สู้ดี  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระเสาร์(๗)กุมพระจันทร์(๒) อยู่ในราศีไหนก็ตาม เป็นโรคนัยน์ตาเสมอ
               พระอาทิตย์(๑) พระพุธ(๔) พระศุกร์(๖) กุมกันอยู่ในราศีใดก็ตาม  เว้นแต่เรือนกาลกิณี  เป็นคนมีเสน่ห์ แม้พระเคราะห์ทั้ง  ๓ ตัวนี้  ตัวใดตัวหนึ่งจะเป็นกาลกิณีก็ตาม
  

              ผู้มีปัตนิเป็นศรี  แต่ร่วมกาลกิณี  คือ  เป็นสาม  เป็นห้า  เป็นเจ็ด  และเก้า  เป็นชาตาที่มีเมียเสมอด้วยแม่  ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจหญิงตลอดชาติ
  

                พระเคราะห์อุดทวารทั้งสี่  มีสภาพเหมือนตุ๊กตาล้มลุก  ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวเลวสลับกัน
  

                 กาลกิณีเข้าครองเรือนปัตนิลัคนา  เจ้าชาตาจะต้องร้อนใจในเรื่องคู่ครองเสมอเพราะฝ่ายตรงข้ามจะประพฤตินอกใจทุกคน
  

                พระเคราะห์หักอย่างลูกบาศก์คือ  พระอาทิตย์(๑) พระจันทร์(๒) พระอังคาร(๓) กุมกันในราศีใดก็ตาม  ดวงชาตานั้นย่อมจะหักในท่ามกลางอายุอย่างแม่นมั่น  และจะหักเพราะเหตุอะไร  ให้พิจารณาทั้งสามองค์นั้น  รวมกลุ่มกันอยู่ในเรือนเกษตรอะไร  และเกษตรในเรือนนั้นมีรูปเป็นทักษาอะไรแก่เจ้าชาตา
  

               ดวงชาตาตรีโกณด้วยมุมหนึ่งมีพระเคราะห์เป็นศรี  โดยมีลัคนาอาศัยอยู่ในเรือนเกษตรศรี  เป็นผู้นั่งอยู่ในหัวใจคน  เป็นผู้มีเสน่ห์มหานิยมยิ่งนัก
 

               กาลกิณีมหาจักรอยู่ในเรือนมรณะแก่ลัคนา  เป็นมหานิยมสูงสุด  ขึ้นชื่อว่ากาลกิณีมหาจักรแล้ว ให้คุณพิสดารเสมอ  แล้วแต่จะไปสถิตอยู่ในราศีอะไร  หรือไปเป็นอะไรแก่ตนุ ฯลฯ
  

                พระเคราะห์สี่โหงวลักอย่างลูกบาศก์  คือ พระพุธ(๔)  พระพฤหัสบดี(๕) พระศุกร์(๖)  โดยมีลัคนาหรือพระจันทร์(๒) เป็นสอง  หก  สิบเอ็ด  แก่พระเคราะห์ทั้งสามซึ่งกุมกันอยู่นั้น  เจ้าชาตาเป็นคนมั่งมีมาก
  

               ตนุเศษกับกัมมะเป็นวินาศนะแก่ลัคนา  และอยู่ในเรือนกาลกิณีด้วย  ทางแห่งชีวิตมักสะบั้น  อนึ่ง  แม้ตนุเกษตรเป็นวินาศนะแก่ตนุเศษหรือลัคนาเท่านั้น  ทางของชีวิตก็เป็นคุดทะราดเหยียบกรวด
  

              ชาตาหญิงมีศรีและปัตนิอยู่ในเรือนกาลกิณีบวชชีเสียเถิดจะได้ไม่ชอกช้ำระกำใจ
  พระอังคาร(๓)  กับพระเสาร์(๗)  กุมกันอยู่ในราศี เมษ  พฤษภ  มิถุน  กรกฏ ดีมาก ถึงแม้บางชาตาอาจจะมีโรคประจำตัวก็ตาม  แต่ก็มั่งคั่งทั้งนั้น 
  

               พระอังคาร(๓) กับพระราหู(๘) กุมลัคนาก็ดี เป็นสาม  หก  สิบ  หรือสิบสองแก่ลัคนาก็ดี  โดยมากฐานะสูงส่งกว่าตระ***ล
               พระพุธ(๔) ในราศีมิถุน  โดยมีพระเสาร์(๗) ในราศีมังกรด้วย มักมีร่างกายพิการค่อมเตี้ย
              พระอังคาร(๓) ในราศีมิถุน โดยมีพระพุธ(๔) ในราศีมังกร โง่เง่าที่สุด
              พระจันทร์(๒) พระพุธ(๔) พระพฤหัสบดี(๕) และพระศุกร์(๖) กุมกัน เป็นสี่ , เจ็ด หรือสิบแก่ลัคนาดีมาก  เงินทองบริบูรณ์  พระเคราะห์ทั้งหมดนี้ก็คือกฎของ สี่โหงวลักนั่นเอง
               พระพุธ(๔) พระพฤหัสบดี(๕) พระศุกร์(๖) กุมกันเป็นหก, เจ็ด ,แปด แก่พระจันทร์(๒) เป็นชาตาเกียรติยศสูงยิ่ง  ถ้าเป็นสอง, สี่ และสิบสองแก่พระอาทิตย์(๑) มีความสุขสวัสดิภาพทุกประการ  นี่ก็คือลักษณะของสี่โหงวลักเหมือนกัน  
                 ลัคนาสถิตในราศีมังกร  มีพระอาทิตย์(๑) หรือพระพุธ(๔) หรือพระจันทร์(๒) ตัวใดตัวหนึ่งกุมอยู่ด้วย ประเสริฐนักชาตาไม่ใคร่ตก
                ชาตาผู้ใดมีมฤตยู(๐) ในราศีพิจิกให้พึงระวัง ยิ่งกุมลัคนาด้วย ควรระวังให้หนักยิ่งขึ้น  เพราะทางชีวิตใกล้แดนต่างๆในบางขวาง
           

                ลัคนาสถิตในเรือนกาลกิณี  หรือตนุเศษเป็นกาลกิณีก็ดี  แม้พระเคราะห์ตัวอื่นจะส่งให้สูงสักเพียงไรก็ตาม   แต่ในที่สุดแห่งบั้นปลายของชีวิต  ก็คือพินาศมลาย
  

               กาลกิณีกุมศรีจะอยู่ในที่ใดๆก็ตาม  โดยมีพระอาทิตย์(๑) ครองอยู่ในราศีธาตุไฟหรือพระราหู(๘) กับพระอาทิตย์(๑) กุมกันในราศีธาตุไฟ  บ้านเรือนจะประลัยด้วยไฟอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย
 

                 ผู้มีพระเคราะห์มูละเป็นแปดหรือสิบสอง  และมีพระอาทิตย์(๑) และพระราหู(๘)ในราศีธาตุไฟ  และเจ้าชาตาเป็นผู้ที่จะได้รับมรดกโดยทางพินัยกรรมแล้ว   ชาตาเช่นนี้จะไม่มีหวังได้รับมรดกเลย  เพราะห์ทรัพย์สินตามพินัยกรรมนั้น  จะต้องศูนย์สิ้นไปในการถูกเพลิงเผาผลาญเสียก่อน
  

                 ศุภะแม้จะเป็นศรี  หรือมีศรีกุม  หรือศุภะสถิตในเรือนศรี  ซึ่งน่าจะมีความสุขและมั่งคั่ง  แต่ถ้ามีกาลกิณีเข้าร่วม, เข้าเล็ง  หรือกุมลัคนาก็ตาม  ชีวิตจะต้องประสบกับความวิบัติเสียก่อน   แล้วต่อไปภายหลังจึงจะวิวัฒน์....ฯ