ReadyPlanet.com
dot
dot
นิตยสาร " โหราเวสม์ "
dot
bulletนิตยสาร "โหราเวสม์" ๔๘-๕๗
bullet:: ผูกดวง วางลัคนา หาสัมผุสดาว (ตามหลักคัมภีร์สุริยยาตร์) ::
bullet:: ผูกดวง วางลัคนา หาสัมผุสดาวตามปฏิทินดาราศาสตร์ (ลาหิรี) ::
bulletดูดวง ตามปี นักษัตร โหรหลวง
dot
เวป เพื่อนบ้าน
dot
bullethora-thai.com
bullethorasad.com
bullethorasad7.com
bullettiantek.com
bullettiantekpro.com
bullethenghengheng.com
bullet10luckastro.com
bulletตรวจล็อตเตอรี่
bulletค้นหาเบอร์โทรศัพท์
bulletค้นหาคำศัพท์
bulletค้นหารหัสไปรษณีย์
bulletOnline-Image-Converter
bulletAffiriate Area
bulletนำเข้าสินค้าจากจีน
bulletTaobao
bulletเฟอร์นิเจอร์
bulletกระบอกน้ำ
bulletของพรีเมี่ยม
bulletร่ม
dot
ข่าวสาร
dot
bulletเดลินิวส์
bulletไทยรัฐ
bulletข่าวสด
bulletบ้านเมือง
bulletมติชน
bulletคมชัดลึก
bulletกรุงเทพธุรกิจ
bulletผู้จัดการ
dot
เวปเพื่อนบ้าน แลกลิ้ง โฆษณา
dot
bulletเวปเพื่อนบ้าน
bulletแลกลิ้งที่นี่ LINK EXCHANGE
bulletโฆษณา คลิกที่นี่
dot
อาจารย์ เทียนเต็ก
dot
bulletดูดวงจีนฟรี กับ อ.เทียนเต็ก
bulletspeedtest.adsl
bulletYOUTUBE เวิ้งนครเขษม บ้านเรา


รับตั้งศาลต่าง ๆ

าจารย์โชคชัย เงินดี
รับตั้งศาลพระภูมิ เจ้าที่
พระพรหม และ
ถอนศาลต่างๆ
โทร:081-880-6143

 

พิธีพุทธาภิเษกวัจถุมงคลพระพิฆเณศมหามงคล รุ่น 1 วันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2555
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

โปรแกรมผูกดวงจีน
อาจารย์เทียนเต็ก

โปรแกรม
ตรวจสอบโชคลาภความร่ำรวย
ราคา 300 บาท

โปรแกรมดูดวงจีน 2 ภาษา
windows mobile

โปรแกรมดวงจีน
"รู้หนึ่ง-รู้หมด"
ดูดวง,หาฤกษ์ด้วยตนเอง

โปรแกรม Tian-Tek Pro Version 1
ราคา 1,000 บาท

VCDและDVD เรียนดวงจีน
ชุดที่ 1-2-3

0

Download ฟรี.
ตลับเมตรไฮเทค (ดีที่สุดในโลก)วัดได้ยาวไกลที่สุด

วัตุถุมงคล
เสริมดวง แก้ชง
สะเดาะเคาะห์ ต่อชะตา

ดวงจีนและฮวงจุ้ย
ที่เป็นวิทยาศาสตร์

อาจารย์อ๊อดวัดสายไหม
เจ้าตำรับตระกรุดลูกปืน
(1ส.ค.2550)

หลวงหนุ่ย
ที่สุดแห่งเจ้าพิธีเทวาภิเษก
จตุคามราเทพ 27 มิ.ย.2550

ที่เขาว่ารวยเพราะปี่เซียะหรือเป็นที่ฮวงจุ้ยกันแน่

ประวัติปี่เซียะ 貔貅

ตำแหน่งขุมทรัพย์
มหาเศรษฐี

ฮวงจุ้ย คู่สมพงศ์
ชง - ฮะ

ฮวงจุ้ยคนตาย

การตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ดวงปี 51ดวงฮวงจุ้ยให้โทษ
นี่เป็นลิขิตฟ้า-ยากจะฝืน

คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี
ไปสู่สถานที่ดี

เปิดกรุจตุคามรามเทพ
รุ่นที่ คุณสนธิไม่มี

เหรียญมงคล แก้ชง เสริมดวง
สะเดาะเคาะห์ต่อชะตา
ที่ร้านเซเว่นทุกสาขา

สถานีโทรทัศน์สีช่อง 7. สี(กระจก 6 ด้าน) มาทำข่าวเกี่ยวกับ ปี่เซียะ"貔貅

svautoshop  xenon

 

อาจารย์ รสสุคนธ์
รับสอนโหราศาสตร์ไทย
ตามทฤษฎี นวางศ์จักร
(อ.บุศรินทร์ ปัทมาคม)

หลักสูตร 2 เดือน 40 ชม.
เน้นการพยากรณ์เป็นหลัก
เพื่อดูดวงได้จริง
รับงานพยากรณ์
งานอีเว้นท์ นอกสถานที่
ติดต่อ
086-3582656
ossukon7155@gmail.com
ดูดวงผ่าน
1900 111 080
หรือ App Horaworld
รหัส 153

รับพยากรณ์ดวงจีน

อ.มังกร (แซ่จึง)
มณีเกียรติไพบูลย์
พยากรณ์ดวงชะตาจีน
(ซี้เถียวโป๊ยยี่)
ฤกษ์จีน แต่งงาน
ออกรถ
ขึ้นบ้านใหม่
มือถือ
081-459-9550
บ้าน
02-870-2450



โหราสาด (ฉบับเรียนรู้ โดยไม่ต้องถาม) อ.สอ้าน(สีดิน) article

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่    บทนำ

 

เมื่อประมาณสัก ๓๐ ปีเห็นจะได้  ตอนนั้นผมเพิ่งเรียนรู้โหราสาดใหม่ ๆ มีวันว่างอยู่วันหนึ่งไม่รู้จะไปเดินเตร็ดเตร่ที่ไหน  จึงไปยังสมาคมโหรสมาคมหนึ่งที่ดังเป็นอันดับหนึ่งในสมัยนั้น  ที่ทำการตั้งอยู่หน้าวัดพอดี  ก่อนที่จะข้ามถนนไปยังตัวตึกของสมาคมฯ ผมได้เข้าไปในอุโบสถ เพื่อกราบนมัสการพระประทานอันถือว่าเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาเพื่อเป็นสิริมงคล

 

หลังจากนั้นก็แวะเข้าไปยังห้องโถงของที่ทำการซึ่งเป็นทั้งห้องเรียนห้องประชุมไปในตัว  จำได้ว่ามีกระดานดำอยู่แผ่นหนึ่งแขวนอยู่ในระดับพอดีที่จะเขียนอะไร ๆ ได้  มีท่านโหราจารย์กำลังบรรยายเกี่ยวกับวิชาการโหราสาดอยู่พอดี  ในตอนนั้นผมยังใหม่  และไม่เคยคลุกคลีในวงการโหรมาก่อน จึงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  แต่ก็คิดในใจว่าคนที่สามารถขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นหน้าห้องใกล้กระดานดำได้  ต้องเป็นผู้มีความรู้ดีกว่าผมแน่นอน

 

วันนั้นผมเลือกนั่งแถวหลัง ๆ เพราะยังเกรงความผิดที่ตนเองยังไม่ได้เป็นสมาชิก  แต่ก็แอบเข้ามาฟังการเรียนการสอน

 

นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ได้ไม่นานผมต้องสะดุ้งเมื่อมีคนเข้ามาสะกิดไหล่  ผมหันมามองด้วยความรู้สึกเสียววูบ?  เพราะเกรงเขาจะจับได้ว่าเป็นคนนอกเข้ามาแอบฟังการบรรยาย  เมื่อหันไปมอง เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีพอสมควร  ผมมองหน้าด้วยสายตาที่ระแวดระวังอยู่แล้ว  เขากลับถามผมว่า  ผมเรียนโหราสาดมานานแค่ไหน  ผมก็ตอบไปตามตรงว่าไม่นาน  เขากลับถามย้อนมาอีกว่าแล้วพี่ผูกดวงเป็นหรือยัง?  ผมก็บอกว่าผูกเป็นแล้ว เห็นเขาก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมพูดเหมือนบ่นว่า  เขาเรียนมาปีหนึ่งแล้วแต่ยังผูกดวงไม่เป็นเลย

 

เรียนโหราสาดมา ๑ ปียังผูกดวงไม่เป็น?  ตรงนี้แหละครับที่กระแทกความรู้สึกผมเข้าอย่างแรง   ตั้งใจเอาไว้เลยว่าผ่านสัจจะ ๕๐๐๐ ดวงเมื่อไร กูจะสอนให้ผูกดวงเป็นในทันที  หรือหากใครยังมีเครื่องมือไม่พร้อม  เข้าเรียนครั้งที่ ๒  ต้องผูกดวงเป็น เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง  และทุกวันนี้ผมก็ทำอย่างนั้น  คือครั้งแรกที่พบกันในห้องเรียนจะแนะนำเรื่องพื้น ๆ  ให้รู้หลักสำคัญว่าโหราสาดมันมาอย่างไร  แก่นมันอยู่ตรงไหน  จะไม่ยกเอากระพี้มาสอนลากยาวกันเป็นปีอย่างที่เคยเห็นมา

 

เพราะผมมาคิดว่าการเรียนโหราสาดเหมือนกับการเรียนสอนขับรถยนต์ จะมานั่งเรียนทฤษฎีการทำงานของคลัช เบรค เกียร์  พวงมาลัยและอื่น ๆ  มันจะสู้การเรียนแบบขึ้นนั่งหลังพวงมาลัยแล้วทำตามครูบอกได้อย่างไร  อย่างมากเครื่องดับสักครั้ง ๒ ครั้งรถก็ออกวิ่งได้  แบบนี้เกิดความมันส์ในอารมย์กว่า

 

ดังนั้น “โหราสาด” (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม) เล่มนี้ผมจะพยายามสุดความสามารถ  ที่จะลดความสงสัยของท่านผู้สนใจให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  คือเมื่อท่านผู้มีเกียรติได้อ่านไปคิดไปและลงมือทำตามที่ผมบอก  เหมือนท่านขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยเรียนขับรถยนต์   ผมกล้ารับรองว่าท่านจะต้องเป็นนักพยากรณ์ที่อย่างไม่เอาไหนแล้วต้องดีกว่าผมแน่นอน

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๒ พื้นฐาน

 

พอผมตบท้ายไว้ว่าจะลดความสงสัยของท่านให้เหลือน้อยที่สุด  ท่านก็เริ่มสงสัยเพิ่มขึ้นมาใช่ไหมล่ะ? ว่าผมจะเขียนกันยังไง  ในขณะที่ทั้งบ้านทั้งเมืองเมื่อพอจับเรียนโหราศาสตร์ไทยแล้ว  เริ่มสงสัยกันตั้งแต่หน้าแรก เพราะพอกางตำราโหราสาดขึ้นมาดู มันไม่เหมือนกันสักราย เอาเถอะนั่นมันเป็นเรื่องของบรรดาท่านโหราจารย์ที่โด่งดังทั้งหลาย จะเอาผมเข้าไปเทียบประเดี๋ยวผมจะลงนรก เปล่า ๆ

 

เรามาว่ากันเรื่องของเราดีกว่า เบื้องต้นของการเรียน ก่อนจะเข้าไปถึงระหัสของดวงดาวและการแบ่งส่วนของโลก ท่านต้องจำคำต่าง ๆ เหล่านี้ให้ดี เช่น

v    กุมลัคน์หรือกุมลัคนา หมายถึงเมื่อเราหาลัคนาได้แล้วว่าอยู่ในราศีใด มีดาวอะไรบ้างอยู่ในราศีเดียวกันนั้น เขาเรียกกันว่ากุมลัคน์ ตัวอย่างเช่นคนราศีเมษ ก็ย่อมต้องมีดาวอาทิตย์อยู่ในราศีเมษด้วย ถ้าในแบบ ๑๐ ลัคน์  เขาอ่านว่าเจ้าชะตาคนนั้น มีลัคนาสถิตราศีเมษ มีดาวอาทิตย์ () กุมลัคน์ ถ้ามีดาวจันทร์ () อยู่ด้วย ก็เรียกว่าจันทร์กุมลัคน์  ถ้ามีดาวอังคาร () อยู่ตรงนั้นด้วยก็เรียกว่าอังคารกุมลัคน์

v    ทีนี้ถ้านับจากราศีเมษ ๑ ไปทางซ้ายมือทวนเข็มนาฬิกาไปที่ราศีที่ ๒(จาก ๑๒.๐๐ - ๑๑.๐๐- ๑๐.๐๐ น.) แล้วตรงนั้นมีดาวอีก จะเป็นดาวอะไรก็ตาม เขาเรียกว่าดาว….เป็นสองแก่ลัคน์หรือนำหน้าลัคน์ หรือถ้าเป็นดวงชะตาเรียบร้อยแล้ว มีคนยื่นมาให้ดู เขาเรียกว่าดาว….ในเรือนกะดุมพะ (คนละอย่างกับดาวเจ้าเรือนกะดุมพะ) กรุณาอย่าสับสน

v    ถ้านับจากราศีเมษไปทางเดียวกันอีกนั่นแหละ  คือทวนเข็มนาฬิกาไปถึงราศีที่ ๓ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ก็ดาวนั้นเป็นสามแก่ลัคน์ หรือโยกหน้าลัคน์ หรืออยู่ในเรือนสหัชชะ (คนละอย่างกับดาวเจ้าเรือนสหัชชะนะครับ)

v    ทีนี้ถ้านับจากราศีเมษต่อไปอีกเป็น ๔ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ก็ดาวนั้นแหละเป็นสี่แก่ลัคน์ หรือจัตุเกณฑ์ หรือเรียกว่าสถิตอยู่ในเรือนพันธุ (ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนพันธุ)

v    ถ้านับจากราศีเมษไปถึงราศีที่ ๕ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น เท่ากับดาวนั้นเป็นห้าแก่ลัคน์ หรือตรีโกณแก่ลัคน์ หรืออยู่ในเรือนปุตตะของลัคน์ (ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนปุตตะ)

v    ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๖ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ดาวนั้นเป็นหกแก่ลัคน์ หรืออยู่ในเรือนอริแก่ลัคน์ (ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนอริ)

v    ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๗ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ดาวนั้นเป็นเจ็ดแก่ลัคน์ หรือเล็งลัคน์ หรืออยู่ในเรือนปัตตานิ (ไม่ใช่ดาวเจ้าเรือนปัตตานิ)

v    ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๘ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ดาวนั้นก็เป็นแปดแก่ลัคน์ หรือดาวนั้นอยู่ในเรือนมรณะแก่ลัคน์ (ต่างกันดาวเจ้าเรือนมรณะ)

v    ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๙ เรียกว่าดาวนั้นเป็นเก้าแก่ลัคน์ หรือดาวอยู่ในเรือนศุภะ หรือตรีโกณแก่ลัคน์

v    ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๑๐ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น  ก็ดาวนั้นเป็นสิบแก่ลัคน์ หรือดาวนั้นสถิตอยู่ในเรือนกรรมะ ถ้าเป็นเรือนที่สิบของราศีเมษ พฤษภ สิงห์ มีเรียกอีกอย่างว่าดาวได้ตำแหน่งปัศวเกณฑ์

v    ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศีที่ ๑๑ พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ก็ดาวนั้นเป็นสิบเอ็ดแก่ลัคน์ หรือโยกหลังลัคน์ หรืออยู่ในเรือนลาภะของลัคน์

v    ถ้านับจากราศีเมษต่อไปจนถึงราศี ๑๒ สุดท้าย พบดาวอะไรอยู่ตรงนั้น ดาวนั้นเป็นสิบสองแก่ลัคน์หรือวินาสน์ลัคน์

v    แต่ถ้าเป็นดาวจรบนท้องฟ้า โคจรเข้ามาตรงกับราศีที่ลัคนาอยู่  เราไม่เรียกว่าดาวนั้น ๆ โคจรมากุมลัคน์ ต้องเรียกว่าทับลัคน์

v    เนื่องจากดาวในท้องฟ้ามักมีการโคจรหรือเดินจากราศีนี้ไปราศีนั้น เร็วไปบ้าง ช้าไปบ้างหรือถอยหลังไปบ้างย่อมมีการเรียกต่างกันไป  เช่นเดินหน้าเร็วผิดปกติ เรียกว่าเสริด  ถ้าถอยหลังเรียกว่าพักร์ ถ้าเดินหรือโคจรอยู่กับที่เรียกว่ามณฑ์

 

คามจริงคำศัพท์ที่เป็นภาษาของโหราสาดมีอีกมาก แต่ขอบอกเพียงเท่านี้ก่อน ขืนนำมาบอกทั้งหมด เดี๋ยวท่านจะรับไม่ไหว และที่บอกมานี้ท่านอย่าว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกเป็นอันขาด ท่านต้องจำให้ได้ และต้องเข้าใจว่านี่เป็นเพียงเฉพาะพื้น ๆ เท่านั้น ถ้าไม่ทำความเข้าใจ หรือตระหนักว่าเป็นพื้นฐานส่วนสำคัญยิ่ง ต่อไปท่านก็จะงง ๆ ตอนที่โหรกับโหรคุยกันนั่นเอง เมื่อคุณฟังภาษาโหรไม่ออกคุณก็จะเป็นแค่โหน คือยังห่างไกลความเป็นโหรนั่นเอง และถ้าท่านได้อ่านตำราชุดนี้ของผมจบแล้วเป็นได้แค่โหน ขอได้โปรดทราบว่า ผมจะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง !!!

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

บทที่ ๓ ดวงดาวและเลขหมายแทนดาว

 

ถ้าผมจะพูดกันถึงดวงดาวที่นำมาใช้กับการพยากรณ์  ผมก็จะหมายถึงดาวจำนวนหนึ่งที่ไม่มากนัก  เพียง 10 ดาวหรือ 10 ดวงเท่านั้น  และแน่ใจว่าพอผมพูดจบหรือเขียนจบท่านที่รักจะต้องจำได้ทันที ดาวดวงแรกที่สำคัญที่สุดในกระบวนการของโหราสาดคือ

1.       พระอาทิตย์ ดาวดวงนี้เขาใช้เลข () แทน ตามหลักทางดาราศาสตร์กล่าวกันว่าเป็นดาวที่มีแสงสว่างในตนเอง เมื่อมีแสงสว่างความร้อนก็มีด้วย ไม่เชื่อท่านลองออกไปยืนตากแดดดูสักพักก็จะหายสงสัย คงเพราะร้อนนี่เองจึงจัดให้เป็นดาวธาตุไฟ ตามหลักเขาถือกันว่าถ้าจะทายเรื่องชื่อเสียงหรือยศศักดิ์ ตำแหน่งหน้าที่การงาน การเดินทาง การโยกย้ายตำแหน่งงาน  ให้เอาอาทิตย์มาทาย  นี่ว่ากันเฉพาะเบื้องต้นเท่านั้น ยังไม่นับการเป็นเจ้าเรือนในดวงชะตา 12 ราศีจักร และเจ้าเรือนทักษา หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับดาวอื่น ๆ ในกรณีพิเศษ  ทั้งยังจัดให้เป็นดาวอยู่ในประเภทให้โทษ

2.       ดาวจันทร์  ใช้เลข  () แทน ดาวดวงนี้ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง  และเป็นดาวที่อยู่ใกล้โลกเรามากที่สุด ถ้าเป็นข้างแรมดูด้วยตาจะไม่ค่อยสดใสมากนัก  หรือบางคืนก็มองไม่เห็นเลย แต่ข้างขึ้นแก่ ๆ กลับสดใสงดงามเป็นพิเศษ ดาวจันทร์หรือดวงจันทร์แม้จะมีอำนาจดึงดูดน้ำ สามารถทำให้น้ำขึ้นน้ำลงได้ แต่ทางโหราสาดจัดเข้าไปอยู่ในประเภทธาตุดิน คงเพราะเห็นว่าดาวจันทร์เวลาที่มันปรากฏตัวให้เราเห็นบนท้องฟ้าสวยสดงดงาม จึงนำมาทำนายทายทักถึงความมีเสน่ห์ ความงาม ความเรรวนปรวนแปรง่าย เพราะสภาพของจันทร์เปลี่ยนรูปไปทุกวัน ดาวจันทร์ถูกแยกประเภทไว้ในทางดี คือเป็นดาวศุภเคราะห์ จะเห็นได้ชัดว่าวันใดที่เข้ามาเล็งลัคน์หรือทับลัคน์ย่อมจะทำให้ผู้นั้นมีโชค ไม่อาหารการกินก็การเงิน ยิ่งมีดาวศุกร์เข้ามาทำมุมดีด้วยยิ่งมีลาภมาก

3.       ดาวอังคาร  ใช้เลข () แทน เป็นดาวที่อยู่ไกลโลกเราออกไปหน่อยหนึ่ง ส่วนจะไกลออกไปสักเท่าไรต้องไปหารายละเอียดจากวิชาการดาราศาสตร์ซึ่งมีอยู่มากมาย ผมเคยเห็นภาพถ่ายจากดาวเทียมมาบ้างจากหน้าหนังสือพิมพ์ ดูก็สวยสดดีแต่สีออกจะเข้มไปหน่อย ไม่ค่อยสบายอารมย์สักเท่าไร สู้มองภาพของดาวจันทร์ไม่ได้ ดาวอังคารหรือดาวหมายเลข () นี้ถูกจัดไว้ในประเภทธาตุลม และเป็นดาวบาปเคราะห์ หน้าที่หลักคือให้โทษ บางคราวก็ทำเอาหัวร้างข้างแตก เล่นกันถึงตายหรือเลือดตกยางออกก็มี แต่ในพื้นดวงถ้าได้ตำแหน่งหรืออยู่ในมุมที่ดีคือความเอาจริงเอาจัง กล้าได้กล้าเสียแบบนักเลง ขยันขันแข็งต่อการงาน ทำอะไรมุมานะจนบางคราวก็ทำให้ตัวเองลำบาก อยู่ไม่ค่อยเป็นสุขสักเท่าไร แต่ถ้าเป็นดาวจรมาไม่น่าไว้ใจ

4.       ดาวพุธ  ใช้เลข () แทน ดาวดวงนี้อยู่ไม่ไกลจากโลกมากนัก ตามหลักถือกันว่าเป็นดาวให้คุณหรือดาวศุภเคราะห์ การจำแนกธาตุของดาว ดาวพุธอยู่ในฝ่ายธาตุน้ำ และก็เป็นดาวบริวารของอาทิตย์เช่นเดียวกับดาวอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว เพราะต่างก็ไม่มีแสงสว่างเป็นของตัวเองตัวเอง ตามหลักโหราสาดหมายถึงการพูด การติดต่อ การสื่อสาร พูดดีพูดร้ายอยู่ที่ดาวพุธดวงนี้ คือถ้าอยู่กับดาวดีหรือได้ตำแหน่งดีและทำมุมดีกับลัคนาของใครก็ตาม คนนั้นจะมีโชคหรือพรสวรรค์ในการพูด ๆ เป็นเงินเป็นทอง แม้พูดโกหกก็มีคนเชื่อ  แต่ถ้าลงเสียเมื่อไรจะพูดตรงกันข้ามทีเดียว คือพูดเก่งเหมือนกัน แต่จะกลายเป็นกะล่อนไปวัน ๆ พูดตรง และบางคราวก็ขวางหูคนฟัง

 

5.       ดาวพฤหัสบดี  ใช้เลข () แทน ดาวดวงนี้แม้จะไกลจากโลกแต่ก็เป็นดาวที่มีขนาดใหญ่ สามารถส่งพลังความดีความมีโชคมาถึงโลกเราได้ดี จนต้องยอมรับกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการมีโชคลาภ เป็นดาวธาตุดินที่หนักแน่น ลงให้คุณใครแล้วจะให้เต็มที่ และต่อเนื่องกันหลายปี ในจำนวนการโคจรรอบโลก 12 ปี จะให้โทษเพียง 3 ปีเท่านั้น แต่นั่นก็หมายถึงว่าต้องโคจรอย่างปกติ ถ้าวิปริตเมื่อใดจะให้โทษแรงจนยากที่จะต้านทานไหวเหมือนกัน หลักของดาวพฤหัสบดีนอกจากเป็นเทพเจ้าแห่งการมีโชคลาภหลายอย่างแล้ว ยังเป็นดาวที่บ่งบอกถึงความสามารถในการศึกษาวิชาการ และความมีคุณธรรม ความเที่ยงตรง ไม่เอาเปรียบใครแม้จะมีช่องทางเปิดอ้ารออยู่ แทบทุกคนที่มีดาวดวงนี้ให้คุณ  ย่อมเป็นคนที่ได้รับการศึกษาดี มีความรับผิดชอบดี สามารถประสบความสำเร็จด้านการงานสูง

6.       ดาวศุกร์ ใช้เลข () แทน ดาวดวงนี้กล่าวยกย่องกันว่าเป็นดาวกามกิเลสกำดัด เป็นดาวที่ให้คุณอย่างกว้างขวางครอบจักรวาฬ ความหมายของคำว่ากามกิเลสกำดัดหมายถึงการมัวเมาในรูปรส กลิ่นเสียงและสัมผัสอันนุ่มนวล รูปไม่สวย ไม่ชอบ รสไม่ถูกปากถูกลิ้นไม่นิยม กลิ่นเน่าเหม็นไม่ชอบ ชอบแต่กลิ่นหอมหวานซ่านใจ สัมผัสทางกายเนื้อต้องนุ่มนวล ถ้าหยาบกระด้างไม่ปรารถนานอกจากที่กล่าวมายังหมายถึงเงินด้วย ดาวดวงนี้ของใครถ้าดีเงินทองต้องดี  เมื่อเงินดีต้องการดาวเดือนก็ย่อมได้  ดาวศุกร์ย่อมเป็นธาตุน้ำคู่กับดาวพุธ ตำแหน่งที่อยู่ก็ไม่ไกลจากโลกที่เราอาศัยอยู่มากนัก บางวันสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ถ้าช่วงไหนที่จรมาเข้ามุมดีกับลัคนา หมายถึงในช่วงนั้นเงินหมุนเวียนสะพัดคล่อง ความรักจะสดใส และความรักความใคร่จะหดหู่ทันทีที่ขาดเงินยามที่ดาวดวงนี้โคจรสับสน

7.       ดาวเสาร์ ใช้เลข () แทน ดาวดวงนี้เป็นดาวธาตุไฟ อยู่ไกลออกไปจากโลก แต่ก็จัดว่าเป็นดาวดวงใหญ่ดวงหนึ่ง  สามารถแผ่อิทธิพลความทุกข์ยากมายังมวลมนุษย์ที่อยู่บนพื้นผิวของโลกได้ เป็นดาวประเภทบาปเคราะห์ คือให้โทษทุกข์และอุปสรรคเป็นหลัก แต่การให้โทษไม่โครมครามเหมือนดาวอื่น  ค่อยเป็นค่อยไปคือทวีความทุกข์ยากเข้ามาทีละน้อย ๆ เหมือนนายพรานล่าเหยื่อต้อนเหยื่อให้เข้ามุมอับก่อนแล้วค่อยเผด็จศึกทีหลัง บางคราวโทษอันเกิดจากดาวเสาร์ดูยังไม่น่าจะหนักหนา แต่พอดาวบาปเคราะห์อื่นเข้าร่วมวง เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างคิดไม่ถึง ดังนั้นจึงควรต้องระวังอย่างมาก โดยเฉพาะคนใจร้อนอาจเป็นฟืนเป็นไฟได้ง่าย  บางรายเครียดจัดจนไม่อาจคุมสติได้ ต้องเข้าโรงพยาบาลบ้าไปก็มี ถ้าในดวงชะตาใดมีดาวดวงนี้กุมลัคน์หรือเล็งลัคน์จะแรงมาก ถือกันว่าเป็นคนดวงแตกดวงร้าวหรือที่เรียกกันตามภาษาโหรว่าเป็นดวงพินธุบาทหมายถึงเอาดีไม่ได้ ต้องล้มลุกคลุกคลานไปตลอดชีวิต นอกจากเข้ากฏข้อห้ามเท่านั้นจึงพอทุเลาไปได้

8.       ราหู ใช้เลข () แทน เรื่องของราหู ในวงการโหรหรือนักโหราสาดบอกว่าไม่ใช่ดาว เป็นเพียงเงามืด แต่ก็อุตส่าห์จัดแยกออกเป็นดาวธาตุลม เพื่อให้เข้าคู่กับอังคาร () จะอย่างไรก็ตามแม้ไม่เป็นดาวเหมือนดาวอื่น ๆ แต่ราหูก็จัดอยู่ในประเภทให้โทษในด้านมัวเมา ลุ่มหลง พอใจเรื่องอบายมุขทั่วไป เช่นชื่นชอบสุรานารีพาชีกีฬาวิบัติทุกชนิด หวยบนดินหวยใต้ดิน แทงบอลล์ นอกจากนั้นเวลาจรมาแต่ละเที่ยวทำเอาหลายคนต้องห่อเหี่ยวใจ แต่ในความดีก็พอมีบ้าง คือถ้าอยู่กับดาวพฤหัสบดีก็มัวเมาไปในทางดี คือชอบในเรื่องของการศึกษาค้นคว้าวิชาการชนิดทุ่มเทสุดหัวใจ เป็นคนรักจริงเกลียดจริง ชอบทำกิจการเกี่ยวกับต่างประเทศ ภาษาต่างประเทศดี  หญิงบางคนชื่นชอบสามีที่เป็นชาวต่างประเทศ เพราะเมื่อจดทะเบียนเป็นทางการแล้ว พอหย่าเธอมักจะได้ลาภทรัพย์สินเงินทองไปตั้งตัวได้บ้างตามควรแก่ฐานะ ต่างจากมีสามีชาติเดียวกันที่บางรายเอากันถึงตาย

9.       เกตุ ใช้เลข () แทน นี่ก็ถือว่าไม่ใช่ดาวเหมือนกัน แต่ก็มีอิทธิพลต่อชีวิตให้เป็นคนเฉลียวฉลาด มีความรู้สึกทางจิตดี สามารถเอาตัวรอดได้ในยามคับขัน บางคนฝันแม่น ที่เขาเรียกว่ามีญาณพิเศษนั่นแหละ เกตุกล่าวกันว่าเป็นวิญญาณธาตุ โหรบางคนบอกว่าเป็นหัว-หางกับราหู สำหรับนักดาราศาสตร์ก็ว่าไปอีกอย่างหนึ่ง ในบางรายหรือหลายรายแสดงถึงการผิดธรรมชาติ  หรือเป็น ๒ ก็มี เช่นธรรมชาติมีการคลอดบุตรเพียงคนเดียวต่อครั้ง แต่พอมีเกตุเข้ามาเกี่ยวข้องกลับมีลูกแฝด บางคนก็มีสามีแฝดโดยไม่ตั้งใจ  คือคนเก่ายังไม่ทันเลิกขาด ก็ไปพบคนใหม่อีกคน ใครที่จะเรียนโหราสาดเก่งจึงต้องเกี่ยวกับเกตุด้วย บางรายเกตุก็อยู่กับดาวพฤหัสบดี เกตุถ้าอยู่กับดาวดีก็ให้คุณ อยู่กับดาวร้ายจะให้โทษ

10.   มฤตยู ใช้เลข () แทน นี่ก็ไม่ระบุชัดว่าเป็นดาวหรือไม่ใช่ดาว แต่ก็ให้โทษรุนแรงด้านการทำลายล้าง สามารถเล่นงานคนถึงตายได้ อยู่ในเรือนไหนทำลายเรือนนั้น อยู่กับดาวอะไรก็ทำลายดาวนั้น ดูไปแล้วก็เหมือนเป็นตัวนำความตายไปให้ใครต่อใครดี ๆ นี่เอง ดังนั้นใครก็ตามหากดาวมฤตยูอยู่ในเรือนการเงินแล้วละก้อควรต้องเก็บเงินซ่อนให้มิดชิด มิฉะนั้นจะไม่เหลือให้เก็บ มฤตยูเป็นดาวที่ไม่มีบ้านไม่มีเรือนเป็นของตนเอง ไม่ว่าในดวงทักษาหรือในดวงราศีจักรซึ่งก็เหมือนกับเกตุ แต่ก็เป็นธาตุเดียวกัน ถ้าร่วมราศีกันก็จะดีด้านสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์

 

เรื่องของดวงดาวทั้งหลาย ที่ผมนำมาแจกแจงให้ท่านผู้อ่านที่รัก ได้อ่านกันมาจนครบ ๑๐ ดวงนี้ ท่านต้องจำได้บ้าง อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าดาวอะไรแทนด้วยเลขอะไร เป็นธาตุอะไร และดาวอะไรให้คุณ ดาวอะไรให้โทษ ส่วนนิสัยหรือเอกลักษณ์ประจำตัวของแต่ละดาว เอาไว้ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องไปนั่งท่อง แค่เปิดอ่านบ่อย ๆ ก็น่าจะจำได้ ถ้าอยากจะจำได้เร็วก็ควรจะแสดงความคารวะด้วยดอกไม้ธูปเทียนแก่ท่านบูรพาจารย์โหรที่ท่านล่วงลับไปแล้วก่อนที่จะเปิดอ่าน ก็จะเป็นการดียิ่ง

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

บทที่ ๔ ที่มาของดวง ๑๒ ราศีจักร

 

เรื่องนี้ ผมต้องขออภัยท่านผู้รู้อื่น เป็นต้นท่านโหราจารย์ผู้อาวุโส ที่อยู่ในระดับครูบาอาจารย์ หรือในหลายระดับ ที่ต่างก็มีความรู้ดีกว่าผม ที่จำเป็นต้องขออภัยเอาไว้  เพราะต่อไปนี้ หรือนับแต่นี้ไปผมอาจต้องเขียนอะไรที่ต้องขัดใจหรือสวนทางกับความคิดเห็นของท่านบ้าง ก็ขอให้ท่านโปรดอย่าได้ตำหนิกัน อภัยให้ผมด้วย โปรดระลึกว่าถึงอย่างไรผมก็ยังมีเจตนาดีต่อวิชาโหราสาดเหมือนเดิม

 

หากบางครั้งเกิดความคิดขึ้นมาว่า เรื่องของโหราสาด  มันน่าจะมีอะไรที่รวบรัดขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาค้นคว้าของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการความรวดเร็วทันอกทันใจ สังเกตได้จากการที่โหราจารย์รุ่นเก่า ศึกษาค้นคว้ากว่าจะผูกดวงชะตาได้แต่ละคนต้องใช้เวลายาวนาน ต้องมานั่งตัดสมผุสดาวกันทีละดาว แล้วเดินอันโตนาทีกันไปทีละราศี ทีละนวางค์ ในขณะที่คนรุ่นใหม่แค่แตะนิ้วมือลงบนคีย์คอมฯ เพียง ๒-๓ ครั้ง ก็ได้ดวงชะตาออกมาได้ครบทุกอย่างยันดวงนวางค์จักร แล้วทั้งยังมีความเที่ยงตรงไม่ผิดเพี้ยน

 

อันว่าราศีจักรทั้ง ๑๒ หรือ ๑๒ ราศีจัก มันคือการแบ่งส่วนของโลกที่เราอาศัยอยู่ออกเป็น ๑๒ ช่องนั่นเอง ในแต่ละช่องมีจำนวนองศาเท่ากัน และเรียกขานแต่ละช่องกันไปตามเดือน ซึ่งมีอยู่ ๑๒ เดือนพอดีโดยเริ่มต้น

 

ราศีเมษ เป็นราศีที่ ๐  คือเอาเดือนเมษายนมาเรียกนั่นเอง ราศีนี้เป็นราศีชั้น ๑ ธาตุไฟ

ราศีพฤษภ เป็นราศีที่ ๑ อันนี้ก็ย่อมาจากเดือนพฤษภาคม เป็นราศีธาตุดิน ชั้น ๒

ราศีมิถุน เป็นราศีที่ ๒ เป็นชื่อย่อของเดือนมิถุนายน แต่ผมเรียกเมถุนจนชินปาก เป็นราศีธาตุลมชั้น ๓

ราศีกรกฎ เป็นราศีที่ ๓ เป็นชื่อย่อของเดือนกรกฎาคม เป็นราศีธาตุน้ำชั้น ๑

ราศีสิงห์ เป็นราศีที่ ๔ ชื่อย่อมาจากเดือนสิงหาคม เป็นราศีธาตุไฟชั้น ๒

ราศีกันย์ เป็นราศีที่ ๕ ชื่อย่อของเดือนกันยายน เป็นราศีธาตุดินชั้น ๓

ราศีตุลย์ เป็นราศีที่ ๖ มาจากชื่อย่อของเดือนตุลาคม เป็นราศีธาตุลมชั้น ๑

ราศีพิจิก เป็นราศีที่ ๗ ชื่อย่อของเดือนพฤศจิกายน เป็นราศีธาตุน้ำชั้น ๒

ราศีธนู เป็นราศีที่ ๘ ชื่อราศีมาจากเดือนธันวาคม เป็นราศีธาตุไฟชั้น ๓

ราศีมังกร เป็นราศีที่ ๙ ชื่อราศีมาจากเดือนมกราคม เป็นราศีธาตุดินชั้น ๑

ราศีกุมภ์ เป็นราศีที่ ๑๐ ชื่อราศีมาจากเดือนกุมภาพันธ์ เป็นราศีธาตุลมชั้น ๒

ราศีมีน เป็นราศีที่ ๑๑ ชื่อราศีมาจากเดือนมีนาคม เป็นราศีธาตุน้ำชั้น ๓

 

รวมกันทั้งหมดมี ๑๒ ราศี ๔ ธาตุ คือเมื่อนับวนทวนเข็มนาฬิกาว่า ไฟ ดิน ลม น้ำ นับแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบ ๑๒ ราศีแล้วจะพบว่าธาตุหนึ่ง ๆ จะมี ๓ ราศีนั่นเอง ผมขอเตือนว่าตรงนี้ก็สำคัญนะครับต้องจำให้ขึ้นใจจนเห็นภาพลอยขึ้นมากลางอากาศทุกครั้งที่นึกถึงจึงจะเรียกว่าเข้าสายเลือด

 

จะอย่างไรก็ตามแม้จะข้ามมาถึงเรื่องของ ๑๒ ราศีจักร แล้จะละทิ้งส่วนสำคัญบางส่วนไปก็น่าเสียดายอย่างยิ่ง ดังนั้นผมจึงขอแทรกสิ่งที่ว่าเอาไว้ตรงนี้  ให้ท่านผู้อ่านอันเป็นที่รัก  ลองพิจารณาดูเอาเองว่าจริงอย่างที่ผมว่าเอาไว้หรือไม่  นั่นคือการแบ่งโลกออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวโยงกับวิชาโหราสาด

 

เป็นที่รู้กันว่าโลกที่เราอาศัยอยู่มันก็เป็นดาวดวงหนึ่ง มองจากด้านใดก็ตามจะเป็นรูปทรงกลม เหมือนกับที่เรามองผลส้มโอ หรืออะไรที่คล้ายกัน ถ้าด้านที่เรามองเห็นเป็นด้านที่ได้รับแสงสว่าง อีกด้านหนึ่งก็จะมืด หากหมุนด้านมืดมาหาแสงสว่างบ้าง ด้านที่เคยสว่างจะกลายเป็นความมืดมาแทน ด้านมืดก็จะกลับสว่าง

 

 

เมื่อเป็นดังนี้โลกเราในเบื้องต้นจะถูกธรรมชาติแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือความมืดส่วนหนึ่ง สว่างส่วนหนึ่งเราเรียก ๒ ส่วนดังกล่าวว่ากลางวัน-กลางคืน  ถ้าเราต่างรับรู้และยอมรับว่ามันเป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องลุ่มหลงมัวเมาอะไรเลย เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น เราสามารถนำเอา ๒ ส่วนนี้มาทายหรือพยากรณ์ได้อย่างแม่นยำ เพราะ ๒ ส่วนนี้ถูกควบคุมให้มืดหรือสว่างโดยพระอาทิตย์ พระอาทิตย์มีอิทธิพลต่อ ๒ ส่วนนี้มากหาประมาณมิได้ ขาดพระอาทิตย์เพียงดวงเดียว สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจะมีได้อย่างไร?  พืชผักผลไม้จะเจริญเติบโตออกดอกออกผลมาให้เราได้ใช้บริโภคเพื่อสร้างพลังงานกันได้ละหรือ?

 

และการจะนำเอา ๒ ส่วนนี้มาใช้ประโยชน์ในการทายหรือพยากรณ์ก็ไม่เป็นการยากเย็น เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าในส่วนที่เป็นกลางวันนั้นสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ ทั้งคน สัตว์ต่างต้องดิ้นรนทำมาหากิน ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จะมีสิ่งเหล่านี้น้อยนิดที่ต้องไปดิ้นรนขวนขวายกันในภาคของกลางคืน ในภาคกลางคืนส่วนใหญ่เป็นภาคของการพักผ่อนหลับนอนเพราะ ความเหนื่อยล้า ออมแรงเอาไว้ในรอบใหม่ สลับกันไป แม้พืชผักไม้ต้นไม้ดอกหลายอย่างก็ต้องการพักผ่อนหลับนอน ท่านผู้อ่านที่รักลองจินตนาการดูจะเห็นชัดกว่าที่ผมพูดนำมาพอสังเขปนี้ เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง

 

โลกเราเมื่อแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือกลางวันกลางคืน ถ้าจะแบ่งออกไปอีกเพื่อต้องการรายละเอียดมากขึ้นโดยลากเส้นตรงอีกเส้นตัดกลางเป็นมุมฉากกับเส้นที่แบ่งโลกออกเป็นกลางวันกลางคืน ก็จะได้กลางวัน 2 ส่วน กลางคืน 2 ส่วน คิดแล้วก็เป็นส่วนกลางวันส่วนละ 6 ชั่วโมง กลางคืน 6 ชั่วโมงเท่ากัน นั่นหมายถึงว่ากลางวันจากพระอาทิตย์ขึ้น 06.00-12.00 .ช่วงหนึ่งและอีกช่วงหนึ่ง 12.00-18.00 . ภาคกลางคืนก็จะเป็น 18.00-24.00 . ช่วงหนึ่งและอีกช่วงหนึ่งคือ 24.00-06.00 .

 

ในช่วงเวลาดังกล่าวมาเราก็สามารถพยากรณ์ได้เช่นกันว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ผู้คนส่วนมากทำอะไร พักผ่อนหลับนอนหรือทำมาหากิน และช่วงไหนมากน้อยแตกต่างกันอย่างไร  แต่มนุษย์เราย่อมต้องอยากรู้อยากเห็นอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ จึงได้ซอยส่วนแบ่งลงไปอีกให้เป็น 8 ส่วน ๆ ละ 45 องศา เป็นกลางวันและกลางคืนอย่างละ 4 ส่วน และการแบ่งก็ใช้หลักลากเส้นตรงตัดจุดตัดเดิมให้ได้มุม 45 องศา 2 เส้น และ 2 เส้นใหม่นี้ก็จะตัดกันเองที่มุม 90 องศาเหมือนคู่แรก  ตรงนี้หากท่านต้องการให้ง่ายขึ้นก็ขอได้โปรดเขียนรูปประกอบไปด้วยจะเป็นการช่วยประหยัดสมองเอาไว้คิดอย่างอื่นก็จะดีมาก

 

8 ส่วนนี้แหละเป็น 8 ส่วนที่สำคัญยิ่งในวิชาโหราสาด โดยเฉพาะในภาคการพยากรณ์  ขอให้ท่านทำความเข้าใจกับการแบ่งโลกที่เริ่มต้นมาจากการแบ่งออกเป็น ๒ ส่วนคือกลางวัน กลางคืน แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือกลางวัน ๒ ส่วน กลางคือ ๒ ส่วน และก็มาถึงการแบ่งออกเป็น ๘ ส่วนเท่า ๆ กัน ซึ่งก็หมายถึงว่ากลางวันมี ๔ ส่วน และกลางคืนมี ๔ ส่วน ส่วนหนึ่งก็จะมีเพียง ๔๕ องศา

 

บรรดาท่านเกจิโหราจารย์จึงได้นำ ๘ ส่วนนี้มาใช้ในการพยากรณ์แม่นยำขึ้นกว่าเดิม โดยกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติม ให้เส้นตรงคู่แรกที่ตั้งฉากทำมุม ๙๐ องศา ด้านบนสุดเป็นทิศตะวันออก ด้านล่างเป็นทิศตะวันตก ส่วนเส้นนอนขวามือเป็นทิศใต้ ซ้ายมือเป็นทิศเหนือ เส้นตัดคู่ที่ ๒ อีกคู่หนึ่งถูกกำหนดเป็นทิศเฉียง คือตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้

 

และกำหนดเอาพระอาทิตย์หรือดาวอาทิตย์หมายเลข ๑ ครองทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดาวเสาร์หมายเลข ๗ ประจำทิศตะวันตกเฉียงใต้ ๒ ทิศนี้เป็นพื้นที่ของดาวธาตุไฟ ส่วนทิศตะวันออกเฉียงใต้ให้พระอังคารหรือดาวอังคารหมายเลข ๓ ครอบครอง ด้านตรงกันข้ามคือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ให้ราหูหมายเลข ๘ ครอบครอง สองทิศดังกล่าวเป็นเรื่องของดาวธาตุลมครอบครอง ดาวที่ประจำอยู่ทั้ง ๔ ทิศนี้ล้วนเป็นดาวที่ให้โทษหรือที่เราเรียกกันว่าดาวบาปเคราะห์นั่นเอง  การจะให้โทษมากน้อยแค่ไหนท่านโหราจารย์ได้กำหนดกำลังของแต่ละดาวเอาไว้ว่า อาทิตย์ () ให้มีกำลัง ๖ อังคาร () กำลัง ๘ เสาร์ () กำลัง ๑๐ และราหู () กำลัง ๑๒  เพื่อให้ท่านจำง่ายเข้าสมองเร็วขอให้ท่านสังเกตุดูกำลังของดาวจะเพิ่มขึ้นมาทีละ ๒ เสมอ คือเริ่มมาจากอาทิตย์ ()

 

ส่วนที่เป็นทิศตรงคือทิศตะวันออก พระจันทร์หรือดาวจันทร์ หมายเลข ๒ ครอบครอง ทิศตะวันตกดาวพฤหัสบดี หมายเลข ๕ ครอบครอง นี่ก็เป็นดาวธาตุเดียวกันคือธาตุดิน และเป็นดาวในกลุ่มที่ให้คุณเรียกว่าเป็นดาวศุภเคราะห์ ด้านที่เป็นทิศใต้ตรงขวามือ ดาวพุธหมายเลข ๔ ครอบครอง ด้านที่เป็นทิศเหนือซ้ายมือ ดาวศุกร์หมายเลข ๖ สองดาวนี้เป็นดาวธาตุน้ำเหมือนกัน และเป็นดาวที่ให้คุณเช่นกัน หรือที่เรียกว่าดาวศุภเคราะห์ ส่วนกำลังของแต่ละดาวเริ่มที่ดาวจันทร์ () มีกำลัง ๑๕ ดาวพุธ () มีกำลัง ๑๗ ดาวพฤหัสบดี () มีกำลัง ๑๙ ดาวศุกร์ () มีกำลัง ๒๑ วิธีจำง่าย ๆ เริ่มต้นที่ดาวจันทร์ จะมีกำลังเพิ่มขึ้นทีละ ๒ เช่นกัน

 

ที่ผมบอกท่านอย่างนี้เป็นการบอกที่ง่ายที่สุด ซึ่งรับรองว่าพอท่านอ่านจบก็จะสามารถจำได้ในทันทีว่าดาวใดเป็นดาวศุภเคราะห์ ดาวใดเป็นดาวบาปเคราะห์ ดาวใดมีกำลังประจำตัวเท่าใด และอีกมุมหนึ่งท่านจะเห็นได้ว่าดาวทั้งบาปเคราะห์และศุภเคราะห์ต่างก็สลับเรือนคุมเชิงกันอยู่ เปรียบเหมือนดำกับขาว ธรรมะกับอธรรม หยินกับหยาง

 

และตรงนี้ท่านก็จะได้ดาวอาทิตย์ () กับศุกร์ () ดาวจันทร์ () กับราหู () อังคาร () กับพฤหัสบดี () พุธ () และ เสาร์ () ต่างก็เป็นดาวที่ทางโหราสาดเรียกว่าคู่สมพลอีกอย่างหนึ่ง ถ้าอยากจะให้เห็นได้โดยง่าย  ให้ท่านลากเส้นเฉียงเป็นคู่ ๆ ก็จะเห็นได้ชัดขึ้น

 

ขอย้ำว่าการเรียนโหราสาด ถ้าต้องการให้จำง่าย เข้าใจง่ายต้องหัดเขียนรูปประกอบด้วยตนเอง  ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ผมเขียนด้วย Microsorf Word  เมื่อเขียนเสร็จ ตรวจทานแก้ไขเห็นว่ามีคำผิดหรือข้อความที่ไม่เหมาะสมมีน้อย จึงส่งเข้า Web เพื่อให้ท่านได้ศึกษากัน การจะต้องมานั่งเขียนรูป ประกอบจึงทำให้ไม่สดวกนัก

 

ก่อนจะผ่านไปถึงเรื่องอื่นผมขอสรุปเอาไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า การแบ่งส่วนของโลกออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน คือกลางวันและกลางคืน

แบ่งออกเป็น 4 ส่วน เป็นกลางคืน 2 ส่วน กลางวัน 2 ส่วน

แบ่งออกเป็น 8 ส่วน เป็นกลางคืน 4 ส่วน กลางวัน 4 ส่วน และ 8 ส่วนนี้ผมก็ได้กล่าวไว้แล้วว่ามีส่วนสำคัญมากในการพยากรณ์ เพราะท่านโหราจารย์ท่านได้กำหนดดาวครอง กำหนดทิศ นอกจากนั้นยังได้กำหนดอักษรต่าง ๆ เอาไว้อย่างชัดเจนอีกด้วย ที่ท่านกำหนดไว้ก็เพื่อให้เป็นพื้นฐานขั้นต้น สำหรับการจะทายหรือพยากรณ์ ในความคิดอ่านของผม เห็นว่าทุกคนควรจะผ่านการเรียนรู้และพยากรณ์ใน 8 ส่วนนี้จนเชี่ยวชาญ  ก่อนจะก้าวไปถึงการพยากรณ์ 12 ราศีจักร ดวงตรียางค์จักร นวางค์จักร หรือแม้กระทั่งดวงทวาทศำศจักร

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่   การนำเอาดวง ๘ ราศีจักรมาเพื่อพยากรณ์

 

ผมได้สรุปความสำคัญว่า การแบ่งโลกออกเป็น ๘ ส่วนมีความสำคัญในการพยากรณ์ บ้างแล้วในท้ายบทที่ผ่านมา

 

ในตอนนี้จะขอลงรายละเอียดเพิ่มเติมให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า การนำเอา ๘ ส่วนนี้มาใช้เป็นหลักพื้นฐานการพยากรณ์ บรรดาท่านโหราจารย์ท่านทำกันอย่างไร

 

ในเบื้องต้นของการแบ่งโลกออกเป็น ๘ ส่วน ท่านได้นำมาเขียนเสียใหม่โดยการลากเส้นตรงคู่ขนาน ๒ เส้น จากซ้ายไปขวาให้มีระยะห่างกันพอสมควร ที่จะลงดาวประจำตำแหน่งแต่ละส่วนได้ แล้วลากเส้นคู่ขนาดอีกคู่หนึ่งตัดกับเส้นคู่ขนาดเดิมเป็นมุมฉาก ความห่างของเส้นคู่ขนานเท่าเดิม ก็จะเกิดส่วนแบ่ง ๘ ส่วนขึ้น ๘ ส่วนนี้ ถ้านับทิศก็ได้    ทิศ

 

 กำหนดเอาทางซ้ายมือเป็นทิศเหนือ ทางขวามือเป็นทิศใต้ ด้านบนสุดเป็นทิศตะวันออกตรง ล่างสุดเป็นทิศตะวันตก ที่เหลือนอกนั้นคือทิศเฉียง คือตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันตกเฉียงใต้

 

ในทิศเฉียง พอนำมาใช้ในการพยากรณ์ ถูกกำหนดให้เป็นที่สถิตของดาวบาปเคราะห์หรือดาวที่ให้โทษครอบครองเป็นเจ้าของพื้นที่ เริ่มที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นดาวอาทิตย์ ๑ ตะวันออกเฉียงใต้

ดาวอังคาร ๓ ตะวันตกเฉียงใต้ ดาวเสาร์ ๗ ตะวันตกเฉียงเหนือ ราหู ๘  ทิศตรงคือตะวันออก เป็นดาวจันทร์ ๒ ทิศใต้คือดาวพุธ ๔ ตะวันตกตรงคือดาวพฤหัสบดี ๕ ทิศเหนือคือดาวศุกร์ ๖

 

เมื่อทุกพื้นที่มีดาวครอบครองเรียบร้อย ท่านบูรพาจารย์ก็เรียกเสียใหม่ว่า “ทักษา”  แต่ผมเรียกว่า “ดวงทักษา” เพราะดวงทักษานี้เป็นส่วนที่ใกล้ชิดมากกับดวง ๑๒ ราศีจักร เพียงลากเส้นตรงแบ่งกึ่งกลางของทิศเฉียงทั้ง ๔ ทิศ ออกไปทิศละเส้น ก็จะกลายเป็น ๑๒ ส่วนหรือ ๑๒ ราศีจักรทันที

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๖ ดวงทักษา

 

       ดวงทักษานี้ในหลักการพยากรณ์ ได้เพิ่มคาถากำกับไว้ทั้งหมด 8 คำซึ่งท่านต้องจำได้ และเข้าใจความหมายของแต่ละบท ซึ่งมีดังนี้

 

v    บริวาร หมายถึงคนรอบข้างที่เราต้องดูแลรับผิดชอบ ภรรยา คนรับใช้ บุตรหลาน บิดามารดาและทุกคนในบ้าน ถ้าที่ทำงานก็คือคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชา

v    อายุ หมายถึงการเจ็บป่วย สุขภาพ อายุยืนหรือไม่ สุขภาพดีหรือไม่ดี พิจารณาจากคาถาตัวนี้

v    เดช หมายถึงความน่ายำเกรง น่าเคารพ น่าเชื่อถือ

v    ศรี หมายถึงความดี ความมีโชค และมีสิ่งที่ดี ๆ

v    มูลละ หมายถึงที่อยู่อาศัย การเดินทาง ทรัพย์มรดก

v    อุตสาหะ ความหมั่นเพียร ความขยันขันแข็ง

v    มนตรี คือผู้คอยช่วยเหลืออุปถัมภ์ค้ำจุน

v    กาลกิณี ความไม่ดีหรือความชั่วทั้งปวง ความอับโชค

 

คาถาที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะเรียงกันไปตามลำดับ สลับกันไม่ได้เลย แต่ในการทายหรือพยากรณ์จะยกเอาคาถาตัวใดตัวหนึ่งมากล่าวก็ย่อมทำได้ ที่นิยมกันเป็นหลักคือ กาลีหรือกาลกิณี เพราะเป็นคาถาตัวที่ให้โทษหนักและรุนแรง ส่วนศรี มนตรี เดช ให้คุณตามลำดับมากน้อย นอกนั้นเป็นกลาง ๆ คือจะร้ายหรือดีก็ไม่มากนัก เป็นไปตามประเภทและกำลังของดาวแต่ละดาว

 

การนำเอาดวงทักษามาพยากรณ์มีอยู่ 2 แบบ คือดวงเดิมและดวงจร ดวงเดิมจะเริ่มต้นกันที่วันเกิดของแต่ละคน เช่นคนเกิดวันจันทร์ ก็เริ่มนับที่ดาวจันทร์ ๒ เป็นบริวาร ต่อจากนั้นก็นับอายุที่ดาวอังคาร ๓ คือวนตามเข็มนาฬิกานั่นเอง ดูตัวอย่างดังนี้

v    เกิดวันจันทร์ ๒ เป็นบริวาร ๓ เป็นอายุ ๔ เป็นเดช ๗ เป็นศรี ๕ เป็นมูลละ ๘ อุตสาหะ ๖ เป็นมนตรี และ ๑ เป็นกาลกิณี

v    เกิดวันอังคาร ๓ เป็นบริวาร ๔ เป็นอายุ ๗ เป็นเดช ๕ เป็นศรี ๘ เป็นมูลละ ๖ เป็นอุตสาหะ ๑ เป็นมนตรี ๒ เป็นกาลกิณี

v    เกิดวันพุธ ๔ เป็นบริวาร ๗ เป็นอายุ ๕ เป็นเดช ๘ เป็นศรี ๖ เป็นมูลละ ๑ เป็นอุตสาหะ ๒ เป็น มนตรี ๓ กาลกิณี

v    เกิดวันพฤหัสบดี ๕ เป็นบริวาร ๘ เป็นอายุ ๖ เป็นเดช ๑ เป็นศรี ๒ เป็นมูลละ ๓ เป็นอุตสาหะ ๔ เป็นมนตรี ๗ เป็นกาลกิณี

v    เกิดวันศุกร์ ๖ เป็นบริวาร ๑ เป็นอายุ ๒ เป็นเดช ๓ เป็นศรี ๔ เป็นมูลละ ๗ เป็นอุตสาหะ ๕ เป็นมนตรี ๘ เป็นกาลกิณี

v    เกิดวันเสาร์ ๗ เป็นบริวาร ๕ เป็นอายุ ๘ เป็นเดช ๖ เป็นศรี ๑ เป็นมูลละ ๒ เป็นอุตสาหะ ๓ เป็นมนตรี ๔ เป็นกาลกิณี

v    เกิดวันอาทิตย์ ๑ เป็นบริวาร ๒ เป็นอายุ ๓ เป็นเดช ๔ เป็นศรี ๗ เป็นมูลละ ๕ อุตสาหะ ๘ เป็นมนตรี ๖ เป็นกาลกิณี

 

การทายดวงทักษาเดิม

การทายหรือพยากรณ์ดวงทักษาเดิมเริ่มกันที่วันเกิดเป็นสำคัญ คือเมื่อนับกันตามวันเกิดแล้วดาวอะไรเป็นกาลกิณี ถือว่าดาวนั้นให้โทษ และการจะให้โทษในเรื่องอะไร ก็เกี่ยวกับดาวนั้น ๆ เป็นเกณฑ์ ในส่วนของดาวที่ให้คุณก็เช่นเดียวกัน ดาวที่ให้คุณมากคือดาวศรี สำหรับดาวที่เป็นมนตรี และเดชให้คุณรองลงไป นอกนั้นเป็นพวกที่ให้คุณหรือให้โทษกลาง ๆ เช่น

v    เช่นคนเกิดวันจันทร์ ดาวอาทิตย์ ๑ เป็นกาลกิณี การจะได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศหรือตำแหน่งหน้าที่การงานย่อมยากและมักมีอุปสรรค ดาวเสาร์ ๗ เป็นศรีก็ย่อมดีทางด้านหลักฐานทรัพย์สิน โทษทุกข์ก็เบาบางไป

v    คนเกิดวันอังคาร ดาวจันทร์ ๒ เป็นกาลกิณี ทำให้ขาดความมีเสน่ห์ในความงามหรือความประทับใจ ดาวพฤหัสบดี ๕ เป็นศรี มักได้รับการส่งเสริมจากผู้บังคับบัญชาหรือได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ ความรู้และคุณธรรมดี

v    คนเกิดวันพุธ ดาวอังคาร ๓ เป็นกาลกิณี ความขยันขันแข็งไม่ค่อยมีคุณค่า เหนื่อยแล้วไม่คุ้ม และยังทำให้เกิดอุบัติเหตุง่ายดาวราหู ๘ เป็นศรี น้ำใจกว้างขวาง ตรงไปตรงมา ดีทางด้านต่างประเทศ การเสี่ยงโชคดี มักมีการได้โชคลาภอย่างไม่คาดคิด

v    คนเกิดวันพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ๗ เป็นกาลกิณีย่อมมีความเสียหาย มักมีทุกข์มากกว่าปกติ หลักทรัพย์ไม่มั่นคง มักมีการบาดเจ็บ ผิดหวัง ดาวอาทิตย์ ๑ เป็นศรี เกียรติยศชื่อเสียงดี การก้าวหน้าในตำแหน่งการงานราบรื่น มักเป็นที่นิยมแก่คนทั่วไป

v    คนเกิดวันศุกร์ ดาวราหู ๘ เป็นกาลกิณีเสียด้านการต่างประเทศ ถ้าทำงานเกี่ยวกับต่างประเทศจะมีอุปสรรคมาก การเสี่ยงโชคไม่ดี ดาวอังคาร ๓ เป็นศรีขยันขันแข็งดี เอาจริงเอาจังการงานอดทนไม่ท้อถอยง่าย ๆ  ไม่ค่อยมีอุบัติเหตุรุนแรง

v    คนเกิดวันเสาร์ ดาวพุธ ๔ เป็นกาลกิณี เสียเรื่องการพูด เป็นคนพูดตรง แข็งกร้าว เสียด้านการติดต่อประชาสัมพันธ์ การสื่อสาร ดาวศุกร์ ๖ เป็นศรีการเงินดี ความรักดี ชอบการบันเทิงเริงรมย์ มักมีลาภทางด้านการเงิน

v    คนเกิดวันอาทิตย์ ดาวศุกร์ ๖ เป็นกาลกิณี ความรักไม่ค่อยหวานชื่นการเงินมักใช้จ่ายฟุ่มเฟือย รายจ่ายมากกว่ารายรับ ความเป็นปึกแผ่นด้านการเงินช้า ชีวิตรักสะดุดไม่ราบรื่น ดาวพุธ ๔ เป็นศรี พูดจาดีมีคนเชื่อถือ ดีทางด้านการติต่อค้าขาย เป็นนักพูดนักเขียนที่ได้รับการยกย่อง

v    เนื่องจากคนเกิดวันราหูไม่มี ดังนั้นดาวพฤหัสบดี ๕ จึงไม่เป็นกาลกิณีเดิม และดาวจันทร์ ๒ ก็ไม่เป็นศรีเดิมให้กับใคร วันมีเพียง ๗ วัน ไม่เคยได้ยินว่ามีวันราหู ๘ ไม่เคยเห็นว่าสัปดาห์หนึ่งมี ๘ วันตามที่โหราจารย์บางท่านนิยมกัน

 

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการทายหรือพยากรณ์ที่จับเอาเฉพาะพื้นฐาน ศรีและกาลกิณีเท่านั้น  สำหรับดาวที่อยู่ในตำแหน่งอื่น ๆ เช่น  บริวาร อายุ เดช มูลละ อุตสาหะ มนตรี ก็พยากรณ์ไปในแนวเดียวกัน และยังยึดความหมายของดาวแต่ละดาวเป็นแนวทาง

 

 

 การทายดวงทักษาจร

การทายหรือพยากรณ์ดวงทักษาจร มีอยู่ 2 แบบ คือทายจรไปตามจำนวนอายุย่างของเจ้าชะตาแต่ละคน ซึ่งเรียกว่าจรปี และยังมีการทายจรเดือนอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเริ่มจากเดือนที่เกิด นับต่อจากจุดทายจรปีนั่นเอง แต่ในตอนนี้จะกล่าวถึงการทายหรือพยากรณ์จรปีก่อน การทายจรในดวงทักษาให้ถืออายุย่างเป็นหลักการทายจรปี เช่นคนเกิดวันที่ 13 พฤศจิกายน 2479 อายุจะเต็มในวันที่ 13 พฤศจิกายน ของทุกปี พอวันที่ 14 พฤศจิกายน จะถือเป็นอายุย่าง ตามที่สมมุตินี้ ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2548 เท่ากับอายุเต็ม 69 พอวันที่ 14 เดือนเดียวกันอายุย่าง 70 ปีดังนี้เป็นต้น

 

การทายหรือพยากรณ์จรไปตามอายุของเจ้าชะตานี้ เริ่มต้นกันที่ทักษาเดิม คือคนเกิดวันอะไร มีดาวอะไรเป็นบริวารเดิม นับอายุ 1-10-19-28-37-46-55-64-73-82 ขวบปีที่ตำแหน่งดาวบริวารเดิม แล้วนับปีต่อไปที่ช่องถัดไป ปีละช่อง การนับต้องวนไปตามเข็มนาฬิกา แต่ต้องจำไว้เสมอว่า เมื่อนับมาถึงช่องอาทิตย์ ๑ พอปีต่อไปให้นับเข้าช่องกลางก่อนเสมอ แล้วจึงขึ้นไปที่ช่องจันทร์ ๒ ถ้าอายุตกช่องกลางนี้พอดี ให้ใช้พฤหัสบดี ๕ เป็นบริวาร ราหู ๘ เป็นอายุ ศุกร์ ๖ เป็นเดช อาทิตย์ ๑ เป็นศรี จันทร์ ๒ เป็นมูลละ อังคาร ๓ เป็นอุตสาหะ พุธ ๔ เป็นมนตรี เสาร์ ๗ เป็นกาลกิณี ต่อจากนั้นจึงนับอายุจรในปีถัดไปที่จันทร์ ๒ อังคาร ๓ พุธ ๔ เสาร์ ๗ พฤหัสบดี ๕ ราหู ๘ ศุกร์ ๖ อาทิตย์ ๑ อายุจรในปีถัดไปก็นับที่อังคาร ๓ ปีถัดไปนับที่ พุธ ๔ ปีถัดไปนับที่เสาร์ ๗ ปีถัดไปที่ พฤหัสบดี ๕ ปีถัดไปที่ราหู ๘ ปีถัดไปที่ ศุกร์ ๖ ปีถัดไปที่ อาทิตย์ ๑ ปีถัดไปจึงลงไปตากลางอีก ทำดังนี้วนกันไปจนถึงปีที่ต้องการพยากรณ์ ซึ่งโดยมากก็แค่ปีที่เจ้าชะตามาให้พยากรณ์ เรียกว่าจรปัจจุบัน ถ้าล่วงหน้าไปจะกี่ปีก็ตามเรียกว่าการทายจรอนาคต แต่การทายที่สำคัญมากและผิดไม่ได้คือการทายย้อนหลัง การทายย้อนหลังจะกี่ปีก็ตามเรียกว่าทายจรอดีต การทายอดีตถูกต้อง นอกจากจะสร้างความเชื่อถือที่ดีแล้วยังเป็นการตรวจดวงชะตาว่าถูกต้องหรือไม่ด้วย ดังนั้นจึงใคร่ขอเตือนบรรดานักพยากรณ์ทั้งหลายว่าควรรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากท่านทายผิดมันไม่ได้เสียที่ตัวท่านคนเดียว แต่มันจะโยงไปถึงครูบาอาจารย์ด้วยโดยไม่ตั้งใจเสมอ

 

คำพยากรณ์จรในดวงทักษา

การพยากรณ์จรในดวงทักษา ก็ยังยึดหลักของดวงเดิม ต่างกันบ้างก็ตรงที่นอกจากถือความหมายของดาวแต่ละดาวเป็นหลักการทายแล้ว ยังใช้เรือนทักษาที่ดาวนั้น ๆ ครองด้วย เช่นคนที่เกิดวันอาทิตย์ ย่อมได้ดาวอาทิตย์ ๑ เป็นบริวารเดิม และดาวอาทิตย์ ๑ จะเป็นดาวบริวารเดิมอยู่จนอายุ 1 ขวบเต็ม พออายุจรย่าง 2-11-20-29-38-47-56-65-74-83 ปีก็จะเข้าตากลาง ใช้พฤหัสบดี ๕ เป็นบริวารจร ราหู ๘ เป็นอายุจร ศุกร์ ๖ เป็นเดชจร อาทิตย์ ๑ เป็นศรีจรจันทร์ ๒ เป็นมูลละจร อังคาร ๓ เป็นอุตสาหะจร พุธ ๔ เป็นมนตรีจร เสาร์เป็นกาลกิณีจร พออายุจรย่าง 3-12-21-30-39-48-57-66-75-84 ปี ก็จะขึ้นไปที่ช่องจันทร์ ๒ จันทร์ ๒ ก็จะเป็นบริวารจร อายุจรย่าง 4-13-22-31-40-49-58-67-76-85 ปี จะไปที่ช่องอังคาร ๓ อังคาร ๓ ก็จะเป็นบริวารจร อายุจรย่าง 5-14-23-32-41-50-59-68-77-86 ปี จะไปที่ช่องพุธ ๔ พุธ ๔ ก็จะเป็นบริวารจร อายุจรย่าง 6-15-24-33-42-51-60-69-78-87 ปี ก็จะไปที่ช่องเสาร์ ๗ เสาร์ ๗ จะเป็นบริวารจร อายุจรย่าง 7-16-25-34-43-52-61-70-79-88 ปี จะไปที่ช่องพฤหัสบดี ๕ พฤหัสบดี ๕ จะเป็นบริวารจร อายุจรย่าง 8-17-26-35-44-53-62-71-80-89 ปี จะไปที่ช่องราหู ๘ ราหู ๘ จะเป็นบริวารจร พออายุจรย่าง 9-18-27-36-45-54-63-72-81-90 ปี จะไปที่ช่องศุกร์ ๖ ศุกร์ ๖ จะเป็นบริวารจร ต่อจากนั้นพออายุ 10-19-28-37-46-55-64-73-82-91 ปี ทักษาจรปีจะไปตกที่ทักษาเดิมหรือทักษากำเนิด เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับอาทิตย์ ๑ เป็นทั้งบริวารเดิมและบริวารจร เรือนทักษาอื่น ๆ หรือที่ผมเรียกว่าคาถาประจำเรือนทักษา ก็จะเป็นทั้งเดิมและจรพร้อมกัน เช่นเดิมเป็นอายุก็จะเป็นอายุจร เดชเดิมก็จะเป็นเดชจร ศรีเดิมก็จะเป็นศรีจร มูลละเดิมก็จะเป็นมูลละจร อุตสาหะเดิมก็จะเป็นอุตสาหะจร มนตรีเดิมก็จะเป็นมนตรีจร กาลกิณีเดิมจะเป็นกาลกิณีจร หมายถึงว่าอะไรที่เคยดีก็จะดีเป็น 2 เท่า ถ้าร้ายก็จะร้ายเป็น 2 เท่าทันที เช่นถ้าคนที่เกิดวันพุธ อังคาร ๓ เดิมจะเป็นกาลกิณี พออายุจรมาตกที่พุธ ๔ อังคาร ๓ ก็เป็นกาลกิณีจร แบบนี้เข้าทำนองอังคาร ๓ กาลกิณีเดิมเป็นกาลกิณีจรแรงเป็น 2 เท่า ขับรถชนคนตาย บางรายถึงกับตนเองเสียชีวิตด้วย ถ้าหากจะกล่าวถึงแนวทางด้านการพยากรณ์ดวงทักษาจรพอจะสรุปได้ดังนี้

v    บริวารเดิมเป็นกาลกิณีจรทายได้ว่าต้องระวังลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชาสร้างความเสียหายให้ หรือไม่ก็คนในบ้านทำให้ต้องเดือดร้อน เสียเงินทอง แต่ถ้าบริวารเดิมเป็นศรี มนตรี เดชจรจะกลายเป็นว่าลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา หรือคนในบ้านดี อยู่ในโอวาท ไม่สร้างความเดือดร้อนใจให้ อาจจะได้ลาภผลจากบริวารด้วย ถ้าตำแหน่งกลาง ๆ ก็ถือว่าดีมากว่าร้าย

v    อายุเดิมเป็นกาลกิณีจร ทายได้ว่าในช่วงนั้นต้องระวังเกี่ยวกับสุขภาพ อาจต้องพบหมอบ่อย เพราะเจ็บป่วยบ่อย แต่ถ้าเป็นศรี มนตรี เดชจรก็ถือว่าสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ถ้าอยู่ในตำแหน่งกลาง ๆ จะดีมากว่าร้าย

v    เดชเดิมเป็นกาลกิณีจร ถูกใส่ร้ายป้ายสี  นินทาว่าร้ายทำให้เสียชื่อจากบุคคลอื่น แต่ถ้าเป็นศรี มนตรี เดชจร จะได้รับความเกรงขามจากคนรอบข้าง หรือได้รับการสรรเสริญเยินยอต่าง ๆ นา ๆ ถ้าเป็นกลางก็ไม่เสียหาย แต่ก็ไม่เด่นนัก

v    ศรีเดิมเป็นกาลกิณีจร ถือว่าเสียหายบ้างแต่ก็ไม่หมดเสียทีเดียว ได้ครึ่งเสียครึ่ง ถ้าคิดหวังอะไรไว้ก็ได้ไม่เต็มตามที่ต้องการ แต่ถ้าศรีเดิมเป็นศรี มนตรี เดชจร ดีเป็น 2 เท่าต้องการอะไรได้สมความปรารถนาทุกประการ ถ้าอยู่ในตำแหน่งกลาง ๆ เช่นเป็นบริวารจร อายุจร มูลละจร อุตสาหะจรไม่เป็นไรยังมีดีมากกว่าร้าย

v    มูลละเดิมเป็นกาลกิณีจร เดินทางย้ายบ้าน ย้ายงาน คิดขายของเก่ากิน เช่นขายบ้านหรือที่ดินที่เป็นมรดกเดิม แล้วก็ไม่ได้ราคาดี แถมบางรายขายมาได้ก็ปลดหนี้หมด ไม่มีเหลือ ถ้ามูลละเดิมเป็นศรี มนตรี เดชจรขายได้ราคาดี หรือถ้าซื้อต่อไปข้างหน้าจะมีค่ามากกว่าเดิม หรือซื้อของแพงได้ในราคาถูก ถ้าอยู่ในตำแหน่งอื่นยังถือว่าดีมากกว่าเสีย

v    อุตสาหะเดิมเป็นกาลกิณีจร ท้อแท้ เบื่องาน ออกจากงาน คิดทำอะไรก็ไม่มั่นคง ถ้าเป็นศรี มนตรี เดชกลับดี ขยันหมั่นเพียรในการทำงาน ทำงานอย่างทุ่มเท สนใจหน้าที่การงานอย่างดี ถ้าอยู่ในตำแหน่งกลาง ๆ เช่นเป็นบริวารจร อายุจร มูลละจรก็ไม่มีอะไรเสียหาย

v    มนตรีเดิมเป็นกาลกิณีจร เสียบิดามารดา ขาดผู้อุปถัมภ์ หากต้องไปขอความช่วยเหลือจากใครมักผิดหวัง ถ้าศรี เดชจรกลับดีขึ้น คือจะมีคนให้ความเป็นห่วงเป็นใย ทำกิจการอะไรมีคนให้ความช่วยเหลือ เป็นอย่างอื่นก็ถือว่าไม่เสีย อาจมีดีบ้าง

v    กาลกิณีเดิมเป็นกาลกิณีจรให้โทษเป็น 2 เท่าเสมอ ต้องระวัง แม้จะเป็นศรี มนตรี เดชจรก็ไม่ควรไว้ใจ  ยิ่งเป็นกลางก็ถือว่ายังร้าย เผลอหรือประมาทเมื่อใดได้เรื่อง

 

ที่นำมาสรุปไว้ข้างบนนี้เป็นเพียงหลักทั่วไปในการพยากรณ์ดวงทักษาจร การที่ท่านใดจะปรับปรุงตบแต่งคำพยากรณ์ให้สละสลวยงดงามกว่าที่ผมว่า ยิ่งเป็นการดี แต่ก็จะไม่หนีข้อสำคัญเหล่านี้ไปได้ หากท่านเข้าใจทั้งหลักการทายดวงทักษาเดิม ดวงทักษาจรปี และดวงทักษาจรเดือนแล้ว การจะก้าวเลื่อนชั้นขึ้นไปทายดวง 12 ราศีจักรก็จะไม่เป็นการยาก

แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นขอรวบรัดเอาการทายจรเดือนมากล่าวกันก่อนสักเล็กน้อย เพราะแม้จะนำมาใช้ไม่บ่อยนักแต่ทุกท่านที่สนใจวิชาโหราสาดตามแนวเดียวกับผม ก็ควรทราบไว้บ้าง

 

การทายจรเดือน

เป็นที่รู้กันแล้วว่าการทายจรปีต้องเริ่มต้นมาจากดวงทักษาเดิม ดังนั้นเมื่อเราต้องการทายลึกลงไปถึงจรเดือนก็ต้องมาเริ่มกันที่จรปี สมมุติคนเกิดวันศุกร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๗๙ ทายจรปีมาถึงปีนี้ คือปี ๒๕๔๘ เท่ากับอายุย่าง ๖๙  ดวงทักษาเดิมตกที่ศุกร์ ๖ เป็นบริวาร ฯลฯ ทักษาจรปีก็จะมาตกที่พุธ ๔ พุธ ๔ เป็นบริวารจรปี ดังนั้นทักษาจรเดือนก็ต้องเริ่มต้นที่พุธ ๔ คือนับเดือนเกิด พฤศจิกายนที่พุธ ๔ นับเดือนธันวาคมที่เสาร์ ๗ เดือนมกราคมที่พฤหัส ๕ ซึ่งจะตรงกับความเป็นจริงในข้อที่ว่าเจ้าชะตาที่สมมุตินี้อายุจะเต็ม ๖๙ ในเดือนเกิด คือเดือนพฤศจิกายน วันที่ ๑๓ พอขึ้นวันที่ ๑๔ เท่ากับอายุย่าง ๗๐ ปี

 

อ่านตามภาษาการพยากรณ์ว่า ศรีเดิมคืออังคาร ๓ เป็นกาลกิณีจรปี เป็นกาลกิณีจรเดือนในเดือนพฤศจิกายน และจะเป็นมนตรีจรเดือน ในเดือนธันวาคม คำพยากรณ์ก็จะออกมาว่าในปีที่อายุ ๖๙ นั้นต้องระวังเกี่ยวกับอุบัติเหตุ และที่แรงมากขึ้นก็คือเดือนพฤศจิกายนหรือเดือนเกิดนั่นเอง โดยเฉพาะถ้าในเดือนดังกล่าว อังคาร ๓ กำลังทับลัคนา

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๗ ดวงราศีจักร

 

      ในบทต้น ๆ ที่ผ่านมาได้บอกถึงที่ไปที่มาของดวง ๑๒ ราศีจักรเอาไว้ว่ามาจากแบ่งส่วนของโลกที่เราอาศัยนี้ออกเป็นส่วน ๆ เริ่มต้นมาจาก ๒ ส่วน ๔ ส่วน ๘ ส่วน ๑๒ ส่วน ตามลำดับ

 

แต่ในด้านการพยากรณ์เน้นกันที่ ดวงทักษาเป็นส่วนสำคัญ เพราะในดวงทักษา นอกจากกำหนดให้มีดาวครองในแต่ละส่วนแล้ว ยังมีคาถาสำคัญกำกับเอาไว้ด้วย ดังนั้นเมื่อแบ่งดวงทักษาออกเป็น ๑๒ ส่วน ก็ย่อมต้องมีคาถาและดาวครองในแต่ละส่วนด้วยเช่นกัน

 

คาถาดังกล่าวมีดังนี้

1. ตนุ 2. กะดุมพะ 3. สหัชชะ 4. พันธุ 5. ปุตตะ 6. อริ 7. ปัตะนิ 8. มรณะ 9. ศุภะ 10. กรรม 11. ลาภ12. วินาสน์ คาถาทั้ง 12 คำนี้มีหลักการนับทวนเข็มนาฬิกา โดยเริ่มนับตนุที่เรือนลัคนาหรือตนุเศษสถิต ไปจนถึงวินาสน์  ถ้าในดวงชะตาของใครก็ตามมีลัคนาและตนุเศษแยกกันอยู่คนละราศี ก็จะกลายเป็น 24 เรือนโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทายหรือพยากรณ์ยากขึ้นอีกเท่าตัว

ความหมายของคาถาทั้ง 12 คำ

1.       ตนุ คือตัวตนของเราเอง เช่นตนุของผมก็คือตัวผม ตนุของท่านก็คือตัวท่าน

2.       กะดุมพะ การเงิน หาเงิน หรือทรัพย์อื่นที่หาได้มา

3.       สหัชชะ เพื่อนหรือคนที่คบหาใกล้ชิดกัน วัยใกล้เคียงกัน เพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่เคยเรียนมาด้วยกันเป็นต้น

4.       พันธุ หมายถึงบิดา-มารดา ต้นตระกูล เช่นญาติพี่น้อง พี่ ป้า น้า อา ลูกพี่ลูกน้องทั้งของตนเองและของคู่ครอง

5.       ปุตตะ บุตรหลาน เด็ก ๆ บุตรหรือหลานบุญธรรม เด็กกำพร้าที่เก็บมาเลี้ยง

6.       อริ ศัตรู อุปสรรค คู่แข่งขัน

7.       ปัตตะนิ คู่ครอง หุ้นส่วนทางธุรกิจ

8.       มรณะ ความตาย ความเสื่อม การไม่ได้รับความช่วยเหลือ

9.       ศุภะ ความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน งานภายในบ้าน งานพิเศษ

10.    กรรมะ การงานหลัก งานอาชีพ ที่อาศัยรายได้สร้างตัวและครอบครัว

11.    ลาภะ ลาภผล อาจจะจากการงานที่ทำ เงินจากการเสี่ยงโชค หรือลงทุน

12.    วินาสน์ ความสงบ การไม่เปิดเผยชัดเจน ซ่อนเร้น การต้องจากกันไกล ๆ

 

ดาวประจำ 12 ราศี

 

ได้กล่าวไว้แล้วในบทที่ 4 ของเรื่องการแบ่งโลกออกเป็น 12 ส่วนหรือ 12 ราศี  ได้บอกที่มาของชื่อแต่ละราศีตลอดจนธาตุประจำราศี ในบทนี้จึงขอนำเอาสิ่งที่สำคัญ ๆ มาบอกกล่าวให้กับท่านผู้อ่านที่รักของผม ได้รู้แจ้งแทงตลอดว่า ในเส้นทางที่สามารถนำแต่ละคนไปสู่การเป็นนักพยากรณ์มีระดับนั้น ไม่มีอะไรยากจนเกินความสามารถ

 

หลักของการวางดาวประจำ 12 ส่วนหรือ 12 ราศีเพื่อที่จะจดจำได้ง่าย ท่านบุรพาจารย์ท่านยังแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วนเป็นหลัก คือลากเส้นตรงเส้นหนึ่ง จากต้นราศีสิงห์ไปต้นราศีกุมภ์ ก็จะได้ราศีภาคกลางวัน 6 ราศี คือ ราศีสิงห์ ราศีกันย์ ราศีตุลย์ ราศีพิจิก ราศีธนู ราศีมังกร โดยราศีสิงห์มีดาวอาทิตย์ ๑ เป็นดาวประจำราศี ดาวพุธ ๔ ประจำราศีกันย์ ดาวศุกร์ ๖ ประจำราศีตุลย์ ดาวอังคาร ๓ เป็นดาวประจำราศีพิจิก พฤหัสบดี ๕ เป็นดาวประจำราศีธนู ดาวเสาร์ ๗ เป็นดาวประจำราศีมังกร

 

ส่วนราศีภาคกลางคืนอีก 6 ราศี คือราศีกรกฏ ราศีมิถุนหรือเมถุน ราศีพฤษภ ราศีเมษ ราศีมีน และราศีกุมภ์ โดยราศีกรกฏมีดาวจันทร์ ๒ เป็นดาวประจำราศี ดาวพุธ ๔ ประจำราศีเมถุน ดาวศุกร์ ๖ ประจำราศีพฤษภ ดาวอังคาร ๓ ประจำราศีเมษ ดาวพฤหัสบดี ๕ ประจำราศีมีน ดาวเสาร์ ๗ หรือราหู ๘ ประจำราศีกุมภ์

 

ดาวประจำราศีทั้ง 12 ราศี บางโอกาสเช่นเมื่อผูกดวงแล้วจะเรียกว่าดาวเจ้าเรือน เช่นดาวเจ้าเรือนตนุ ดาวเจ้าเรือนกะดุมพะ ดาวเจ้าเรือนสหัชชะ ฯลฯ แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าดาวเจ้าเรือนเกษตร ดาวเกษตรหรือดาวเจ้าเรือนทั้ง 12 ราศีนี้ทุกคนที่จะเป็นโหรไม่ว่าโหรแบบไหนต้องจำได้โดยไม่ต้องนึก เพราะเป็นดาวที่มีบทบาทหลักในการออกคำพยากรณ์ ถ้าจำได้ ก็จะจำดาวตรียางค์ ดาวนวางค์หรือแม้ดาวเจ้าทวาทศำศ ได้โดยไม่ตั้งใจ

 

หลักการจำก็จำเพียงดาวประจำราศีหรือดาวเจ้าเรือนในภาคใดภาคหนึ่งก็พอ เพราะทั้ง 2 ภาคจะเหมือนกัน หรือถ้าเมื่อกำหนดโลกเราอยู่ในระหว่างพระอาทิตย์กับพระจันทร์ ดาวที่อยู่ถัดออกไปก็จะเป็น ๔-๖-๓-๕-๗ (๘) เหมือนกันทั้ง 2 ภาค และผลรวมของเลขที่แทนดาวในราศีตรงกันข้ามรวมกันจะได้ 9 เสมอ

 

อันโตนาที

นอกจากดาวที่ครอบครองประจำราศีต่าง ๆ แล้ว ในแต่ละราศียังได้กำหนดอัตราการโคจรหรือหมุนรอบตัว จากราศีหนึ่ง ไปอีกราศีหนึ่งเอาไว้ดังนี้คือ ราศีเมษ 120 อันโตนาที ราศีพฤษภ 96 อันโตนาที ราศีเมถุน 72 อันโตนาที ราศีกรกฏ 120 อันโตนาที ราศีสิงห์ 144 อันโตนาที ราศีกันย์ 168 อันโตนาที ราศีตุลย์ 168 อันโตนาที ราศีพิจิก 144 อันโตนาที ราศีมังกร 72 อันโตนาที ราศีกุมภ์ 96 อันโตนาที ราศีมีนสุดท้าย 120 อันโตนาที รวมกันทุกราศีจะเท่ากับ 1440 อันโตนาทีหรือเท่ากับ 1440 นาทีนาฬิกานั่นเอง

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๘ ดวงเกษตร

        ดวงเกษตร ได้บอกแล้ว ว่าดาวที่เข้าครอบครองในดวง 12 ราศีจักร ทั้งในภาคกลางวันกลางคืน มีการเรียกกันต่าง ๆ นา ๆ แล้วแต่นำมาใช้ในโอกาสไหน แต่ในตอนนี้ขอเรียกว่าดวงเกษตร เป็นดวงที่มีความสำคัญมากที่สุดในวิชาโหราสาด ถ้าเราจำได้แม่นยำ ในอันดับแรกเราก็สามารถจำดาวประจำตรียางค์แต่ละตรียางค์ได้ จำดาวประจำนวางค์ได้ ตลอดจนจำดาวทวาทศำศได้ด้วย ดาวเกษตรถือกันว่าเป็นดาวที่มีความมั่นคง ดาวใดได้ตำแหน่ง ดาวนั้นให้คุณต่อเนื่องยาวนาน แต่ในหลักของการพยากรณ์ ถือกันว่าแม้จะเป็นดาวบาปเคราะห์ ถ้าได้ตำแหน่งเกษตร ยังมีความดีอยู่บ้าง ไม่ร้ายอย่างที่คิด ยกเว้นเฉพาะดาวกาลกิณีมาเป็นเกษตรเท่านั้นที่ให้โทษ คำพยากรณ์ดาวเกษตรโดยย่อมีดังนี้ ดาวอาทิตย์ ๑ เป็นเกษตร เด่นเรื่องเกียรติยศชื่อเสียง ดาวจันทร์ ๒ เป็นเกษตรเป็นคนเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตนดี มักเกรงใจผู้อื่น มีเสน่ห์แก่ผู้พบเห็น ดาวอังคาร ๓ เป็นเกษตร ขยันขันแข็งการงาน เป็นนักต่อสู้ที่ดี ใจกว้าง ดาวพุธ ๔ เป็นเกษตรเป็นคนพูดดี พูดคล่องมีคนเชื่อถือ มีมนุษย์สัมพันธ์ดีกับบุคคลทั่วไป ดาวพฤหัสบดี ๕ มีคุณธรรมและวิชาการดี ดาวศุกร์ ๖ เป็นเกษตร ความรัก การเงินดี ชอบความสวยงาม และงานบันเทิงเริงรมย์ ดาวเสาร์ ๗ เป็นเกษตร มีหลักทรัพย์ เช่นบ้าน ที่ดิน ทำการเกษตรดี ดาวราหู ๘ เป็นเกษตร ให้คุณด้านต่างประเทศ เช่นทำงานติดต่อการค้าต่างประเทศ

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๙ ดวงปรเกษตร (หรือดวงประ)

         ดวงปรเกษตร (หรือดวงประ) ดวงประเป็นดวงที่ดาวสลับเรือนเกษตรนั่นเอง เช่น อาทิตย์ ๑ ไปอยู่แทนราหู ๘ ในราศีกุมภ์ ราหูไปแทนอาทิตย์ ๑ ในราศีสิงห์ จันทร์ ๒ ไปอยู่แทนเสาร์ ๗ ในราศีมังกร เสาร์ ๗ ไปแทนจันทร์ ๒ในราศีกรกฏ อังคาร ๓ ราศีเมษไปอยู่แทนศุกร์ ๖ ในราศีตุลย์ ศุกร์ ๖ ในราศีตุลย์ไปแทนอังคาร ๓ ราศีเมษ อังคาร ๓ ราศีพิจิกไปอยู่แทนศุกร์ ๖ ในราศีพฤษภ ศุกร์ ๖ ในราศีพฤษภไปแทนอังคาร ๓ ราศีพิจิก พุธ ๔ ราศีเมถุนไปอยู่แทนพฤหัสบดี ๕ ในราศีธนู พฤหัสบดี ๕ ในราศีธนูไปแทนพุธ ๔ ราศีเมถุน พุธ ๔ ราศีกันย์ไปอยู่แทนพฤหัสบดี ๕ ในราศีมีน พฤหัสบดี ๕ ในราศีมีนไปแทนพุธ ๔ ราศีกันย์ พฤหัสบดี ๕ ราศีธนูไปอยู่แทนพุธ ๔ ในราศีเมถุน พุธ ๔ ในราศีเมถุนไปแทนพฤหัสบดี ๕ ราศีธนู พฤหัสบดี ๕ ราศีมีนไปอยู่แทนดาวพุธ ๔ ในราศีกันย์ พุธ ๔ ในราศีกันย์ไปแทนพฤหัสบดี ๕ ในราศีมีน ศุกร์ ๖ ในราศีพฤษภไปอยู่แทนอังคาร ๓ ในราศีพิจิก อังคาร ๓ ในราศีพิจิกไปแทนศุกร์ ๖ ในราศีพฤษภ ศุกร์ ๖ ในราศีตุลย์ ไปอยู่แทนอังคาร ๓ ในราศีเมษ อังคาร ๓ ราศีเมษไปแทนศุกร์ ๖ ในราศีตุลย์ เสาร์ ๗ ในราศีมังกร ไปอยู่แทนจันทร์ ๒ ในราศีกรกฏ จันทร์ ๒ ในราศีกรกฏไปแทนเสาร์ ๗ ในราศีมังกร ราหู ๘ ในราศีกุมภ์ ไปอยู่แทนอาทิตย์ ๑ ในราศีสิงห์ อาทิตย์ ๑ ราศีสิงห์ไปแทนราหู ๘ ในราศีกุมภ์ สำหรับคำทำนายจะเป็นไปในทำนองตรงกันข้ามกับดวงเกษตรเป็นส่วนมาก เช่นดาว ๖ เป็นประ เสียทางด้านการเงินและความรัก บางรายอารมย์ทางเพศเสื่อมเร็ว ไม่ชอบการแต่งตัว ดังนี้เป็นต้น ที่กล่าวมาทั้งดวงเกษตรและดวงประตลอดจนคำทำนายหรือคำพยากรณ์ เป็นเพียงแนวทางหรือพื้นฐานของแต่ละดาวเท่านั้น ยังไม่เกี่ยวกับเรือนชะตา ซึ่งในระดับสูงขึ้นไปจะนำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่นเดียวกับดวง 8 ราศีจักรหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าดวงทักษา ก็ยังไม่นำเข้ามาเกี่ยวโยง ทั้งนี้เกรงท่านจะสับสนแล้วใจเสาะหนีเรียนเสียก่อน โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน) บทที่ ๙ ดวงปรเกษตร (หรือดวงประ) ดวงประเป็นดวงที่ดาวสลับเรือนเกษตรนั่นเอง เช่น อาทิตย์ ๑ ไปอยู่แทนราหู ๘ ในราศีกุมภ์ ราหูไปแทนอาทิตย์ ๑ ในราศีสิงห์ จันทร์ ๒ ไปอยู่แทนเสาร์ ๗ ในราศีมังกร เสาร์ ๗ ไปแทนจันทร์ ๒ในราศีกรกฏ อังคาร ๓ ราศีเมษไปอยู่แทนศุกร์ ๖ ในราศีตุลย์ ศุกร์ ๖ ในราศีตุลย์ไปแทนอังคาร ๓ ราศีเมษ อังคาร ๓ ราศีพิจิกไปอยู่แทนศุกร์ ๖ ในราศีพฤษภ ศุกร์ ๖ ในราศีพฤษภไปแทนอังคาร ๓ ราศีพิจิก พุธ ๔ ราศีเมถุนไปอยู่แทนพฤหัสบดี ๕ ในราศีธนู พฤหัสบดี ๕ ในราศีธนูไปแทนพุธ ๔ ราศีเมถุน พุธ ๔ ราศีกันย์ไปอยู่แทนพฤหัสบดี ๕ ในราศีมีน พฤหัสบดี ๕ ในราศีมีนไปแทนพุธ ๔ ราศีกันย์ พฤหัสบดี ๕ ราศีธนูไปอยู่แทนพุธ ๔ ในราศีเมถุน พุธ ๔ ในราศีเมถุนไปแทนพฤหัสบดี ๕ ราศีธนู พฤหัสบดี ๕ ราศีมีนไปอยู่แทนดาวพุธ ๔ ในราศีกันย์ พุธ ๔ ในราศีกันย์ไปแทนพฤหัสบดี ๕ ในราศีมีน ศุกร์ ๖ ในราศีพฤษภไปอยู่แทนอังคาร ๓ ในราศีพิจิก อังคาร ๓ ในราศีพิจิกไปแทนศุกร์ ๖ ในราศีพฤษภ ศุกร์ ๖ ในราศีตุลย์ ไปอยู่แทนอังคาร ๓ ในราศีเมษ อังคาร ๓ ราศีเมษไปแทนศุกร์ ๖ ในราศีตุลย์ เสาร์ ๗ ในราศีมังกร ไปอยู่แทนจันทร์ ๒ ในราศีกรกฏ จันทร์ ๒ ในราศีกรกฏไปแทนเสาร์ ๗ ในราศีมังกร ราหู ๘ ในราศีกุมภ์ ไปอยู่แทนอาทิตย์ ๑ ในราศีสิงห์ อาทิตย์ ๑ ราศีสิงห์ไปแทนราหู ๘ ในราศีกุมภ์ สำหรับคำทำนายจะเป็นไปในทำนองตรงกันข้ามกับดวงเกษตรเป็นส่วนมาก เช่นดาว ๖ เป็นประ เสียทางด้านการเงินและความรัก บางรายอารมย์ทางเพศเสื่อมเร็ว ไม่ชอบการแต่งตัว ดังนี้เป็นต้น ที่กล่าวมาทั้งดวงเกษตรและดวงประตลอดจนคำทำนายหรือคำพยากรณ์ เป็นเพียงแนวทางหรือพื้นฐานของแต่ละดาวเท่านั้น ยังไม่เกี่ยวกับเรือนชะตา ซึ่งในระดับสูงขึ้นไปจะนำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่นเดียวกับดวง 8 ราศีจักรหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าดวงทักษา ก็ยังไม่นำเข้ามาเกี่ยวโยง ทั้งนี้เกรงท่านจะสับสนแล้วใจเสาะหนีเรียนเสียก่อน

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๐ ดวงมหาอุจ

        ดวงมหาอุจ เกี่ยวกับดวงราวในราศีต่าง ๆ ในหลักการทายหรือพยากรณ์ จะให้คุณหรือให้โทษแก่เจ้าชะตามากน้อย แตกต่างกัน สุดแต่เมื่อผูกดวงชะตาตามวันเดือนปีและเวลาเกิดของแต่ละคนแล้ว ดาวเหล่านั้นกระจายกันอยู่ในราศีใด บางราศีก็ให้คุณเต็มที่ บางราศีก็ให้คุณในระดับรองลงมา แต่ในบางราศีก็กลายเป็นให้โทษ และการให้โทษ ก็มีมากน้อยต่างกัน ซึ่งถ้าไม่หัดสังเกตหรือขาดประสพการก็ไม่สามารถจะเห็นได้ชัดเจน ต่อเมื่อคุ้นเคยมากขึ้น หรือผ่านการพยากรณ์ดวงจริงมากรายก็จะสามารถแยกความแตกต่างได้เอง เกี่ยวกับเรื่องนี้ในหลักการพยากรณ์ได้แยกออกเป็น 2 พวกหรือ 2 ฝ่าย ๆ ที่ให้คุณเริ่มมาตั้งแต่ดวงเกษตร มหาอุจ ราชาโชค มหาจักร ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งให้โทษ คือดวงนิจ ดวงประ แต่ในส่วนที่กล่าวนี้ บางครั้งบางคราว ก็อาจจะพลิกกลับได้เหมือนกัน ซึ่งตรงนั้นก็ต้องมีปัจจัยอื่นที่มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างเช่นพฤหัสบดี ๕ เบื้องต้นถือกันว่าเป็นดาวศุภเคราะห์ให้คุณทางด้านวิชาการ คุณธรรม สติปัญญา เมื่ออยู่ในตำแหน่งเกษตร มหาอุจ มหาจักร ราชาโชค ก็ยิ่งให้คุณมากขึ้น แต่ถ้าในดวงชะตาต้องตกไปอยู๋ในเรือนของดาวกาลกิณี หรือมีดาวกาลกิณีราหู ๘ หรือเสาร์ ๘ เป็นต้นเข้ามาอยู่ด้วย คือร่วมราศีเดียวกัน หรือโคจรมาทับ ก็ย่อมมีผลเสียหายเกิดขึ้น ดังนี้เป็นต้น จึงอยากจะทำความเข้าใจกับท่านที่รักเอาไว้ตรงนี้ว่า ดาวในกลุ่มที่ว่าให้คุณหรือให้โทษนั้น ในระดับการพยากรณ์ที่สูงขึ้นไป สามารถพลิกกลับได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ อาจจะจากรอบอายุของเจ้าชะตาบ้าง เช่นเป็นกาลกิณีจร หรือจากการโคจรของดาวบ้าง เช่นการเข้าเรือนมรณะ อริ หรือโคจรถอยหลัง ดังนั้นท่านจึงต้องใช้ความรอบคอบมากขึ้นเป็นลำดับ สำหรับดวงมหาอุจ เป็นดวงที่ให้คุณอีกประเภทหนึ่ง ระดับความดีงามในการให้คุณเรียกว่าสูงสุดก็ว่าได้ แต่ความเป็นมาของการกำหนดว่าดาวใดอยู่ในราศีใดเป็นมหาอุจ ยังไม่พบจากตำนานเล่มใด ๆ แต่เมื่อนำมาใช้ทางการทายหรือพยากรณ์ ก็ให้คุณตามที่กล่าวไว้จริง ตำแหน่งดาวมีดังนี้ จันทร์ ๒ สถิตราศีพฤษภ อาทิตย์ ๑ สถิตราศีเมษ ศุกร์๖ สถิตราศีมีน พฤหัสบดี ๕ สถิตราศีกรกฏ อังคาร ๓ สถิตราศีมังกร พุธ ๔ สถิตราศีกันย์ เสาร์ ๗ สถิตราศีตุลย์ ราหู ๘ สถิตราศีพิจิก หากท่านจะลองเขียนรูปดวงประกอบ จะสังเกตุเห็นว่า มีดาวที่เล็งหรืออยู่ตรงกันข้าม เป็นคู่ ๆ ดังนี้จันทร์ ๒ เล็งราหู ๘ ศุกร์ ๖ เล็งกับพุธ ๔ สองคู่นี้ค่าตัวเลขรวมได้ 10 อีก 2 คู่ คืออาทิตย์ ๑ เล็งเสาร์ ๘ พฤหัสบดี ๕ เล็งอังคาร ๓ สองคู่นี้รวมกันได้ 8 หรือเมื่อรวมกันจนเป็นเลขตัวเดียวจะเท่ากับ 9 คำพยากรณ์ดวงมหาอุจก็ยังเป็นไปในแนวทางของดาวแต่ละดาว เช่นเดียวกับดวงเกษตรและประ เช่น อาทิตย์ ๑ เกี่ยวกับชื่อเสียงเกียรติยศ เมื่อเป็นมหาอุจ จะเด่นเรื่องชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในระดับแนวหน้า หรือเรียกว่าดังง่ายนั่นเอง ดาวศุกร์ ๖ ซึ่งหมายถึงการเงินหรือที่นิยมเรียกกันว่าขุนคลัง ถ้าได้ตำแหน่งมหาอุจ ก็จะมีฐานะทางการเงินดี ความรักราบรื่น หาเงินเก่ง เงินไม่ขาดมือ ดังนี้เป็นต้น

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๑ ดวงนิจ

   ดวงนิจ เป็นดวงที่มีคำทำนายตรงกันข้ามกับดวงมหาอุจ เหมือนที่ดวงเกษตรกับดวงประหรือปรเกษตร หรือถ้าเปรียบ ดวงมหาอุจเป็นดวงที่ดาวให้คุณเข้มแข็ง ดวงนิจก็คือดวงที่กำลังดาวอ่อนแอนั่นเอง ถ้าดาวที่เป็นศุภเคราะห์อ่อนแอจะเป็นที่น่าเสียดายยิ่ง แต่ถ้าดาวบาปเคราะห์หรือดาวที่ให้โทษอ่อนกำลังการให้โทษกลับดูดีขึ้น เพราะกำลังการให้โทษลดลง เช่นดาวอังคาร ๓ เป็นนิจ การให้โทษจากการเกิดอุบัติเหตุก็เบาลง เป็นต้น ตำแหน่งของดาวที่เป็นนิจมีดังนี้ จันทร์ ๒ สถิตราศี พิจิก อาทิตย์ ๑ สถิตราศี ตุลย์ ศุกร์ ๖ สถิตราศี กันย์ พฤหัสบดี ๕ สถิตราศี มังกร อังคาร ๓ สถิตราศี กรกฎ พุธ ๔ สถิตราศี มีน เสาร์ ๗ สถิตราศี เมษ ราหู ๘ สถิตราศีพฤษภ เรื่องที่เกี่ยวกับดวงนิจเคยได้ยินโหราจารย์บางท่านว่า นิจเล็งนิจถือเป็นมหาอุจครึ่งหนึ่ง ไม่ทราบท่านถืออะไรเป็นหลักวัดผลว่าเป็นจริงหรือไม่ ท่านอ้างแต่เพียงว่า ปรเกษตรเล็งปรเกษตรยังให้คุณครึ่งหนึ่งของเกษตรจริงได้ ตรงนี้ผมว่ายังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอว่าให้คุณ จึงยังไม่กล้านำมาใช้ และก็จะไม่ยุยงให้ใครใช้ด้วย เช่นเดียวกับที่พยายามสร้างดวงเกษตรใหม่ขึ้นมาในปัจจุบัน แต่ก็ยังขาดสถิติว่าเมื่อนำมาใช้แล้ว 100 ส่วนผิดกี่ส่วนถูกกี่ส่วน แต่เอาเถอะใครจะสร้างสูตรอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาก็ยังถือว่ามีเจตนาดี ต่อวงการโหราสาด ไม่คิดแต่จะกินใช้ของเก่าอันเป็นมรดกตกทอดล้ำค่าอยู่ข้างเดียว !!! เหมือนใครบางคน.

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๒ ดวงมหาจักร

    ดวงมหาจักรก็เป็นอีกดวงหนึ่งที่ให้คุณ แต่ลักษณะค่อนข้างจะผาดโผนหรือวูบวาบ ทันอกทันใจ บางคราวไม่ทันคาดคิดก็มาถึงตัวแล้ว ท่านที่ใจร้อนหน่อยจะชอบ ยิ่งถ้าเป็นนักเสี่ยงโชค นักการพนันในดวงชะตามีดาวมหาจักรมากดวงจะดี โดยเฉพาะราหู ๘ เคยเห็นบางท่านยึดอาชีพการเสียงโชคเป็นสรณะก็มี บางท่านเป็นเจ้าของบ่อนการพนันบอลล์ ดาวที่ประจำในราศีที่เป็นมหาจักรมีดังนี้ อาทิตย์ ๑ สถิตราศีกรกฏ จันทร์ ๒ สถิตราศีเมษ อังคาร ๓ สถิตราศีกันย์ พุธ ๔ สถิตราศีสิง์ พฤหัสบดี ๕ สถิตราศีพิจิก ศุกร์ ๖ สถิตราศีธนู เสาร์ ๗ สถิตราศีพฤษภ ราหู ๘ สถิตราศีมังกร คำพยากรณ์ดวงมหาจักร ก็ยังยึดลักษณะดาวแต่ละดาวเป็นการยืนพื้น เช่นพุธ ๔ ได้ตำแหน่งมหาจักรดีด้านการคบหาสามาคม มีมนุษย์สัมพันธ์ดี พูดจาดี มีคนเชื่อฟัง จะแตกต่างกับดวงเกษตรและมหาอุจบ้างก็ตรงที่ไม่มีดวงแสดงถึงการตกต่ำ ดีแล้วดีเลย ที่พิเศษอยู่เท่าที่เห็นคือดาวกาลกิณีเดิมถ้าเป็นมหาจักร์กลับให้คุณดีเด่น บางคนเกิดวันจันทร์ ๒ อาทิตย์ ๑ เป็นกาลกิณี อาทิตย์ ไปอยู่ราศีกรกฎเป็นคนมีชื่อเสียงกว้างขวางและเคยเป็นถึงนายกรัฐมนตรี !!!

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๓ ดวงราชาโชค

      ดวงราชาโชคเป็นดวงประเภทเดียวกับดวงมหาจักรคือดีอย่างเดียว กล่าวกันว่าเป็นดวงเน้นหนักไปในทางมีเสน่ห์ เมตตามหานิยม ไปไหนมาไหนมีคนรักใคร่นับถือ หากจะกล่าวกันในภาพรวม ดวงราชาโชคเป็นดวงมหานิยม ดวงมหาจักรให้โชคลาภ ดวงมหาอุจดีทั้งด้านการเงินและชื่อเสียง ดวงเกษตรแสดงถึงความมั่นคงคือขึ้นไม่มากตกไม่มากนั่นเอง ดวงดาวที่ถูกกำหนดเป็นดวงราชาโชคมีดังนี้ อาทิตย์ ๑ สถิตราศีเมถุน จันทร์ ๒ สถิตราศีกันย์ อังคาร ๓ สถิตราศีพฤษภ พุธ ๔ สถิตราศี สิงห์ พฤหัสบดี ๕ สถิตราศีเมษ ศุกร์ ๖ สถิตราศีกรกฏ เสาร์ ๗ สถิตราศีพิจิก ราหู ๘ สถิตราศีตุลย์ คำพยากรณ์ดวงราชาโชค ดีเด่นไปในแต่ละดาวดังที่ได้กล่าวมา คือถ้าเป็นดาวที่เกี่ยวกับเกียรติยศชื่อเสียง หรือตำแหน่งหน้าที่การงาน ถ้าได้ตำแหน่งตามที่กำหนดก็ทำให้เป็นคนมีชื่อเสียงดี หรือดาวที่หมายถึงหลักทรัพย์ได้ตำแหน่งดี ก็จะเป็นคนมีฐานะมั่นคง เหล่านี้เป็นต้น ทว่าการพยากรณ์ดวงดาวที่อยู่ในตำแหน่งที่ดี เช่นในดวงเกษตร ดวงมหาอุจ ดวงมหาจักร ดวงราชาโชค ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นพื้นฐานเบื้องต้นเท่านั้น ถ้าดาวดวงใดในดวงชะตานอกจากได้ตำแหน่งดีเป็นเกษตร มหาอุจ มหาจักร ราชาโชค หรือเป็นประ เป็นนิจ ยังเป็นดาวเจ้าเรือน ๆ ใดเรือนหนึ่ง หรือเป็นดาวประจำเรือนทักษา เช่นดาวอาทิตย์ ๑ ซึ่งหมายถึงชื่อเสียงเกียรติยศ ได้ตำแหน่งเป็น เกษตร มหาอุจ มหาจักร ราชาโชค และเป็นดาวเจ้าเรือนกะดุมพะด้วย เป็นดาวอายุในดวงทักษาด้วย ดังนี้ต้องทายหรือทำนายไปในทิศทางที่ดี เช่นชื่อเสียงดี การเงินดี สุขภาพดีและอายุยืน ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น หรือถ้าเป็นด้านตรงกันข้าม ดาวอายุทางทักษาเป็นนิจเป็นประดาวเจ้าเรือนกะดุมพะเป็นนิจเป็นประและเป็นดาวอาทิตย์ด้วยเช่นนี้ ทั้งอาทิตย์ ๑ อยู่ในจุดที่ไม่มีดาวอื่นเข้ามาค้ำจุนช่วยเหลือ ก็ทายเสียได้เลย

 

 โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๔ ดวงตรียางค์จักร

        ผมขอทบทวนความทรงจำของผม และท่านผู้อ่านอันเป็นที่รักไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า การแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน ๔ ส่วน ๘ ส่วนและ ๑๒ ส่วนหรือที่เรียกกันว่า ๑๒ ราศีจักร ตลอดจนการจัดดาวพระเคราะห์ประจำทั้ง ๑๒ ราศี ราศีใดที่ดาวพระเคราะห์ให้คุณสูงสุด และราศีใดดาวพระเคราะห์ให้คุณต่ำสุด ตรงนั้นเราได้เรียนรู้กันมาแล้ว ที่จะกล่าวถึงต่อไปคือการแบ่งส่วนจาก ๑๒ ส่วนย่อยลงไปอีกเป็น ๓๖ ส่วน โดยการแบ่งในแต่ละราศีออกไปราศีละ ๓ ส่วน ๆ ละ ๑๐ องศา เรียกตามหลักโหรว่า ตรียางค์ ทั้งนี้ก็เพื่อการพยากรณ์ที่ละเอียดลึกซึ้งในอีกระดับหนึ่ง

เมื่อแบ่ง ๑๒ ราศีออกเป็น ๓ ส่วนหรือ ๓ ตรียางค์ ๆ ละ ๑๐ องศาแล้ว ก็ยังกำหนดดาวพระเคราะห์ประจำตรียางค์เอาไว้ด้วย โดยกำหนดตายตัวว่า  

ในราศีธาตุไฟ ดาวเจ้าตรียางค์ทั้ง ๓ ตรียางค์ต้องมาจากราศีธาตุไฟ

ในราศีธาตุดิน ดาวเจ้าตรียางค์ทั้ง ๓ ตรียางค์ต้องมาจากราศีธาตุดิน

ในราศีธาตุลม ดาวเจ้าตรียางค์ทั้ง ๓ ตรียางค์ต้องมาจากราศีธาตุลม

ในราศีธาตุน้ำ ดาวเจ้าตรียางค์ทั้ง ๓ ตรียางค์ต้องมาจากราศีธาตุน้ำ

รูปร่างหน้าตาของดาวประจำตรียางค์ทั้ง ๑๒ ราศีมีดังนี้

ราศีเมษ ตรียางค์แรก ๓ ตรียางค์ที่สอง ๑ ตรียางค์ที่สาม ๕

ราศีพฤษภ ตรียางค์แรก ๖ ตรียางค์ที่สอง ๔ ตรียางค์ที่สาม ๗

ราศีเมถุน ตรียางค์แรก ๔ ตรียางค์ที่สอง ๖ ตรียางค์ที่สาม ๘

ราศีกรกฏ ตรียางค์แรก ๒ ตรียางค์ที่สอง ๓ ตรียางค์ที่สาม ๕

ราศีสิงห์ ตรียางค์แรก ๑ ตรียางค์ที่สอง ๕ ตรีงยางค์ที่สาม ๓

ราศีกันย์ ตรียางค์แรก ๔ ตรียางค์ที่สอง ๗ ตรียางค์ที่สาม ๖

ราศีตุลย์ ตรียางค์แรก ๖ ตรียางค์ที่สอง ๘ ตรียางค์ที่สาม ๔

ราศีพิจิก ตรียางค์แรก ๓ ตรียางค์ที่สอง ๕ ตรียางค์ที่สาม ๒

ราศีธนู ตรียางค์แรก ๕ ตรียางค์ที่สอง ๓ ตรียางค์ที่สาม ๑

ราศีมังกร ตรียางค์แรก ๗ ตรียางค์ที่สอง ๖ ตรียางค์ที่สาม ๔

ราศีกุมภ์ ตรียางค์แรก ๘ ตรียางค์ที่สอง ๔ ตรียางค์ที่สาม ๖

ราศีมีน ตรียางค์แรก ๕ ตรียางค์ที่สอง ๒ ตรียางค์ที่สาม ๓

นอกจากนี้ยังได้กำหนดเป็นตรียางค์พิษเอาไว้ด้วย

ราศีเมษ ตรียางค์ที่ ๑ เป็นตรียางค์พิษนาค

ราศีพฤษภ ตรียางค์ที่ ๒ เป็นตรียางค์พิษครุฑ

ราศีเมถุน ตรียางค์ที่ ๓ เป็นตรียางค์พิษสุนัขบ้า

ราศีกรกฏ ตรียางค์ที่ ๓ เป็นตรียางค์พิษสุนัขบ้า

ราศีสิงห์ ตรียางค์ที่ ๒ เป็นตรียางค์พิษครุฑ

ราศีกันย์ ตรียางค์ที่ ๑ เป็นตรียางค์พิษนาค

ราศีตุลย์ ตรียางค์ที่ ๒ เป็นตรียางค์พิษครุฑ

ราศีพิจิก ตรียางค์ที่ ๓ เป็นตรียางค์พิษสุนัขบ้า

ราศีธนู ตรียางค์ที่ ๑ เป็นตรียางค์พิษนาค

ราศีมังกร ตรียางค์ที่ ๓ เป็นตรียางค์พิษสุนัขบ้า

ราศีกุมภ์ ตรียางค์ที่ ๒ เป็นตรียางค์พิษครุฑ

ราศีมีน ตรียางค์ที่ ๑ เป็นตรียางค์พิษนาค

คำพยากรณ์เกี่ยวกับตรียางค์ที่เป็นเอกลักษณ์จริง ๆ ยังไม่เห็นว่าชัดเจนมากนักนอกจากจะว่ากันที่ตัวดาวที่เป็นดาวประจำแต่ละตรียางค์ แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับการวางดวงลัคนาฤกษ์ในภาพรวมบอกไว้ว่าถ้าเป็นดาวบาปเคราะห์ ไม่ดี ให้โทษ ถ้าเป็นดาวศุภเคราะห์ดี คือให้คุณ .

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๕ ดวงนวางค์จักร

     ในแต่ละราศีทั้ง ๑๒ ราศีแบ่งออกไปอีกราศีละ ๙ ส่วน ๆ ละ ๓ องศา ๒๐ ลิปดา เรียกว่า “นวางค์”

ซึ่งหมายถึง ๙ นั่นเอง ในแต่ละนวางค์มีดาวครอบครองเช่นเดียวกัน เรียกว่าดาวเจ้านวางค์หรือดาวประจำนวางค์ ดาวประจำนวางค์ทั้งหมดถูกกำหนดมาจากดาวประจำดวงเกษตร เรียงกันไปตามลำดับแบบทวนเข็มนาฬิกา

ราศีเมษ นวางค์ ๓-๖-๔-๒-๑-๔-๖-๓-๕

ราศีพฤษภ นวางค์ ๗-๘-๕-๓-๖-๔-๒-๑-๔

ราศีเมถุน นวางค์ ๖-๓-๕-๗-๘-๕-๓-๖-๔

ราศีกรกฏ นวางค์ ๒-๑-๔-๖-๓-๕-๗-๘-๕

ราศีสิงห์ นวางค์ ๓-๖-๔-๒-๑-๔-๖-๓-๕

ราศีกันย์ นวางค์ ๗-๘-๕-๓--๖-๔-๒-๑-๔

ราศีตุลย์ นวางค์ ๖-๓-๕-๗-๘-๕-๓-๖-๔

ราศีพิจิก นวางค์ ๒-๑-๔-๖-๓-๕-๗-๘-๕

ราศีธนู นวางค์ ๓-๖-๔-๒-๑-๔-๖-๓-๕

ราศีมังกร นวางค์ ๗-๘-๕-๓-๖-๔-๒-๑-๔

ราศีกุมภ์ นวางค์ ๖-๓-๕-๗-๘-๕-๓-๖-๔

ราศีมีน นวางค์ ๒-๑-๔-๖-๓-๕-๗-๘-๕

ข้อสังเกตุจะเห็นได้ว่าดาวประจำนวางค์แต่ละนวางค์ ที่เป็นราศีธาตุเดียวกันจะเหมือนกันหมด หรือจะเรียกว่าราศีที่ตรีโกณกัน ร่วมธาตุกันดาวประจำนวางค์หรือลูกนวางค์เหมือนกัน นวางค์ที่เป็นลูกพิษต่าง ๆ เพราะตัวของมันเองไม่มี แต่นวางค์ใดก็ตามที่อยู่ในเขตของตรียางค์พิษ ให้ถือว่านวางค์นั้นเป็นลูกพิษด้วย

เมื่อมาถึงตรงนี้ก็สรุปว่าโลกเราถูกแบ่งส่วนเป็น ๒-๔-๘-๑๒–๓๖–๑๐๘ ตามลำดับ แต่ได้นำมาใช้เป็นหลักในการพยากรณ์จริง ๆ จากที่ถูกแบ่งออกเป็น ๘ ส่วน (ดวงทักษา) ๑๒ ส่วน (ดวงราศีจักร) ๓๖ ส่วน (ดวงตรียางค์จักร) ๑๐๘ ส่วน (ดวงนวางค์จักร) สำหรับที่แบ่งออกเป็น ๑๔๔ ส่วน (ดวงทวาทศำศจักร) ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนักจึงขอไม่กล่าวถึง

การแบ่งส่วนของโลกออกเป็นเช่นใด จักรวาฬอันโลกเราลอยเคว้งคว้างอยู่ก็ถูกแบ่งเช่นเดียวกันทุกประการ

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๖ ปัจจัยการผูกดวง

    

       ผมได้นำเสนอพื้นฐานของวิชาโหราสาดแก่ท่านผู้อ่านมาพอสมควร แก่การที่ท่านจะก้าวเข้าใกล้การเฉลิมดวงชะตา อันเสมือนเป็นแผนที่ชีวิตของแต่ละคน ซึ่งแผนที่ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะมีการผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะหากพลั้งเผลอหรือประมาทด้วยประการใด ๆ จนท่านกระทำให้พระเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งใน 10 ดวง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น เคลื่อนที่จากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่ง และเป็นเหตุทำให้เรื่องราวอันเกี่ยวแก่ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปจากความเป็นจริง ยามที่เราต้องอ่านชะตาชีวิตจากตำแหน่งดวงดาวเหล่านั้น นั่นย่อมเป็นบาปกรรมที่ท่านไม่มีทางเลี่ยงได้พ้น

ถ้าเปลี่ยนจากที่ร้ายมาเป็นดี แต่ผลไม่ดีตามก็ย่อมต้องนำความผิดหวังมาสู่เจ้าชะตา หรือจากดีมาเป็นร้ายก็ย่อมต้องหดหู่หัวใจจากการพยากรณ์ในแง่ร้าย และที่สำคัญการคิดจะเป็นโหรของท่านก็พลอยตีบตันไปด้วยอย่างไม่ตั้งใจ ที่ผมเตือนตรงนี้โปรดได้ทราบว่ามิได้เป็นการอวดตัวว่าตนเองไม่เคยผิดพลาด มันเคยมาแล้วครับ ถ้าการผิดพลาดครั้งหนึ่งแล้วมีแผลเป็นเกิดบนใบหน้าแผลหนึ่งเป็นเครื่องเตือนใจ ผมว่าโหรดัง ๆ หลายคนที่เราต่างรู้เห็นกันอยู่ คงจะมีแผลเป็นจารึกอยู่บนใบหน้าคงไม่น้อยกว่าผมสักเท่าไร

เอาล่ะทีนี้เราหันมาที่ปัจจัยของการผูกดวงชะตากันต่อไป

อันดับแรกก็คงต้องเป็นวันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดหรือเวลาตกฟาก รวมทั้งจังหวัดเกิด

อันดับที่สอง คือปฏิทินดาราศาสตร์ระบบสุริยาตร์ ตัดเวลาที่ 07.00 น.ก็ได้ ที่ 24.00 น. ก็ได้

เพราะถึงอย่างไร เราก็ต้องนำราศี องศา ลิปดา (สมผุส) ของดาวมาตัดหาสมผุสที่เวลาเกิดอยู่ดี

อันดับที่สาม คือแผ่นหมุนหาลัคน์ทันใจ จะทำด้วยอาลูมิเนียมหรือกระดาษก็ได้ทั้งนั้น

อันดับที่สี่ อันดับนี้ราคาค่อนข้างแพง สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเงินจะหงุดหงิดหน่อย แต่คนที่มีเงินเต็มกระเป๋าก็ไม่มีปัญหา คือเครื่องคอมฯ จะแบบ NOTEBOOK แบบ PC หรือแบบตั้งโต๊ะพร้อมโปรแกรมการผูกดวงก็ได้

ในสี่อันดับนี้ถ้าท่านมีอันดับที่สี่ อันดับที่สองและสามไม่ต้องก็ได้ แต่ผมขอกราบเรียนว่าผมจะไม่สอนการผูกดวงด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เพราะผมเป็นแค่งู ๆ ปลา ๆ พอเอาตัวรอดไม่สันทัดนัก

เมื่อท่านมีปัจจัยต่าง ๆ อยู่ในมือและพร้อมที่จะผูกดวงได้ ขอได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเวลาอีกสักนิด เพื่อป้องกันการไขว้เขว เวลาที่จะต้องใช้ในการผูกดวงจะมีอยู่ 2 อย่าง คือเวลาที่เจ้าชะตาเกิดชนิดหนึ่งกับเวลาอาทิตย์ขึ้นหรืออาทิตย์อุทัยอีกชนิดหนึ่ง

เวลาเจ้าชะตาเกิด แน่นอนว่าเจ้าชะตาแต่ละคนที่มาให้ผูกดวงพยากรณ์ ย่อมมีสถานที่เกิดแตกต่างกัน เช่นคนหนึ่งเกิดกรุงเทพฯ คนหนึ่งเกิดจังหวัดสุราษฎร์ฯ คนที่เกิดกรุงเทพฯ ก็ใช้เวลาเกิดจากนาฬิกาที่กรุงเทพฯ คนเกิดสุราษฎร์ฯ ก็ย่อมต้องใช้เวลาจากนาฬิกาที่สุราษฎร์ฯ ไม่น่าจะมีใครทำอะไรเพี้ยน ๆ เกิดกรุงเทพฯแล้วไปใช้เวลาของสุราษฎร์ฯ หรือเกิดสุราษฎร์ฯ แล้วไปใช้เวลาเกิดของกรุงเทพฯ เวลาเกิดหรือเวลาตกฟากนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถทำให้เรารู้ว่า ณ เวลาเกิดของใครคนใดคนหนึ่งนั้น โลกได้หมุนหรือโคจร เอาราศีของโลก ผ่านจุดอาทิตย์อุทัยของวันเกิด ไปมากน้อยเท่าใด

เวลาอาทิตย์อุทัย เวลาอาทิตย์อุทัยนี่ก็มีอยู่ 2 แบบ ๆ หนึ่งคืออาทิตย์อุทัยหรืออาทิตย์ขึ้นไม่คงที่ คือต้น ๆ ปีอาทิตย์จะอุทัยช้า เช่นในเดือนมกราคม จะขึ้นประมาณ 06.40 เศษ แต่พอกลาง ๆ ปีจะเร็วขึ้นประมาณ 05.50 น.

อีกแบบหนึ่งคืออาทิตย์อุทัยหรืออาทิตย์ขึ้นปานกลาง คือเฉลี่ยเอาไว้เวลาเดียวที่ 06.00 น. ใครหรือโหรคนใดจะใช้เวลาอาทิตย์อุทัยหรืออาทิตย์ขึ้นแบบใด ไม่มีโหราจารย์ใดบังคับเอาไว้ แต่สำหรับผมเอาที่กลาง ๆ คือที่ 06.00 น.

เพราะถือว่าอาทิตย์จะขึ้นเร็วหรือช้า ผมก็ยังตื่นไปทำงานตามเวลาที่นาฬิกาบอก และเลิกงานก็ตามเวลานาฬิกาเช่นกัน ไม่มีการใช้อาทิตย์ตกช้าเลิกงานช้าตกเร็วเลิกงานเร็ว ไม่เหมือนวัวควายหรือชาวไร่ชาวนาตลอดจนนกกา ที่เมื่อท้องฟ้าสว่างเร็วก็ต้องออกไปทำงานเร็ว ค่ำเร็วก็เลิกงานเร็วหรืออาทิตย์ขึ้นช้าก็ออกไปทำไร่ไถนาช้า อาทิตย์ตกช้าเลิกงานช้า

คือสรุปแล้วคนกลุ่มหนึ่งยึดถือเวลานาฬิกาเป็นจุดเริ่มต้นของการดิ้นรนต่อสู้ออกทำมาหากิน ในขณะอีกกลุ่มหนึ่งรวมทั้งสรรพสิ่งที่มีชีวิตต้องเริ่มต้นวันใหม่ตามเวลาที่ประอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๗ การผูกดวงด้วยแผ่นหมุนหาลัคน์

      ในบทนี้ผมจะสอนเรื่องการผูกดวงชะตาด้วยการใช้ “ แผ่นหมุนหาลัคน์ ” เป็นอันดับแรก การผูกดวงชะตาแบบนี้ท่านต้องมีปฏิทินดาราศาสตร์ระบบสุริยาตร์ และแผ่นหมุนหาลัคน์ เมื่อท่านมี 2 อย่างนี้แล้ว ในเบื้องต้นให้ท่านเปิดปฎิทิน ทำความเข้าใจกับคำนำ และวิธีการอ่านรายละเอียดให้เข้าใจเสียก่อน ๆ ที่จะเปิดเข้าไปดูเนื้อในว่าดาวประจำวัน-เดือน-ปีเกิด ของคนที่ท่านจะผูกดวง มีดาวอะไรสถิตในราศีอะไร กี่องศา กี่ลิปดา เริ่มตั้งแต่ดาวอาทิตย์ (๑) จันทร์ (๒) อังคาร (๓) พุธ (๔) พฤหัสบดี (๕ ) ศุกร์ (๖) เสาร์ (๗) ราหู (๘) เกตุ (๙) และมฤตยู (๐)

ซึ่งวิธีอ่านก็ไม่ยากเย็นอะไร ให้ดูช่องที่ตรงกับแต่ละดาว จะมีเส้นดำหนา ๆ แบ่งไว้เป็นส่วน ๆ ในช่องหนึ่งจะแบ่งจะแบ่งเป็นช่องเล็ก ๆ สามช่อง ๆ แรก บ่งบอกราศีที่ดาวนั้น ๆ สถิต ช่องกลางเป็นองศาของดาว ช่องขวาสุดเป็นลิปดาของดาว

จะมีรายละเอียดมากหน่อยก็ตรงดาวจันทร์ (๒) เพราะนอกจากมีช่องบอกราศี-องศา-ลิปดา ของจันทร์แล้ว ยังบอกเวลาการย้ายจากราศีหนึ่งไปยังอีกราศีหนึ่งเอาไว้ด้วย เพราะจันทร์ (๒) เป็นดาวที่โคจรเร็ว คือประมาณ 2 วัน ครึ่งต่อหนึ่งราศี นอกจากช่องบอกเวลาย้ายราศีแล้วยังมีช่องบอกจันทร์ (๒) เสวยฤกษ์ที่…และนาทีฤกษ์เอาไว้ด้วย แต่ขอย้ำว่าไม่ว่าองศาลิปดาของดาวใด ๆ ตามปฏิทินของท่าน อ. ทองเจือ อ่างแก้ว ท่านตัดเวลาที่ 24.00 น. ดังนั้นถ้าคนที่จะผูกดวงไม่ได้เกิดในเวลานี้ ก็ต้องคิดองศาลิปดากันใหม่ อย่างที่โหรเขาเรียกกันว่าตัดสมผุสดาวนั่นแหละ

การตัดสมผุสนี้มีหลักการตายตัวว่าถ้าใช้ปฏิทินที่มีสมผุสดาว ณ เวลา 24.00 น. แต่เกิดก่อน 24.00 น. ให้ลดองศาลิปดา ถ้าเกิดหลัง 24.00 น. ให้เพิ่ม

แต่ตามหลักง่าย ๆ ของผมจะเพิ่มหรือลดเฉพาะดาวจันทร์ (๒) เท่านั้นดาวอื่น ๆ มั่วเอาก็ไม่ผิดมากนักเพราะมันเดินช้าอืดอาด คลาดเคลื่อนบ้างก็แค่ลิปดา ไม่อาจทำให้ดาวย้ายราศีได้

ในส่วนของการต้องมาตัดสมผุสหรือหาองศาลิปดาของจันทร์ ณ เวลาเกิดนั้น พอท่านผู้อ่านทำสักครั้งสองครั้งก็จะรู้หลักและคล่องตัวเอง เมื่อคล่องตัวแล้วทีนี้ก็ไม่ต้องไปสนใจมันอีก สามารถขยับแผ่นหมุนหาลัคน์เพิ่มหรือลดองศาลิปดาได้โดยอัตโนมัติ

รายละเอียดบนแผ่นหมุนหาลัคน์

สำหรับแผ่นหมุนหาลัคน์ทันใจขอแนะนำว่าท่านควรมีแบบ 10 ลัคน์ไว้จะดีที่สุด แบบนี้มีลักษณะพิเศษที่สามารถหาลัคนาของ 10 ลัคน์ได้รวดเร็วโดยไม่ต้องหมุนแผ่น แค่อ่านปฏิทินดาราศาสตร์เป็นก็สามารถหาลัคน์ของดาวต่าง ๆ ได้ แต่ถ้ามีแบบทั่วไปอยู่แล้วก็ใช้ได้ เพียงแต่ต้องหมุนครบ 10 ครั้ง จึงจะได้ลัคนาของดาวทั้งหมด

หรือจะนำมาผูกดวงราศีจักรทั่วไป ซึ่งใช้ราศี-องศา-ลิปดาของดาวอาทิตย์มาหาลัคน์ก็ใช้ได้ ส่วนดาวอื่นใช้ตำแหน่งจากท้องฟ้า

แต่ก่อนจะนำแผ่นหมุนหาลัคน์มาใช้ก็ต้องเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดที่มีบอกไว้บนแผ่นหมุนเสียก่อนดังนี้

แผ่นที่ซ้อนอยู่ด้านบนที่สามารถหมุนได้สมมุติเป็นโลก

วงกลมขอบนอกสุดที่เห็นเป็นขีดเล็ก ๆ บอกจำนวนองศา 1 ขีด 1 องศา จะมี 30 ขีดต่อ 1 ราศี

วงกลมถัดไปเข้าไปชั้นที่ 2 ที่มีตัวเลขอยู่ด้วยคือนวางค์ มี 9 นวางค์ต่อ 1 ราศี

วงกลมชั้นที่ 3 และมีตัวเลขกำกับอยู่เช่นเดียวกันคือตรียางค์ มี 3 ตรียางค์ต่อ 1 ราศี

วงกลมชั้นที่ 4 ตัวเลขบอกจำนวนองศาของแต่ละนวางค์ว่านวางค์หนึ่งมี 3 องศา 20 ลิปดา

วงกลมชั้นที่ 5 บอกฤกษ์ 27 ฤกษ์ รวมทั้งหมวดฤกษ์ด้วย

วงกลมชั้นที่ 6 บอกราศีที่ เช่น เมษ เป็นราศี 0 พฤษภ เป็นราศี 1 มิถุน เป็นราศี 3 และตัวเลข 120 – 96 – 72 คืออันโตนาทีประจำราศี หรือนาทีนาฬิกานั่นเอง ตรงนี้บางท่านอาจจะสงสัยว่ามีเอาไว้ทำอะไร ตอบได้อย่างง่าย ๆ ว่าเป็นเครื่องบอกว่าโลกหมุนจากจุด 0.00 องศา ไปสุด 30 องศาใช้เวลาเท่าใด อย่างราศีเมษก็ 120 นาทีหรือ 2 ชั่วโมงนั่นเอง

ทีนี้ดูรายละเอียดของแผนล่างกันบ้าง

วงกลมนอกสุดคือราศี

วงกลมที่ 2 ถัดเข้ามาคือนวางค์

วงกลมที่ 3 คือตรียางค์

วงกลมที่ 4 คือขีดบอกจำนวนองศา

วงกลมที่ 5 คือจำนวนชั่วโมงและนาทีนาฬิกา

รายละเอียดการทำความเข้าใจปฏิทินก็ดี แผ่นหมุนก็ดี ท่านควรมีของจริงประกอบไปด้วย คือต้องลงทุนบ้าง เฉพาะแผ่นหมุน ประมาณ 175 บาท ปฏิทินดาราศาสตร์ก็ 400 บาท พอท่านผูกดวงเป็นแล้วก็ค่อยทายถอนทุนเอาทีหลัง ทายกันไม่โหดคนละ 100-200 รับรองต้องมีคนมาให้ทายแน่ ! เพราะผมเองตอนทายใหม่ ๆ ก็แค่ 20-30 เท่านั้น

 

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๘ วิธีการผูกดวง

วิธีการผูกดวงแบบที่ 1 สมมุติว่าเจ้าชะตาเกิดวันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน 2548 เวลา 21.18 ที่กรุงเทพฯ

ในวันนั้นดาวประจำวันเกิดเป็นดังนี้

อาทิตย์ (๑) อ. สถิตราศีตุลย์ 27.00 องศา

จันทร์ (๒) จ. สถิตราศีมีน 29.09 องศา

อังคาร (๓) ภ. สถิตราศี เมษ 19.28 องศา

พุธ (๔) ว. สถิตราศีตุลย์ 27.01 องศา

พฤหัสบดี (๕) ช. สถิตราศีตุลย์ 11.40 องศา

ศุกร์ (๖) ศ. สถิตราศีธนู 13.23 องศา

เสาร์ (๗) ส. สถิตราศีกรกฏ 13.43 องศา

ราหู (๘) ร. สถิตราศีมีน 16.56 องศา

เกตุ (๙) ก. สถิตราศีกุมภ์ 00.38 องศา

มฤตยู (๐) ม. สถิตราศีกุมภ์ 14.17 องศา

ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าคนนี้เขาเกิดที่กรุงเทพฯ ดังนั้นเวลาเกิดหรือเวลาตกฟากจะเป็นที่อื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นที่กรุงเทพฯแน่นอน และที่กรุงเทพ ฯ มีเวลาประจำท้องถิ่นแตกต่างกับอุบลราชธานี ประมาณ 18นาที

ดังนั้นถ้าที่อุบลฯอาทิตย์ขึ้น 06.00 น. ที่กรุงเทพฯ ก็จะขึ้นที่ 06.18 น. เพราะอุบลฯอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ ในการผูกดวงถ้าจะใช้เวลาเกิดที่กรุงเทพฯ ก็ต้องใช้เวลาอาทิตย์อุทัยที่กรุงเทพฯด้วยจึงจะถูกต้องใกล้เคียงความเป็นจริง หรือถ้าไม่ต้องการใช้เวลาอาทิตย์ขึ้นที่กรุงเทพฯ จะใช้ 06.00 น.ที่อุบลฯก็ได้ แต่ต้องหักเวลาเกิดออกเสีย 18 นาที ซึ่งผลที่ออกมาก็ตรงกัน

อย่างรายที่สมมุตินี้ใช้เวลาอาทิตย์อุทัยที่อุบลฯ จึงต้องลบเวลาเกิดออก 18 นาที เหลือ 21.00 น. เมื่อเข้าใจดีแล้วให้ท่านค่อย ๆ หมุนแผ่นหมุนแผ่นบน เอาราศีตุลย์หรือราศีที่ 6 ให้เส้นแบ่งราศีตุลย์และราศีกันย์ตรงกับเลข 6 (06.00 น.) เพราะตรงนี้เป็นจุดหัวต่อของ 2 ราศี และ 0.00 องศาลิปดาของราศีตุลย์ก็เริ่มตรงนี้

เมื่อในวันเกิดองศาลิปดาของอาทิตย์อยู่ที่ 27.00 องศา ให้หมุนแผ่นหมุนแผ่นบนไปทางขวามือของตัวท่านช้า ๆ ไป 27.00 องศา ซึ่งถ้าสังเกตจะเห็นว่าจะเหลืออีก 3 ขีดหรือ 3 องศาก็จะสิ้นสุดราศีตุลย์ เมื่อหมุนตรงดีแล้วจับไว้ให้แน่น

ให้ไปอ่านเวลาเกิดของเจ้าชะตาที่ 21.00 น. ของแผ่นหมุนแผ่นล่าง แล้วมองตรงเข้ามาที่แผ่นหมุนแผ่นบน จะตรงกับราศีกรกฏ นวางค์ที่ 4 คือนวางค์ศุกร์ (๖) ถ้ามองลึกเข้ามาหาศูนย์กลางก็จะเห็นได้ว่าตรงกับฤกษ์ที่ 8 ปุษยะ ราชาฤกษ์พอดี หรือถ้าท่านเกรงจะสับสน ก็ให้ใช้กระดาษสีทาบจากเวลาเกิด 21.00 น. มายังศูนย์กลางของแผ่นหมุน ก็จะเห็นได้ชัดขึ้นว่าคนนี้ มีลัคนาสถิตราศีกรกฏ เกาะนวางค์ที่ 4 คือนวางค์ศุกร์ (๖) ราชาแห่งฤกษ์ ลัคนา 10 องศา ธาตุน้ำชั้น 1

เมื่อลัคนาตัวแรกนี้ทำมาจากองศาลิปดาของอาทิตย์ (๑) ดังนั้นการวางสัญลักษณ์แทนลัคนาให้ใช้อาทิตย์ (๑) สำหรับลัคนาของดาวอื่น เช่น จันทร์ (๒) อังคาร (๓) พุธ (๔) พฤหัสบดี (๕) ศุกร์ (๖) เสาร์(๗) ราหู (๘) เกตุ (๙) และมฤตยู (๐) ก็ทำเหมือนกัน

พอผมเขียนมาถึงตรงนี้ รับรองว่าหลายท่านต้องร้องอ๋อกันอย่างแน่นอน ว่า ๑๐ ลัคน์มันเป็นอย่างนี้เองหรือ ? ที่แท้มันหลอกกันนี่นา...อุตส่าห์หลงคิดไปว่าคงต้องมี “ส” หรือ “ล” เต็มพรืดไปหมดจนไม่รู้ว่าไหนลัคน์จริงไหนลัคน์ปลอม ที่แท้ก็เป็นดวงไม่มีลัคน์ (“ส” และ “ล”) นี่เอง !!!

ครับ...ผมว่าก็เข้าทำนองนั้น แต่จะหลอกหรือจริง จริงหรือหลอกท่านก็ลองเสียเวลาอีกสักนิดก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรจริงไหมครับ ?

ทีนี้เรามาหาลัคนาของจันทร์ (๒) กันดีกว่า ในวันนั้นจันทร์ (๒) สถิตราศีมีน ๒๙ องศา ๙ ลิปดา เราต้องทราบว่าองศาลิปดานี้เป็นองศาลิปดาของดาวจันทร์ (๒) ในท้องฟ้าที่เวลา ๒๔.๐๐ น. หรือ ๐๐.๐๐ น. แต่เมื่อเจ้าชะตาหรือคนที่มาให้ผูกดวงเกิด ช่วงเวลา ๒๑.๑๘ น. หรือเมื่อหักเวลาท้องถิ่นแล้วเหลือ ๒๑.๐๐ น. คือเกิดก่อน ๒๔.๐๐ น. ๓ ชั่วโมง ดังนั้นองศาลิปดาของจันทร์ (๒) ต้องลดลงตามส่วน คือเมื่ออัตราการโคจรของจันทร์ (๒) โคจรหรือเดิน ๒ ชั่วโมงต่อ ๑ องศา ๓ ชั่วโมงก็เท่ากับ ๑ องศา ๓๐ ลิปดานั่นเอง ให้เอา ๑ องศา ๓๐ ลิปดาไปหักออกจากองศาลิปดาของจันทร์ (๒) จะเหลือเพียง ๒๗ องศา ๓๙ ลิปดา ให้นำองศาลิปดานี้ไปหาลัคนาจันทร์ (๒) แบบเดียวกับที่หาลัคนาอาทิตย์ (๑) ทุกอย่าง ไม่มีผิดเพี้ยน

คือหมุนเอาเส้นกั้นราศีกุมภ์กับมีนของแผ่นหมุนแผ่นบน ไปตรงกับเลข ๐๖.๐๐ น. ของแผ่นล่าง แล้วค่อย ๆ หมุนแผ่นบนไปทางขวามือของตัวท่าน ให้ครบ ๒๗ องศา ๓๙ ลิปดา แล้วจับแผ่นหมุนไว้ให้แน่น อ่านเวลาจากแผ่นหมุนแผ่นล่างไปที่เวลาเกิด ๒๑.๐๐ น. จะเห็นว่าตำแหน่งลัคนาของจันทร์ (๒) สถิตคาบเกี่ยวระหว่างราศีตุลย์กับราศีพิจิก ในกรณีคาบเส้นเช่นนี้ต้องใช้การคำนวณเข้ามาตัดสินว่าตกลงลัคนาจันทร์ (๒) สถิตราศีอะไรกันแน่ ตรงนี้ผมลองแล้วจันทร์ (๒) เคลื่อนเข้าสู่ราศีพิจิกแล้ว วิธีการคำนวณหาลัคนาผมคิดว่าจะบอกให้ทราบเหมือนกัน แต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ขอให้ท่านช่ำชองการหาลัคน์ด้วยแผ่นหมุนก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ความจริงการจะหาลัคนา จะแบบใดก็ตาม ต้องคิดหาองศาลิปดาของดาว ณ เวลาเกิดทุกดาว แต่ที่ไม่ได้แสดงการตัดองศา ลิปดา หรือที่เรียกกันตามภาษาโหรว่าตัดสมผุส ของดาวอาทิตย์ (๑) ให้ดู เนื่องจากเห็นว่าเป็นดาวทีมีการโคจรหรือเดินช้า ไม่เหมือนดาวจันทร์ (๒)

คืออาทิตย์ (๑) เดิน วันละประมาณ ๑ องศา หรือ ๖๐ ลิปดา ๑ ชั่วโมงจะเดินเพียงประมาณ ๒ ลิปดาครึ่งเท่านั้นเอง เมื่อเกิดก่อน ๒๔.๐๐ น. เพียง ๓ ชั่วโมงก็แค่ ๗ ลิปดาครึ่ง และการจะอ่านลิปดาบนแผ่นหมุนหาลัคน์ก็จะทำได้ยาก นอกจากประมาณเอาด้วยสายตา

เมื่อการหาลัคนาอาทิตย์ (๑) และจันทร์ (๒) ถูกต้องดีแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นลัคนาของดาวอื่น ๆ ซึ่งก็ทำด้วยวิธีเดียวกัน คงไม่จำเป็นที่ผมต้องทำให้ดูอีก เพราะจะเป็นการซ้ำซาก และจะเป็นข้อเขียนที่ยาวเกินความจำเป็น แต่จะแสดงการหาลัคนาของราหู (๘) และเกตุ (๙) ให้ดู เพราะ ๒ ดาวนี้มีวิถีการเดินหรือการโคจรย้อนศร คือสวนทางกับดาวอื่นนั่นเอง

การหาลัคนาราหู (๘) ขั้นต้นให้หมุนเอาเส้นกั้นราศีกุมภ์กับราศีมีนมาให้ตรงกับเลข ๐๖.๐๐ น. จากนั้นให้หมุนแผ่นหมุนแผ่นบนไปทางขวามือช้า ๆ ให้ได้ ๑๖ องศา ๕๖ ลิปดา แล้วจับไว้ให้แน่น อ่านเวลานาฬิกาจากแผ่นล่างย้อนกลับ คืออ่าน ๐๖.๐๐ น. ที่เลข ๖ อ่าน ๐๗.๐๐ น. ที่เลข ๕ อ่าน ๐๘.๐๐ น. ที่เลข ๔ อ่าน ๐๙.๐๐ น.ที่เลข ๓ และอ่านต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาที่เจ้าชะตาเกิด ซึ่งตามดวงที่สุมตินี้เจ้าชะตาเกิดเวลา ๒๑.๐๐ น. (หักเวลาท้องถิ่นแล้ว) จะตรงกับเลข ๑๕ พอดี แล้วมองกลับมาที่แผ่นบนจะตรงกับราศีสิงห์ นั่นคือลัคนาราหู (๘) สถิตราศีสิงห์ ลัคนาของพระเกตุ (๙) ก็ทำแบบเดียวกับ ราหู (๘) ทุกอย่าง

การผูกดวงชะตาด้วยแผ่นหมุนหาลัคน์ทันใจ เป็นที่นิยมกันแพร่หลายมานาน แต่ปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขาย คนจึงหันไปเล่นคอมพิวเตอร์กันมาก คิดว่าอีกไม่นาน ก็คงไม่ต้องมานั่งสอนยืดเยื้อกันอย่างนี้ แต่ถึงอย่างไรผมคิดว่า แม้จะมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามา เราก็ควรต้องเรียนรู้เอาไว้ เพราะคนที่จะใช้คอมฯได้ ต้องลงทุนมาก คอมฯ เครื่องหนึ่งเป็นหมื่นบาท ผมเองต้องทนกัดฟันอยู่นานกว่าจะได้เครื่องรุ่นเก่าเก็บมาใช้สักเครื่องหนึ่ง

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)

โดย สอ้าน นาคเพชรพูล(สีดิน)

บทที่ ๑๙ ตนุเศษ

 

เมื่อผูกดวงเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาถึงขั้นตอนของการหา “ตนุเศษ”  ท่านอาจจะสงสัยว่าตนุเศษมันคืออะไร?  อยู่ตรงไหน? ทำไมต้องหา  ขอตอบว่าตามคำที่เขียน ตนุหมายถึงตัวตนของเรา ตัวตนของเราก็คือลัคนานั่นเอง เมื่อลัคนาสถิตราศีใด เท่ากับตัวของเราอยู่ในราศีนั้น เมื่อราศีที่ลัคนาของเราอยู่ถูกเบียดเบียนด้วยดาวที่ให้โทษ เราก็พลอยได้รับโทษหรือมีเคราะห์กรรมต่าง ๆ เกิดขึ้น หรือถ้าราศีที่ลัคนาสถิตอยู่ มีดาวศุภเคราะห์ที่ให้คุณเข้ามาถึงเช่น ทับลัคนาบ้าง เล็งลัคนาบ้าง ก็จะมีโชคลาภเกิดขึ้น

 

ส่วนที่ว่าทำไมต้องหาตนุเศษ อธิบายได้ว่า ตนุเศษมีความสำคัญมาก ๆ กว่าลัคนา โดยเฉพาะด้านการพยากรณ์ตนุเศษจะมีบทบาทหลายอย่าง ส่วนลัคน์ทายได้เพียงบางเรื่อง เช่นนิสัยใจคอ ความประพฤติ การเรียนรู้ คุณธรรม เจ็บป่วย อุบัติเหตุ การเดินทาง ฯลฯ นอกนั้นยึดตนุเศษทั้งสิ้น

 

ทีนี้มาถึงการหาตนุเศษ ตามแบบโบราณเขียนเป็นกลอนเอาไว้ ผมอ่านแล้วสับสนอยู่จนทุกันนี้  ผมว่าเอาแบบผมดีกว่า คือให้ดูว่าลัคนาสถิตราศีใด ราศีนั้นมีดาวอะไรเป็นดาวเจ้าเรือนหรือดาวเกษตรประจำราศี  และดาวนั้นไปอยู่ราศีใด ให้นับราศีที่ลัคนาอยู่เป็น 1-2-3-4-5-6-7-8-9-10-11-12 ตามลำดับไปจนถึงราศีที่ดาวเกษตรหรือดาวเจ้าเรือนเกษตร หรือดาวเจ้าเรือนลัคน์อยู่ นับได้เท่าใด จำไว้

 

เมื่อนับจากดาวเจ้าเรือนหรือดาวเจ้าราศีราศีที่ลัคนาได้แล้ว  ให้ดูว่าดาวเจ้าเรือนลัคนาสถิตอยู่ในราศีใด ราศีนั้นมีดาวอะไรเป็นดาวเจ้าเรือนหรือเป็นดาวเจ้าราศี  และดาวนั้นไปสถิตราศีใด  ให้เริ่มนับ 1 ใหม่ และนับต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงราศีที่ดาวนั้นสถิต  ได้เท่าใด ให้นำไปคูณกับที่นับได้ในครั้งแรก แล้วหารด้วย 7 เศษเหลือเท่าใด ให้กา  X  นั้นไว้ เช่นเศษ 1 กาที่อาทิตย์ ( ๑) เศษ 2 กาที่จันทร์ (๒) เศษ 3 กาที่อังคาร (๓) 

 

อย่างดวงที่สมมุตินี้ ลัคนาสถิตราศีกรกฏ  และดาวเจ้าเรือนหรือดาวเจ้าราศีที่ลัคนาสถิตคือดาวจันทร์ (๒)  ดาวจันทร์ (๒) ในดวงชะตาไปอยู่ในราศีพิจิก เมื่อนับจากลัคนาไปจะได้ 5 ในราศีพิจิกมีดาวอังคาร (๓) เป็นดาวเจ้าเรือนหรือดาวเจ้าราศี นับจากดาวจันทร์ (๒) ไปหาดาวอังคาร (๓) ก็จะได้ 1 เพราะอังคาร (๓) อยู่ตรงนั้น ดังนั้นเมื่อเอา 5 คูณ 1 จะได้เท่ากับ 5 เอา 7 หาร 5 ไม่ได้ ก็เท่ากับ เศษ 5 ดังนั้น ตนุเศษก็คือดาวพฤหัสบดี (๕) นั่นเอง  และตามดวงนี้พฤหัสบดีสถิตราศีเมถุนก็ให้ทำเครื่องหมาย x ที่ดาวพฤหัสบดี (๕)

 

ฉะนั้นเจ้าชะตาคนนี้ก็มีลัคนาสถิตราศีกรกฎ ตนุเศษสถิตราศีเมถุน  กรุณาอย่าสับสนกันนะครับ ตนุเศษก็คือตนุเศษ ต่างกับตนุเกษตร เช่นเดียวกันที่ลัคน์ต่างกับตนุลัคน์นั่นแหละ ในที่นี้ตนุเกษตรคือพุธ ()  และตนุลัคน์คือจันทร์ ()

 

ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
โดย สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)
บทที่ ๒๐ ดาวคู่มิตร-คู่ศัตรู

ความจริงเรื่องของดาวคู่มิตรและคู่ศัตรูนี่ ผมควรจะนำมาเขียนก่อนการผูกดวงเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไงได้มันลืมเสียสนิทใจ ครั้นจะปล่อยเลยตามเลยไม่นำมาขยายความกันก็รู้สึกเสียดาย เพราะด่าวคู่มิตรในบางโอกาสก็แสดงผลดีร้ายชัดเจน ดังนั้นผมจึงต้องกราบขออภัยมายังท่านผู้อ่านที่รัก ที่ได้ติดตามอ่านกันมาแต่ต้นเอาไว้ตรงนี้

ทีนี้มาว่ากันต่อ ว่าแต่ละดาวมันคบหาเป็นมิตรกันอย่างไร หรือขัดแย้งกันจนกลายเป็นไม่มองหน้ามองตากันด้วยเหตุใด ผมจะเริ่มกันที่เป็นคู่มิตรคู่แรกก่อน คู่ศัตรูค่อยว่ากันทีหลัง คู่แรกคืออาทิตย์ (๑) กับพฤหัสบดี (๕)

คู่นี้ตามตำนานกล่าวเป็นกลอนเอาไว้ว่า “ อาทิตย์ (๑) เป็นมิตรกับครู ” ครูก็คือ พฤหัสบดี (๕) ในตำนานกล่าวว่าพฤหัสบดี (๕) ตั้งตนเป็นครูบาอาจารย์สอนศิลปวิชาการ มีอาทิตย์ (๑) เป็นศิษย์เอกมาศึกษาวิชา นอกจากศึกษาวิชาการแล้ว อาทิตย์ (๑) ยังปรนนิบัติวัตรถากครูบาอาจารย์อย่างดี จนเป็นที่ประทับใจของครู ๆ ก็เลยยกบุตรสาวแสนสวยคือนางสาวจันทร์ (๒) ให้เป็นเมีย

อีกเรื่องหนึ่งในนิทานชาติเวรเล่าว่าอาทิตย์ (๑) เกิดเป็นพญาครุฑ พฤหัสบดี (๕) เป็นพระอินทร์ เสาร์ (๗) เกิดเป็นพญานาค และมีอังคาร (๓) เป็นพญาราชสีห์ ได้ปรึกษาหารือกันจะสร้างสระสุรามฤตให้

เป็นที่อาศัยแก่มนุษย์และเทวดา จึงได้นำเรื่องไปปรึกษาพระราหู (๘) พระราหู (๘) อ้างว่าตนเองไม่ได้อาศัยน้ำหรือแผ่นดิน จึงไม่ขอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เทวดาทั้ง 4 จึงไม่ชอบใจราหู (๘) แต่นั้นมา จึงเมื่อสร้างสระมหาสุรามฤตเสร็จแล้ว ได้แบ่งหน้าที่กันรักษาดูแล พระอินทร์รักษาด้านเขาพระสุเมรุ พญาครุฑรักษาเขาสัตตบริภัณฑ์ ราชสีห์รักษาป่าหิมพานต์ พญานาครักษามหาสมุทร

ความสงบสุขดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง ก็เกิดอาเพศ พญาครุฑไล่จะกินพญานาค ๆ หนีไปพึ่งพระราหู (๘) ให้ช่วยชีวิต พระราหู (๘) ซึ่งถนัดในเรื่องนักเลงอยู่แล้วก็โดดเข้าใส่ทันที พญาครุฑเห็นท่าไม่ดีจึงหนีไปพึ่งพระอินทร์ เห็นดังนั้นราหู (๘) จึงหยุดชะงักไม่กล้าลุยเหมือนตอนแรก เพราะขึ้นชื่อว่าพระอินทร์แล้วไม่ใช่ของง่ายที่จะหักเอาด้วยกำลัง เมื่อรอดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่งเกิดกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงได้ลงไปดื่มน้ำในสระสุรามฤต พระอินทร์เห็นดังนั้นไม่ชอบใจที่ตอนแรกเริ่ม ไปชวนมาร่วมงาน กลับบ่ายเบี่ยงไม่ให้ความร่วมมือ แต่ตอนนี้กลับมาใช้ประโยชน์หน้าตายเฉย ก็ขว้างด้วยจักรกายขาดเป็น 2 ท่อน แต่เดชะอำนาจที่ได้ดื่มน้ำในสระสุรามฤตจึงมิตาย

จากตำนานนิทานชาติเวรที่เล่าสืบกันมา เห็นได้ชัดว่า อาทิตย์ (๑) กับพฤหัสบดี (๕) มีสายใยความเป็นมิตรกันเหนียวแน่นเป็นพิเศษ คือเป็นทั้งศิษย์ ราชบุตรเขย และเพื่อนตาย ที่สามารถพึ่งพาอาศัยได้ทุกโอกาส

อีกคู่หนึ่งคือ “จันทร์ (๒) โฉมตรูพุธ (๔) นงเยาว์” นั่นคือความเป็นมิตรกันระหว่าง จันทร์ (๒) กับพุธ (๔) มีเรื่องเล่ากันในนิทานชาติเวรเรื่องที่ 4 ว่า พระจันทร์ (๒) เกิดเป็นคนตกยาก แต่อยากรวย คิดจะทำธุระกิจที่เป็นกิจการของตนเองแต่ก็ยังขัดสนด้วยเงินทุน ทราบว่าพระราหู (๘) เป็นนายทุนปล่อยเงิน***้ จึงไป***้มาเพื่อทำทุน แต่กิจการก็ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ จึงหนีหนี้ไปอยู่กับพุธ (๔) วันหนึ่งพระเสาร์ (๗) ซึ่งเป็นพ่อค้านักธุรกิจไปพบเข้า กลับมาบอกพระราหู (๘) พระราหู (๘) ตามไปทวงหนี้ เกิดการต่อว่าต่อขานกันขึ้นถึงขั้นเข้าฉุดกระชากลากถูเพราะความโกรธ พระพุธ (๔) เห็นดังนั้นจึงแปลงร่างเป็นสุนัขโดยเข้ากัดพระราหู (๘) ได้รับบาดเจ็บ ก็โกรธหันมาใส่พระพุธ (๔) แทน พระจันทร์ (๒) จึงหนีรอดไปได้ ตั้งแต่นั้นมาทั้ง 2 ก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ช่วยเหลือกันและกันเป็นอย่างดี

คู่ถัดมาคือวามเป็นมิตรระหว่าง พระศุกร์ (๖) กับอังคาร (๓) บทกลอนในตำนานกล่าวว่า “ศุกร์ (๖) ปากหวาน อังคาร (๓) รับเอา” ในเนื้อเรื่องชาติเวรบทที่ 3 กล่าวว่าแต่ปางก่อนพระอังคาร (๓) เกิดเป็นกบน้อย พระเสาร์ (๗) เป็นงูไล่จะกินกบ พระศุกร์ (๖) ซึ่งเป็นรุกขเทวดามีวิมานติดอยู่บนยอดไม้ แลเห็นก็ไม่สบายใจ ที่จะต้องล้างผลาญชีวิตฝ่ายหนึ่งเพื่อการอยู่รอดของอีกฝ่ายที่เข้มแข็งกว่า จึงออกมาขวางทางไว้ทำให้งูชะงัก กบก็เลยรอดจากการเป็นเหยื่อ ตั้งแต่นั้นพระศุกร์ (๖) กับพระอังคาร (๓) ก็เป็นสหายรู้ใจกันเป็นคู่ที่ 3

คู่ที่ 4 สุดท้ายคือการเป็นเพื่อนหรือเป็นดาวคู่มิตรระหว่าง ราหู (8) กับเสาร์ (7) ตามกลอนกล่าวไว้ว่า ราหู (๘) กับเสาร์ (๗) เป็นมิตรแก่กัน คู่นี้ความเป็นมิตรก็มีกล่าวกันไว้ในนิทานเรื่องการสร้างสระสุรามฤตบทที่ 1 ตอนที่พระเสาร์ (๗)เป็นพญานาค ถูกพระอาทิตย์ (๑) อันเกิดเป็นพญาครุฑไล่จะจับเป็นอาหาร แล้วพระเสาร์ (๗) ไปขอความช่วยเหลือจากพระราหู (๘) และอีกตอนหนึ่งของชาติเวรบทที่ 4 ที่พระเสาร์ (๗) ไปพบพระจันทร์ (๒) ซึ่งเป็นลูกหนี้เงิน***้ของพระราหู (๘) มาบอกข่าวว่าพระจันทร์ (๒) อาศัยอยู่กับพระพุธ (๔)

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือการคบหาเป็นมิตรแก่กันและกันของดาวทั้ง 4 คู่ การเป็นมิตรของดาวคือการช่วยเหลือเกื้อ***ลแก่กันและกัน ดังนั้นถ้าในดวงชะตาของท่านใด มีดาวคู่มิตร คู่ใดคู่หนึ่ง นั่นย่อมหมายถึง ดาวคู่นั้นมีกำลังดีขึ้นกว่าเดิม

คู่ศัตรู

ดาวคู่ศัตรูก็เห็นมีอยู่หลายคู่ด้วยกัน เช่นอาทิตย์ (๑) กับอังคาร (๓) คู่นี้ในบางคราวก็เอากันถึงตายก็มี หรือถ้าไม่ตายก็เจ็บสาหัส หัวร้างข้างแตก เรียกว่าถ้าเผลอเมื่อไรเป็นได้เลือด เหตุผลข้อแรกที่ทำให้ต้องกลายมาเป็นศัตรูกันคือ ครั้งที่พระอาทิตย์ (๑) ศิษย์รักของพฤหัสบดี (๕) และยังได้ครองตำแหน่งเขยขวัญโดยได้บุตรสาวพฤหัสบดี (๕) มาเป็นเมีย แล้วพระอังคาร (๓) ซึ่งเป็นนักเที่ยวมาเป็นชู้ ถือเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีกันอย่างชัด ๆ ทำให้เกิดศึกเกียรติยศขึ้น อาทิตย์ (๑) ได้รับบาดเจ็บหัวแตกจึงขว้างด้วยจักร พระอังคาร (๓) ซึ่งเกิดเป็นเพทยาธรตัวขาด

เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้อังคาร (๓) ต้องเป็นศัตรูคู่แค้นกับ อาทิตย์ (๑) คือตอนพระอาทิตย์เกิดเป็นวานร พระอังคาร (๓) เป็นพราน แต่เป็นพรานที่แปลกจากพรานอื่น ๆ คือนอกจากล่าสัตว์ป่าแล้วยังเลี้ยงโคเอาไว้ด้วย วันหนึ่งโคเกิดหาย นายพรานก็ออกเที่ยวตามหาโค ไปเห็นวานรอยู่บนคบไม้ จึงเอาก้อนดินขว้างวานรหัวแตก

อีกครั้งหนึ่งพระอังคาร (๓) เป็นพญาราชสีห์กินเนื้อสัตว์กระดูกติดคอ ได้รับความเจ็บปวดทรมาน จึงขอให้อาทิตย์ (๑) ซึ่งเป็นนกกระไนช่วย นกกระไนจึงเจาะคอราชสีห์เป็นแผลเหวอะหวะเอากระดูกออกมาได้

คู่ศัตรูคู่ที่ ๒ คือพุธ (๔) กับราหู (๘) คู่นี้ก็มีต้นเหตุมาจากต่างคนต่างรักเพื่อน ในนิทานกล่าวว่า จันทร์ไปยืมเงินราหู (๘) แล้วหลบหนี้ไปอยู่กับพุธ (๔) ราหู (๘) ตามทวง พุธ (๔) ซึ่งเป็นเพื่อนกับจันทร์ (๒) แปลงกายเป็นสุนัขไล่กัดราหู (๘) จนได้รับบาดเจ็บ ตั้งแต่นั้นมาจึงถ้ามาพบกันมักมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ

คู่ศัตรูคู่ที่ ๓ คือพระศุกร์ (๖) กับพระเสาร์ (๗) ดาว สองตัวนี้ถ้าอยู่ด้วยกันในดงชะตาทายเรื่องอกหักรักสะดุดได้ไม่ค่อยผิด ไม่ว่าจะอยู่ในราศีใด เรื่องในตำนานก็มีเล่ากันว่าพระศุกร์ (๖) เป็นรุกขเทวดามีวิมานแก้วอยู่บนต้นไม้ พระเสาร์ (๗) เป็นงู ไล่จะกินกบซึ่งอยู่ในร่างของพระอังคาร (๓) กบกระโดดหลบเข้าไปในโพรงไม้ที่รุกขเทวดาอยู่ ครั้นจะเลื้อยตามท่านเทวดาก็ออกมายืนขวางอยู่ เรียกว่าพระศุกร์ (๖) ขัดลาภปากพระเสาร์ (๗) ที่กำลังหิว จึงเป็นศัตรูกันตั้งแต่นั้นมา

ศัตรูคู่ที่ ๔ คืออังคาร (๓) กับพระเสาร์ (๗) ตามตำนานว่าพระอังคาร (๓) เกิดเป็นกบ พระเสาร์ (๗) เกิดเป็นงู ๆ ไล่กินกบ เพราะกบย่อมเป็นอาหารอันโอชะของงูโดยธรรมชาติ ผมเองก็ชอบกบผัดกระเพรา พริกไทย ก็เลยไม่ค่อยถูกกันเหมือนกัน เพราะอังคาร (๓) มาถึงลัคน์ทีไร ไม่เจ็บตัวก็เสียเงินทุกที ดังนั้นเสาร์ (๗) เจออังคาร (๓) หรืออังคาร (๓) เจอเสาร์ (๗) มักจะมีเรื่องไม่อุบัติเหตุ ก็การผ่าตัดอย่างใดอย่างหนึ่ง

การกล่าวถึงคู่มิตร นี้ผมเอาเฉพาะที่เป็นคู่มิตรหลัก ๆ ที่แค้นเคืองกันอย่างนิรันดรกาลเท่านั้น คือพบกันทีไรมักส่งผลในด้านเสียมากกว่าด้านดี นอกจากนั้นส่วนมากเป็นคู่ศัตรูที่ส่งผลร้ายที่พอตั้งรับไหว อย่างคู่จันทร์ (๒) กับราหู(๘) คู่ ตามตำนาน ราหู (๘) ดูจะเมตตากับจันทร์ (๒) มากว่า เพราะอุตส่าห์ให้หยิบยืมเงินทองไปทำทุน แต่จันทร์กลับเป็นฝ่ายเบี้ยวหนี้ อาทิตย์ (๑) กับเสาร์ (๗) ก็มักมีผลบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่การงานหรือย้ายที่อยู่อาศัย การเดินทาง หรือการต้องโยกย้ายการงาน อังคาร (๓) กับจันทร์ (๒) ก็เน้นเรื่องการหลงชอบเมียคนอื่น มีผลให้ผิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร พฤหัส (๕) กับจันทร์ (๒) ก็ถือเป็นพ่อกับลูกสาว ทั้งยังเป็นคู่ธาตุกันด้วย ผมว่าน่าจะมีดีมากกว่าร้าย และเท่าที่เคยพบก็ดีจริง ๆ เสียด้วย คือพอพฤหัสบดี (๕) จับจันทร์ (๒) มักมีโชคเรื่องชู้สาวในแบบไม่ต้องเสียขันหมาก แต่อาทิตย์ (๑) กับราหู (๘) นี่ไว้ใจไม่ค่อยได้ เพราะราหู (๘) นี่ขี้โมโห ท่านจำได้ไหมช่วงที่อาทิตย์ (๑) เป็นพญาครุฑไล่จะกินพญานาค เสาร์ (๗) เที่ยวนั้นถ้าไม่ได้พระอินทร์ (๕) เข้ามาขวางก็คงเจ็บตัวแน่ สำหรับที่บอกว่าพระอังคาร (๓) เคยเป็นไม้เกตุก์ พระราหู (๘)เป็นไฟมาไหม้ไม้เกตุก์ ผมว่าคู่นี้ไม่น่าจะเป็นศัตรูกัน เพราะเป็นดาวธาตุเดียวกัน เพียงต้องระวังไว้บ้างเท่านั้น เพราะทั้ง ๒ ดาวต่างก็เป็นดาวบาปเคราะห์

โห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
โดย สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)
บทที่ ๒๑ การพยากรณ์เบื้องต้น

๒๐ บทที่ผ่านมา ผมได้นำเอาหลักต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานหรือหัวใจด้านการพยากรณ์มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งถ้าท่านจำได้หมด เวลาจะทาย หรือพยากรณ์ดวงของใครก็ตาม แล้วนำหลักวิชาที่ผมว่าไว้นี้มาใช้ รับรองว่าคุณจะไม่มีวันทายผิดจนต้องหงายหลังแน่ เพราะผมเองทุกวันนี้ก็สามารถมั่วเอาตัวรอดได้ด้วยหลักเหล่านี้

แต่ถ้าท่านหวังว่าจะเป็นนักพยากรณ์ที่อย่างแย่ แต่ดีกว่าผมท่านต้องรอบคอบเพิ่มขึ้น คือต้องไม่มองข้ามจุดใดจุดหนึ่ง โดยเฉพาะการวิเคราะห์พื้นดวงชะตา เพื่อหาจุดเด่นหรือจุดด้อย ซึ่งควรต้องทำกันเป็นอันดับแรก หลังจากผูกดวงเสร็จแล้ว

อีกอย่างหนึ่งคือพิจารณาดาวทุกดวงในดวงชะตาว่าดาวใดมีตำแหน่งใดในดวงทักษา ภาคที่กล่าวว่าดีหรือเลว คือต้องจำได้ ว่าดาวใดคือดาวกาลกิณี ดาวใดคือดาวศรี ดาวใดได้ตำแหน่งดี เช่นเป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เกษตร นิจ ประ

สำหรับดาวที่เป็นกลาง ๆ คือไม่ดีมากหรือร้ายมาก ก็ต้องดูเกี่ยวกับการเป็นมิตร เป็นศัตรู เป็นคู่ธาตุ ถ้าเป็นคู่มิตรหรือคู่ธาตุ ดาวจะเสริมกำลังกันและกัน ในทำนองกลับกันถ้าดาวต้องเป็นคู่ศัตรู ก็จะหักล้างกำลังให้คุณให้โทษของกันและกัน

เฉพาะการนำเอาดวงทักษาเข้ามาตอกย้ำคุณภาพของดาว ควรอย่างยิ่งที่ต้องนำมาใช้ให้คล่องทั้งดวงทักษาเดิมและทักษาจร เพราะคุณภาพของดาวที่เกิดจากดวงเดิมหรือดวงกำเนิด ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามอายุของแต่ละคน การจะดีตลอดหรือร้ายตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้

ตามดวงที่สมมุติในบทที่ ๑๘ เมื่อทำดวงชะตาขึ้นมาแล้วจะเป็นดังที่เห็นนี้คือ ดาวอาทิตย์ (๑) พุธ (๔) เกตุ (๙) สถิตราศีกรกฎ ดาวศุกร์ (๖) และราหู (๘) สถิตราศีสิงห์ จันทร์ (๒) มฤตยู (๐) สถิตราศีตุลย์ อังคาร (๓) สถิตราศีพิจิก เสาร์ (๗) สถิตราศีกุมภ์ พฤหัสบดี (๕) สถิตราศีมิถุนหรือเมถุน เป็นตนุเศษด้วย

เนื่องจากดวงนี้เป็นดวงในระบบ ๑๐ ลัคนา เมื่ออาทิตย์ (๑) อันเป็นดาวประธานของดาวทั้งหลายสถิตราศีกรกฎ จึงเท่ากับลัคนาก็สถิตราศีกรกฎด้วย สำหรับลัคนาของดาวอื่นก็กระจายกันดังที่เห็น

การวิเคราะห์

การวิเคราะห์เริ่มกันที่ เจ้าชะตารายนี้เกิดตรงกับวันอาทิตย์ ดังนั้นดาวศรีวันเกิดคือดาว พุธ (๔) ดาวกาลกิณีกำเนิดคือดาว ศุกร์ (๖)

ดาวอาทิตย์ (๑) บริวารในดวงทักษา ได้ตำแหน่งมหาจักร

ดาวจันทร์ (๒) เป็นดาวอายุ ไม่ได้ตำแหน่งเด่นมาก

ดาวอังคาร (๓) เป็นดาวเดชได้ตำแหน่งเป็นเกษตร

ดาวพุธ (๔) เป็นดาวศรีกุมลัคนา และอยู่ในเรือนของดาวจันทร์ (๒) ซึ่งเป็นดาวคู่มิตร

ดาวพฤหัสบดี (๕) เป็นประ แต่อยู่ในเรือนพุธ (๔) ซึ่งเป็นดาวศรี

ดาวศุกร์ (๖) เป็นดาวกาลกิณี อยู่กับราหู (๘) มนตรีเดิม

ดาวเสาร์ (๗) เป็นดาวมูลละอยู่ในเรือนเกษตรของราหู (๘) คู่มิตร ซึ่งเหมือนบ้านเก่าของตนเอง

ราหู (๘) เป็นดาวมนตรีอยู่กับดาวศุกร์ (๖) ราศีสิงห์เป็นของอาทิตย์ (๑) เท่ากับราหู (๘) ต้องมาอยู่ในเรือนที่ไม่ถูกชะตากัน

เกตุ (๐) ครองราศีตุลย์และอยู่กับจันทร์ (๒)

เหล่านี้เป็นการมองพื้นฐานของดาวในเบื้องต้น เพื่อนำมาประเมินอีกทีหนึ่งว่ามีดาวอะไรให้โทษ ดาวอะไรให้คุณ กับเจ้าชะตา ให้โทษหรือให้คุณเรื่องอะไรบ้าง

ตามดวงที่สมมุติ ดาวศุกร์ (๖) เป็นดาวกาลกิณี ดาวดวงนี้โดยย่อแล้วหมายถึงการเงินและความรัก ความสวยงาม ศิลปะ และเป็นดาวเจ้าเรือนหรือราศีพฤษภ อันเป็นเรือลาภะของลัคนา มาอยู่กับราหู (๘) ในเรือนกะดุมพะของลัคน์ และอีกเรือนหนึ่งคือเรือนพันธุราศีตุลย์ ในราศีตุลย์ก็มีมฤตยู (๐) นั่นหมายถึงลาภใด ๆ ที่ได้มา โดยเฉพาะการเงินย่อมไม่ดีคือเก็บไม่อยู่ ได้มาก็จ่ายไป ได้มากก็ต้องจ่ายมากเป็นเงาตามตัว ทั้งญาติพี่น้องก็เข้ากันไม่ค่อยสนิทนัก มีญาติน้อย มีโอกาสจะเดือนร้อนเพราะญาติ เมื่อมารวมกับราหู (๘) ซึ่งเป็นเหมือนมอดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้กระแสการเงิน หรือการสร้างฐานะทางการเงินของตนเองต้องยาวนาน กว่าจะเห็นหน้าเห็นหลังเหมือนคนอื่น และอาจจะถึงขั้นหาลาภผลการเงินโดยมิชอบด้วยเพราะศุกร์ (๖) เป็นดาวกาลี

แต่ก็สามารถสร้างตนเองได้ดีในบั้นปลาย เพราะดาวเจ้าเรือนกะดุมพะของลัคนาคืออาทิตย์ (๑)ได้ตำแหน่งคือเป็นมหาจักร และกุมลัคนา ทั้งลัคนาก็สถิตอยู่ในเรือนการเงินหรือเรือนกะดุมพะของตนุเศษ

นี่ผมหยิบยกเอามาพูดเพียงดาวศุกร์ (๖) เพื่อเป็นแนวทางให้ท่านเห็นชัดว่าหลักของการพยากรณ์มันมีการโยงใยกันตามขั้นตอนคือ เรื่องของดาวแต่ละดาวที่บ่งบอกคุณภาพในตอนต้นอย่างหนึ่งที่ทิ้งไม่ได้ ทักษาอีกประหนึ่ง และที่สำคัญคือดาวเจ้าเรือน นอกนั้นก็เป็นเรื่องดาวผสมดาว ซึ่งจะยากขึ้นมาอีกนิดแต่ก็ไม่ยากเกินสมองท่านผู้อ่านแน่นอน เอาไว้ถึงตอนพยากรณ์ระดับสูงผมจะแจกแจงออกมาให้เห็นกันถนัด ๆ ในตอนนี้กล่าวแต่พอเป็นพื้นฐานไปก่อน

ทีนี้ผมจะนำเอาดาวอาทิตย์ (๑) มาพูดบ้าง เพราะดาวอาทิตย์ (๑) คือลัคนา เป็นดาวประธานที่สำคัญมากกว่าทุกดาว และในรูปแบบของ 10 ลัคน์ทุกคนอาทิตย์ (๑) กุมลัคน์ อาทิตย์ (๑) เป็นดาวเกียรติยศและชื่อเสียง ตำแหน่งหน้าที่การงาน และศักดิ์ศรี คนที่อาทิตย์ (๑) เด่น คือได้ตำแหน่งดี เช่นเป็นมหาอุจ มหาจักร ราชาโชค หรือเกษตร หรือเป็นเดช ศรี มนตรี จะรักศักดิ์ศรียิ่งชีวิต เป็นคนไม่ยอมคน ทำตนอย่างราชสีห์ ไม่นิยมการเดินตามหลังหรือประจบประแจงใคร ชอบการเป็นหัวหมามากกว่าเป็นหางราชสีห์ ชอบงานอิสสระ ชอบสั่งงานไม่ชอบทำตามคำสั่งใคร จึงไม่เหมาะกับงานเป็นลูกจ้าง

ตามดวงนี้อาทิตย์ (๑) เป็นดาวบริวาร ได้ตำแหน่งมหาจักรกุมลัคน์ และมาจากเรือนกะดุมพะ บริวารจึงดีและหาเงินเก่ง ชื่อเสียงดี มีดาวพุธ (๔) ซึ่งเป็นดาวศรีกุม ทำให้พูดดีมีเสน่ห์ มีมนุษย์สัมพันธ์กับคนทั่วไปดี เกตุ (๙) กุมลัคน์ปฏิภานไหวพริบดี

จันทร์ (๒) เป็นดาวอายุ อยู่ในเรือนหรือราศีที่เป็นกาลกิณี มีมฤตยู (๐) สุขภาพไม่ดีมีโรคประจำตัว ป่วยง่าย ความต้านทานไม่ดี ทั้งเป็นดาวเจ้าเรือนลัคนา จึงมักมีทุกข์อยู่เนือง ๆ

อังคาร (๓) เป็นดาวเดชตามทักษา เป็นดาวเจ้าเรือนกรรมะของลัคนา และเป็นดาวเจ้าเรือนลาภะของตนุเศษ ได้ตำแหน่งเกษตร เรียกว่าด้านการงานและลาภผลดี งานก้าวหน้าไปตามเป้าหมาย การลงทุนมักไม่เสียเปล่า ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า เมื่อมาเป็นอริแก่ตนุเศษ หมายถึงลาภผลมีการรั่วไหลง่าย ต้องทำงานหนักกว่าปกติ

สำหรับการวิเคราะห์เรื่องอื่น ๆ ก็จะเป็นไปในแนวนี้ คือพิจารณากันที่ดาว ที่เป็นดาวอะไร ครองตำแหน่งอะไรในดวงทักษา เป็นดาวเจ้าเรือนอะไรในดวง 12 ราศีจักร แล้วเป็นดาวลอยไปอยู่เป็นอะไรกับลัคนาหรือตนุเศษ มีคู่มิตร คู่ศัตรู คู่ธาตุ คู่สมพล มาเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า


โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)
บทที่ ๒๒ ดวงองค์เกณฑ์

ผมได้บอกท่านที่รักเรื่องทายหรือพยากรณ์ดวงพื้นฐานมาแล้วในบทก่อนหน้านี้ ต่อไปนี้จะเข้าเรื่องการทายจร ซึ่งก็จะเพิ่มความซับซ้อนมากขึ้น แต่ก็มั่นใจว่าท่านต้องสามารถทำความเข้าใจได้โดยไม่ยาก แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น ขอท่านกรุณามาทำความเข้าใจเรื่องขององค์เกณฑ์กันเสียก่อน เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องทั้งกับพื้นดวงเดิม และการทายจร

เรื่องนี้ตามตำนานโบราณท่านว่า

ลัคนาของท่านใดก็ตามสถิตราศี เมษ พฤษภ สิงห์ เรียกว่า ปัศวะเกณฑ์

ลัคนาของท่านใดก็ตามสถิตราศี เมถุน กันย์ ตุลย์ ธนู กุมภ์. เรียกว่า นระเกณฑ์

ลัคนาของท่านใดก็ตามสถิตราศี กรกฎ มังกร มีน เรียกว่า อัมพุเกณฑ์

ลัคนาของท่านใดก็ตามสถิตราศี พิจิก เรียกว่ากีรฏะเกณฑ์

เรื่องนี้ถ้าท่านจำได้ก็จะสดวกในการทายจร หรือแม้แต่พื้นดวงก็มีความหมายมาก เพราะถือกันว่าดวงใดก็ตาม มีดาวได้ตำแหน่งองค์เกณฑ์ย่อมทำให้ดวงชะตานั้นแข็งแกร่งขึ้น สามารถทนทานต่อเคราะห์กรรมต่าง ๆ ได้ดีในระดับหนึ่ง

การจะรู้ว่าดวงชะตาใดได้องค์เกณฑ์ ดูได้ดังนี้

ลัคนาในราศีประเภท ปัศวะ ถ้าในเรือนที่ 10 มีดาวใดสถิตอยู่ถือว่าดาวนั้นเป็นปัศวะเกณฑ์แก่ลัคน์

ลัคนาในราศีประเภท นระ ถ้าในเรือนที่ 1 หรือในเรือนที่ลัคน์สถิตมีดาวกุม ถือว่าดาวนั้นได้นระเกณฑ์

ลัคนาในราศีประเภท อัมพุ ถ้าในเรือนที่ 4 มีดาวอะไรสถิตอยู่ ถือว่าดาวนั้นได้อัมพุเกณฑ์

ลัคนาในราศีประเภทกีรฏะ ถ้าในเรือนที่ 7 มีดาวอะไรสถิตอยู่ ถือว่าดาวนั้นได้กีรฏะเกณฑ์

จะอย่างไรก็ตามเกณฑ์ที่นำมากล่าวนี้เป็นเพียงเกณฑ์พื้นฐานเท่านั้น คือเราสามารถดูว่าดวงใครมีดาวอะไรได้ตำแหน่งองค์เกณฑ์บ้าง ใน 4 เกณฑ์นี้

เช่นในราศีปัศวะมีบังคับว่า ดาว 1-2-3-5 อยู่ในเรือนที่ 10 จึงถือเป็นปัศวะเกณฑ์ ดังได้มีคำโคลงกำกับไว้ดังนี้

ปัศวะทะศะต้ององค์เกณฑ์

ชีวะจันทร์ภุมเมนทร์ผ่องแผ้ว

อีกองค์พระสุริเยนทร์ทรงยศ

สี่สถานเลิศแล้วยศนั้นพระยา

ในราศีนระบังคับว่า ดาว 1-5-7 อยู่ในเรือนที่ 1 หรือกุมลัคน์ จึงจะถือเป็นนระเกณฑ์ ดังได้มีคำโคลงประกอบดังนี้

นระสุริยะเรื้องรังษี

โสระชีวะมีถูกต้อง

สามองค์ทรงโสภีกุมลัคนาแฮ

ชาติใดได้ดั่งผ้องยศนั้นนาพัน

ในราศีอัมพุบังคับว่า ดาว 2-4-5-6 อยู่ในเรือนที่ 4 ของลัคนาจึงจะถือว่าเป็นอัมพุเกณฑ์ ได้มีโคลงกล่าวไว้ว่า

อัมพุผลจุ่งแจ้งสี่สถาน

พุธศุกร์ชีวะวารส่งสร้อย

จันทร์องค์ประไพพาลย์รุจิเรข

แสดงคุณฤๅใช่น้อยยศนั้นถึงพระยา

ในราศีกีรฏะบังคับว่า ดาว 3-8 อยู่ในเรือนที่ 7 ของลัคน์หรือเล็งลัคน์ จึงจะถือว่าได้กีรฏะเกณฑ์ มีโคลงกล่าวว่า

กีฏะสัตตะต้องภุมเมนทร์

อสุรินทร์องค์เกณฑ์กล่าวไว้

ถึงแม้ชาติตัวเวรอัปลักษณ์

คุณก็แสดงให้ยศนั้นเสมอพงศ์

ถ้าจะทายเกณฑ์ต่าง ๆ ทั้ง 4 เกณฑ์ตามคำโคลง ก็จะออกมาเหมือน ๆ กัน คือดีทั้งหมด มีดวงที่ได้

กีรฏะเกณฑ์เท่านั้นที่บอกว่าแค่เสมอพงศ์ คือไม่ดีหรือเลวกว่าต้นตระ***ลเดิม นอกนั้นเป็นพระยาและมียศทั้งสิ้น

อันนี้ผมว่าต้องค่อย ๆ พิจารณาดูกันนะครับว่าดาวอะไรเป็นองค์เกณฑ์บ้าง ก็ว่าเป็นดาว ๆ ไป น่าจะใกล้ความจริงกว่า เช่นดาวพฤหัสบดี (๕) เป็น 10 แก่ลัคน์ เข้าล๊อกปัศวะเกณฑ์ เป็นคนมีปัญญาดี ความรู้ดี หรือเสาร์ (๗) กุมลัคน์ได้นระเกณฑ์ หนักไปในทางฝันเฟื่อง วิตกจริตแก่กล้า บางรายก็เครียดจัดจนต้องเข้าไปนอนรักษาตัวศรีธัญญาฯ ก็มี เรื่องเสาร์ (๗) นี่ผมเห็นกับตามาหลายราย ผมว่าให้ท่านลองเอาคุณสมบัติของดาวนั่นแหละมาทาย จะดูดีกว่า เพราะที่ผ่านมาผมก็ใช้อย่างที่ผมว่าเห็นเข้าเป้าดี แต่ถ้าใครจะทายแบบเดิมเพื่อรักษาของเก่าเอาไว้ผมก็ไม่ว่า แต่ผมไม่ค่อยช่ำชองนัก

อย่างเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาบังเอิญผมเข้าไปทัวร์ในเว็บเกี่ยวกับการพยากรณ์เว็บหนึ่ง เห็นในกระทู้ว่าพอดาวเสาร์ (๗) ย้ายราศีจากราศีเมถุนเข้าทับลัคน์คนราศีกรกฏ คนราศีนี้ก็คงได้คู่กัน เพราะดาวเสาร์ (๗) มาจากเรือนปัตนิ ผมว่าอย่ามองกันมุมเดียวนะครับ โดยเฉพาะดาวเสาร์ (๗) ไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไร มันไม่น่าจะได้คู่อย่างเดียว น่าจะได้ความทุกข์ยากลำบากเรื่องการงาน การต้องเดือดร้อนเงินทอง ที่อยู่อาศัยด้วย ยิ่งถ้าคนเกิด วันพฤหัสบดีหรืออายุจรในทักษามาตกที่ภูมิพฤหัสบดี (๕) ด้วยยิ่งน่าเป็นห่วง ถ้ามันเกิดได้คู่อย่างที่ว่าแม้จะเก่าแก่สักหน่อยก็รับไว้เถอะครับ ดีกว่านอนกอดหมอนข้าง

การพยากรณ์องค์เกณฑ์ทั้ง 4 เกณฑ์ แบบเดิมว่าไว้ดังนี้

ลัคนากำเนิดตกปัศวะเมื่อแรกจะเกิดโรค ทุกข์เดือดร้อน จะพลัดพรากจากที่อยู่ ผู้ใหญ่จะเบียดเบียนตน

ลัคนากำเนิดตกนระ เมื่อแรกจะได้ช้าง ม้า ข้า คน ลูกเมียและยศศักดิ์ ท่าจะบูชา จะได้ลาภแต่สถานบ้านเมืองไกล

ลัคนากำเนิดตกอัมพุ เมื่อแรกจะเจ็บไข้ แค้นเคืองด้วยลูกเมีย จะตายจากกัน จะเป็นความ ท่านจะกล่าวโทษ จะจากที่อยู่ไปไกล ให้ระวังจะเกิดไฟ โจรจะปล้น ข้า คน จะหนี วัวควายจะตาย ช้างม้าจะหาย จะเป็นทุกขลาภ

ลัคนากำเนิดตกกีรฏะ ท่านผู้ใหญ่จะตกแต่งให้อลังการกว่านั้น ดุจจรตกนระ

หากจะสรุปคำพยากรณ์จะเห็นว่าคนที่เกิดในราศีปัศวะ วัยเด็กจะมีโรคประจำตัว มีความเดือดร้อนต่าง ๆ ไม่ค่อยกินเส้นกับผู้ใหญ่ ถ้าเกิดในราศีนระจะได้ลาภทุกอย่างจากแดนไกล เช่นช้างม้าข้าคนบริวารยศศักดิ์ ถ้าเกิดในราศีอัมพุ จะเจ็บไข้ในวัยเด็ก ถ้าพอมีเมียก็ไม่ได้อย่างใจ ตรอมใจจนตายจากกัน จะมีคดีความ ผู้ใหญ่ไม่ส่งเสริม แถมให้โทษ จะต้องจากบ้าน ไฟไหม้บ้าน ข้าคนหนี วัวควายตาย ถ้าเกิดในราศีกีรฏะ จะได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่ในทุกด้าน ยิ่งกว่าราศีนระ

ถ้าแยกออกมาโดยย่อจะเห็นว่าราศีปัศวะและอัมพุไม่ดี ในขณะที่ ราศีกีรฏะและราศีนระเลิศเลอทุกประการ

ท่านสังเกตบ้างไหมครับว่าคำพยากรณ์ลัคนาได้ราศีเกณฑ์ในตอนนี้ ถ้าปัศวะและอัมพุ จะไม่ดีต่าง ๆ นา ๆ แต่นระกับกีรฏะดีมาก ซึ่งต่างกับตอนที่กล่าวถึงดาวต่าง ๆ ได้ตำแหน่งองค์เกณฑ์ ตอนนั้นจะดีเลิศหมด มีแต่เกณฑ์กีรฏะเท่านั้นที่เสมอพงศ์

เมื่อเป็นดังนี้ก็เท่ากับเกิดความขัดแย้งกันในหลักวิชาการ หรือท่านโบราณาจารย์ อาจจะมีข้อยกเว้นเป็นอย่างอื่นเอาไว้ แล้วผมไม่รู้ ก็ไม่ทราบได้ หรือจะถือเอาว่าลัคนากำเนิดในราศีองค์เกณฑ์ ถ้าไม่มีดาวที่กำหนดไว้ ได้องค์เกณฑ์ ก็จะไม่ดีต่าง ๆ ดังที่กล่าว แต่เฉพาะราศีนระและกีรฏะต้องดีอย่างเดียว จะมีดาวที่บังคับได้องค์เกณฑ์หรือไม่ก็ตาม จะอย่างไรก็ตามผมเพียงเสนอมาให้ท่านช่วยผมคิดเท่านั้นมิได้มีเจตนาอย่างอื่นแอบแฝง

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)
บทที่ ๒๓ กาลจักร-ลัคน์จร

ด้วยข้ออ้างที่ว่าในโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ต่างก็ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา วันนี้อย่างหนึ่ง พรุ่งนี้อีกอย่างหนึ่ง เหมือนสรรพสิ่งทั้งหลายเมื่อมีเกิดก็มีดับ มีของใหม่เกิดขึ้น พอล่วงเลยไปก็กลายเป็นของเก่า ของเก่าบางอย่างมีคุณค่า แต่บางอย่างยิ่งเก่ายิ่งไร้ค่า สุดแท้แต่ว่าเป็นของอะไรและของนั้นเป็นของใคร?

ดวงชะตาของคนก็เช่นกันเมื่อมีดวงชะตากำเนิดหรือดวงเดิม ก็ย่อมต้องมีดวงจรหรือลัคน์จรได้ ดวงจรหรือลัคน์จรนี่จะต่างกับดาวจร หรืออายุจร ดาวจรนั่นคือดาวในท้องฟ้าหรือในจักรวาลอันไกลโพ้น เดินหรือโคจรไปในราศีต่าง ๆ โลกที่เราต่างอาศัยอยู่นี้ก็โคจรเช่นเดียวกัน เพราะมันก็คือดาวเหมือนกัน โลกเราโคจรรอบอาทิตย์ (๑) และโคจรรอบตัวเอง สำหรับอายุจร นั่นหมายถึงอายุจาก 1 ขวบ จรเป็น 2 ขวบ เป็น 3 ขวบ แล้วก็จรไปเรื่อย ๆ จนตายจากกันจึงหยุด จาก 1 ขวบถึง 50 นี่ผมกับท่านผู้อ่านทั้งหลายเขาเรียกว่าจรแก่ขึ้น พอจาก 50 ไปแล้วเขาเรียกว่าจรแก่ลง นี่ผมรู้สึกว่าลงไปมากแล้ว อีกไม่นานก็คงหยุดจร

เอาล่ะนี่ผมคร่อมเลนไปนิดหนึ่งแล้ว ต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านเอาไว้ตรงนี้ด้วย ให้เราหันมาว่ากันถึงเรื่องกาลจักร-ลัคน์จรตามหัวข้อกันดีกว่า

อันว่ากาลจักร-ลัคน์จร หมายถึงลัคนาที่เวียนไปตามเวลานั่นเอง คือเวียนไปตามจักรราศี ถ้าสมมุติว่าลัคนาสถิตราศีเมษ ซึ่งเข้าเกณฑ์ปัศวะ อายุเท่าใด ก็หมุนไปเท่าอายุ เช่นท่านมีลัคนาสถิตราศีเมษ อายุ 69 ปี ก็นับอายุเริ่มจากราศีเมษ ไปจนครบ 69 ปี ตกราศีใดนั่นเท่ากับลัคนาจรของท่านตกราศีนั้น ราศีเกณฑ์ประเภทอื่นเช่นนระ อัมพุ กีรฏะก็ทำเช่นเดียวกัน

การนับอายุตามเกณฑ์ปัศวะมีดังนี้ คือเมษ-2ปี พฤษภ-2ปี เมถุน-3 ปี กรกฏ-5 ปี สิงห์-2 ปี กันย์-3ปี ตุลย์-3ปี พิจิก-8ปี ธนู-3ปี มังกร-5ปี กุมภ์-3ปี มีน-5ปี รวมแล้วรอบละ 44 ปี

การนับอายุตามเกณฑ์นระมีดังนี้ คือ เมษ-4ปี พฤษภ-4ปี เมถุน-5ปี กรกฏ-7ปี สิงห์-4 กันย์-5ปี ตุลย์-5ปี พิจิก-10ปี ธนู-5ปี มังกร-7ปี กุมภ์-5ปี มีน-7ปี รวมแล้วรอบละ 68 ปี

การนับอายุตามเกณฑ์อัมพุมีดังนี้ คือ เมษ-3ปี พฤษภ-3ปี เมถุน-4ปี กรกฎ-6ปี สิงห์-3ปี กันย์-4ปี ตุลย์-4 ปี พิจิก-9 ธนู-4ปี มังกร-6ปี กุมภ์-4ปี มีน-6ปี รวมแล้วรอบละ 56 ปี

การนับอายุตามเกณฑ์กีรฏะ มีดังนี้คือ เมษ-5ปี พฤษภ-5ปี เมถุน-6ปี กรกฏ-8ปี สิงห์-5ปี กันย์-6ปี ตุลย์-6ปี พิจิก-11ปี ธนู-6ปี มังกร-8ปี กุมภ์-6ปี มีน-8ปี รวมแล้วรอบละ 80 ปี

เรื่องเกณฑ์แต่ละเกณฑ์จะมีอายุแตกต่างกัน แต่ก็จำง่าย ท่านจำเพียงเกณฑ์ปัศวะก็เพียงพอ เพราะถ้าพอเอา 1 บวกเกณฑ์ปัศวะในแต่ละราศี ก็จะเป็นเกณฑ์อัมพุ เอา 2 บวกเกณฑ์ปัศวะจะได้เกณฑ์นระ เอา 3 บวกเกณฑ์ปัศวะจะได้เกณฑ์กีรฏะ

คำพยากรณ์ลัคน์จรตามตำนานเดิมมีดังนี้

ถ้าลัคนาจรมาถึงราศีเมษ ประดุจนกปีกหัก จะคิดการสิ่งใดสมความปรารถนา แล้วจะวิบัติต่าง ๆ มีภัยสามประการและเกิดโรคด้วย

ถ้าลัคนาจรมาถึงราศีพฤษภ เปรียบประดุจนกพิลาปอยู่บนปรางค์ปราสาท จะอดอาหารและลาภสักการทั้งปวง สารพัดจะคิดการไม่สมความปรารถนา แต่ทว่าศัตรูทำร้ายไม่ได้

ถ้าลัคนาจรมาถึงราศีเมถุน ได้เมื่อนกไสร้จะหมายฆ่าช้างสาร สารพัดลาภสักการทั้งปวง เห็นจะได้มากก็สูญหายกลับกลายเป็นน้อย แต่ศัตรูปองร้ายเป็นอันมาก

ถ้าลัคนาจรมาถึงราศีกรกฏ เปรียบประดุจนกไสร้ฆ่าช้างสารตาย จะต้องปราศจากที่อยู่ แล้วจะเกิดความ จะเสียทรัพย์เพราะถ้อยคำของตนเอง และต้องจากยศศักดิ์ ต่อภายหลังตั้งความเพียร จึงจะได้ดีคืนดังเก่าแล

ถ้าลัคนาจรมาถึงราศีสิงห์ เปรียบประดุจพระจันทร์เมื่อวันดับลับไปแล้วก็คืนมาอีก ทรัพย์และข้าวของทั้งปวงซึ่งเสียไปแต่ก่อนนั้นจะกลับคืนมา สารพัดสัตว์สี่เท้าสองเท้าหนีหายไปแต่ก่อนก็จะได้กลับมาเอง

ถ้าลัคนาจรถึงราศีกันย์ เปรียบประดุจวานรได้ผลมะเดื่อ สารพัดจะคิดการสิ่งใดได้สมความปรารถนาแล

ถ้าลัคนาจรถึงราศีตุลย์ เปรียบประดุจดั่งว่าไม้กาฝาก จะได้ลาภทั้งปวงบริบูรณ์ จะเกิดความสิ่งใดก็มีชัยชนะด้วยผลความเพียรตนแล

ถ้าลัคนาจรถึงราศีพิจิก เปรียบประดุจไม้แห้งจะมาเปรียบไม้สดนั้นไม่ได้ จะว่าความสิ่งใดไม่สมปรารถนา จะต้องปราศจากที่อยู่ จะต้องภัยสามประการ แล้วต้องเสียทรัพย์ทั้งปวง ร้ายนักให้ระมัดจงดีเถิด

ถ้าลัคนาจรถึงราศีธนู เปรียบประดุจนกพิลาป เขาเอาใส่ในเคหาท่าน สารพัดจะอดอาหารทั้งปวง ทำความเพียรสิ่งใด ๆ เป็นที่ดีแห่งท่านทั้งหลาย

ถ้าลัคนาจรถึงราศีมังกร เปรียบอุปมาเหมือนหิรัญวดีไปเที่ยวหาคู่ คิดสิ่งใดได้สมความปรารถนา แล้วจะได้ลาภสัตว์สี่เท้าสองเท้า จะทำการสิ่งใดประสิทธิ์นักแล

ถ้าลัคนาจรถึงราศีกุมภ์ ได้เมื่อพญาหงส์ทองต้องบ่วง ต้นมือเป็นทุกข์ ปลายมือดีมีลาภแล

ลัคนาจรถึงราศีมีนได้เมื่อศุภมิตร ต้นมือนั้นร้าย ปลายมือดีมีลาภแล

ทั้งหมดนี้ผมพยายามคัดมาจากตำนานเดิม คือโลกธาตุ และรักษาสำนวนเก่าไว้ก็ดูขลังดี สรุปแล้วขัดกันบ้างเหมือนกันบ้าง ขอให้ท่านหัดพิจารณาเอาเอง ผมไม่กล้าออกความเห็น เพราะไม่ค่อยได้นำมาใช้นัก เนื่องจากผมพยากรณ์อาชีพในราคาถูกเพียงไม่เกิน 500 บาท ก็ไม่อยากทำตัวเป็นคนขี่ช้างจับตั๊กแตน

ความจริงเรื่องที่เกี่ยวกับ “ลัคน์จร” นี่ยังมีอยู่ในตำนานอีกอย่างหนึ่งคือ ลัคน์จรกับพระเคราะห์จร ท่านว่าไว้ดังนี้

ถ้าพระเคราะห์จร ๑-๓-๕-๗-๘ จรมาทับลัคน์จร ให้ทายดุจลัคน์กำเนิด

ถ้าลัคน์จรตกที่ดีแล้ว ให้นับหาลัคน์กำเนิด ถ้าลัคน์กำเนิดเป็น 3-4-5-9-11 แก่ลัคน์จร จะเจริญยิ่งนัก ถ้าไม่เป็นดังกล่าวจะถอยทรัพย์แล

ถ้าลัคน์จรตกราศีอันร้าย ให้นับหาลัคนากำเนิด ถ้าเป็น 2-3-5-7-11 แก่ลัคน์จร ผู้นั้นถ้าโทษร้ายเป็นทุกขลาภ

ตรงนี้ต้องตีความให้แตกว่าลัคน์จรไปตกที่ร้าย เป็นอย่าง? ตกที่ดีเป็นอย่างไร ถ้าในความคิดเห็นของผมลัคน์จร จรไปเป็นอริ มรณะ วินาส ลัคน์เดิม หรือจรไปอยู่ในเรือนหรือราศีที่เป็นกาลกิณีเดิม หรือไปตกราศีเดียวกับดาว เสาร์ (๗) และราหู (๘) จร น่าจะถือเป็นตกที่ร้าย นอกนั้นน่าจะจรตกที่ดีทั้งหมด คือไม่เป็นอริ มรณะ วินาสกับลัคน์เดิม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ต้องนำมาทดลองใช้หลาย ๆ รอบก่อนจึงจะปักใจเชื่อ ถ้านำมาทายแล้วผิดมากกว่าถูก ก็ควรจะวางเฉยเสีย เว้นแต่ทายแบบไม่เก็บเงิน ก็ว่ากันไปตามสบาย

 

โหราสาด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)
บทที่ ๒๔ ตรีวัย

เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ และใช้ในการทายจรได้ผลมาแล้ว คำว่าตรีวัยหมายถึงวัยทั้ง 3 คือปฐมวัย วัยแรก เริ่มนับตั้งแต่อายุ 1 ปี ถึง 25 ปี

มัชฌิมวัย วัยกลาง เริ่มนับตั้งแต่อายุ 25 ปี ถึง 50 ปี

ปัจฉิมวัย วัยปลาย เริ่มนับตั้งแต่อายุ 50 ปี ถึง 75 ปี

ถ้าอายุยืนยาวมากกว่า 75 ปี ไปถึง 100 ปี เรียกว่าตกวัยเทียบ

การจะรู้ว่าปัจจุบันตกวัยใดให้ดูจากอายุย่างเป็นเกณฑ์ในแต่ละวัย ถูกแบ่งซอยออกเป็นวัยย่อยวัยละ 3 ขั้น ๆ ละ 8 ปี 4 เดือน รวมแล้วก็คือ 25 ปี เช่น

ปฐมวัย ดาวเจ้าวัย มาจากดาวเจ้าเรือน ตนุ-กะดุมพะ-กรรมะ

มัชฌิมวัย ดาวเจ้าวัย มาจากดาวเจ้าเรือน สหัชชะ-ศุภะ-ลาภะ

ปัจฉิมวัย ดาวเจ้าวัย มาจากดาวเจ้าเรือน พันธุ-ปุตตะ-ปัตตานิ

วัยเทียบ ดาวเจ้าวัย มาจากดาวเจ้าเรือน อริ-มรณะ-วินาส

และดาวเจ้าเรือนต่างๆ เป็นต้นว่า ตนุ-กะดุมพะ-กรรมะฯลฯ ต้องมาจากตนุเศษทั้งสิ้น ไม่ใช่มาจากลัคนา ตรงนี้ขอท่านอย่าได้เผลอนับจากลัคน์เป็นอันขาด จะทำให้ทายผิดได้

สำหรับการพยากรณ์ มีหลักว่าถ้าอายุตกวัยที่เป็นดาวศุภเคราะห์ ที่ไม่เป็นกาลกิณีในดวงทักษา ไม่เป็นนิจเป็นประ หรือได้ตำแหน่ง มหาอุจ ราชาโชค มหาจักร เกษตร ถือว่าในวัยนั้นดี

ถ้าอายุตกวัยนิจ ประ กาลกิณี หรือเป็นดาวบาปเคราะห์ ถือว่าไม่ดีนัก แต่ถ้าดาวบาปเคราะห์ได้ตำแหน่งดีเป็นมหาอุจ ราชาโชค มหาจักร เกษตร ถือว่าดี

และหากท่านเข้าใจแบบรู้แจ้งแทงตลอด ในกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผมนำมาเสนอ เพื่อประดับความรู้ถึง 24 บท แม้จะดูว่าน้อยนิด เมื่อเทียบกับศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่เรียนกันไม่รู้จบแล้ว ผมกล้ารับรองว่าท่านผู้อ่านที่รักของผมทุกท่านต้องก้าวหน้าหลุดพ้นจากคำว่า “โหน” มาเป็น “โหร” ได้อย่างพากพูมแน่นอน

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)
บทที่ 25 สูตรการพยากรณ์อาชีพ

บทนี้ผมตั้งใจจะนำแนวทางการพยากรณ์ พื้นๆ มาเสนอท่านผู้อ่านที่รักพอเป็นแนวทาง ส่วนความวิจิตรพิศดารใด ๆ ท่านต้องตบแต่งกันเอาเอง ตามความสามารถ เพราะแต่ละคนย่อมต้องมีความคิดอ่านที่เป็นเอกเทศ มีความละเอียดละออ และศิลปะที่เป็นของตนเอง ดังนั้นหากจะเอาแบบอย่างผมเสียทั้งหมด ซึ่งค่อนข้างมีความกระด้าง ตรงไปตรงมา ไม่อ่อนหวานอ่อนโยน จะทำให้ขาดรสชาดไป ไม่เป็นที่ประทับใจผู้มาใช้บริการ

แต่จะอย่างไรก็ตามผมจะขอกราบขอร้องมายังท่านสักข้อหนึ่งว่า เมื่อผูกดวงได้แล้วอย่าผลีผลามทายโดยขาดการไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะดวงชะตาในแต่ละดวงอาจมีปัญหาซ่อนเร้นอยู่ เช่นมีดาวคาบราศี มีองศาอ่อนมาก ๆ แก่มาก ๆ บางทีก็ลัคนา หรือดาวที่เกี่ยวกับการหาตนุเศษ คาบเกี่ยวอยู่ 2 ราศี ทำให้การหาตนุเศษไม่ชัดเจน หรือบางดวงไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นดวงแบบพื้น ๆ ดีก็ไม่ดี เลวก็ไม่เห็น อย่างดวงแม่บ้าน ดวงคนที่ไม่ทำอะไรเลยตลอดชีวิต ถ้าไม่รอบคอบโอกาสผิดจะมีสูง

ถ้าท่านยังนึกไม่ออกว่าควรพิจารณาอย่างไร หลังจากวางดวงชะตาแล้ว ผมจะขอเรียบเรียงไว้ดังนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรียงลำดับ 1-2-3 ตามที่ผมเขียน สลับกันได้ แต่ก็ให้อยู่ใน 9 ข้อนี้

ดูดาวในดวงชะตาว่าดาวอะไรมีทักษากำเนิดเป็นอะไรบ้าง? เช่นดาวอะไรเป็นกาลกิณี ดาวอะไรเป็นศรี มนตรี เดช ฯลฯ

และดาวเหล่านั้นไปอยู่สัมพันธ์ดีหรือไม่ดีกับลัคนาหรือตนุเศษบ้าง

ดูราศีใดหรือเรือนใดเป็นเรือนกาลกิณี

ดูดาวทั้งหมดมีดาวใดได้ตำแหน่งดี เช่นเป็นมหาอุจ มหาจักร ราชาโชค เกษตร นิจ ประ

ดูดาวใดอยู่ในฐานะคู่มิตร คู่ศัตรู คู่สมพล คู่ธาตุ

ดูในดวงชะตาดาวใดได้องค์เกณฑ์ เช่นเกณฑ์ ปัศวะ อัมพุ นระ กีรฏะ

ในขณะนั้น คือขณะที่เจ้าชะตามาให้ดูดวง อายุจรในดวงทักษาตกภูมิอะไร ดาวอะไรเป็นกาลกิณีจร เป็นศรี มนตรี เดช จร ฯลฯ

ดาวจรในขณะนั้นเช่น เสาร์ (๗) ราหู (๘) พฤหัสบดี (๕) ศุกร์ (๖) อังคาร (๓) ฯลฯ จรอยู่ในราศีใดเป็นอะไรกับลัคนา เช่น ทับ เล็ง อริ มรณะ วินาส ฯลฯ

อายุของเจ้าชะตามีดาวเจ้าวัยหรือดาวตรีวัยเป็นดาวอะไร เช่น อายุย่าง 40 ดาวเจ้าวัยตกดาวศุภะ อายุ 50 ตกตรีวัยลาภะ เป็นต้น

หลังจากดูรายละเอียดเหล่านี้แล้ว ให้มองหาจุดเสีย ที่เห็นชัดมากที่สุดในดวง หรือจุดดีที่สุด มาพูดก่อน แต่ใน 2 เรื่องนี้ถ้าจะให้น้ำหนักกันแล้ว ให้เอาเรื่องร้ายหรือไม่ดีมาว่ากันก่อน เช่นถ้าเห็นดาวเสาร์ (๗) จรเข้าเรือนปัตนิ ขณะที่มาดู หรือที่ผ่านมาไม่นาน ให้เอาเรื่องการไม่ลงรอยกับคู่ หรือชีวิตรักมีปัญหาขึ้นมาพูดก่อน ยิ่งคนที่เกิดวันพฤหัสบดี (5) หรืออายุจรตกภูมิพฤหัสบดี (5)จะยิ่งชัดมากขึ้น ถ้าดวงพื้นฐานชีวิตการครองคู่ไม่ดีเป็นทุนอยู่แล้ว รับรองผลได้ว่าไม่ผิด ส่วนเรื่องดีมีโชคเอาไว้

ทีหลัง เพราะโดยปกติ คนส่วนมากยังเต็มไปด้วยความโลภ ได้ลาภมาเท่าไรยังไม่พอ คือไม่รู้จักพอนั่นเองต้องการได้มากกว่านั้น จึงไม่ยอมรับคำพยากรณ์ จะทำให้เสียกำลังใจ

อย่างเช่นเราทายเรื่องเกี่ยวกับการมีลาภในปีที่ผ่าน ๆ มาความจริงก็ถูกต้องเพราะเขาได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานดีขึ้นกว่าเดิม แต่กลับบอกว่าไม่เห็นได้ลาภอะไรเลยสักบาท พอเราเกิดความสงสัยคำพยากรณ์ ย้ำถามอีกครั้งในตอนท้าย เขาบอกว่าได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน 2 ขั้น อย่างนี้เป็นต้น คือคนทั่วไปคิดว่าการมีลาภต้องได้เงินอย่างเดียว

แต่กับเรื่องร้ายหรือเคราะห์กรรม จะยอมรับกันง่าย เพราะหลายคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีการโยกย้ายการงานจากที่เดิมไปที่ใหม่มักไม่สบอารมย์ ผมเคยมีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารใหญ่แห่งหนึ่ง สาขาเตาปูนอยู่มาเป็น 10 ปี พอถูกย้ายมาศรีย่าน ซึ่งก็ห่างจากที่เดิมราวกิโลเดียวกลับคร่ำครวญ ผมก็บอกไปว่านี่มันดีไม่ใช่หรือ ที่ไม่ถูกย้ายไปสาขาลาดกระบัง? เขาเลยเงียบ

และเรื่องร้ายหรือเคราะห์กรรมที่เอามาทายจะเรื่องใดก็ตาม ต้องกะแล้วว่าไม่ผิด เพราะถ้าท่านทายผิดเรื่องแรก ในวันนั้นควรจะเก็บข้าวของกลับบ้านไปฝึกซ้อมใหม่ ถือว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จ

อีกอย่างหนึ่ง ท่านโปรดอย่าลืมว่าคนที่มาหาให้หมอดู ๆ ดวงนั้น เป็นจำนวนมากที่เขาต้องการมาลองวิชา ถ้าทายถูกเขาก็พอใจและศรัทธา อาจขอสมัครเรียนด้วย ที่ผ่านมาผมได้ศิษย์ประเภทนี้มาก ทำให้เราได้กำไรหลายต่อ แต่ถ้าทายผิดดีไม่ดีก็ถูกสอนมวย หรือพลอยเสียไปถึงครูบาอาจารย์ แล้วท่านก็จะท้อใจในภายหลัง บางรายแม้ไม่มาลอง เป็นการมาดูเพื่อต้องการคำชี้แนะจริง ๆ แต่ถ้าท่านทายผิดเสียแต่แรก คำชี้แนะก็จะเป็นหมัน เขาจะขาดศรัทธาที่อุตส่าห์บากหน้ามาหา

ที่ว่ามานี้เป็นคำเตือนด้วยความหวังดีจริงๆไม่ใช่ยกว่าตัวเองเก่ง ผมเคยมาแล้ว เมื่อเคยมาแล้วไม่นำมาบอกกล่าว ปล่อยให้ท่านที่รักผิดพลาด ท่านเจ็บผมก็เจ็บด้วย

ตอนนี้จะขอยกเอาดวงตัวอย่างที่เป็นดวงจริง ๆ ที่ผมพยากรณ์มาแล้ว และได้รวบรวมเอาไว้ เป็นดวงเพื่อการศึกษา ดังนั้นหากท่านจะมีความรู้สึกร่วมกับผมว่า ดวงที่ผมนำมาให้ท่านได้ชื่นชมเหล่านี้ สมควรแก่การจะได้รับเกียรติยกย่อง เสมอด้วยครูคนหนึ่ง ที่ให้ความรู้แก่เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลาย ผมจะดีใจและขอบคุณเป็นอย่างสูงเอาไว้ ณ ที่นี้ เพราะผมเองที่พอมีความรู้นำมาเสนอท่าน ก็อาศัยเก็บเล็กผสมน้อยจากดวงจริงที่มาให้ผมพยากรณ์ มากกว่าท่องจำมาจากตำรา

ดวงอันดับ 1

ที่ผมนำมาเสนอนี้เป็นดวงของสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ซึ่งต่อมาเธอก็เรียนโหราศาสตร์และสามารถดูให้กับเพื่อนได้ดีระดับหนึ่ง

วันเกิดของเธอคือวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2506 เวลาประมาณ 06.23 น. จังหวัดชุมพร

ดวงดาวในดวงชะตา 10 ลัคน์ของเธอเป็นดังนี้ ๑-๔-๘ สถิตราศีเมถุน ๖ ราศีพฤษภ ๕ ราศีมีน ๗ ราศีมังกร ๙ ราศีพิจิก ๒ ราศีตุลย์ ๓-๐ ราศีสิงห์ มีดาว อาทิตย์ (๑) เป็นดาวตนุเศษ สถิตราศีเดียวกับลัคนา

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)
บทที่ 26 การทายจร

ในบทที่ผ่านมาผมพยากรณ์นำร่องพอให้ท่านทราบแนวทาง มีการเน้นหนักไปที่พื้นดวงเดิม เพราะการพยากรณ์ที่ดีและแม่นยำ ถ้ายังพยากรณ์ดวงเดิมไม่ถูกต้องจนทำให้เขายอมรับได้ ก็ป่วยการที่จะทายอนาคต ดังนั้นการได้เห็นดวงของใครสักคนหนึ่งอยู่ตรงหน้า ต้องพิจารณาให้รอบคอบ พยายามหาจุดใดจุดหนึ่งที่เห็นเด่นชัดขึ้นมาทายนำร่องไปก่อน การทายหรือการพยากรณ์ไม่จำเป็นว่าต้องเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก่อนหลัง เอาเฉพาะเรื่องที่กะแล้วว่าทายไม่ผิดเป็นอันใช้ได้

บางทีเราก็ใช้พื้นดวงทาย เช่นเมื่อเห็นชัดว่าดาวเจ้าเรือนปัตนิเสียมาก ๆ อยู่ในเรือนปัตนิก็จริงและมีดาวราหู (๘) หรือ มฤตยู (๐) กุมอยู่ด้วย ทั้งมีดาวศุกร์ (๖) กุมลัคน์ ทายเรื่องมีคู่แล้วเลิกได้เลยไม่มีผิด แต่ถ้าดาวศุกร์ (๖) วินาศต้องทายเรื่องหาคู่ยาก แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูวัยของเจ้าชะตาด้วย ไม่ใช่แค่ 10-20 ขวบแล้วทายเรื่องคู่


บางรายดูดวงแล้วเป็นนักธุรกิจ ทำกิจการของตนเอง ถ้าเมื่อผูกดวงแล้วเห็นลัคนาสถิตราศีใดราศีหนึ่งที่ตรงกับดาวเสาร์ (๗) หรือราหู (๘) จร อยู่ในราศีนั้นด้วย หรือเล็งก็ทายเรื่องงานได้ คืองานมีปัญหาติดขัด การเงินติดขัด งานล้มเหลว เหล่านี้เป็นต้น

เรื่องของการทายจรถ้าจะแยกออกมาให้ชัด มีอยู่ 3 อย่าง คือการทายจรอดีต ทายจรปัจจุบัน และทายจรอนาคต

ควรเน้นที่อดีตมาก่อน ยิ่งทายอดีตถูกหลายเรื่องยิ่งดี นอกจากเป็นการสร้างศรัทธาหรือความเชื่อแล้ว ยังเป็นการตรวจสอบดวงชะตาไปด้วยในตัว

เพราะถ้าทายอดีตถูก ทายปัจจุบันก็ย่อมไม่ผิด การทายปัจจุบันก็คือการทายในปีที่เขามาหาเรา อาจจะทายเจาะเดือนลงไปด้วย เช่นเดือนใดที่ดาวอังคาร (๓) เข้าทับลัคนาเล็งลัคนา หรือทับหรือเล็งอังคาร (๓) เดิมในดวงชะตา ทายเกี่ยวกับอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ดาวศุกร์ (๖) จรเดือนไม่ดี คือเป็นอริ มรณะ วินาศ ทายเรื่องการติดขัดด้านการเงิน หรือถ้าไม่เป็นอริ มรณะ วินาศ ทายเรื่องการมีโชคด้านการเงิน ดาวพุธ (๔) อาทิตย์ (๑) เหล่านี้นำมาทายได้หมด

ทว่าการทายหรือพยากรณ์ทุกขั้นตอนไม่ว่าดวงเดิมหรือจร อย่าลืมเรื่องทักษา ต้องนำทักษาเข้าเกี่ยวข้องเสมอ เพราะทักษาเป็นตัวสำคัญพื้นฐานของโหราสาด เป็นตัวตอกย้ำความดีเลวของดวงดาวแต่ละดวงในแต่ละปีแต่ละเดือนที่ชัดเจนที่สุด บางทีในบางรอบที่พฤหัสบดี (๕) เข้ามาดีกับลัคน์ ได้โชคลาภต่าง ๆ นา ๆ พอมาอีกเที่ยวเป็นกาลกิณีจร ต้องออกจากงาน ร่อนเร่พเนจรก็มี ผมเคยเจอมาจนเข็ด โดยเฉพาะเสาร์ (๗) กับราหู (๘) และพฤหัสบดี (๕) ที่เป็นกาลกิณีจร น่ากลัวที่สุด

และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการเก็บเอาความรู้จากนิทานชาติเวร ที่เป็นหลักของโลกธาตุ ต้นตำนานเดิมมาใช้ยิ่งจะรัดกุมมากขึ้น เพราะในแต่ละเรื่องเป็นการบ่งบอกความเป็นมิตรและศัตรูที่จำง่าย

สำหรับการทายหรือพยากรณ์จรอนาคต ที่สำคัญต้องจำการโจรของดาวแต่ละดาวได้แม่นยำ ว่าดาวอะไรสถิตราศีใด จากวันที่เท่าใด ไปถึงวันที่เท่าใด แม้ดาวเดินช้า เดินเร็ว หรือถอยหลัง ก็ควรจำได้ แต่ถ้าจำไม่ได้ก็ต้องมีคู่มือดาวจรหรือปฏิทินประจำปีติดตัว เพราะโหรทุกคนถือเป็นอุปกรณ์สำคัญ ขาดปฏิทินดาราศาสตร์ จะทายจรยาก เว้นแต่คนที่สามารถคำนวณดาวจรได้เอง

จะขอยกตัวอย่างการทายจรมาให้ดูสักราย เจ้าชะตารายนี้เป็นชาย เกิดวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน 2508 เวลาประมาณ 06.15 น. กรุงเทพ ฯ

ลัคนาแบบ 10 ลัคน์ อาทิตย์ (๑) สถิตราศีพฤษภ ราหู (๘) และพฤหัสบดี (๕) กุมลัคน์ ดาวพุธ (๔) และศุกร์ (๖) อยู่ราศีเมถุน มฤตยู (๐) อยู่ราศีสิงห์ อังคาร (๓) อยู่ราศีกันย์ จันทร์ (๒) และเกตุ (๙) อยู่ราศีตุลย์ เสาร์ (๗) อยู่ราศีมีน จันทร์ (๒) เป็นตนุเศษอยู่ราศีตุลย์

เรียนจบมาทางด้านการออกแบบตบแต่งภายใน แต่ต้องไปทำงานฝ่ายวิศวกรให้กับบริษัทผลิตส่วนประกอบยานยนต์บริษัทหนึ่ง

เมื่อเดือนพฤษภาคม 2548 อายุย่าง 40 ปี กำลังจะเต็มในเดือนมิถุนายน 2548 นั่นเอง อาทิตย์ (๑) เดิมจรเป็นกาลกิณี เข้าทับลัคน์ ถูกบริษัทส่งไปทำงานในโรงงานที่ประเทศอินเดียเกือบเดือน อาหารการกินแสนจะลำบาก แถมยังอากาศร้อนอีกต่างหาก

ดวงนี้มีคู่แบบไม่เปิดเผยมา สัก 10 ปีเห็นจะได้ ไม่มีใครในบ้านได้เห็นหน้าเห็นตาว่าเป็นอย่างไร เป็นคนเก็บเงินเก่ง ใจกว้างกับเพื่อน จะทำอะไรมีเพื่อนช่วยเยอะ

ถ้าท่านสังเกตุ จะเห็นว่าดาวราหู (๘) กาลกิณีเดิมกุมลัคน์ น่าจะเป็นคนมัวเมา แต่เมื่อมีพฤหัสบดี (๕) ซึ่งมีกำลังเหนือกว่ากุมด้วยจึงกลับเป็นดี มีฝีมือทางการช่างที่บริษัทยอมรับ เคยได้รับเกียรติบัตรชมเชยในฐานะพนักงานดีเด่นมาแล้ว

นอกจากนี้ยังเป็นคนเก็บเงินเก่งและขยันหาเงินด้วย สมัยเด็กทำท่าจะไม่เอาไหนอยู่พักหนึ่ง ตอนหลังเปลี่ยนชื่อวรรคมูละให้ราหู (๘) เป็นศรีจึงกลับเป็นดีได้

จะยกดวงตัวอย่างการทายจรมาให้ดูอีกดวงหนึ่ง ดวงนี้เจ้าชะตาเป็นหญิง เกิดวันพุธที่ 14 มกราคม 2502 เวลาประมาณ 21.40 น. จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ลัคนาอาทิตย์ (๑) พุธ (๔) ศุกร์ (๖) สถิตราศีกันย์ จันทร์ (๒) ราศีตุลย์ อังคาร (๓) ราศีพิจิก ราหู (๘) ราศีมังกร มฤตยู (๐) ราศีกุมภ์ พฤหัสบดี (๕) ราศีกรกฏ เสาร์ (๗) และเกตุ (๙) ราศีสิงห์ ตนุเศษคืออาทิตย์ (๑)

ดวงนี้ได้คู่ดีเป็นดาวพฤหัสบดี (๕) มหาอุจ บริวารก็ดีเป็นมหาอุจกุมลัคน์ ฐานะด้านการเงินก็ดี เพราะศุกร์ (๖) กุมลัคนา ในเรือนลาภะก็มีพฤหัสบดี (๕) มหาอุจเป็นดาวลอยเสริม ดาวเจ้าเรือนคือจันทร์ (๒) ไปอยู่ในเรือนกะดุมพะของลัคนาและตนุเศษ เรือนเพื่อนเป็นดาวกาลกิณีเพื่อนเอาเปรียบตลอด แต่งงานแล้วแต่ไม่มีบุตร เพราะดาวปุตตะคือเสาร์ (๗) วินาศและมีมฤตยูเล็ง

เมื่อตอนอายุจร 46 ตกภูมิเดิมดาวพุธ (๔) ดาวอังคาร (๓) เป็นกาลกิณีจร มีคดีขับรถชนคนตาย ไม่ได้ไปชนเขา แต่เขามาชนเรา ทำให้ต้องเสียเงินปิดคดี

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

บทที่ 27 การนำเอา ๗ - ๘ - ๕ มาทายจร

ดาวที่จะนำมาทายจรที่ทรงอานุภาพที่สุดคือ เสาร์ (๗) ราหู (๘) และพฤหัสบดี (๕) เพราะดาวใหญ่ทั้งสามดวงนี้ มีระบบการโคจรนานกว่าจะพ้นราศีหนึ่ง ๆ

เสาร์ (๗) จะใช้เวลาประมาณ 2 ปี กับอีก 6 เดือน

ราหู (๘) ใช้เวลาประมาณ 1 ปี กับอีก 6 เดือน

พฤหัสบดี (๕) ใช้เวลาประมาณ 1 ปี

เบื้องต้นของการที่จะนำดาวทั้ง 3 ดวงนี้มาทายจร เราต้องจำได้อย่างแม่นยำว่า จากวันที่เท่าใด ปีใดดาวดังกล่าวโคจรอยู่ในราศีใดบ้าง หรือถ้าไม่อยากจะจำให้เปลืองสมอง ก็ควรต้องมีแผ่นชาร์ต การเดินของดาวทั้งที่ผ่านมาแล้ว และล่วงหน้าอย่างน้อยอย่างละ 10 ปี ยิ่งถ้าลงรายละเอียดดาวเดินผิดปกเช่น พักร เสริด มนต์ เอาไว้ด้วยจะดีมาก

เพราะในบางคราวการให้โทษหรือให้คุณของแต่ละดาวเปลี่ยนกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือก็มี อย่างเช่นดาวพฤหัสบดี (๕) ถ้าเดินหรือโคจรปกติจะให้คุณ แต่ถ้าเดินถอยหลังกลับเมื่อไรต้องระวัง บางรายพฤหัสบดี (๕) ทับลัคนาและไม่เป็นกาลกิณีจร การงานการเงินน่าจะต้องดี แต่ปรากฏว่ากิจการงานติดขัด หรือต้องออกจากงาน ลาภผลทางการเงินก็ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ดังนี้เป็นต้น

เมื่อรู้แล้วว่าดาวอะไรโคจรอยู่ในราศีใด จากวันที่เท่าใดถึงวันที่เท่าใด และเจ้าชะตามีลัคนาสถิตอยู่ในราศีนั้น หรือราศีตรงกันข้าม เช่น ดาวเสาร์ (๗) หรือราหู (๘) โคจรอยู่ในราศีเมษ เจ้าชะตามีลัคนาสถิตราศีเมษ ก็ย่อมได้รับเคราะห์กรรมต่าง ๆ นา ๆ เช่นเจ็บป่วย ย้ายบ้าน หรือย้ายงาน เดินทางไกล หรือถ้าเป็นเจ้าของกิจการเอง ช่วงนั้นการธุรกิจติดขัด รายรับไม่พอกับรายจ่าย มีหนี้สินเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเจ้าชะตาลัคนาสถิตราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีตรงกันข้าม นอกจากต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมดังกล่าวมา ยังต้องมีปัญหากับหุ้นส่วนหรือคู่ครองเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะที่ราศีเมษ เป็นเรือนปัตนิของราศีตุลย์

ในทำนองที่กลับกัน ถ้าดาวพฤหัสบดี (๕) โคจรอยู่ในราศีเมษไม่เป็นกาลกิณี และเจ้าชะตามีลัคนาสถิตอยู่ในราศีเมษ ก็ย่อมมีโชคต่าง ๆ นา ๆ เช่นมีลาภทางการเงิน เดินทางไปเรียนต่อหรือทำงานต่างประเทศ ได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน คนตกงานก็จะได้งาน เหล่านี้เป็นต้น แต่สำหรับคนที่มีลัคนาสถิตราศีตุลย์ นอกจากมีเรื่องดี ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ยังจะได้ลาภสัตว์ 2 เท้า ซึ่งหมายถึงคู่ด้วย

การนำเอา 3 ดาวดังกล่าวมาทายนำร่องเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรทำให้ได้ และให้ถูกต้องแม่นยำ จึงค่อยไปว่ากันด้วยเรื่องอื่น โดยเฉพาะการทายย้อนหลังหรือทายจรอดีตสัก 2-3 ปี เพราะถ้าย้อนหลังมากเกินไปเขาอาจจะจำเหตุการไม่ได้ จะเป็นการสูญเปล่า

ตัวอย่างเช่น ช่วง 2547-2548 เมื่อผูกดวงชะตาได้แล้วลัคนาสถิตราศีเมถุนและราศีธนู เราก็ต้องทายทันที เพราะช่วงนั้นดาวเสาร์ (๗) จรเข้าราศีเมถุน ย่อมแสดงอิทธิพลต่อคนราศีเมถุนและธนู และก็ต้องเป็นเรื่องร้ายอย่างแน่นอน ถ้าเป็นคนที่เกิดวันพฤหัสบดีด้วยยิ่งจะกระทบมากเป็นพิเศษ

หรือหากเมื่อผูกดวงชะตาแล้วลัคนาสถิตราศีมีนหรือกันย์ หลังจากเดือนมีนาคม 2548 ไปแล้วราหู (๘) จรมาทับลัคน์คนราศีมีน เล็งลัคนาคนราศีกันย์ ก็เริ่มมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เช่นคับแค้นใจอยากจะย้ายงานบ้าง ออกจากงานบ้าง โดยเฉพาะหลังจากที่ดาวพฤหัสบดี (๕) ย้ายเข้าราศีตุลย์ในเดือนกันยายน 2548 คนราศีมีนจะมีผลร้ายกระทบมากที่สุด เพราะดาวพฤหัสบดี (๕) ย้ายเข้าราศีตุลย์เป็นมรณะกับคนที่มีลัคนาสถิตราศีมีน อาจต้องเสียของรัก เช่นบิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิด หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา ไม่ขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่งให้ เหล่านี้เป็นต้น

ในบางดวงเรานำดาวทั้ง 3 ดวงมาทายได้ตั้งแต่ดวงกำเนิด รับรองไม่มีการผิดพลาด เช่นคนที่มีลัคนาสถิตราศีใดก็ตาม ที่เกิดวันศุกร์และพฤหัสบดี ซึ่งทำให้ราหู (๘) และเสาร์ (๗) เป็นกาลกิณี เล็งลัคน์หรือเล็งดาวที่เป็นตนุเศษ นั่นคือดาว 2 ดาวครองเรือนปัตนินั่นเอง ทายเรื่องความขมขื่นของการครองรักครองคู่ได้ไม่มีผิด ยิ่งถ้าดาวเจ้าเรือนปัตนิของตนุเศษอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดี เช่นเป็นนิจเป็นประ หรือไปอยู่ในเรือนอริ มรณะ วินาศ หรือไปอยู่ในเรือนกาลกิณี แบบนี้ผมขอหนุนให้คุณทายฟันธง รับรองธงไม่ขาด หน้าไม่แตก

ดีกว่าจะมาพร้ำเพ้อทายพื้นดวงในเรื่องที่ไร้สาระ เช่นพอเห็นลัคนาสถิตในราศีใด ก็ยกเอาสัญลักษณ์ของราศีนั้น ธาตุนั้น ๆ มาทาย บางคนเจาะลึกมาก ว่ากันถึงนวางค์ ตรียางค์ ฤกษ์ ว่ามีวาสนาบารมีจะได้เป็นถึงคุณหญิงคุณนาย มีสายสพายคล้องคอ หมอดูบางคนยกเอาคำกล่าวแต่โบราณที่ผ่านมานับพันปีมาว่ากันว่าคนนั้นคนนี้จะเป็นใหญ่เป็นโต รบทัพจับศึกจะได้ชัยชนะ ผมว่าในยุคนี้ทายรวยทายจนกันจะตรงเป้ากว่า ***รบทัพอย่าไปทายเลยครับ “ จับสึก ” น่ะพอทายได้ เพราะเรื่องนี้เห็นกันบ่อย ๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์

 

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม)
สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

บทที่ 28 การนำเอา ๒-๔-๖ มาทายจร

ดาวจันทร์ (๒) พุธ (๔) และศุกร์ (๖) ถูกจัดเอาไว้ในประเภทดาวศุภเคราะห์ คือเป็นดาวที่ให้คุณเป็นส่วนใหญ่ 3 ดาวนี้โคจรค่อนข้างเร็ว คือประมาณว่า 1 เดือนต่อ 1 ราศี อาจช้าหรือเร็วกว่านี้บ้าง แต่บางครั้งก็โคจรเดินหน้าเร็ว หรือถอยหลัง และอยู่กับที่ ตรงนี้ท่านต้องระวัง เพราะอาการเดินผิดปกติในแต่ละคราวย่อมทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนได้ บางทีก็เปลี่ยนเป็นร้าย บางรายก็เปลี่ยนเป็นดี

อย่างเช่นดาวพุธ (๔) โคจรขึ้นทับลัคน์ปกติ และไม่เป็นกาลกิณีเดิมตามทักษา หรือทักษาจรเป็นกาลกิณี การจะไปเจรจาตกลงอะไรที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเงิน การทำสัญญาการค้า การทวงหนี้ จะเรียบร้อย ไม่มีอะไรติดขัด

แต่หากช่วงที่ทับลัคน์และกำลังโคจรหรือเดินถอยหลัง ต้องระวังอาจพลิกกลับได้ คือตกลงกันไม่ได้ หรือมีปากเสียงกัน การทำสัญญาแทนที่จะได้เปรียบกลับเสียเปรียบ เว้นแต่มีดาวอื่น เช่นพฤหัสบดี (๕) เข้ามาช่วย ก็พอเอาตัวรอดได้

ดาวศุกร์ (๖) ก็เข้าทำนองเดียวกัน โดยปกติดาวดวงนี้จะส่งผลให้มีลาภทางการเงิน ความรัก ถ้าพอโคจรผิดปกติกลับทำให้เสียเงิน มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ ความรักที่เคยราบรื่นจะติดขัด

หรือยามที่ 2 ดาวที่กล่าวมาโคจรเข้าไปอยู่ในเรือนที่เป็น อริ มรณะ วินาศ ให้ทำใจได้เลยว่าการเจรจาอะไรจะล้มเหลว การเงินไม่มีไหลเข้า มีแต่จะไหลออก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะทายจรให้สมบูรณ์ต้องคำนึงถึงการเป็นดาวเจ้าเรือนเดิมใน 12 เรือนว่าเป็นดาวเจ้าเรือนใด รวมทั้งในดวงทักษาเดิม และทักษาจรด้วย

เช่นเป็นดาวเจ้าเรือนสหัชชะในดวงชะตา และเป็นดาวบริวารในทักษาเดิมยามวิปริตก็เสียไปหลายเรื่อง คือหวังพึ่งเพื่อนตอนนั้นยาก ทั้งบริวารก็สร้างปัญหา

ทว่าการวิปลาสของดาว 2 ดวงนี้ในบางจังหวะก็ดี เช่นโคจรหรือเดินถอยหลังอยู่ในเรือนที่เป็นอริ มรณะ และวินาศ กลับไม่ให้โทษหรือลดโทษลง

ในกรณีของดาวจันทร์ (๒) มีทั้งดีและเสียผสมปนเปกันไม่น้อย แต่เป็นการแสดงผลในระยะสั้นเพียง ประมาณ 2 วันครึ่ง อย่างในวันที่ 8 กรกฎาคม 2548 จันทร์ (๒) อยู่ในราศีกรกฎ เป็น 4 แก่ลัคนาราศีเมษ ได้รับเงิน 5000 บาท วันที่ 9 เดือนเดียวกัน จันทร์ (๒) ยังอยู่ที่เดิม ได้รับ 3000 บาท วันที่ 10 จันทร์ (๒) เข้าราศีสิงห์ตรีโกณลัคน์ราศีเมษรับ 1500 บาท พอวันที่ 12 จันทร์ (๒) เข้าเรือนอริ จ่าย 3000 บาท วันที่ 13 กรกฎาคม 2548 จันทร์ (๒) ยังอยู่ที่เดิม จ่ายอีก 2000 บาท นี่ผมยกตัวอย่างที่เกิดกับผมเพื่อให้เห็นชัดว่ามันเป็นไปได้ 2 ทาง แต่โอกาสดีมีลาภจะมีมากกว่าเท่านั้นเอง


โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม) สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

บทที่ 29 การนำเอา ๑ -๓ -๐ มาทายจร

เฉพาะดาวอาทิตย์ (๑) กับอังคาร (๓) เทื่อนำมาทายจร ในภาพรวมทายเรื่องร้ายเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอังคาร (๓) ซึ่งเป็นตัวก่อกวน ต่อให้เป็นศรีจรมายังให้โทษได้ลงคอ

อาทิตย์ (๑) ถ้าจรมาเดี่ยว ๆ ไม่มีแรงของดาวอื่นมาปะทะหรือผสมโรง ที่ดีก็มีมาก เช่นยามที่จรมาทับลัคน์ และคนนั้นมีดาวพฤหัสบดี (๕) ทำมุมดีกับลัคน์อยู่แล้ว ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งการงาน หรือได้รับการบรรจุงานในช่วงนั้น หรือบางคนมีโครงการจะเดินทางไปต่างประเทศ พอดาวอาทิตย์ (๑) เข้ามาส่งกำลังถึงลัคนาก็เดินทางทันที เคยทายมามากไม่ค่อยพลาด เพราะอาทิตย์ (๑) คือไฟพอมาได้ระยะดีกับลัคน์ก็เกิดการร้อนที่อยู่

ดาวอาทิตย์ (๑) มีระยะการโคจรจากราศีหนึ่งไปยังราศีหนึ่งประมาณ 1 เดือน หรือวันละ 1 องศา ดาวดวงนี้เดินดีน่าเชื่อถือ คือไม่มีการแวะโน่นแวะนี่ถอยหน้าถอยหลังเหมือนดาวอังคาร (๓)

ดาวอังคาร (๓) โดยประมาณการกันแล้วจะเดินหรือโคจรจากราศีหนึ่งไปยังราศีหนึ่งประมาณ 1 เดือน หรือบางทีก็เร็วไปบ้างช้าไปบ้างเล็กน้อย แต่หลังจาก 16 กรกฎาคม 2548 จะขึ้นไปอยู่ที่ราศีเมษนานมากคือประมาณ 7 เดือน เหมือนมีเจตนาไม่ดีจ้องจะเล่นงานคนราศีเมษและราศีตุลย์โดยเฉพาะ

 

ถ้าพูดกันในแง่ของการทายจร อาทิตย์ (๑) กับอังคาร (๓) นำมาทายจรเป็นรายเดือนเหมือนดาวพุธ (๔) ดาวศุกร์ (๖) แต่จะต่างบทบาทกัน พุธ (๔) ศุกร์ (๖) จะเป็นตัวส่งเสริมด้านโชคลาภ ในขณะที่อาทิตย์ (๑)และอังคาร (๓) เน้นไปในทางเคราะห์กรรม เช่น การถูกโยกย้ายงาน การได้รับคำสั่งให้ต้องเดินทางที่ไม่เต็มใจ เงินทองของมีค่าสูญหาย การได้รับบาดเจ็บอย่างกระทันหัน การทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกันและกัน เหล่านี้เป็นต้น

ยิ่งในยามที่อังคาร (๓) เป็นกาลกิณีจรเข้ามาถึงลัคน์ก็เพิ่มความแสบสันต์ขึ้นเป็นทวีคูณ ถ้ามีเสาร์ (๗) หรือราหู (๘) ดาวใดดาวหนึ่ง เสริมกันเข้ามาในขณะนั้น แทบจะเรียกได้ว่าชอกช้ำตั้งแต่เส้นผมจรดเท้าทีเดียว โดยเฉพาะกับคนที่เกิดวันพุธ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน

อังคาร (๓) จร จะพอมีดีอยู่บ้างก็ตอนที่เข้าเรือนอริ มรณะ วินาศ คือจะสงบความบ้าดีเดือดลงไปนั่นเอง แต่อย่าลืมว่า ในบางรายที่ดูแล้วอังคาร (๓) เป็นอริ มรณะ วินาศก็จริง แต่เมื่อรวมองศากับองศาของลัคน์แล้ว แคบกว่า 30 องศา สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้เหมือนกัน ตัวอย่างเมื่อประมาณ 13-14 กรกฎาคม 2548 ก่อนอังคาร (๓) จะย้ายเข้าสู่ราศีเมษ เป็นอริแก่คนราศีตุลย์ คนราศีตุลย์โดนเข้าเต็ม ๆ อย่างไม่คาดคิด และคนนี้ก็เรียนโหราสาดไปจากผมเหมือนกัน ดังนั้นจึงควรระวังองศาด้วย เพราะในท้องฟ้าเส้นแบ่งราศีเป็นเพียงสมมุติ มิได้มีคอนกรีตกั้น ดาวสามารถสาดแสงหรือพลังถึงกันได้

ดาวมฤตยู (๐) เป็นอีกดาวหนึ่งที่เวลาจรมาให้โทษรุนแรง ทั้งนี้เพราะเป็นดาวที่โคจรหรือเดินช้าประการหนึ่ง คือจะโคจรจากราศีหนึ่งไปยังราศีหนึ่งใช้เวลาประมาณ 7 ปี ชื่ออย่างเดียวก็บอกชัดอยู่ว่าสามารถหยิบยื่นความเป็นความตายมาให้ใครก็ได้ อาจารย์สอนโหราสาดของผมก็ถึงแก่มรณะภาพด้วยฤทธิ์ของดาวดวงนี้ ถอยข้ามมายังราศีที่ลัคนาอยู่ เมื่อหลายปีก่อน

แต่ส่วนดีของดาว มฤตยู (๐) ก็ยังพอมีอยู่บ้างในพื้นดวงเดิม คือช่วยให้สมองปราดเปรื่องในการเรียนโหราสาด นอกนั้นจะทำลายเรียบ อยู่ในเรือนการเงินทำลายเงิน อยู่ในเรือนเพื่อนทำลายเพื่อน อยู่ในเรือนพันธุ์ทำลายญาติ อยู่ในเรือนปุตตะทำลายบุตร อยู่ในเรือนอริทำลายศัตรู อยู่ในเรือนปัตนิทำลายคู่หรือกินคู่ อยู่ในเรือนมรณะเงียบ อยู่ในเรือนศุภะรุ่งเรืองช้า อยู่ในเรือนกรรมะทำงานหนัก เป็นหมอดูดี อยู่ในเรือนลาภทำลายลาภที่ได้มาจนหมด อยู่ในเรือนวินาศสงบดี

เรื่องของมฤตยูตามตำนานเก่ากล่าไว้ดังนี้

 

มฤตยูนั้นว่าสำคัญยิ่ง

ร้ายดีมีจริงตามราศี
จงวิจารณ์ดูนัยต่อไปนี้

ตามภูมิมีข้อไขเป็นใจความ

ราศีเมษ
มฤตยูอยู่เมษประทับทักษ์

ชื่ออนุภาวจักรถ้าท่านถาม
ในวัยต้นทายให้รู้ไม่สู้งาม

แต่รอบสองรอบสามจะได้ดี
เมื่ออายุยังน้อยจะได้เข็ญ

ทำคุณเห็นเหมือนไฟตกน้ำฉี่
หัวและหูมักเป็นหูดประจำมี

แต่ใจดีชอบทำสงครามชัย
ราศีพฤษภ
มฤตยูอยู่พฤษภชื่อพลจักร

ผู้นั้นมักกล้าแข็งแห่งนิสัย
มีกำลังแลทรัพย์นับหมื่นไป

ขุนนางมักพอใจรักบูชา
แต่มักเป็นโรคเปื่อยและพุพอง

หนุ่ยโหนกตามทำนองแข้งและขา
อายุเยาว์ยังไม่ดีมีโรคา

แต่รอบสองข้างหน้าและต่อไป
จะได้ดีมีสุขตลอดแก่

ให้คุณแน่ตามตำราท่านกล่าวไข


ราศีเมถุน
มฤตยูเนาว์อยู่ภูมิเมถุนใน

ชื่อฤทธิจักรจำไว้ให้จงดี
ว่าผู้นั้นเมื่อน้อยมักพลัดพราก

เข็ญใจลำบากจนถึงที่
มักเป็นโรคที่หัวไหล่และนาภี

อายุรอบสาม สี่ ให้คุณครัน
จะมีฐานาและยศศักดิ์

เจ้านายรักโปรดให้ได้ของขวัญ


ราศีกรกฎ
มฤตยูอยู่ภูมิกรกฎนั้น

ชื่อสำคัญสฤษฎิจักรท่านทักมา
ว่าผู้นั้นเมื่อน้อยถึงหนุ่มสาว

จะเป็นคราวลำบากยากนักหนา
มักระทมทุกข์โศกโรคโรคา

ป่วยตามกายายอกเสียดนอกใน
เมื่ออายุรอบสองถึงรอบสาม

ให้คุณงามเปลื้องทุกข์แสนสุขใส
ถึงรอบสี่รอบห้าหาเพียรไป

กลับใจหมดสุข ทุกข์ถึงตัว
ทั้งสินทรัพย์กลับวิบัติบุบสลาย

เป็นคราวร้าย เวรกรรมมาทำชั่ว
สุขแล้วทุกข์กลับกลายกายามัว

ระมัดตัววิจารณ์จิต คิดระวัง


ราศีสิงห์
มฤตยูอยู่สิงห์ภูมิพิทักษ์

ชื่อเดชจักรกำหนดปรากฏตั้ง
ชาตาดีมีปัญญาแกร่งกล้าจัง

เมื่อน้อยยังหนุ่มสาวคราวไม่ดี
มักพลัดพรากจากที่และถิ่นฐาน

และเกิดโรครำคาญประจำที่
ตรงสะดือหัวเหน่าในนาภี

อายุรอบสอง สาม ดีมีปัญญา
จะให้คุณบุญหนักและศักดิ์ใหญ่

แต่ว่าให้โลภรักมักตัณหา
จะเป็นที่พึ่งเขาชาวพารา

จนแก่เฒ่าชราตลอดไป


ราศีกันย์
มฤตยูอยู่กันย์เรียกสิทธิจักร

ว่าจะเป็นที่รักแห่งผู้ใหญ่
พ่อแม่สุดสวาทจะขาดใจ

ญาติพี่น้องรักใคร่สนิทเนา
มักเป็นโรคเจ็บปวดตะโพกขวา

ปวดเสียวมาถึงท้องและหัวเหน่า
ทั้งจะมีถ้อยความลามปามเอา

อายุย่างรอบสองและสามดี
จะให้คุณทับทวีมีความสุข

แต่เป็นทุกข์เพราะพ่อแม่และพี่น้อง
มีนิสัยซึมทึบเป็นบางที

บางคราวมีร่าเริงบันเทิงใจ

 


ราศีตุลย์
มฤตยูอยู่ตุลย์อุดมจักร

เมื่อหนุ่มมักเป็นที่รักแห่งญาติใกล้
มักจะเป็นโรคาพยาธิ์ใน

ปวดท้องปวดไส้ประจำตัว
อนึ่งท่านยังว่าเท้าทั้งสอง

เป็นโรคป่วยพุพองขึ้นเป็นหัว
อายุรอบสาม สอง พ้นหมองมัว

กลับให้คุณบุญตัวแต่ก่อนมา
ว่าจะได้มีบุญและยศศักดิ์

แต่ก็มักไม่ยืนไปภาคหน้า
ทรุดแล้วจะทรงเพราะตนพา

พยายามเก็บหาจึงอยู่ดี


ราศีพิจิก
มฤตยูอยู่พิจิกมหาจักร

เมื่อน้อยมักเลี้ยงยากจนถึงที่
ตนกับญาติเป็นศัตรูไม่สู้ดี

เมื่อหนุ่มสาวตามคัมภีร์ท่านกล่าวมา
มักกลิ้งกลอกสับปลับนับไม่ได้

มักเป็นโรคภายในและร่มผ้า
เจ็บท้องน้อยองค์นิพนธ์ต้นตำรา

อนึ่งว่ามีทุกข์ไม่สุขใจ
ต่ออายุเข้ารอบสองและรอบสาม

จึงมีความสำราญผ่านทุกข์ได้
ไม่ยากจนค่นแค้นไม่แคลนใคร

ตั้งตัวได้ฐานะก็พอประมาณ


ราศีธนู
มฤตยูอยู่ธนูชื่อเวชจักร

ผู้นั้นไซร้ย่อมประจักษ์ซึ่งยศฐาน
ตั้งแต่น้อยจนวัยมัชฌิมกาล

ญาติมักพาลผูกผิดเป็นศัตรู
วัยสอง สาม มีสุขและสมบัติ

สารพัดเรื่องยศไม่อดสู
มักจะจากพ่อแม่ผู้อุ้มชู

จงเร่งรู้ทำนายทายทักเอา
มักจะพลันตกยากหากให้เป็น

เดี๋ยวเคืองเข็ญเดี๋ยวมีทรัพย์เดี๋ยวฉับเอา
ปวดท้องน้อยเป็นประจำไม่บรรเทา

มฤตยูทำเอาอย่าโทษใคร


ราศีมังกร
มฤตยูอยู่มังกรชื่อภูมิจักร

เมื่อน้อยมักมีสุขสนุกใหญ่
เป็นที่รักของญาติทุกคนไป

แต่เป็นโรคที่ไหล่หรือชายโครง
เมื่ออายุวัยสองครองความสุข

นิรทุกข์ทั้งยโสก็โอ่โถง
แต่วัยปลายร้ายแรงด้วยโรคโกง

แทบเข้าโลงป่วยบ่อยไม่น้อยเลย


ราศีกุมภ์
มฤตยูราศีกุมภ์ราชาจักร

หาที่พึ่งยากนักฟังเฉลย
ทั้งพ่อแม่ทอดทิ้งไม่เลี้ยงเลย

หูก็มักเฉยเมยไม่ได้ยิน
ถึงวัยสามความสุขจึงมาสู่

เพราะตนสู้พรากเพียรเรียนเอาสิ้น
ชอบเป็นโรคธาตุพิการเป็นอาจิณ

วัยสามนั้นจึงสิ้นเคราะห์มาพาน


ราศีมีน
มฤตยูอยู่มีนสาตราจักร

เมื่อน้อยมักมีสุขเกษมสานต์
ทั้งพ่อแม่รักใคร่ในวงศ์วาน

พอเป็นหนุ่มหาญเป็นศัตรูหมู่ญาติตน
ชอบเป็นโรคที่หรือที่แก้ม

เชาว์แฉล้มเปรื่องปราดฉลาดผล
คิดอันใดถูกแบบรู้แยบยล

สบายตนมั่นคงมี ดีปลายมือ


 

 การโคจรแห่งมฤตยู ( แบบ 10 ลัคนา )

มฤตยูอยู่ตนุธุรกิจ
จะขัดติดเคืองเข็ญไม่เป็นผล
ทั้งขายค้ายุ่งใหญ่ให้กังวล
เป็นทุกข์ท้นสินทรัพย์กลับวอดวาย

มฤตยูอยู่กดุมภะ
การเงินจะตกเรี่ยและเสียหาย
เวลาออก ออกเป็นก้อนไม่คลอนคลาย
เวลาได้ได้เบี้ยหัวแตกแปลกแต่จริง

มฤตยูสู่สหัชชะอธิบาย
จะยากกายด้วยเพื่อนทั้งชายหญิง
จะนำเรื่องร้อนใจมาให้จริง
ห้ามยุ่งยิ่งเรื่องมิตร จะบิดกลาย

มฤตยูสู่เรือนพันธุเล่า
จะสูญเสียพงศ์เผ่าที่รักหลาย
ทั้งหมู่ญาติอาพาธไม่รู้วาย
ต้องยากกายกังวลทนทรมาน

มฤตยูปุตตะระวังเหตุ
จะอาเพศแก่บุตรสุดสงสาร
ท่านว่าบุตรสุดที่รักจักวายปราณ
เพราะกรรมกาลก่อนเก่าเต้าตามมา

มฤตยูอยู่อริวิเศษนัก
ศัตรูจักพ่ายแพ้แน่หนักหนา
อุปสรรคเภทภัยไม่บีฑา
ลาภสักการ์ก่อเกิดประเสริฐเลย

มฤตยูจู่ภพปัตนิ
เคราะห์แล้วสิคู่จะตายทายเฉลย
แม้นจากกันพอบรรเทาเขาภิเปรย
พอดาวเลยกลับมาสู่หากิน

มฤตยูอยู่ภพมรณะ
ก็เลยละความไข้ไม่โศกศัลย์
จะอยู่ดีกินดีทุกวี่วัน
แข็งขยันไสยศาสตร์ฉลาดดี

มฤตยูอยู่ภพศุภะเล่า
งานในเหย้ายุ่งยิ่งทุกสิ่งที่
ต้องจัดแจงแต่งย้ายทำไมมี
ทำความดีอาภัพอับเหลือใจ

มฤตยูสู่กรรมะจะทำเหตุ
การติดต่อต่างประเทศล้วนเหลวไหล
งานนอกบ้านกลางแจ้งหนักแรงกระไร
ทำงานในบ้านดีมีผลพูน

มฤตยูสู่ลาภะจะขัดข้อง
ทั้งเงินทองสินทรัพย์มักอับสูญ
ถึงขยันหมั่นเท่าใดไม่สมบูรณ์
เพราะดาวร้ายก่อ***ลให้เป็นเอง

มฤตยูสู่ภพวินาศน์อยู่
มีศัตรูแปลกๆ แทรกข่มเหง
เช่นเคยเป็นมิตรเก่าแต่ก่อนเพรง
อวดนักเลงให้ร้ายเมื่อปลายมือ

ดาวดวงนี้เมื่อประสพภพที่ร้าย
ก็เสื่อมคลายชั่วช้าน่านับถือ
เข้าภพดีก็ทำลายเหมือนไฟฮือ
สมกับชื่อมฤตยูที่รู้กัน
ปกรณ์นี้เป็นปกรณ์ ที่ปกปิด
แต่ด้วยจิตต้องการจะเสริมสรรค์
เสมือนหรีดมาลาอภิวันท์

ให้แด่ท่านนายกสมาคม

ผู้ล่วงลับดับขันธ์อันบรรเจิด

ไปสูภพอันประเสริฐประสมสงค์

เสวยทิพยพิมานสราญรมย์

จวบจนคมนาการนิพพานเอย


โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม) สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

บทที่ 30 สรุปขั้นตอนการพยากรณ์

 

หลังจากผูกดวงชะตาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่ละเว้นเสียมิได้ คือการตั้งดวงทักษา และดาวตรีวัยทั้ง 3 วัยเอาไว้ จากนั้นสิ่งแรก คือการคิดอายุของเจ้าชะตาว่าขณะนั้นอายุย่างกี่ปี โดยการเอา พ.ศ.ปีปัจจุบันตั้ง ลบด้วยปี พ.ศ. เกิดของเจ้าชะตา ได้เท่าใด ให้ดูวันที่และเดือนเกิด อายุจะเต็มเมื่อตรงกับวันเดือนปีเกิด

 

จากนั้นให้นับจากวันเกิด ไปเท่าอายุ การนับอายุจรเมื่อถึงภูมิอาทิตย์ต้องเข้าตากลางก่อนเสมอ ถ้าอายุตกตา กลางให้ใช้ พฤหัสบดี (๕) เป็นบริวาร ราหู (๘) เป็นอายุ ศุกร์ (๖) เป็นเดชจร และในปีต่อไปนับขึ้นภูมิจันทร์ (๒) อายุย่างตกภูมิอะไร ให้ลงจำนวนอายุไว้ตรงนั้น ก็จะได้ดาวทักษาจร ดาวใดเป็นศรีจร ดาวใดเป็นกาลกิณีจร เอา 2 ดาวนี้มาทายก่อนเป็นการนำร่อง

 

ที่ต้องทำดังนี้ก็เพราะว่าคนที่มาให้เราพยากรณ์แทบทุกคน เขาไม่ต้องการมานั่งฟังเราร่ายยาวเรื่องพื้น ๆ ในดวงดวงเดิม เป็นต้นว่า ลัคนาของท่านสถิตราศีนั้น ฤกษ์นั้นฤกษ์นี้ จะเป็นคนมีบุญวาสนา จะมีฐานะมั่นคงเป็นเศรษฐี มีข้าทาษบริวารมากดังนี้เป็นต้น

 

เขาต้องการรู้กันว่าต่อไปข้างหน้าสักปี 2 ปี อนาคตการงานการเงินจะเป็นอย่างไรบ้าง ครอบครัวจะเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างที่ควรระวังแก้ไขหรือไม่ เดือนนี้จะมีกินหรือไม่ หนี้สินจะคลี่คลายหรือจะล้มละลาย ความรักจะก้าวหน้าหรือถอยหลัง ถ้าทายเจาะเรื่องใกล้ตัวได้ประทับใจ เราก็มีสิทธิ์จะได้ทั้งเงินและความศรัทธาทันที

 

แต่การจะทายไปข้างหน้าก็ไม่ควรละเลยการทายย้อนหลังสัก ปี 2 ปีเช่นกัน คือทายตอนที่เสาร์ (๗) หรือราหู (๘) ทับลัคน์เล็งลัคน์ หรือตอนที่ดาวพฤหัสบดี (๕) เป็นกาลกิณีจรเข้าสัมพันธ์ดีกับลัคนา ยิ่งถ้าเขามีดาวคู่ในพื้นดวงเดิมไม่ค่อยดีนัก เราก็จับเอาตอนที่ดาวเจ้าเรือนปัตนิเป็นกาลกิณีจรมาทายเรืองครอบครัว เรื่องความรัก เป็นการสร้างศรัทธาเสียก่อน ถ้าทายถูกเขายอมรับ เรื่องต่อไปก็ง่าย

 

และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง การทายย้อนหลัง เท่ากับเป็นการตรวจเช็คดวงไปในตัว ถ้าเราทายจรอดีตถูกต้องเรื่อง 2 เรื่อง การจะทายอนาคตก็จะง่ายเหมือนการหยิบอาหารโปรดใส่ปาก

ทีนี้สมมุติว่าเจ้าชะตาคนหนึ่งเกิดตรงกับวันศุกร์ เมื่อนับอายุย่าง เพื่อจะทายดวงทักษาจร ได้ 38 ปี ตกที่ภูมิอาทิตย์ (๑) นับบริวารจากอาทิตย์ (๑) อายุไปที่จันทร์ (๒) เดชไปที่อังคาร (๓) ฯลฯ จะพบว่าดาวศุกร์ (๖) บริวารเดิมเป็นกาลกิณีจร ต้องทายว่าในปีนั้นบริวารจะทำเรื่องเดือดร้อนให้ นอกจากนั้นก็ต้องดูด้วยว่า ดาวศุกร์ (๖) เป็นดาวเจ้าเรือนอะไร สมมุติว่าเป็นดาวเจ้าเรือนปุตตะ ก็ต้องทายควบกันไปว่า ทั้งบริวารและบุตรจะนำความเดือดร้อนใจมาให้ และเมื่อดาวศุกร์ (๖) โดยปกติแล้วก็คือดาวที่หมายถึงการเงินด้วย ก็คือต้องเสียเงินอันสืบเนื่องมาจากบริวารหรือบุตรแน่นอน ดังนี้เป็นต้น

 

ตรงนี้เป็นการยกตัวอย่างการทายจรอันยึดหลักทักษาจรเพียงอย่างเดียว แต่ความจริงแล้วการทายต้องใช้ควบกันทั้งหมด คือทั้งดาวจรปี จรเดือน ดังนั้นเราต้องจำได้อย่างแม่นยำถึงระยะเวลาการโคจรของดาวต่าง ๆ ในรอบปี รอบเดือน รวมทั้งต้องจดจำดาวที่เดินหรือโคจรผิดปกติด้วย เพราะตรงนี้สามารถเปลี่ยนทำให้คำพยากรณ์กลับจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ อย่างเช่น ดาวพฤหัสบดี (๕) กำลังโคจรไปข้างหน้า และกำลังให้คุณ พอเดินถอยหลังกลับให้โทษ ต้องเสียบิดา หรือมีปัญหาด้านการงาน ดังนี้เป็นต้น ระยะเวลาการโคจรของดาวต่าง ๆ มีดังนี้

 

ดาวจรปี คือพฤหัสบดี (๕) ดาวดวงนี้จรย้อนเข็มนาฬิการาศีละประมาณ 1 ปี

ดาวเสาร์ (๗) จรเหมือนพฤหัสบดี ประมาณราศีละ 2 ปี ครึ่ง

ราหู (๘) จรตามเข็มนาฬิกา ประมาณราศีละ 1 ปีครึ่ง

ดาวจรเดือนที่โคจรย้อมเข็มนาฬิกาก็มี อาทิตย์ (๑) อังคาร (๓) พุธ (๔) ศุกร์ (๖)

ส่วนดาวจรประจำวันคือ จันทร์ (๒) ซึ่งโคจรราศีละประมาณ 2 วันครึ่ง

 

การจะทายดวงจรให้คล่องต้องจำดาวได้แม่นยำ ว่าในขณะที่จะทายหรือพยากรณ์นั้น ดาวใดอยู่ในราศีอะไร แรก ๆ จำเฉพาะ พฤหัสบดี (๕) เสาร์ (๗) ราหู (๘) ให้ได้ก่อน เพราะดาว สามดวงนี้จรเข้าทับหรือเล็งลัคนาทีไรจะมีเหตุการณ์ที่ประทับใจอย่างไม่มีวันลืมเสมอ ยิ่งถ้าปีที่ทับหรือเล็ง เป็นกาลกิณีจร

 

ถ้าจะแยกออกเป็นลำดับความสำคัญก่อนหลังจะเป็นดังนี้

 

1. ต้องทายจรอดีตก่อน การทายจรอดีตที่สามารถป้องกันความผิดพลาดได้ดี ต้องมีความรอบคอบ เมื่อผูกดวงเสร็จ ถ้ายังจำดาวจรไม่ได้ก็ควรลงกำกับไว้ เช่นในขณะที่เขียนวันนี้ (6 กันยายน 2548) ราหู (๘) สถิตอยู่ในราศีมีน 20 องศา เสาร์ (๗) สถิตราศีกรกฏ 9 องศา พฤหัสบดี (๕) ราศีกันย์ 26 องศา ถ้าเจ้าชะตาลัคนาสถิตราศี มังกรหรือกรกฏ ทายไม่ดีได้ทันที หรือถ้าลัคนาสถิตราศี เมษ ตุลย์ หรือกุมภ์ พฤหัสบดี (๕) อยู่ในมุมไม่ดี ทายได้เช่นเดียวกัน

 

2. ตรวจดวงทักษา ว่าทักษาเดิมมีดาวอะไรเป็นบริวาร อายุ เดช ศรี และกาลกิณีฯลฯ และตอนนี้จรมาดาวอะไรเป็นบริวาร อายุ เดช ศรี กาลกิณี ดาวอะไรเสียก็ทายเรื่องนั้นในทักษาก่อน เช่นคนเกิดวันศุกร์ ลัคนาสถิตราศีเมษ และขณะมาให้พยากรณ์ อายุจรตกภูมิอาทิตย์ (๑) เท่ากับดาวบริวารเดิมเป็นกาลกิณีจร ก็ทายเรื่องบริวารไม่ดีก่อน จากนั้นก็ทายเรื่องการเงินด้วย เพราะดาวศุกร์คือดาวเจ้าเรือนกะดุมพะ ทายเรื่องความรักไม่ดีด้วย เพราะดาวศุกร์ในราศีตุลย์เป็นดาวเจ้าเรือนปัตนิ

 

3. เมื่อผลการทายออกมาดีคือไม่ผิดพลาด ทีนี้เราจะว่าเรื่องอะไรก็ได้ที่เห็นชัด เช่นเห็นดาวเจ้าเรือนกะดุมพะดี ได้ตำแหน่งเป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชค เกษตร หรือเป็นศรี มนตรี เดช และสัมพันธ์แก่ลัคน์ ก็เอามาทายเรื่องฐานะทางการเงิน

 

4. จะทายเรื่องเพื่อนก็จับเอาดาวเจ้าเรือนสหัชชะมาพิจารณา ถ้าดาวดีเพื่อนก็ต้องดีตาม ถ้าดาวเจ้าเรือนสหัชชะเป็นกาลกิณีสัมพันธ์ดีกับลัคนาแล้วเพื่อนดีวิเศษ มันย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าดาวดีเพื่อนต้องดี ถ้าได้ตำแหน่งเป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชา เกษตร เพื่อนจะมีฐานะการเงินหรือการงานดี

 

5. เรื่องญาติพี่น้องบิดามารดา ก็มาจากดาวเจ้าเรือนพันธุ ถ้าดาวเจ้าเรือนดี แถมมีตำแหน่งเป็นศรี มนตรี เดช มหาอุจจ์มาจักร ราชา เกษตร ญาติพี่น้องดี มีฐานะการเงินดี บิดามารดามีฐานะมั่นคง คือมาจากตระ***ลที่ดีนั่นเอง เรื่องจะทายว่ามาจากเชื้อสายชั้นโน้นชั้นนี้ ยุคนี้อย่าไปทายมันเลยครับ เรื่องของศักดินาสักดิไร่เขาเลิกกันตั้งนานแล้ว มีอยู่บ้างก็เพียงบางกลุ่ม ไม่มากนัก

 

6. มาเรื่องบุตรหลาน ก็ให้เอาดาวเจ้าเรือนปุตตะนั่นแหละมาทาย ถ้าดาวเจ้าเรือนปุตตะดี เช่นปุตตะเป็นศรีเป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชา ฯลฯ และสัมพันธ์ดีกับลัคนา ก็จะมีบุตรเป็นที่พึ่ง บุตรจะมีฐานะหน้าที่การงาน การเงินดี และจะมีชื่อเสียงดี เป็นอภิชาติบุตร คือจะดีกว่าบิดามารดา 10 เท่า

7. ถ้าจะดูเรื่องศัตรูหรืออุปสรรค ต้องดูกันที่ดาวเจ้าเรือน อริ ถ้าดาวเจ้าเรือนอริ ได้ตำแหน่งดี เท่ากับมีศัตรูเข้มแข็ง สามารถต่อต้านหรือขัดขวางเราได้ ยิ่งกุมลัคน์ด้วย ไปไหนจะมีศัตรูง่าย ต้องระวัง แต่ถ้าดาวเจ้าเรือนอริ อยู่ในเรือนอับเป็น อริ มรณะ วินาศ จะดี คือศัตรูแม้มี ก็พอเอาตัวรอดได้ ศัตรูทำอะไรได้ไม่มาก แค่พอแสบ ๆ คัน ๆ

 

8. ดาวเจ้าเรือนที่ 7 คือดาวเจ้าเรือนปัตนิเอาไว้ทายเรื่องคู่หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจ ถ้าดาวอยู่ในตำแหน่งที่ดีกับลัคน์เช่นกุม โยกหน้า โยกหลัง ตรีโกณ เล็ง ได้องค์เกณฑ์ ไม่เป็นดาวกาลกิณี ไม่เป็นนิจเป็นประ ไม่มีดาวมฤตยู (๐) และราหู (๘) หรือดาวกาลกิณีมารบกวน ก็ทายชีวิตรักราบรื่น ถ้าดาวคู่เป็นมหาอุจจ์ มหาจักร ราชา เกษตร คู่มีฐานะหน้าที่การงานการเงินดี

 

9. ดาวเจ้าเรือนมรณะ บางคนเอาดาวเจ้าเรือนนี้มาทายเรื่องความตาย ถ้าดาวเจ้าเรือนมรณะมากุมลัคน์ จะตีโพยตีพาย โอ๊ย..!!! ตายแน่ ๆ คนมันถึงคราวจะตาย มันก็ต้องตายอยู่ดีแหละครับ ต่อให้ดาวเจ้าเรือนอีก 11 เรือนมากุมลัคน์มันก็ตาย เกิดมาเท่าไรมันก็ตายเท่านั้น ความจริงเรือนมรณะนี่เป็นจุดที่ตัดกำลังของดาว คือตัดความดีความร้ายของดาวลงไปส่วนหนึ่ง ทำให้ความดีความร้ายไม่เต็มร้อยนั่นเอง เช่นเดียวกับดาวประจำตรีวัย คือวัยที่เลย 75 ปี ตรงนี้เขาเรียกว่าวัยเทียบ วัยเทียบแรกคือดาวเจ้าเรือนอริ มรณะ วินาศตามลำดับ มีโหรหลายโหรเหมือนกันที่ไม่รู้ว่าเขามีเอาไว้ทำอะไร รู้แต่เพียงว่าก็มีให้ครบ 12 เรือนเท่านั้น ผมขอกราบเรียนว่า เขาเอาไว้เทียบดาวประจำวัยต้น วัยกลาง วัยปลาย ถ้าดาวเจ้าวัย ๆ ใด วัยหนึ่ง มาตรงกับวัยเทียบ อริ มรณะ วินาศ แทนที่จะให้คุณหรือให้โทษเต็มร้อยก็ลดส่วนลงนั่นเอง

 

10. ดาวเจ้าเรือนศุภะ คือดาวเจ้าเรือนที่ 9 เอาไว้ทายความรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน การเงิน การสร้างตัว รวมทั้งงานที่เป็นงานในบ้านหรืองานที่รองลงมา งานอดิเรก บางคนหรืออาจจะเป็นส่วนมากก็ได้ ในชีวิตมักทำงานควบอยู่ 2 อย่าง งานหนึ่งคือหารายได้หลักเลี้ยงตัวและครอบครัว ซึ่งก็หมายถึงเรือนกรรมะ อีกงานหนึ่งเป็นหมอดูสมัครเล่น คือว่างจากงานหลักไปทำงานรอง ที่เขาเรียกว่าหารายได้เสริมนั่นเอง แต่พอทำนานเข้า งานรองกลับเป็นงานหลักและงานหลักกลับเป็นงานรองไป อย่างผม เดิมมีงานหลักทำธุรกิจบริการนำเข้าส่งออก ว่างก็เป็นหมอดู พอรายได้ดีก็พลิกเอางานหมอดูมาเป็นงานหลัก จนทุกวันนี้

 

11. ทีนี้มาถึงดาวเจ้าเรือนกรรมะ ซึ่งหมายถึงอาชีพหลัก ถ้าดาวเจ้าเรือนกรรมะดี งานก็จะเจริญก้าวหน้าดี ถ้าเป็นกาลกิณี เป็นนิจ เป็นประก็ก้าวหน้าอืดหน่อย แต่ความจริงดาวที่จะสามารถทำให้การงานเจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่จะมีแต่ดาวเจ้าเรือนกรรมะดีดาวเดียว ต้องมีดาวอื่นประกอบ เช่นดาวอังคาร (๓) ซึ่งหมายถึงความขยัน อดทน ดาวพฤหัสบดี (๕) ผู้บังคับบัญชา ดาวบริวารดี ดาวมนตรีดี เหล่านี้เป็นต้น

 

12. ดาวเจ้าเรือนลาภะ ดาวเจ้าเรือนนี้มีความสำคัญมากในการเสริมสร้างฐานะทางการเงิน คนเราทุกคนถ้ามีลาภดีก็รวยเร็ว คือไม่ว่าทำอะไรก็ได้เงินได้ทอง บางครั้งมีลาภลอยง่าย แต่ถ้าดาวเจ้าเรือนลาภะเป็นกาลกิณี หรือมีดาวกาลกิณีและ ราหู (๘) หรือ มฤตยู (๐) เป็นดาวลอยอยู่ในเรือนลาภะ ก็ใช้เงินเก่ง มีเท่าไรใช้เรียบ ไม่มีเก็บสักบาท บางทีมี 100 ใช้ 200 คือใช้เกินตัว

 

13. ดาวเจ้าเรือนวินาศ เรือนนี้ก็เป็นเรือนที่สามารถลดความดีหรือความร้ายของดาวได้ แต่มีพิเศษ คือถ้าดาวเจ้าเรือนปัตนิมาอยู่ในเรือนนี้มักมีคู่แบบงุบงิบ ปกปิด อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยแล้วมีปัญหาง่าย ยกเว้นดาวพฤหัสบดี (๕) กลับให้คุณด้านการเรียน ด้านการงานต้องช่วยตัวเอง ดาวเจ้าเรือนปุตตะมาอยู่ในเรือนนี้ จะไม่ได้ใกล้ชิดกับบุตรหลาน โดยเฉพาะตอนโตจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน คือพ่อแม่ไปทางหนึ่งลูกไปทางหนึ่ง นาน ๆ จะได้พบกันที

 

14. การจะทายเรื่องบริวารดีหรือไม่ดี ต้องมาจากดวงทักษาเดิม ถ้าดาวบริวารกุมลัคน์ หรือสัมพันธ์ดีกับลัคน์ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเช่น เป็นโยกเป็นเกณฑ์ กุมลัคน์ เล็งลัคน์ ตรีโกณ บริวารดี มีคนช่วยงานดี มอบหมายหน้าที่การงานให้ทำไว้ใจได้ แต่ถ้าดาวบริวารไม่ดีเช่นอยู่กับดาวกาลกิณี อยู่ในเรือนกาลกิณี หรือเป็นนิจ เป็นประหรืออยู่ในเรือนที่เป็นอริ มรณะ วินาศก็แย่หน่อย คือต้องปวดหัวกับบริวาร

 

15. เรื่องสุขภาพ ส่วนหนึ่งพิจารณาจากดาวอายุ ถ้าดาวอายุดีก็สุขภาพดี อายุยืน ไม่ค่อยเจ็บป่วย ไม่มีโรคประจำตัว ถ้าดาวอายุไม่ดีเช่น เป็นนิจ เป็นประ หรืออยู่กับดาวราหู (๘) หรือ มฤตยู (๐) สุขภาพไม่ดี ประกบกับดาวกาลกิณีเดิมหรืออยู่ในเรือนกาลกิณีเดิม แต่จะเป็นอะไรขึ้นอยู่กับดาวอะไรเสีย เช่นคนเกิดวันพุธจะเกิดกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม ลัคนาราศีสิงห์มีดาวเสาร์ (๗) กุมลัคน์ และมฤตยูก็กุมลัคน์ด้วย จะเป็นโรคเครียด ปวดศีรษะข้างเดียว ความดัน

 

16. ดาวเดชประจำดวงทักษาเป็นเรื่องของ ความน่าเกรงอกเกรงใจ บางคนดาวจันทร์ซึ่งเป็นดาวที่บ่งบอกความมีเสน่ห์น่าคบหา เป็นคนรูปงาม พอเป็นดาวเดชกลับเสีย คือเห็นแล้วไม่น่าคบหา จะกลายเป็นคนดูแล้วดุไป

 

17. สำหรับดาวศรีของใครก็ตาม ล้วนแต่หมายถึงสิ่งดี ๆ  เป็นการตอกย้ำความดีของดาวต่าง ๆ เช่นดาวเจ้าเรือนปัตนิเป็นศรี ได้คู่ดี การครองเรือนราบรื่น ดาวเจ้าเรือนสหัชชะเป็นศรี มีเพื่อนดีพึ่งพาอาศัยกันได้ ดาวเจ้าเรือนลาภะดีก็มีลาภง่าย

 

18. ดาวมูลละ หมายถึงที่อยู่อาศัย ทรัพย์สินเดิม มรดก ถ้าดาวดวงนี้กุมลัคน์หมายถึงการต้องมีมรดก มีทรัพย์สินมั่นคง จะได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังของดาว ถ้าเป็นมหาอุจจ์กุมลัคน์ จะได้มาก แต่ยามที่เป็นกาลกิณีจรก็ต้องขายของเก่า การต้องจากบ้าน เดินทาง หรือย้ายบ้านจากหลังเก่าไปอยู่หลังใหม่

 

19. อุตสาหะทายเรื่องความขยันขันแข็ง ความเพียรพยายาม ในการสร้างตัวสร้างฐานะ ดาวเจ้าเรือนทักษาดวงนี้ถ้าดีก็ดีไป คือถ้าได้ตำแหน่งเป็นอะไรสักอย่างหนึ่งเช่น มหาอุจจ์ มหาจักร ราชาโชคก็จะให้ผลคุ้มค่าความเพียรพยายาม แต่ถ้าเป็นนิจ เป็นประ ก็จะเสียมากกว่าได้

 

20. ดาวมนตรีเดิม ทายเรื่องคนช่วยเหลือ ผู้อุปถัมภ์ค้ำจุน ถ้าดาวอยู่ในตำแหน่งดีและสัมพันธ์ดีกับลัคนา จะทำอะไรมีผู้ช่วยเหลือดี ถ้ามนตรีครองเรือนอริ มรณะ วินาศ จะขาดคนช่วยเหลือ ต้องทำเองจึงจะถูกใจ

 

21. ดาวกาลกิณีในทักษา เป็นดาวที่ร้ายที่สุด ไปอยู่ที่ไหนตรงนั้นเสีย เช่นไปอยู่ในเรือนการเงิน ใช้เงินเก่ง ไปอยู่เรือนสหัชชะ เพื่อนเสีย เพื่อนทำให้เดือดร้อน บางทีไปครองเรือนหรือราศีของตนเอง ทำให้เรือนนั้นเสียไปทั้งเรือนดาวอะไรไปอยู่ก็พลอยเสียหายไปด้วย เช่นเกิดวันจันทร์ ลัคนาสถิตราศีสิงห์ ดาวจันทร์ (๒) และพุธ (๔) กุมลัคน์ ทำอะไรเพี้ยน ๆ เพื่อนตนเองได้ ถ้าเจอแบบนี้คบยากที่สุด

 

สรุปแล้วขั้นตอนที่ผมพยายามรวบรวมนำมาเสนอนี้  เป็นเพียงแนวทางหรือชี้ทางให้เดินอย่างหนึ่งเท่านั้น  ไม่ใช่ต้องนำมาทายกันหมดในคราวเดียว เพราะมันไม่คุ้มกับเงินที่ได้  มีเพื่อนนักพยากรณ์อาชีพคนหนึ่งในทีมเดียวกัน  พยากรณ์กันเป็นชั่วโมง  ซึ่งเป็นการเอาเปรียบกันเกินไป 

 

ผมเองบางคราวเหนื่อยมาก ๆ  เข้าได้เงินเพียง 300 ผมก็เอาดาวเพียง 3 ดาวมาทาย นอกนั้นก็เติมฝอยเข้าไปนิด ๆ แต่พองาม ได้เงินมากจึงค่อยทายเพิ่ม  แต่แบบนี้ขอความกรุณาท่านอย่าเอาเป็นตัวอย่างนะครับ เพียงบอกให้ฟังกันเล่นเท่านั้น

 

อีกอย่างหนึ่งต้องไม่ลืมว่าการพยากรณ์ ไม่ว่าอาชีพหรือไม่อาชีพ  มิใช่พอผูกดวงเสร็จแล้ว เราหลับหูหลับตาทายอยู่ข้างเดียว เกือบจะทุกรายที่มาหาหมอดู เขาต้องมีเป้าหมาย ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ตรงนี้เราต้องหัดสังเกตุ ***เรื่องการมาดูสะเปะสะปะแก้เซ็งพอมีบ้าง แต่ก็น้อย บางคนมาดูเพราะต้องการลองภูมิ  บางรายก็เพื่อหลอกเอาวิชา  บางรายนอนไม่หลับ คิดถึงหมอดูก็มาดูหมอ  บางคนยึดการตระเวนหาหมอดูเป็นอาชีพหลักไปเลยก็มี  ทว่าจะมาแบบไหนถ้าเราตั้งหลักดีก็สามารถเอาตัวรอดได้

 

ยังมีอยู่อีกพวกหนึ่ง น่ารังเกียจที่สุด คือพวกที่ไม่ทำอะไรเลย พวกนี้สมถะ มีน้อย ใช้น้อย  แถมมักน้อยด้วย ชอบเอาชีวิตหรืออนาคตทั้งหมดแขวนไว้บนกิ่งฟ้ารอดูว่าเมื่อไรวาสนาเข้ามาจับ  ลอยไปลอยมาวัน ๆ บางรายเพราะหางานทำไม่ได้  พวกนี้น่าสงสาร แต่บางรายพ่อแม่หาไว้ให้กินให้ใช้  อีกพวกหนึ่งคือพวกที่พอบอกวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากแล้วจบ นั่งฟังอย่างเดียว ฟังแบบคนที่ได้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตหมดแล้ว ไม่แสดงความยินดียินร้ายต่อคำพยากรณ์ ถูกก็ไม่รับว่าถูก ผิดก็ไม่บอกว่าผิด ไม่ส่ายหน้า ไม่พยักหน้าอะไรทั้งสิ้น พวกนี้ถ้าหมอคนไหนอ่อนหัดจะเครียดทันที

 

ผมเคยเจอมาสัก 10 รายเห็นจะได้  แก้ไม่ยาก  หลังจากเห็นว่าเขาเฉยชาต่อคำพยากรณ์จริง ๆ ให้รีบทาย  หยิบฉวยอะไรได้ทายเลย ถูกบ้างผิดบ้าง  แต่พยายามให้ผิดมากยิ่งดี เพราะคำพยากรณ์หรือคำทายผิด ๆ ข้าง ๆ คู ๆ นี่จะกลับไปกดดันเขาเอง แล้วรีบจบอย่าให้เกิน 5 นาที  จากนั้นเชิญให้ออกไปอย่างสุภาพ  พร้อมกับเรียกคนใหม่เข้ามา  หรือถ้าไม่มีคนรอคิว  ก็ทำทีทักทายกับคนที่เดินผ่านหลังเขาไป  รับรองได้เรื่องแน่ !!!

 

ดังนั้นการตั้งหลักให้ดีที่ผมกล่าวถึง  คือความพร้อม ที่จะรับสถานการณ์กับคนทุกจำพวก ไม่ว่ามาดีหรือมาร้าย ก่อนอื่น เมื่อผูกดวงเสร็จ - วางดวงทักษา - ตรีวัย - ดาวจร – และนับทักษาจร เรียบร้อยเสียก่อน  หลังจากนั้นพยายามหาจุดที่เสียที่สุดในดวงให้ได้สัก 1-2 จุด  เอาไว้โจมตีให้ตกใจเล่น  แต่ต้องกะเวลาว่าเรื่องนั้น ๆ ไม่ผ่านมานานเกินไป  เพราะจะทำให้เขาจำไม่ได้  เช่นถ้าในดวงเราเห็นชัดว่า ราหู (๘) หรือมฤตยู (๐) อยู่ในเรือนกะดุมพะ  เรือนลาภะ  หรือดาวเจ้าเรือนกะดุมพะ เจ้าเรือนลาภะเป็นกาลี  เราเห็นแล้วว่าเจ้าคนนี้ต้องเป็นคนใช้เงินเก่งแน่  แล้วช่วง ราหู (๘) เข้ามาในเรือนกะดุมพะอีกรอบ  ทายได้เลยว่าต้องเสียเงินก้อนใหญ่แน่  หรือเห็นว่าในดวงดาวเจ้าเรือนคู่ครองอยู่ในตำแหน่งอ่อนแอ  นับทักษาแล้วปีไหนดาวเจ้าเรือนปัตนิเป็นกาลกิณีจร หรือดาวเสาร์ (๗) จรเข้าเรือนปัตนิ  ปีนั้นนั้นต้องมีเหตุร้าย  ขัดแย้ง  เลิกรากัน ดังนี้เป็นต้น



โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม) สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)
บทที่ 31 หลักการทายตามคำขอ

หลักการทายหรือพยากรณ์ตามคำขอ  ก็คล้าย ๆ กับการจัดรายการเพลงลูกทุ่ง  คือเขาตั้งโจทย์มาให้  เช่นเมื่อ ไหร่จะได้สายสะพายเป็นคุณหญิงคุณนาย  เมื่อไหร่จะรวย  หรือเมื่อไหร่จะพบคู่  เมื่อไหร่จะได้งานทำ ฯลฯ อะไรทำนองนี้  ถ้าจะนำมารวมกันเป็นข้อ ๆ เท่าที่พอนึกได้ก็มีดังนี้

 1. เมื่อไรจะได้งานทำ สิ่งแรกที่ต้องนำมาพิจารณาคือดาวพฤหัสบดี (๕) ปีนั้นไม่เป็นกาลกิณีจร เสาร์ (๗) หรือราหู (๘) ไม่ทับลัคน์เล็งลัคน์ ถ้าดาวพฤหัสบดี (๕) จรทับลัคน์เล็งลัคน์ โยกหน้าโยกหลังหรือเข้าเรือนตรีโกณ เข้าเรือนกรรมะ ทับดาวเจ้าเรือนกรรมะ ก็ได้งานปีนั้นหรือตอนนั้น ถ้าต้องการรู้ว่าเดือนไหนแน่  ก็ต้องนำอาทิตย์ (๑) ซึ่งมีความหมายถึงตำแหน่งหน้าที่การงานโดยตรง  มาพิจารณาประกอบด้วย คืออาทิตย์ (๑) ต้องสัมพันธ์ดีกับลัคนาหรือพฤหัสบดี (๕)

 2. เมื่อไรจะพบคู่  เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสุดยอดสำหรับหนุ่มสาว บางรายถามเจาะลึกไปถึงว่าเมื่อพบแล้วอยู่กินกันหรือแต่งกันแล้ว จะมีความสุขหรือมีอุปสรรคอะไรบ้างหรือไม่ ควรแก้ไขอย่างไร  ถ้าเจอแบบนี้หมอดูต้องอดทน อย่ารีบเป็นโรคประสาทเสียก่อนคนมาดูก็แล้วกัน  แต่จะอย่างไรก็ตามก่อนจะทายว่าเมื่อไหร่จะพบคู่  ต้องตรวจดูดาวในดวงชะตาให้แน่ใจว่าเป็นดวงของคนที่จะมีคู่ได้ เพราะบางดวง ดาวเจ้าเรือนปัตนิอยู่ในตำแหน่งไม่เอื้อเฟื้อให้มีได้ เช่นดาวคู่ไปอยู่ในเรือนอริ มรณะ หรือวินาศ และดาวศุกร์ (๖) เสีย  แถมราหู (๘) หรือมฤตยู (๐) เข้ามาเบียน แบบนี้ขืนทายว่าเมื่อนั้นเมื่อนี้จะพบคู่  ระวังจะหน้าแตก  ความจริงหลักวิชาของการมีคู่  หรือแต่งงาน  มีว่าดาวพฤหัสบดี (๕) จรเข้าเรือนปัตนิของลัคนาหรือตนุเศษ  จรเข้าทับดาวคู่ครอง หรือดาวปัตนิจรเป็นศรี มนตรี เดช  รวมทั้งพฤหัสบดี (๕) จรทับจันทร์ (๒) ในดวงชะตา  เหล่านี้เป็นเกณฑ์การจะมีคู่หรือแต่งงานทั้งสิ้น  สำหรับการมีคู่หรือแต่งกันด้วยเหตุปัจจัยอื่นก็พอมีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย  เช่นบางรายมีคู่โดยประมาทก็เคยเห็น คือเปิดโอกาสมาก  และอังคาร (๓) เป็นกาลกิณีจรทับลัคน์  ก็เลยถูกปลุกปล้ำให้เลือดตกยางออก

 3. จะการเดินทางต่างประเทศไหม  การได้เดินทางไปเมืองนอกหรือไปต่างประเทศ  เป็นที่นิยมกันมาก ถือกันว่าเป็นโชคใหญ่อย่างหนึ่งที่คนมาดูขาดเสียไม่ได้ที่ต้องถาม  ทั้งที่ความจริงก็ไปเสียเงินเสียทอง ไปตกระกำลำบากนั่นเอง  บางคนอยู่เมืองไทยหรูหรา  โอ่อ่า มีรถขับ มีเงินใช้ฟุ่มเฟือย  ยามจะนอนในห้องนอนมีเครื่องอำนวยความบันเทิงครบชุด ไม่ว่าจะดูหนังฟังเพลง  พอไปถึงเมืองนอกห้องนอนห้องนั่งเล่นห้องรับแขกคือห้องเดียวกัน  แถมต้องอยู่อย่างประหยัด  บางคนต้องหารายได้เสริมด้วยการรับจ้างล้างจาน  พวกที่ไปด้วยเงินทุนของรัฐหรือนายทุนก็ต้องอยู่อย่างประหยัด  เพราะทุนมีอยู่จำกัด การเดินทางก็แสนจะทรมาณ นั่งเครื่องบินทีหนึ่งเป็น 10 ชั่วโมง  ตามหลักของโหรจึงกำหนดกันว่าใครมีดาวบาปเคราะห์เช่นเสาร์ (๗) หรือ ราหู (๘) มาทับลัคน์เล็งลัคน์ และมีดาวพฤหัสบดี (๕)  อาทิตย์ (๑) เสริมด้วยจึงจะได้เดินทาง ถ้าพฤหัสบดี (๕) ไม่ดีเอกสารไม่ผ่าน เคยทายมาถูกมาหลายราย

 4. การเกิดอุบัติเหตุ  เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากอังคาร (๓) จร ๆ ทับลัคน์เล็งลัคน์  ทับหรือเล็งอังคารเดิมในดวงชะตา  แต่ต้องสัมพันธ์ถึงลัคน์ด้วยจึงจะเกิด ยิ่งตอนอังคาร (๓) เดิมเป็นกาลกิณีจร  หรือคนที่เกิดวันพุธด้วยจะแรงมาก

ถ้ามีเสาร์ (๗) หรือราหู (๘) ดาวใดดาวหนึ่งเข้ามาเสริมกำลังจะยิ่งชัดเจน บางรายถึงตายถ้าดาวอายุตอนนั้นเป็นกาลกิณีจรหรือเข้าฆาตด้วย  เคยมีอยู่หลายรายที่มีอังคาร (๓) กุมลัคน์  กลายเป็นดวงที่เปราะบางในการเกิดอุบัติเหตุง่าย  ต้องระวังกันตลอดเวลา ทางแก้ก็คือบริจาคเลือดหรือเจาะเลือดตรวจเช็คร่างกายบ่อย ๆ  หรือปล่อยนกปล่อยปลาบ่อย ๆ ยิ่งเป็นปลาในตลาดที่กำลังจะถูกนำไปทำอาหารยิ่งดีมาก เพราะเป็นการให้ชีวิตเป็นทาน ดีกว่าปล่อยวัวควาย  เพราะถ้าเทียบกันแล้วในจำนวนเงินที่เสียเท่ากัน แต่ได้หลายชีวิตกว่า

 5. การโยกย้ายการงาน  การต้องย้ายงานมีต้นเหตุมาจากผู้บังคับบัญชาสั่งการ  และเป็นการย้ายไปไม่ดีกว่าเดิม เช่นงานหนัก  รับผิดชอบมากกว่าเดิม  แต่เงินเท่าเดิม  ต้องมาจากดาวพฤหัสบดี (๕) โคจรเข้าเรือน อริ มรณะ  วินาศ หรือดาวพฤหัสบดี (๕) ปีนั้นเป็นกาลกิณีจรเข้าสัมพันธ์ดีกับลัคนา  ถ้าย้ายดีขึ้นก็เป็นเพราะพฤหัสบดี (๕) ให้คุณ คือได้ตำแหน่งสูงขึ้น ได้เงินมากขึ้น

 6. การเดินทาง ดาวหลักคืออาทิตย์ (๑) และเสาร์ (๗) จรเข้าทับลัคน์เล็งลัคน์ ยิ่งดาวมูลละเป็นกาลกิณียิ่งแน่มากขึ้น  แต่เป็นการเดินทางในประเทศ  ไม่ไกลนัก  บางคนเดินทางไปพักผ่อน  เดินทางกลับบ้านเกิด  หรือเดินทางออกจากบ้าน ไปโน่นไปนี่  แบบอยู่ไม่ติดบ้าน

 7. การลงทุนหรือขยายกิจการ  การจะทำธุระกิจอะไรสักอย่างหนึ่ง ด้วยการลงทุนของตัวเอง  ต้องคิดรอบคอบ  คือดวงต้องดีต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2-3 ปี เคยพบหมอดูหรือโหรปัญญาอ่อนหลายคนแนะนำหรือเรียกว่าส่งเสริมก็ได้  ให้ลงทุน ในยามที่พฤหัสบดี (๕) ทำมุมตรีโกณกับลัคนา - เล็งลัคนา - โยกหลังลัคนา  ถ้าเป็นแบบนี้เท่ากับไปทำให้เขาวิบัตินั่นเอง เป็นบาปอย่างหนัก  เพราะบางคนอุตส่าห์เก็บเงินเก็บทองมาตลอดชีวิต  กว่าจะได้สักก้อนหนึ่ง  ต้องมาพังพินาศด้วยเวลาเพียงไม่กี่เดือน เพราะว่าตำแหน่งดาวที่กล่าวไว้ในตอนต้นนั้น  อีกไม่นานนักมันก็จะเข้าที่อับ  เช่นจากตรีโกณหน้าลัคน์ ก็เข้าเรือน อริ  เล็งลัคนาอยู่ไม่กี่เดือนก็จะเข้าเรือนมรณะ  หรือถ้าโยกหลังก็จะเข้าเรือนวินาศ หมอดูในทีมของผมคนหนึ่งมีคนมาด่ากับผม  ว่าหมอคนนั้นแนะนำให้ลงทุนแล้วจะรวย  เธอเลยทิ้งทวนด้วยการเปิดร้านอาหาร  แล้วเจ๊งภายในไม่กี่เดือน ทำเอาผมหน้าชาไปเลย 

 การจะลงทุนทำอะไรก็ตาม ดีที่สุดต้องให้ดาวพฤหัสบดี (๕) เข้าเรือนศุภะหรือทับลัคน์เสียก่อน  และก็อย่าลืมชำเลืองดูการโคจรของเสาร์ (๗) และราหู (๘) ด้วย เพราะจะทำให้ดวงดีต่อเนื่องกันไป 3 – 5 ปี  ถ้าคนที่มีเงินทุนน้อย  ต้องให้ดีทันทีในวันแรกที่เปิดกิจการ

 ขอย้ำตัวอย่างเรื่องเสาร์ (๗) กับราหู (๘) อีกนิด  เพราะเรื่องนี้ผมได้พบมาเอง เป็นเรื่องของการเปิดสำนักดูหมอสำนักหนึ่ง โหรใหญ่ประมาณว่า 2 ท่าน พร้อมใจกันวางฤกษ์เปิดในวันพฤหัสบดี  และวางลัคนาฤกษ์ตามเกณฑ์กนกกุญชรในราศีกรกฎ  และดาวในดวงฤกษ์ก็ออกมาดีพอสมควร  กะว่าต้องไปโลดแน่    เพราะมีพฤหัสบดี (๕) จรอยู่ในราศีกรกฎพอดี  ลืมชำเลืองดูดาวเสาร์ (๗) ที่จรอยู่ปลายราศีธนู  เปิดได้ไม่นานเสาร์ (๗) ก็พรวดเข้าราศีมังกร  เข้าเล็งพฤหัสบดี (๕) ที่จรมาในราศีกรกฏพอดี  และเล็งลัคนาดวงฤกษ์ กิจการเริ่มมีอาการไม่ดี หุ้นส่วนเริ่มกัดกันประปราย  พอพฤหัสบดี (๕) ผ่านราศีกรกฏ  ทุกอย่างก็จบไปอย่างเรียบร้อย  ทั้งนี้คงลืมนึกไปว่าพฤหัสบดี (๕) มันทับดวงฤกษ์อยู่ปีเดียว  จากนั้นเสาร์ (๗) ซึ่งเป็นกาลกินีเดิม เล็งยาวไปจนครบสองปีครึ่ง  นี่เป็นข้อควรจำอย่างยิ่งว่า การจะลงทุน ต้องดวงของเจ้าของกิจการดีอย่างต่อเนื่อง  จนกะว่าเขาสามารถถอนทุนได้ จึงควรแนะนำ

 8. จะตั้งตัวได้เมื่อไร  การตั้งตัวได้หมายถึงการที่มีชีวิตสมบูรณ์ทั้งด้านการงาน  การเงิน  คือมีพร้อมทุกอย่างที่ต้องการนั่นเอง เช่นมีบ้าน มีรถใช้  มีเงินเก็บเพียงพอในการให้ตัวเองครองชีวิตอย่างราบรื่นได้ ไม่ต้องมีหนี้สินหรือต้องเที่ยวหยิบยืมมากินมาใช้  เรื่องนี้ถ้าจะให้ชัดเจนแล้วต้องมาจากพื้นดวงเดิมเป็นสำคัญ  สิ่งแรกคือดาวที่หมายถึงการเงินต้องได้ตำแหน่งดี  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มต้นมาจากเงินทั้งสิ้น ดาวที่หมายถึงการเงินมิได้หมายเฉพาะด้าวเจ้าเรือนกะดุมพะเพียงดาวเดียว ดาวเจ้าเรือนลาภะ  ดาวศุกร์ (๖) ซึ่งหมายถึงขุนคลัง  ดาวเสาร์ (๗) ดาวกรรมะ  ดาวบริวารก็มีส่วนสำคัญ  ดาวที่กล่าวมาต้องได้ตำแหน่งดี เช่นเป็นมหาอุจจ์  มหาจักร ราชาโชค เกษตร อย่างใด อย่างหนึ่ง เมื่อดาวเหล่านี้ได้ตำแหน่งดีแล้ว ดาวประจำตรีวัยจะดีตาม  เมื่ออายุมาตกวัยที่ดี โดยเฉพาะดาวเจ้าวัย  สหัชชะ  ศุภะ  ลาภะ  และพฤหัสบดี (๕) จรทำมุมดีกับลัคนา  ก็จะตั้งตัวได้ในช่วงนั้นอย่างแน่นอน

 9. การเจ็บป่วย  เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญ เพราะคนเราถ้าเจ็บป่วย การทำมาหากินก็ย่อมไม่สดวกนัก  นอกจากด้านสุขภาพเสียแล้ว  เมื่อป่วยก็ต้องมีการใช้จ่ายเงินทอง  คนที่มีเงินเดือนกินก็ไม่ค่อยกระทบมาก  เพราะขาดงานสักอาทิตย์ สองอาทิตย์นายจ้างก็ยังให้เงินเดือน แต่สำหรับคนหาเช้ากินค่ำรายวัน  เมื่อป่วยหาเงินใหม่ไม่ได้ แถมยังต้องควักเงินเก่าออกใช้จ่าย

 หรือคนที่มีลูกหลานโตทำงานหาเงินได้แล้ว  และลูกหลานช่วยเหลือ ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนา  แต่สำหรับคนที่โดดเดี่ยวหากินรายวัน ไม่มีใครช่วยเหลือก็น่าเป็นห่วงพอสมควร

 ดังนั้นการเจ็บป่วยจึงถือเป็นเคราะห์กรรมอย่างหนึ่ง  เงื่อนไขของการเจ็บป่วยหลักใหญ่ต้องพิจารณากันที่ดาวเสาร์ (๗) หรือดาวราหู (๘) จรเข้ามทับลัคน์หรือเล็งลัคน์  บางรายดาวดังกล่าว ทับหรือเล็งดาวอายุเดิม  บางทีดาวอายุเดิมเป็นกาลกิณีจรก็มีบ้าง

 แต่เฉพาะที่เล็งต้องระวังถึงสุขภาพของคู่ครองด้วย  เพราะดาวที่เล็งนั่นคือดาวจรเข้าเรือนปัตตนิ  ถ้าบังเอิญตอนนั้นในดวงคู่ครอง ดาวอายุไม่ดีด้วย เช่นเป็นกาลกิณีจร หรือถูกเบียนด้วยดาวบาปเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งก็ต้องดูแลมากขึ้น

 การจะหลีกเลี่ยงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราทุกคนต่างก็รู้ว่าทำยาก นอกจากหาทางผ่อนหนักเป็นเบา  กรรมนั่นหลบไม่ได้ก็จริง แต่เราก็สามารถแก้ให้บันเทาเบาบางลงได้ส่วนหนึ่ง เช่นรู้ว่าจะเจ็บป่วย  เราก็ต้องระวังสุขภาพ ควรมีการตรวจเช็คร่างกายอย่างสม่ำเสมอ หรือมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยควรรีบรักษา  อย่าให้เป็นมากจนบางคราวก็แก้ไขยาก ดังนี้เป็นต้น

 ผมเคยแนะนำคนจำนวนมากเมื่อถึงคราวจะเจ็บป่วย  รีบเข้าโรงพยาบาลตรวจเช็คร่างกาย ก่อนที่จะป่วยจริง หรือทำเป็นเข้าไปนอนป่วยสักคืนสองคืน  แล้วหาฤกษ์ออกจากโรงพยาบาลให้ดีก็จะช่วยได้  ไม่ต้องป่วยหนัก บางรายที่ดาวอายุยังเข้มแข็งก็ให้ไปทำบุญ ซื้อปลาในตลาดที่กำลังจะถูกคนนำไปทำอาหารปล่อย  เพราะเห็นว่าเสียเงินเพียงเล็กน้อย  และเราสามารถช่วยได้หลายชีวิต  ดีกว่าปล่อยสัตว์ใหญ่เช่นวัว ควาย เพราะราคาแพง

 10. เมื่อไรจะเลิกกับคู่

เรื่องนี้อย่าเพิ่งคิดว่าไม่มีปัญหา  ผมเคยเจอมามาก บางคนถามเพื่อจะได้เตรียมตัวแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาครอบครัวแตกแยก แต่บางรายถามเพื่อต้องการเลิกจริง ๆ เลิกเพราะคับแค้นอยู่กันไม่ได้ ส่วนเลิกแล้วไปหาใหม่หรือไม่ตรงนี้ไม่เคยมีรายใดเปิดเผย

 เคยมีอยู่รายหนึ่งโทร.มาจากขอนแก่นต้องการเลิกกับสามี  แต่สามีไม่ยอมเซ็นใบหย่าให้  ยื่นเงื่อนไขจะเซ็นให้แต่ขอค่าลายเซ็น 10 ล้าน ผมแนะนำว่าไม่ให้ ๆ สักบาท เพราะเห็นว่าเงิน 10 ล้านถ้าให้ไปก็หมด  อีกอย่างสามีก็ไม่ทำมาหากินอะไร  คอยกินเงินเดือนจากภรรยาเดือนละ 2-3 หมื่นบาท วัน ๆ เอาแต่มัวเมาสนุ๊กเก้อร์ เหล้าเบียร์  จากนั้นอีก 2-3 ปี  ผมได้รับโทร.จะเชิญผมไปขอนแก่น เธอก็ยังเลิกกับสามีไม่ได้  แต่เธอบอกว่าความสัมพันธ์การเป็นสามีภรรยาขาดกันแล้ว  เพียงแต่เขายังไม่ยอมหย่าและไม่ยอมออกจากบ้าน

เห็นไหมครับการที่สามีภรรยาอยากจะหย่ากันก็มีปัญหา  ความจริงถ้าจะมองกันที่ดวงดาว  ตามตัวอย่างนี้ต้องรอให้ดาวคู่ครองของชายเป็นกาลกิณี หรือเป็นศรีจรเสียก่อน

ถ้าดาวคู่ครองหรือดาวเจ้าเรือนปัตตนิของชายเป็นกาลกิณี นั่นคือเขาเริ่มเบื่อเมียตัวเองเต็มแก่

หรือถ้าดาวคู่ครองหรือดาวเจ้าเรือนปัตตนิของชายเป็นศรี  นั่นก็อยากมีเมียใหม่เต็มแก่เช่นกัน  เพราะผู้ชายนี่ปล่อยให้อดอยากนาน ๆ ไม่ได้

อีกเงื่อนไขหนึ่งก็ต้องรอให้ดาวเสาร์ (๗) หรือราหู (๘) จรเข้าเล็งลัคน์หรือเล็งตนุเศษของฝ่ายชาย ก็มีผลทำให้เลิกกันง่ายขึ้น

แต่เรื่องนี้โหรที่โบราณมาก ๆ บางคนตำหนิว่าเป็นบาป หากไปชี้แนะให้ครอบครัวแตกแยกกัน ผมว่าโหรพวกนั้นใจคับแคบขาดความเมตตาเพศแม่ของตนเอง  เมื่อมันไปกันไม่ได้จริงด้วยเหตุชายเป็นฝ่ายประพฤติชั่ว ไม่ทำมาหากินอะไร ทำตนเหมือนสัตว์ปีกชะนิดหนึ่ง  ก็ไม่ควรจะให้ฝ่ายหญิงต้องทนกันไปจนต้องตายจากกัน

โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม) โดย สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

 

บทที่ 32 คนไม่มีเวลาเกิด

 

อันที่จริงคนทุกคนย่อมต้องมีเวลาเกิด แต่ที่บอกว่าไม่มีเวลาเกิดเวลามาดูดวง นั่นเพราะจำเวลาเกิดของตนเองไม่ได้ นอกจากจำไม่ได้แล้ว หลักฐานในใบแจ้งเกิดหรือที่เรียกกันว่าสูติบัตร ก็ไม่ได้ลงเอาไว้เป็นหลักฐาน จะเป็นความประมาทเลินเล่อของหมอตำแยหรือพยาบาลทำคลอดก็ตาม แต่ภาระตรงนี้มาตกอยู่ที่โหร อย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้

 

ถ้าโหรคนใดไม่สามารถหาเวลาเกิดให้กับคนพวกนี้ได้ ก็ทำจะให้พลาดโอกาสได้เงินค่าพยากรณ์ไปอย่างน่าเสียดาย โหรบางท่านจึงลงทุนมั่วเอาเอง โดยใช้เวลาที่เจ้าชะตามาหา เป็นเวลาเกิด  บางท่านเรียกการกระทำแบบนี้ว่าดวงยาม บางท่านก็ว่าดวงกาลจักร แต่ที่แน่  คือสามารถพยากรณ์เอาเงินเขาได้ 

 

หมอดูบางคนขี้เกียจจะผูกดวงแบบที่ว่า ก็ใช้การแหงนหน้ามองดูดาวบนท้องฟ้า (ในปฏิทิน) เห็นว่าดาวอะไรอยู่ในราศีอะไรก็เอาดาวนั้นมาลงในแผ่นดวงหรือแผ่นกระดานชะนวน แล้วทายกินเงินได้เช่นเดียวกัน ซึ่งบางครั้งก็แม่น โดยเฉพาะคนที่เกิดเช้า ๆ แต่บางคราวก็ทายไปตามมุขที่มักมีพร้อมอยู่แล้วในหัวใจของหมอดู  โดยเฉพาะพวกที่มีชั่วโมงบินมาก ๆ พวกนี้จะผาดโผนอย่างไรก็ไม่มีใครจับได้ไล่ทัน

 

สำหรับผมเองถ้าบอกว่าไม่มีเวลาเกิด ผมมักจะเชิญให้ไปใช้บริการลายมือ เลข 7 ตัว ถ้าเป็นคนในวัยหนุ่มก็จะบอกให้ไปดูกับหมอไพ่ยิปซีอะไรทำนองนี้

 

เพราะรู้ว่าถ้าขืนดูดวงให้กับคนที่ไม่มีเวลาเกิด หรือคนที่จำเวลาเกิดของตัวเองไม่ได้ หรือบางรายก็บอกแต่เพียงคร่าว ๆ ว่าเช้ามืด ควายเข้าคอก นกกลับรัง พระบิณฑบาตรอะไรเหล่านี้  มีแต่ทางจะขาดทุนหรืออย่างดีก็เสมอตัว ทำให้เสียเวลา ไม่คุ้มกับเงิน 400-500 บาทที่เขาหยิบยื่นให้เป็นค่าบูชาครู  ยิ่งถ้าเกิดการหน้าแตกขึ้นมาก็จะยิ่งขาดทุน ชื่อเสียงที่อุตส่าห์สะสมหยอดกระปุกมา 20-30 ปีจะพาลหายไปด้วย

 

แต่ถ้าถึงคราวจำเป็นจริง ๆ เช่นวันนั้นเป็นดวงแรก เป็นดวงปฐมฤกษ์ของวัน หรือไม่ ถ้าเป็นคนที่สามารถชี้เป็นชี้ตายว่า ขืนไม่กัดฟันดู จะต้องเดินกลับบ้านด้วยสองเท้าของตนเอง แทนสองแถว ผมก็ต้องยอมเหมือนกัน !!!

 

เจ้าชะตาบางคน พอโหรทายผิดจะเหยียบซ้ำ ก้าวร้าว ไปถึงครูบาอาจารย์ก็มี คนประเภทนี้ผมเคยเจอมาครั้งหนึ่ง แต่ที่สุดก็ต้องล่าถอยกลับออกไป เพราะผมเองก็มีนิสสัยไม่ค่อยดีติดตัวอยู่บ้าง  ซึ่งก็จะพยายามให้มันหมดไป แต่มันก็ยังไม่หมดเสียทีเดียว

 

 

จะอย่างไรก็ตาม ก็พยายามลดความมั่วลงให้มากที่สุด ด้วยการใช้ประวัติส่วนตัวเข้ามาเป็นตัวช่วย เช่นพยายามสอบถามถึงเรื่องในอดีตเท่าที่เขาจะจำได้เช่น

 

เคยป่วยหนักเมื่อใด  ย้ายที่อยู่อาศัยเมื่อใด ย้ายงานหรืองานไม่ดีปีไหน เรียนจบหรือได้งานทำปีไหน  การเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน  แต่งงาน เสียบิดามารดาเหล่านี้เป็นต้น

 

คือเอาเหตุการร้าย ๆ หรือเคราะห์กรรมนั่นแหละมาจับด้วยดาวเสาร์ (๗) หรือราหู (๘) เมื่อเอาเหตุการด้านร้ายมาจับได้แล้ว ทีนี้ก็เอาดาวพฤหัสบดี (๕) มาจับเรื่องดี ๆ เช่นการได้รับมรดก การมีลาภทรัพย์สินเงินทอง  ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน เลื่อนตำแหน่งการงาน การได้เดินทางไปต่างประเทศ การสอบได้ทุนเรียน มาจับบ้าง

 

ถ้าไม่มีการผิดพลาดอะไร หลังจากเอาเสาร์ (๗) และราหู (๘) ทับลัคน์เล็งลัคน์มาจับจนได้ช่วงเวลาลัคนาสถิตราศีหนึ่งราศีใดแล้ว ตอนเอาพฤหัสบดี (๕) มาจับเรื่องการมีโชคลาภ การเลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงาน การแต่งงาน หรืออื่น ๆ ต้องลงตัวกันพอดี  ถ้าไม่ลงตัวกันถือว่ายังไม่ถูกต้อง

 

การลงตัวกันจะเป็นดังนี้  เช่นผมเป็นคนที่มีลัคนาสถิตราศีเมษ แต่งงานในเดือนมีนาคม 2501 ในช่วงนั้นดาวพฤหัสบดี (๕) จรเข้าราศีตุลย์ คือจรเข้าเรือนปัตนินั่นเอง แต่เมื่อแต่งงานแล้วก็มีการเดินทางเกิดขึ้น คือต้องเดินไกลทางจากกรุงเทพฯไปเกาะสมุย เพราะพอเดือนเมษายนปีเดียวกัน อาทิตย์ (๑) จรขึ้นทับลัคน์  และเป็นการเดินทางไปตกระกำลำบาก เพราะปี 2501 ราหู (๘) กาลีเดิมก็อยู่ในราศีตุลย์ด้วย เดือนมกราคม 2502 ยิ่งลำบากหนักเพราะพฤหัสบดี (๕) จรเข้าเรือนมรณะ  งานก็ไม่มีทำ เป็นช่วงมีบุตรคนแรกพอดีแทบจะพากันอดตาย มาปี 2503 จึงค่อยดีขึ้นคือเริ่มได้งานทำมีรายได้เลี้ยงครอบครัวเพราะดาวพฤหัสบดี (๕) จรเข้าตรีโกณลัคน์ เดือนมีนาคมปี 2507 จึงค่อยดีขึ้น และเป็นการดีระยะยาว เพราะพฤหัสบดี (๕) จรขึ้นทับลัคนาราศีเมษ

 

ด้วยวิธีการดังที่ยกตัวอย่างมาให้ดูนี้เราสามารถหาช่วงเวลาลัคนาสถิตราศีได้ถูกต้องดีกว่าการมั่วเอาเอง เมื่อได้ลัคนาสถิตราศีแล้วเราก็ผูกดวงตามปกติทาย อาจจะยังต้องทางย้อนอดีตให้ถูกอีกสัก 4-5 เรื่อง แล้วหันมาทายพื้นดวงทั่ว ๆ ไป เพื่อตรวจเช็คความถูกต้อง  แม้จะไม่ได้เวลาเป็นที่แน่นอนว่าเป็นเวลาเท่าใด แต่ก็ยังดีกว่าการเดาสุ่มดังที่กล่าวไว้ในตอนต้น

 

แต่ถ้าท่านได้ศึกษาดวงในระบบ 10 ลัคนาเขาจะมีวิธีหาเวลาเกิดที่แน่นอนตามเวลาเกิดจริงละเอียดมากกว่านี้ ด้วยการเอานวางค์ ตรียางค์และราศีที่ลัคนาสถิต  ตำแหน่งไฝปานในส่วนต่าง ๆ ตามร่างกายมาตรวจสอบ แต่ผมขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่นำมาเสนอไว้ตรงนี้ ถ้าท่านสนใจก็ไปหาที่เรียนกันเองตามอัธยาศัย


โหราสาด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม) โดย  สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

 

บทที่ ๓๓ หมอดูอาชีพ

 

ผมได้นำเสนอวิธีการฝึกฝนตนเองให้เป็นนักพยากรณ์ที่ดี แก่ท่านมา ๓๒ บท ครั้นจะจบลงแบบห้วน ๆ ไม่มีตัวอย่างมาให้พิจารณาบ้าง ก็ดูจะเป็นการน่าเกลียด ดังนั้นจึงต่อจากนี้ไป จะเป็นดวงตัวอย่างที่ผมได้รวบรวบรวมเอาไว้ตลอดชีวิตการกระโดดโลดเต้นอยู่บนถนนหมอดูหมอเดา แต่ก็จะคัดมาเป็นบางดวงที่เห็นว่าน่าศึกษาแนวทางของดาวเท่านั้น เพราะถ้านำมาทั้งหมด มันก็จะเป็นดวงซ้ำ ๆ ซาก ๆ และเป็นภาระแก่ผมมากเกิน จนอาจจะสิ้นลมปราณก่อนจบก็ได้

 

แต่เพื่อความยุติธรรม ต่อการจะวิพากษ์วิจารณ์ดวงท่านอื่น ๆ ผมต้องขออนุญาติต่อท่านผู้อ่านที่รัก  นำดวงตัวอย่างของคนที่ต้องเกิดมาเป็นหมอดูอาชีพ หลังจากที่ได้พยายามหนีการอดตายทำอาชีพอื่นมาแล้วหลากหลาย

 

ดวงนี้เจ้าชะตามเป็นชาย เกิดตรงกับวันศุกร์ที่  13 พฤศจิกายน 2479 เวลา นกบินกลับรัง (ประมาณ 17.10 น.) จังหวัดที่เกิด สุราษฎร์ธานี  ดวงข้างล่างนี้เป็นดวงที่ อ. อรุณ เทศถมทรัพย์ ปรมาจารย์ดวง 10 ลัคน์ดูไว้เมื่อปี 2515

 

รายละเอียดดาวในดวงชะตาระบบ 10 ลัคนา เป็นดังนี้ ๑๒ สถิตราศีเมษ ๔ เป็นตนุเศษสถิตราศีพฤษภ ๕๖ สถิตราศีเมถุน ๘ สถิตราศีกรกฏ ๗ สถิตราศีสิงห์ ๙ สถิตราศีกันย์ ๐ สถิตราศีตุลย์ ๓ สถิตราศีกุมภ์

 

 

(รูปดวง) 

 


 

ดวงนี้ตามประวัติเท่าที่พอจำได้ ประมาณเดือนมีนาคม 2496  ราหู (๘) จรเข้าเรือนกรรมะของลัคนา เรือนนี้เป็นเรือนที่ 10 ของคนราศีเมษ  ราศีเมษเป็นราศีประเภทปัศวะ  ดังนั้นที่ราหู (๘) เข้ามาอยู่ในเรือนที่ 10 จึงมีความแรงเป็นพิเศษ ทั้งราหู (๘) ตามดวงเดิมก็เป็นดาวกาลกิณี ดังนั้นการโยกย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยมีแน่

 

คือต้องเดินทางจากเกาะสมุย สู่กรุงเทพฯ เมืองที่ได้รับการเล่าลือว่าเป็นเมืองที่แสนมหัศจรรย์ เพราะเป็นเมืองที่ไม่เคยมีวันหลับไหล สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน

 

มุมมองจากราหู (๘) เป็นเพียงมุมมองหนึ่ง อีกมุมหนึ่งคือ พฤหัสบดี (๕) จร ซึ่งขณะนั้นจรขึ้นทับลัคน์ราศีเมษพอดี  ในทักษาเป็นบริวารจร

 

ในเดือนที่เดินทาง อาทิตย์ (๑) จรเข้าทับลัคน์พอดี  แม้องศาไม่แก่มาก แต่ก็เป็นศรีจร นับว่ามีคุณภาพคับแก้วดีทีเดียว อีกอย่างก็มีราหู (๘) ช่วยหนุนส่งอีกตัว  จึงไม่มีทางพลิกเป็นอื่นไปได้ 

 

นอกจากการต้องเดินทางพลัดถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน จากพี่ ๆ น้อง ๆ จากบิดามารดา จากญาติมิตรสหายที่เคยดำผุดดำว่ายในทะเลยามน้ำเต็มฝั่ง เพื่อสู่เมืองแมนแดนสวรรค์ ตามที่เคยไฝ่ฝันมาตั้งแต่พอจำความได้

 

ไม่มีน้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์เลยสักนิด ในยามที่เรือโดยสารบ่ายโฉมหน้าออกสู่ทะเลลึก จนภาพหมู่บ้านบางมะขามอันเป็นแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน  แทรกตัวหายเข้าไปในความมืดมิดของราตรีกาล

 

การเดินทางจากเกาะสมุยถึงกรุงเทพฯ ในสมัยนั้นต้องใช้เวลาถึง 3 วัน 3 คืน  เป็นการเดินทางทริปสำคัญที่สุดของชีวิต เพราะจากเคยที่ได้จับเงินเพียง 1-2 บาท  ได้มาพกเงินติดตัวตั้ง 500 บาท และกำลังเดินแอ่นอกอยู่ในเมืองหลวงอย่างภาคภูมิใจ (ทว่าถ้าคิดสักนิดว่า 500 บาท นั่นคือหยดเหงื่อของพ่อแม่โดยแท้)

 

การเดินทางมาเรียนต่อในกรุงเทพ ฯ  ปีที่ ดาวพฤหัสบดี (๕) จรทับลัคน์  ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถสอบเข้าเรียนได้อย่างเฉียดฉิว คือสอบได้เป็นคนสุดท้ายของรุ่น

 

ปี 2498 ดาวเสาร์ (๗) จรอยู่ในราศีตุลย์เล็งลัคน์ ทำให้ต้องผิดหวังผลสอบเข้าเรียนศิษย์การบินไม่ได้ หมายถึงความหวังที่จะเป็นนักบินสิ้นสุดลง ทนเรียนเหล่าสรรพาวุธได้ไม่นานก็ลาออก แล้วก็ร่อนเร่พเนจร เท่าที่พอจำได้เคยไปอยู่บ่อน้ำร้อน บ้านบึง หัวกุญแจ ชลบุรีกับพี่ชายซึ่งเป็นนายช่างกรมชลประทาน

 

เดือนมีนาคม 2501 พฤหัสบดี (๕) จรเข้าเล็งลัคนา ราหูดาวกาลกิณีเดิมก็จรเข้าเล็งลัคน์พร้อม ๆ กัน  องศาของดาวทั้ง 2 เท่ากันตลอดทั้งเดือนก็ว่าได้  ปีนี้แต่งงาน  แต่งงานได้เดือนเดียว อาทิตย์ด (๑) จรขึ้นราศีเมษทับลัคน์  ต้องเดินทางจากรุงเทพฯ กลับสมุย ไปตกระกำลำบากอีกครั้งตามเส้นทางของดวงดาว

 

ปี 2502 ได้บุตรสาวคนแรก ในขณะนั้นดาวปุตตะเป็นมนตรีจร และดาวปุตตะโคจรเข้าเรือนลาภะแก่ลัคน์  แต่ก็มีเรื่องวุ่นวายและยากแก่การแก้ปัญหา ผลสุดท้ายต้องย้ายจากบ้านที่เกาะสมุยเข้าป่าไปจับจองที่สร้างสวนยางในเขตอำเภอขุนทะเล  เพราะตั้งแต่วันที่  20  ธันวาคม 2501 พฤหัสจรเข้าเรือนมรณะ

 

และในที่สุดอยู่ในป่าได้ไม่นาน ก็คิดถึงอนาคตการเรียนของลูก ถ้าขืนอยู่ในป่าคงไม่ได้เรียนหนังสือแน่  ดังนั้นจึงย้ายกลับมากรุงเทพฯ อีกครั้ง และได้งานทำเมื่อ พฤหัสบดี (๕) ย้ายเข้าตรีโกณลัคนา  ในเดือนมกราคม 2503 จากนั้นชีวิตการงานก็ก้าวหน้าไปเรื่อย 

 

ตั้งแต่ปลายปี 2507 เป็นต้นไป พฤหัสบดี (๕) ขึ้นทับลัคนา ด้านการงานดีมาตลอด  ย้ายงานจากบริษัทคนไทยเข้าไปทำงานกับบริษัทเยอรมันนี จนกระทั่งออกมาทำงานส่วนตัวในปี 2518 ช่วงนี้พฤหัสบดี (๕) จรขึ้นทับลัคนาอีกรอบ

 

ต่อมาปีที่เงินบาทลอยตัวจนการเงินของบ้านเมืองพังพินาศ  จึงวางมือจากธุรกิจส่วนตัวรับปรึกษาและบริการนำเข้าและส่งออก  จับงานหมอดูอาชีพเต็มร้อย ตามอิทธิพลของดาวมฤตยูที่จรเข้าเรือนกรรมะมาตั้งแต่เดือนตุลาคม  2538

 

โหราสาด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม) โดย  สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

 

บทที่ ๓๔ ดวงมีคู่เหมือนได้ลาภ

 

 

ดวงนี้เจ้าชะตาเป็นหญิง เกิดตรงกับวันพุธที่ 14 มกราคม 2502 เวลาประมาณ 21.45 น. เกิดจังหวัดสุราษฎร์ธานี

 

ตามดวง 10 ลัคนา ดาว ๑๔๖ สถิตราศีกันย์ ๒ สถิตราศีตุลย์ ๓ สถิตราศีพิจิก ๘ สถิตราศีมังกร ๐ สถิตราศีกุมภ์ ๕ สถิตราศีกรกฏ ๗๙ สถิตราศีสิงห์ ดังรูปดวงข้างล่างนี้

 

(รูปดวง) 
 

เจ้าชะตารายนี้ตอนเด็กขี้โรคเลี้ยงยาก คือเลี้ยงไม่โต เป็นโรคพยาธิในท้อง ต้องรักษากันนานกว่าจะถ่ายพยาธิออกมาได้หมด จากนั้นจึงค่อยแข็งแรงขึ้นเป็นปกติ

 

ในปีที่เกิดคือปี 2502 ก็ต้องร่อนเร่พเนจรติดตามบิดามารดา เพราะในปีนั้น ราหู (๘) ซึ่งเป็นดาวศรีเดิมจรทับลัคน์ (บางมติว่ากันว่าดาวศรีทับลัคน์น่าจะดี) ก็ว่ากันไปเถอะครับ ผมเองไม่ยอมไว้ใจมันเด็ดขาด เพราะเคยเห็นมามาก แม้กับตัวก็เคยโดน

 

ดวงนี้ถ้าท่านมองดูที่ดาวพฤหัสบดี (๕) ดาวได้ตำแหน่งมหาอุจ  คำว่ามหาอุจไม่ว่าดาวอะไร มาจากเรือนอะไรต้องดีแน่ แต่ถ้าเป็นดาวกาลกิณีดีช้าหน่อย หรือไม่ก็เจ็บตัวก่อนได้ดี ดาวนี้มาจากเรือนพันธุและเรือนปัตนิ ดังนั้นเรื่องคู่จึงดี คือแต่งงานแล้วสามารถสร้างตัวได้เร็ว มีบ้านมีงานมีเงินใช้ไม่เดือดร้อน  ดาวการเงินคือดาวศุกร์ (๖) กุมลัคน์อยู่กับดาวพุธ (๔)และดาวอาทิตย์ (๑) ดาวเจ้าเรือนลาภะคือดาวจันทร์ (๒) มาเป็นดาวลอยอยู่ในเรือนกะดุมภะ เป็นการเสริมฐานะการเงินอีกระดับหนึ่ง  ศุกร์ (๖) กับอาทิตย์ (๑) เป็นดาวคู่สมพล  กับพุธ (๔) เป็นคู่ธาตุน้ำ  พุธ (๔) ก็เป็นดาวมหาอุจมาจากเรือนกรรมะ เป็นดาวเจ้าเรือนลัคน์เสียเอง และเป็นดาวบริวารตามทักษา ทำให้บริวารดีงานดี  แต่เพื่อนเป็นดาวกาลกิณี พึ่งเพื่อนยาก เพื่อนเบี้ยว ๆ เยอะ

 

 

มีช่วงหนึ่งที่ต้องมีเคราะห์เสียเงิน  เพราะดาวอังคาร (๓) กาลกิณีเดิมเป็นกาลกิณีจร ๆ เล็งลัคนาเต็มกำลัง มีคดีขับรถโดยประมาททำให้คนตายและบาดเจ็บ แต่พฤหัสบดี (๕) จรทับลัคน์ จึงรอดจากคุกตะรางมาได้

 

ดวงนี้ไม่มีบุตรเพราะดาวเจ้าเรือนปุตตะคือเสาร์ (๗) อยู่ในเรือนวินาศ  โดยมีมฤตยูเล็ง ทั้งในเรือนปุตตะก็มีราหูอยู่  จึงเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างชัดเจน

 

ในภาคของดวงจรจากวันที่ 13 มีนาคม 2548 ราหู (๘) จรเข้าเล็งลัคน์ไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2549 แม้จะเป็นศรีเดิมก็ไม่ดีนัก ต้องระวังสุขภาพทั้งของตัวเองและคู่ครอง


โ ห ร า ส า ด (ฉบับเรียนรู้โดยไม่ต้องถาม) โดย สอ้าน นาคเพชรพูล (สีดิน)

 

บทที่ ๓๕ ดวงทหารช่าง

 

 

ดวงนี้เจ้าชะตาเป็นชาย เกิดกรุงเทพฯ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2503เวลาประมาณ 02.35 น.ปัจจุบันเป็นช่างระดับหัวหน้า อยู่โรงงานผลิตส่วนประกอบยานยนต์บริษัหนึ่งสถานะภาพชีวิต แต่งงานแล้ว แต่ไม่มีบุตร

 

ดวงดาวในดวงชะตาแบบ 10ลัคนาเป็นดังนี้ ๒๔ สถิตราศีเมษ  ๑๖ สถิตราศีมีน ๓ สถิตราศีมังกร ๗ สถิตราศีพิจิก ๕๘ สถิตราศีตุลย์ ๙ สถิคราศีกันย์

 

(รูปดวง) 

 

เป็นที่รู้กันว่า ลัคนาของชายคนนี้สถิตราศีมีน อาทิตย์ (๑) และศุกร์ (๖) กุมลัคน์  มีเกตุ (๙) เล็งลัคน์  มองที่ตำแหน่งมหาอุจของดาวศุกร์ (๖) และอังคาร (๓) ก็ได้ตำแหน่งมหาอุจด้วยเช่นนี้  หมายถึงการเงินต้องดีแน่นอน  ทั้งดาวเสาร์ (๗) แม้จะเป็นกาลกิณี แต่ได้ตำแหน่งราชาโชค ดังนั้นบ้านช่องที่ดินมีแน่และค่อนข้างมากด้วย

 

ดาวอังคาร (๓) มหาอุจ เป็นดาวอุตสาหะในดวงทักษา  เป็นดาวเจ้าเรือนกะดุมพะ  และดาวเจ้าเรือนศุภะของลัคนาและตนุเศษ  ดาวดวงนี้เป็นดาวทหารโดยตรง

 

ราหู (๘) เป็นดาวอายุในดวงทักษา และเป็นดาวมาจากเรือนวินาศ  แต่มาได้ตำแหน่งราชาโชคในราศีตุลย์  ร่วมราศีเดียวกับพฤหัสบดี (๕) ทำให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฝีมือการช่างหาตัวจับยาก  เหล้าบุหรี่  การพนันทุกชะนิดไม่แตะต้อง  เพราะราหู (๘) นอกจากมาจากเรือนวินาศแล้ว  ยังมาเป็นดาวลอยอยู่ในเรือนอริอีกชั้นหนึ่ง  และอยู่กับดาวที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมอย่างพฤหัสบดี (๕)

 

จันทร์ (๒) และพุธ (๔) เป็นดาวคู่มิตร  เฉพาะจันทร์ (๒) เป็นดาวมูลละจากดวงทักษา  ได้ตำแหน่งเป็นมหาจักร  เป็นดาวมาจากเรือนปุตตะ  ถ้ามีบุตรจะดีมาก  เพราะดาวปุตตะได้ตำแหน่งมหาจักร  แต่ไม่มีเพราะถูกราหู (๘) เล็ง

 

ดาวพุธ (๔) มาจากมนตรีในดวงทักษา  มาจากเรือนพันธุ  มาจากเรือนปัตตนิ  ถือว่าได้คู่ดีพอสมควร  ช่วยกันทำมาหากินไม่ฟุ่มเฟือยจนเป็นที่พึ่งของญาติได้ทั้งสองฝ่าย  เป็นคนชอบสมถะ

 

ดาวศุกร์ (๖) เป็นดาวเดชตามทักษา  ได้ตำแหน่งมหาอุจกุมลัคน์  เป็นดาวมาจากเรือนสหัชชะ  และเรือนมรณะ  มีเพื่อนมีฐานะดี  แต่มีเพื่อนไม่มากนัก  ทั้งนี้เพราะมีมฤตยู (๐) คอยทำลาย

 

ยามนี้ (ตค.48) ราหู (๘) จรทับลัคน์ พฤหัสบดี (๕) จรเข้าเรือนมรณะ  และดาวปัตตนิเป็นกาลกิณีจร  ต้องระวังเรื่องในครอบครัว  การขัดแย้งกับค่ การย้ายงาน การมีญาติผู้ใหญ่หรือบิดามารดาเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต




ความรู้ทางโหราศาสตร์

ราศีเปรียบเทียบแสดงความหมายถึงอุปนิสัย article
ความหมายของภพ article
จันทร์ ครุ สุริยา และดวงจตุสดัยเกณฑ์ article
ดวงพินทุบาทว์ article
คู่ครอง หรือ ปัตนิ article
ดาวเคราะห์ผสมกันบอกลักษณะบุคคล article
คู่ครอง (ปัตนิ) กับเจ้าเรือน article
หลักที่ท่านห้ามเด็ดขาดมิให้สมรสกัน article
ทิศประจำราศี article
พระเคราะห์ให้คุณและโทษ article
ดาวต่าง ๆ โคจรทับลัคนา article
จักรทีปนีจร (ดาวจรกระทบดาวเดิม) article
วิธีพยากรณ์แบบภพผสมภพ article
หลักการพยากรณ์ เรื่องการสมรส article
ตำนานชาติเวร ดาวประจำวันเกิด โดย ส.วรศิลป article
ตำนาน พระอาทิตย์ ตามชาติเวร article
ตำนาน พระจันทร์ ตามชาติเวร article
ตำนาน พระอังคาร ตามชาติเวร article
ตำนาน พระพุธ ตามชาติเวร article
ตำนาน พระพฤหัสบดี ตามชาติเวร article
ตำนาน พระศุกร์ ตามชาติเวร article
ตำนาน พระเสาร์ ตามชาติเวร article
ตำนาน พระราหู หรือ พุธกลางคืน ตามชาติเวร article
อาทิตย์ ทับ ดาว ต่างๆ article
จันทร์ ทับ ดาวต่าง ๆ article
อังคาร ทับ ดาวต่าง ๆ article
พุธ ทับ ดาวต่าง ๆ article
พฤหัสบดี ทับ ดาวต่าง ๆ article
ศุกร์ ทับ ดาวต่างๆ article
เสาร์ ทับ ดาวต่าง ๆ article
ราหู ทับ ดาวต่าง ๆ article
เกตุ ทับ ดาวต่าง ๆ article
มฤตยู ทับ ดาวต่าง ๆ article
ษัฑพละ article
ระยะต่าง ๆ ของดาวจันทร์ article
เวลาดวงอาทิตย์ ขึ้น-ลง http://www.navy.mi.th/hydro/sun.htm article
พฤหัตชาฎก article
โษฑศวรรค (ตาบอดส่องตะเกียง) article
ฤกษ์ โดย Nemo article
มรณะองศา ของดาวต่าง ๆ (ตาบอดส่องตะเกียง) article
มฤตยู โดย อาจารย์ Nemo article
ฤกษ์โดยตาบอดส่องตะเกียง&นีโม่ article
ภฤคุสูตร โดย Nemo article
" ตฤมศำศ " article
ดาวศุกร์อยู่ราศีใดมีความหมายอย่างไร article
ดาวมาตราฐาน และ ความหมาย article
ตนุจันทร์,สหัชชะ,คู่ครอง,กาลกิณี อยู่ในเรือนต่าง ๆ article
การพยากรณ์พื้นดวงชาตากำเนิดขั้นต้น article
เรื่อง ดาวพักร –เสริด-มนท์ article
ดาวเคราะห์ (ดาวเคลื่อนที่) ระยะห่างของดาว article
กฎ ลบ – ลบ กลายเป็นบวก article
การใช้สี และ อัญมณีประจำวันเกิด
เกณฑ์ดาวคู่มิตร , คู่ธาตุ, คู่สมพล, คู่ศัตรู
เกณฑ์การวางลัคนาดวงฤกษ์ตามกนกกุญชร
ข้อปฏิบัติในการให้ฤกษ์
เทียบเวลาเมืองกรีนิช(อังกฤษ) article
ตารางการเปลี่ยนแปลงเวลาอาทิตย์อุทัย article
ระยะการเดินทางของดาวพระเคราะห์ต่าง ๆ article
ทิศทางที่ให้โทษตามทักษา article
ทิศตามทักษา article
อิทธิพลของดาว อริ, มรณะ, วินาศนะ article
ความหมายของทักษา article
การหาตนุเศษ article
จันทร์ ครุ สุริยา และดวงจตุสดัยเกณฑ์ article
ศัพท์ทานุกรมโหร article
การให้ฤกษ์ฉบับง่าย "พลูหลวง" article
เคล็บลับการพยากรณ์ (1) 001-200 article
เคล็บลับการพยากรณ์ (2) 201-242 article
เคล็บลับการพยากรณ์ (3) 243-351 article
เคล็บลับการพยากรณ์ (4) 352-433 article
เคล็ดลับการพยากรณ์ (5) 434-500 article
เคล็บลับการพยากรณ์ (6) 501-1516 article
ข้อแนะนำในการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ article
เรียนโหราศาสตร์ให้รู้จริงได้อย่างไร article
กริ๊ง....สาวมิสทีนมาแล้วค่ะ โดย คนกันเอง article
ดวง 10 ลัคนา อ.สอ้าน นาคเพชรพูล
ปัญหาเรื่องการตัดเวลาท้องถิ่น อ.สุรพล พฤกษ์ไพบูลย์ article
การปรับเวลาท้องถิ่น โดย อ.โฮ๋ราสาด article
อาจารย์คนใหม่ วรพล ไม้สน (พลังวัชร์) article
ดูดวงแบบอินเดีย (c_the_moon) โดยอาจารย์ พลังวัชร์ article
วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร เสถียร โพธินันทะ article
ยามเมื่อดาวเดินถอยหลัง 1 article
ดาวพฤหัสมาเล็งดวงเมืองไทย article
บทความ โดย อาจารย์ สิทธา สิทธิโชค article
มฤตยู โดย อาจารย์ ซิเซโร (ยอดธง ทับทิวไม้ article
มรณะองศาของดาวต่างๆ โดย อ. neemo article
ปกิณกะ โดย อ. neemo article
เรื่องของเกณฑ์ โดย อ. neemo article
เรื่องผลของเรือน โดย อ.neemo article
หลักที่ท่านห้ามเด็ดขาดมิให้สมรสกัน ดังนี้ Name : khemjira article
ภูมิปัญญาจากอดีตสู่ความหวังในอนาคต โดย ทันตแพทย์ธีระพันธ์ แสงไพบูลย์
โหราศาสตร์ไทยพาราณสี โดย ทันตแพทย์ธีระพันธ์
โหราศาสตร์วิชาป้องกันการตายโหง ทันตแพทย์ธีระพันธ์ แสงไพบูลย์ article
ปริศนาช่วยวิเคราะห์เนื่องในวันแดงเดือด 15625 article
ทำไมการปฏิวัติของเราถึงทำในวันที่ 20 กันยา จักรพยุหะ article
วิเคราะห์เนื่องในวันแดงเดือด จักรพยุหะ article
เรื่องจักรพยุหะ จากคุณ 15625 article
คนอียิปต์ จริงใจแต่ไหน ? โดย เอกชัย
“บอกแล้ว....ก็ไม่เชื่อ” โดย เอกชัย



Copyright © 2010 All Rights Reserved.


-

-


Since 2003 - 7 - 11 Best View 1024 x 768 pixels...... www.horawej.com Email address: horawej@horawej.com
เว็บไซด์โหราเวสม์ (จำหน่ายโปรแกรมโหราศาสตร์ต่าง ๆ เว็บเพื่อการศึกษาทางวิชาโหราศาสตร์) โดย นายวิชิต เตชะเกษม โทร. 08-1844-3372
พร้อมหนังสือ เกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์จาก เขษมบรรณกิจ 25 ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กทม 10600
โทร. 02-439-2339, 02-439-7388-9, Fax. 02-439-7387 (หยุดวันอาทิตย์)
www.scb.co.th/