ReadyPlanet.com
dot
dot
นิตยสาร " โหราเวสม์ "
dot
bulletนิตยสาร "โหราเวสม์" ๔๘-๕๗
bullet:: ผูกดวง วางลัคนา หาสัมผุสดาว (ตามหลักคัมภีร์สุริยยาตร์) ::
bullet:: ผูกดวง วางลัคนา หาสัมผุสดาวตามปฏิทินดาราศาสตร์ (ลาหิรี) ::
bulletดูดวง ตามปี นักษัตร โหรหลวง
dot
เวป เพื่อนบ้าน
dot
bullethora-thai.com
bullethorasad.com
bullethorasad7.com
bullettiantek.com
bullettiantekpro.com
bullethenghengheng.com
bullet10luckastro.com
bulletตรวจล็อตเตอรี่
bulletค้นหาเบอร์โทรศัพท์
bulletค้นหาคำศัพท์
bulletค้นหารหัสไปรษณีย์
bulletOnline-Image-Converter
bulletAffiriate Area
bulletนำเข้าสินค้าจากจีน
bulletTaobao
bulletเฟอร์นิเจอร์
bulletกระบอกน้ำ
bulletของพรีเมี่ยม
bulletร่ม
dot
ข่าวสาร
dot
bulletเดลินิวส์
bulletไทยรัฐ
bulletข่าวสด
bulletบ้านเมือง
bulletมติชน
bulletคมชัดลึก
bulletกรุงเทพธุรกิจ
bulletผู้จัดการ
dot
เวปเพื่อนบ้าน แลกลิ้ง โฆษณา
dot
bulletเวปเพื่อนบ้าน
bulletแลกลิ้งที่นี่ LINK EXCHANGE
bulletโฆษณา คลิกที่นี่
dot
อาจารย์ เทียนเต็ก
dot
bulletดูดวงจีนฟรี กับ อ.เทียนเต็ก
bulletspeedtest.adsl
bulletYOUTUBE เวิ้งนครเขษม บ้านเรา


รับตั้งศาลต่าง ๆ

าจารย์โชคชัย เงินดี
รับตั้งศาลพระภูมิ เจ้าที่
พระพรหม และ
ถอนศาลต่างๆ
โทร:081-880-6143

 

พิธีพุทธาภิเษกวัจถุมงคลพระพิฆเณศมหามงคล รุ่น 1 วันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2555
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

โปรแกรมผูกดวงจีน
อาจารย์เทียนเต็ก

โปรแกรม
ตรวจสอบโชคลาภความร่ำรวย
ราคา 300 บาท

โปรแกรมดูดวงจีน 2 ภาษา
windows mobile

โปรแกรมดวงจีน
"รู้หนึ่ง-รู้หมด"
ดูดวง,หาฤกษ์ด้วยตนเอง

โปรแกรม Tian-Tek Pro Version 1
ราคา 1,000 บาท

VCDและDVD เรียนดวงจีน
ชุดที่ 1-2-3

0

Download ฟรี.
ตลับเมตรไฮเทค (ดีที่สุดในโลก)วัดได้ยาวไกลที่สุด

วัตุถุมงคล
เสริมดวง แก้ชง
สะเดาะเคาะห์ ต่อชะตา

ดวงจีนและฮวงจุ้ย
ที่เป็นวิทยาศาสตร์

อาจารย์อ๊อดวัดสายไหม
เจ้าตำรับตระกรุดลูกปืน
(1ส.ค.2550)

หลวงหนุ่ย
ที่สุดแห่งเจ้าพิธีเทวาภิเษก
จตุคามราเทพ 27 มิ.ย.2550

ที่เขาว่ารวยเพราะปี่เซียะหรือเป็นที่ฮวงจุ้ยกันแน่

ประวัติปี่เซียะ 貔貅

ตำแหน่งขุมทรัพย์
มหาเศรษฐี

ฮวงจุ้ย คู่สมพงศ์
ชง - ฮะ

ฮวงจุ้ยคนตาย

การตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ดวงปี 51ดวงฮวงจุ้ยให้โทษ
นี่เป็นลิขิตฟ้า-ยากจะฝืน

คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี
ไปสู่สถานที่ดี

เปิดกรุจตุคามรามเทพ
รุ่นที่ คุณสนธิไม่มี

เหรียญมงคล แก้ชง เสริมดวง
สะเดาะเคาะห์ต่อชะตา
ที่ร้านเซเว่นทุกสาขา

สถานีโทรทัศน์สีช่อง 7. สี(กระจก 6 ด้าน) มาทำข่าวเกี่ยวกับ ปี่เซียะ"貔貅

svautoshop  xenon

 

อาจารย์ รสสุคนธ์
รับสอนโหราศาสตร์ไทย
ตามทฤษฎี นวางศ์จักร
(อ.บุศรินทร์ ปัทมาคม)

หลักสูตร 2 เดือน 40 ชม.
เน้นการพยากรณ์เป็นหลัก
เพื่อดูดวงได้จริง
รับงานพยากรณ์
งานอีเว้นท์ นอกสถานที่
ติดต่อ
086-3582656
ossukon7155@gmail.com
ดูดวงผ่าน
1900 111 080
หรือ App Horaworld
รหัส 153

รับพยากรณ์ดวงจีน

อ.มังกร (แซ่จึง)
มณีเกียรติไพบูลย์
พยากรณ์ดวงชะตาจีน
(ซี้เถียวโป๊ยยี่)
ฤกษ์จีน แต่งงาน
ออกรถ
ขึ้นบ้านใหม่
มือถือ
081-459-9550
บ้าน
02-870-2450



โหราศาสตร์ไทย เรียนด้วยตนเอง อ.สิงห์โต สุริยาอารักษ์ (๑) article

  โหราศาสตร์คืออะไร

 

       โหราศาสตร์เป็นวิชาพยากรณ์ ที่เนื่องมาจากอำนาจของดวงดาวนพเคราะห์ต่างๆ ที่โคจรอยู่รอบจักรราศี เป็นวิชาที่มีหลักฐานและเหตุผล เป็นวิทยาการที่นับว่าทันสมัยอยู่ตลอดไป และเป็นวิชาที่คงทนถาวรตลอดกาลคู่ไปกับโลก เพราะเป็นเรื่องราวของวิชาที่เกี่ยวกับดวงดาวและโลกมนุษย์ กล่าวถึงอำนาจของดาวที่มีต่อสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก เป็นวิชาการทางนามและรูปแสดงกาลเวลาความส่องสว่าง ความรุ่งโรจน์ ความร้อน ความดึงดูด และพลังงานที่มีต่อพฤติกรรมของคนเราด้วย

       วิชาโหราศาสตร์ จึงเป็นวิชาที่เกี่ยวกับศาสตร์อันลึกซึ่ง เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งและอาจนับเนื่องอยู่ในไสยศาสตร์ เป็นวิชาที่ลึกลับอยู่คู่กับดาราศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาคำนวณ วิถีโคจรและขนาดน้ำหนัก ระยะ ฯลฯ ของดวงดาวในนภากาศ วิชานี้มีมาแต่โบราณสมัย

 

มูลฐานโหราศาสตร์มีความเป็นมาอย่างไร

       เนื่องจากมนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ ก่อนมีพงศาวดารและก่อนพุทธกาล มนุษย์เพิ่งรู้จักสร้างบ้านเรือนอาศัยรวบรวมขึ้นเป็นหมวดหมู่เป็นประเทศชาติโดยลำดับ เกิดการเชื่อถือเกี่ยวกับพวกเทวดาต่างๆ โดยไร้เหตุผล และมนุษย์สมัยนั้นคงมีเวลาว่างมาก เกิดการซอกแซกซุกซน จึงเกิดการพิจารณาท้องฟ้าขึ้นอย่างละเอียดและเฝ้าดูอย่างเพลิดเพลินก็เห็นเป็นรูปดาวต่างๆ ที่มองเห็น เช่น ดาวไถ ดาวจระเข้ ดาวลูกไก่ ฯลฯ ยิ่งดูนานเข้าดาวรูปต่างๆ เหล่านี้ก็เคลื่อนที่ไป บางทีมองไม่เห็นบนท้องฟ้าหลายๆ เดือน การสังเกตการณ์ทำให้เกิดผลเป็น ๒ ประการ คือ

       ๑.  ทำให้มนุษย์รู้จักกับดาวเป็น ๒ ประเภท คือ รู้จักดาวอยู่กับที่และรู้จักดาวเคลื่อนที่

       ๒.  ทำให้มนุษย์รู้จักกับดาวต่างๆ รวมทั้งอาทิตย์และจันทร์หมุนรอบโลก

       โดยอาศัยความสังเกตจากดวงดาวรู้วิถีของดวงดาวต่างๆ ก็รู้จักกับดาวเคลื่อนที่และดาวอยู่กับที่ดีขึ้นมาก แล้วเทียบให้เป็นนิยายโบราณคดีเกี่ยวกับกำเนิดดาวบ้าง นิยายสมมติให้เป็นสัตว์ต่างๆ บ้าง เป็นยักษ์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง ครั้นแล้วจึงแบ่งแผนผังดาวอยู่กับที่และดาวเคลื่อนที่รอบดลกออกเป็น ๑๒ ส่วน มีชื่อเรียกแผนผังไว้ทุกราศีเพื่อกันลืม เมื่ออาทิตย์เดินมาถึงที่เดิมก็นับเป็นหนึ่งปี การนับ วัน เดือน ปี และการแบ่งฤดูกาลคงเกิดขึ้นตอนนี้เอง

       สมัยดึกดำบรรพ์ต่อมาที่มีพงศาวดารแล้ว แต่ยังไม่มีเครื่องมือพิสูจน์ดาวยังไม่มีกล้องดูดาว แต่ทำให้มนุษย์รู้จักโลกดีขึ้น สืบเนื่องมาจากจันทรุปราคาก็ดี สุริยุปราคาก็ดี ล้วนเป็นสาเหตุที่มนุษย์รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใด เงาของโลกในดวงจันทร์มีลักษณะกลม มนุษย์จึงเข้าใจว่าโลกกลมและเป็นดาวดวงหนึ่ง และได้รู้จักรูปร่างของจักรวาลแจ่มสว่างยิ่งขึ้น

       หลายร้อยปีผ่านมา ก็พบการติดปฏิทินหรือปูมขึ้นมาซึ่งเป็นเอกสารแสดงการโคจรของดาวภายในระยะปี สมัยนั้นมีปฏิทินเกิดขึ้นจากชายไอยคุปต์ตั้ง ๓๖๘๙ ปีก่อนพุทธกาล มีรูปเครื่องหมายแสดงดาวเคราะห์และอาศัยแสงของดาวเหนือในการเดินทาง

       ในประเทศจีนก็มีการทำปฏิทินขึ้น เมื่อรัชสมัยอึ้งตี่ฮ่องเต้ก่อนพุทธกาล และรู้วิธีคำนวณสุริยคราส จันทรคราส มากกว่า ๓,๐๐๐ ปี

       สมัยต่อมาโหราศาสตร์ได้เจริญขึ้นโดยลำดับมาคู่กับดาราศาสตร์ เมื่อมนุษย์คิดเครื่องหมายใช้แทนคำพูดขึ้นได้ ก็จารึกเหตุการณ์และจดจำไว้รวบรวมร้อยกรองขึ้นเป็นตำรา ในชั้นเดิมก็รวมอยู่ด้วยกันกับดาราศาสตร์ เมื่อการคำนวณเริ่มเจริญขึ้นประกอบกับผู้ใหญ่สมัยโบราณเลื่อมใสทั้งสิ้นปฏิทินจึงเจริญขึ้นรวดเร็ว การนัดหมายทำพิธีทางศาสนาก็อาศัยปฏิทินเหล่านี้

       เมื่อมีเครื่องมือพิเศษดูดาวได้ชัดเจนยิ่งกว่าแต่ก่อน วิชาดาราศาสตร์ก็เจริญขึ้นมาได้พบเห็นดาวเพิ่มเติมขึ้นกว่าเก่า สะดวกแก่การคำนวณขนาดของดวงดาว น้ำหนักแร่ธาตุและแสงสี ระยะของดวงดาวต่างๆ นับว่าเจริญยิ่งขึ้นทวีคูณ เมื่อดาราศาสตร์เจริญขึ้น วิชาโหราศาสตร์ก็มีคนเอาใจใส่มากขึ้นตลอดเวลา พร้อมกับสิ่งแปลกประหลาดหลายประการได้จารึกเป็นตำราทวีขึ้นจนตราบเท่าทุกวัน

 

มูลฐานหลักการพยากรณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร

       เนื่องจากการสังเกตการณ์เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ฝนตก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำท่วม ลมพายุพัด ฯลฯ สมัยนั้นยังถือเป็นเพราะเทวดาต่างๆ บันดาล ก็เกิดการสนใจกับลักษณะโคจรต่างๆ ที่ถือเป็นเทวดาขึ้น คอยค้นหากันว่า เมื่อไรเทวดาจะทำโทษอีก ก็เกิดหลักพยากรณ์ในขั้นนี้เกี่ยวกับส่วนใหญ่ รวมทั้งสุริยุปราคานั้นเอง จึงเกิดการคำนวณราหูขึ้น เพื่อหาหลักเกณฑ์ต่อไปว่า เมื่อไรราหูจึงจะอมจันทร์อีก

       การพยากรณ์ดาวซึ่งถือเป็นเทวดานั่นเอง ก็มีการสนใจถึงการสังคมของกลุ่มชน ความอดอยาก ความขาดแคลน บางสิ่ง ไฟไหม้ โรคระบาด ข้าวยากหมากแพง การสงคราม การปล้นสะดม ฯลฯ แต่ละเมืองมีความเจริญผิดกัน การสังเกตเกิดเป็นพยากรณ์โดยพิจารณาว่าในขณะที่โรคห่าเกิดขึ้นนั้น ดาวอะไรอยู่ที่ไหน จะได้จำไว้หากดาวนั้นมาอยู่ที่เก่าอีก จะได้ระวังโรคห่าอีก เกิดการอพยพไปตั้งเมืองกันใหม่เป็นต้น หลักการพยากรณ์ในขั้นนี้ก็คงมีว่า เมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนที่ไปอยู่ราศีใด เกิดเรื่องอะไร คนเกิดในขณะที่ดาวนั้นอยู่ราศีนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไร มีนิสัยใจคอเป็นอย่างนั้น

       ฉะนั้น จักรราศีซึ่งแบ่งไว้เป็น ๑๒ ส่วน จึงเริ่มซอยออกเป็นตรียางค์ นวางค์ รวมความว่าราศีหนึ่งๆ ซอยออกเป็น ๓ ส่วนใหญ่ๆ และส่วนทั้ง ๓ ส่วนนั้นซอยออกเป็น ๙ ส่วนเล็ก ตกลงว่า ๑๒ ราศี มีส่วนเล็กเท่ากันเป็น ๑๒ x = ๑๐๘ ส่วน คนที่เกิดส่วนใดก็มีรูปร่างผิดแปลกไป ท่านคงจะได้ยินคำว่า “บ้ามี ๑๐๘ จำพวก” “ทำพระด้วยเกสรดอกไม้ ๑๐๘” “นะ ๑๐๘” ฯลฯ นั่นแหละชี้ให้เห็นว่ามาจากการแบ่งราศีนี่เอง หลักสังเกตการณ์เกิดนี้โดยมากคงจะถือเอาดวงอาทิตย์เป็นหลัก เวลาเด็กเกิดมาอาทิตย์อยู่ที่ใดในจักรราศีใด

       ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มมีนาฬิกาต่างๆ ใช้กันแพร่หลาย ก็พากันแปลกใจว่าบางทีกลางวันมาก บางทีกลางวันน้อย ไม่เหมือนกัน บางทีพระอาทิตย์อ้อมไปทางเหนือบ้าง บางทีก็อ้อมไป ทางใต้บ้าง คนสมัยนั้นคงไม่รู้ว่าโลกเอียงแกนเข้าหาดวงอาทิตย์จึงเป็นเช่นนั้น ด้วยจากการมองจากโลกไปยังดาวฤกษ์ที่อยู่กับที่ และเห็นว่ามันเดินนี่เอง ก็เกิดการจดเวลาของวันอันแท้จริงขึ้น โดยถือเอาดาวฤกษ์หมู่หนึ่ง เช่น ดาวไถหมุนไปตกและขึ้นมาอยู่ที่เดิมรอบหนึ่ง เป็น ๑ วัน ส่วนเวลาที่แตกต่างไป สำหรับกลางวันและกลางคืนนั้น ก็เฉลี่ยให้แก่ราศีต่างๆ ตามความเป็นจริงที่มองเห็น จึงเกิดอันโตนาที อันโตนาที คือ จุดเวลาที่ผ่านตามราศีหนึ่งๆ ตามความเข้าใจของคนสมัยก่อนจะเข้าใจอย่างไรนั้น เราจะเห็นแจ้งชัดหากทำรูปและดวงอาทิตย์จำลองขึ้นหมุนดู

       อันโตนาทีที่เกิดขึ้น เพราะความเอียงของแกนโลกประกอบกับแนวโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์นั้นเอง และเพราะอาศัยอันโตนาทีนี่เองเป็นทางบอกแก่คนโบราณว่า พอดวงดาวนั้นตรงศีรษะในเวลากลางคืนและจะเป็นเวลากี่ทุ่มกี่ยาม

       เมื่อความรู้อันโตนาทีเจริญขึ้น นักสังเกตการณ์ก็เข้าใจถึงจุดที่ผ่านไปตามราศีต่างๆ ลึกซึ้งยิ่งขึ้น การวางดวงกำเนิดจึงอุบัติขึ้น ณ จุดเวลาที่เด็กหายใจ ถือเอาว่าเทวดา (ดาวเคราะห์) ที่ชุมุนมกัน ณ จุดเวลานั้นแหละ คือตัวเด็กที่เกิด ณ จุดนั้น จะดีหรือร้ายก็ดูตำแหน่งของเทวดา (ดาวเคราะห์) หมู่นั้น ก็เชื่อเหมาเอาทำนองนี้เอง แม้จะพลาดจากความเป็นจริงไปบ้าง แต่ก็นับว่าขึ้นอยู่กับทฤษฎีที่ถูกต้องไม่น้อย

       การสังเกตการณ์ต่อมา ก็เป็นไปตามของบุคคลหลายชั่วคนชั่วอายุนั่นเอง ก็ได้เกิดการพยากรณ์เกี่ยวกับลัคนากำเนิดขึ้นอย่างมากมาย การสังเกตเช่นคนหนึ่งถูกฆ่าตาย โหรก็เอามาพิจารณาดูว่า ขณะนั้นดาวเคราะห์อะไรอยู่ที่ไหน ให้โทษอย่างไร ก็บันทึกไว้ทำอย่างนี้หลายๆ ครั้งก็เกิดกฎเกณฑ์ขึ้น การค้นคว้านี้เชื่อว่าในปัจจุบันก็มีผู้กระทำอยู่มากมาย กฎเกณฑ์นับวันจะรัดกุมยิ่งขึ้น

       สมัยก่อนมีการเหลื่อมล้ำ ถือความสูงสุดและต่ำสุดแห่งอำนาจวาสนาของบุคคลนี่เอง ข้าทาสหรือไร่ นา วัว ควาย เป็นหลัก (สมัยต่อมาเรียกศักดินา) สังเกตว่าคนที่มีมากๆ นั้น มีดาวอะไรอยู่ที่ไหน พิจารณากันนานๆ ก็ได้หลักและจดไว้ คือดาวดวงเกษตร เป็นต้น ซึ่งใครมีดาวดวงอย่างนี้ ก็หมายถึงวาสนา มีทรัพย์สมบัติ ที่ดิน ข้าทาสบริวารมากกว่าคนอื่นๆ (ที่มาแห่งดาวเกษตร) อันแปลว่าดวงเขตของดาวเคราะห์ต่างๆ ซึ่งตรงกับลำดับดวงดาวจากดวงอาทิตย์ คือ ๑ ๔ ๖ ๓ ๕ ๗ อาทิตย์ พุธ ศุกร์ อังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ แล้วแบ่งเป็นกลางวันกลางคืนนับ จึงเห็นว่าทฤษฎีนี้อธิบายดวงมาตรฐานอื่นๆ เช่น มหาอุจ มหาจักร ราชาโชค ฯลฯ และดวงมาตรฐานอื่นๆ เช่นกัน ได้พิจารณาระหว่างความดี กับความชั่ว เป็นส่วนรวม ไม่จำกัดลัคนากำเนิดจะอยู่ที่ไหน ดวงมาตรฐานจึงบ่งถึงอิทธิพลของดาวเคราะห์ที่บันดาลในด้าน ดี-ชั่ว ตามตำแหน่งในราศีต่างๆ ไว้เพื่อเปรียบเทียบ

       โหราศาสตร์เจริญขึ้นตามลำดับเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และเหตุผลที่ดีเลิศ เป็นศิลปะศาสตร์ที่มีผลมากจนผู้รู้ในครั้งก่อนหวงแหนวิชานี้กันยิ่งนัก เพราะกลัวผู้อื่นจะสามารถหยั่งรู้เหมือนตน หลักการที่ง่ายๆ กับพูดวกวนเวียนเสียให้เป็นการยากมากขึ้น ตำราที่เขียนกันไว้จนเต็มไปด้วยข้อความห้วนๆ ใครจะซักถามนอกลู่นอกทางไม่ได้

       การสร้างปฏิทิน โดยอาศัยคัมภีร์สุริยยาตรนั้น ความจริงหลักการมาจากการสังเกตโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แล้วก็ทำต่อกันมานับเป็นจำนวนพันๆ ชีวิต ได้กฎเกณฑ์ในการโคจรขึ้น โหรก็ได้ร้อยกรองต่อๆ กันมาจนเป็นตำราที่ดีเลิศที่สุด ละเอียดที่สุด อันเป็นงานชิ้นโบว์แดงแห่งโหราศาสตร์ทีเดียว

       การสังเกตโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ ใช้จำนวนเลข ๘๐๐ เป็นหลักการคำนวณและเลข ๘๐๐ นี้ ความจริงมิได้หมายความว่าสังเกตกันถึง ๘๐๐ ปี เป็นเพียงกล่าวกันว่าในระยะ ๘๐๐ ปี ดาวเคราะห์ย่อมจะโคจรไปอยู่ในที่เดียวกัน หรือถ้าหากผูกดวงชาตาในวันเดือนเดียวกันระยะห่างกัน ๘๐๐ ปี จะได้ดวงชาตาเหมือนกัน แต่ถ้าจะเอา ๒๙๒๒๐๗ ตั้ง แล้วเอา ๘๐๐ หาร จะรู้กำลังในปีเดียวก็จะได้ลัพธ์ ๓๖๕ เท่ากับวันในปีหนึ่งโดยตรง กับยังมีเศษอีก ๒๕๘๗๕ ใน ส่วน ๑๐๐๐๐๐ ของวัน

       ฉะนั้น จึงใช้เกณฑ์ ๒๙๒๒๐๗ ถือว่าเป็นกำลังวันในรอบ ๘๐๐ ปี ยังมีเศษอีก ๓๗๓ เป็นหลักเกณฑ์แห่งการคำนวณ

 

โหราศาสตร์เกิดขึ้น ณ ที่ใด และใครคิดวิชานี้ขึ้นได้

       ศาสตราจารย์คนแรกที่คิดวิชานี้ขึ้นได้นั้นไม่มีใครรู้จัก เพราะนานเกินควรแก่การคาดคะเน แต่เชื่อว่าเกิดขึ้นในทวีปอาเซียแห่งหนึ่งใดก่อนเป็นเวลา ๕๐๐๐ ปีมาแล้ว และแพร่หลายไปตามประเทศน้อยใหญ่ เช่น ไอยคุปต์ กัลเดีย เปอร์เซีย ธิเบธ จีน ญี่ปุ่น พม่า มอญ เขมร ไทย ฯลฯ

       โหราศาสตร์เจริญรุ่งเรืองมากในแถบบิโลเนีย สมัยกัลเดียครอบครอง ที่ปรากฏว่าเป็นผู้แบ่งจักรวาลออกเป็น ๑๒ ราศีนั้น สมัยนั้นก็ยังกล่าวว่าอาจารย์เดิมเป็นเทวดาก่อนท่อนบนเป็นมนุษย์ท่อนล่างเป็นปลานำคัมภีร์ดาวมาให้ (น่าจะเป็นพวกเสมไมต์หรือกุสไสท์ผู้รู้วิชาดาวมาทางเรือ กล่าวกันว่าขึ้นที่อ่าวเปอร์เซียเป็นครูคนแรกที่สอนวิชาดาวให้กับพวกกัลเดีย)

       ชาวกรีกโบราณเป็นผู้นำโหราศาสตร์และดาราศาสตร์ จากทวีปอาเซียไปแพร่หลายในทวีปยุโรปอีกต่อหนึ่ง

 

โหราศาสตร์เกิดแต่บูรพาจารย์คนเดียว

       มูลกำเนิดของโหราศาสตร์ เกิดแต่บูรพาจารย์คนเดียวกันคือทุกชาติทุกภาษาได้แบ่งจักรวาลขอบฟ้าเป็น ๑๒ ราศี มีเครื่องหมายประจำราศีเหมือนกันหมดทุกราศี เช่น ราศีเมษ สมมุติให้เป็นแพะ ราศีพฤษภ เป็นแพะ กรกฎเป็นปู และมีนเป็นปลา เช่นนี้เป็นต้น พิสูจน์ให้เห็นว่าโหราศาสตร์มาจากแหล่งที่เดียวกัน ชาติใหญ่ๆ ที่มีอารยธรรม และมีอำนาจมาแต่โบราณกาลล้วนแล้วแต่ชำนาญทางโหราศาสตร์มาแล้วทั้งนั้น ศาสตราจารย์พยากรณ์ในสมัยโบราณทำประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองและศาสนามากในคราวบ้านเมืองใดเกิดคับขันหรือจะมีศาสนาใดเกิดขึ้น อาจารย์ย่อมรู้ล่วงหน้าก่อนพระศาสนาใดจะกำเนิด เช่น พระพุทธเจ้า พระเยซู โมหมัด ก็ดี ก่อนที่จะประสูติและกำเนิดโหราจารย์ได้คิดเห็นพยากรณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว

 

ในประเทศอินเดียได้เปรียบทางโหราศาสตร์มาก

       ในประเทศอินเดียได้เปรียบทางโหราศาสตร์มาก เขาใช้กันมาก่อน ๓๕๐๐ ปี ตำราของเขาอยู่จนครบเท่าทุกวัน ทั้งเป็นที่เกิดของโหราศาสตร์ด้วย ได้แพร่หลายในสกุลพราหมณ์ผู้เรียนพระเวทย์มาก แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาประสูติก็มีโหราจารย์กันถึง ๗ ท่าน คำพยากรณ์นั้นเป็นที่ถูกต้องดี ต่อมาตอนหลังพระสาวกของพระพุทธองค์ถูกพวกโจรฆ่าตาย พระสาวกที่เหลือตายพากันไปเฝ้าทูลถามพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สมณะทั้งหลายควรรู้ฤกษ์ยามไว้ ไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นอันตรายแก่ตนเอง ต่อมาพระสาวกต่างๆ ต้องศึกษาฤกษ์ยามขอให้เข้าใจว่าเราจะรู้ฤกษ์ยามได้ดีนั้น ถ้าไม่ผ่านการศึกษาวิชาโหราศาสตร์มาก่อนแล้วจะไปรู้ฤกษ์ยามอันถูกต้องอย่างไรได้ เราจะเชื่อบุญเชื่อกรรมอย่างเดียวก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเราอยู่ในโลกยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีก แม้แต่พระพุทธองค์ทั้งๆ ที่จะไม่กลับมาอีกแล้วก็ยังยกย่องฤกษ์ยามนาที

 

 

โหราศาสตร์เข้าสู่ประเทศไทย

       ต่อมาเมื่อพระเจ้าอโศกราชมีแสนยานุภาพปราบปรามอินเดียภาคใต้ พ.ศ. ๒๐๐ ปีเศษนั้น กระทำให้ชาวอินเดียภาคใต้และพราหมณ์พาพระเวทย์หนีมาพึ่งอาณาจักรเขมรแล้ว และต่อมาไทยได้อพยพมาจากประเทศจีนมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ในประเทศสยาม ก็ได้รับการศึกษาวิชาโหรพร้อมกับลัทธิทางศาสนาและพิธีพราหมณ์ด้วย อันมีพระโสณะเถระและพระอุตระเถระมาเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นเองครั้งสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา ก็ยกย่องพราหมณาจารย์ขึ้นเป็นมหาราชครู ฉะนั้นจึงมีพราหมณ์ข้าราชครูกระทำพิธีการมงคลต่างๆ

       แต่เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาถูกไฟเผาผลาญจนสิ้น ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระโหราจารย์ได้รวบรวมกันขึ้นแต่คงจะอยู่ในราชสำนักเท่านั้น ประชาชนบุคคลภายนอกคงไม่มีตำราครบบริบูรณ์ นอกจากพวกท่านกรมโหรเท่านั้น หรือพระผู้ใหญ่ในยุคนั้นๆ และพระผู้ใหญ่ยุคนั้นต้องเป็นผู้มีปรีชาเฉลียวฉลาดจริงๆ ด้วยและพวกกรมโหรต้องไปมาหาสู่เสมอ การทำพิธีต่างๆ ตามลัทธิพราหมณ์ และกรมโหรได้เลิกเสียเมื่อเร็วๆ นี้

       ส่วนวิชาโหราศาสตร์ก็ยิ่งยังมีผู้สนใจอยู่ ยังหาได้เลิกเสียเหมือนพิธีต่างๆ เหล่านั้นไม่ ในประเทศไทยยังมีผู้สนใจในวิชานี้อยู่มากและอาจจะมีทวียิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกหลายสิบเท่าทวีคูณ แต่ยังมีผู้ที่ยังเห็นการดูทางชาตาเป็นการเชื่ออย่างงมงายพ้นสมัย แต่ไม่ช้าหรอกคนที่คิดเช่นนั้นก็ต้อง หันมาหาอาจารย์ดูดวงชาตาราศีของตนเองจนได้

 

โหราศาสตร์เป็นประโยชน์ที่สุดในโลก

       โหราศาสตร์เป็นวิชาที่มีประโยชน์ที่สุดในโลกวิชาหนึ่ง และจะไม่มีเวลาเสื่อมสูญเลย เพราะเป็นตำราทำนายโชคชาตาว่าโชคจะดีหรือร้ายประการใด มีหลักเกณฑ์ที่ใช้คำนวณตามความดึงดูดของกระแสแห่งดวงดาวนพเคราะห์ ซึ่งผิดกับตำราหมอดูชนิดอื่นๆ และอาจพิสูจน์ได้จริง ดังเช่น อาจทายจากตำราว่าจะมี สุริยุปราคา และจันทรุปราคาได้ในวันเดือนปีนั้นๆ และเวลานั้นไว้ก่อนและได้เป็นจริงตามที่คาดไว้ไม่ผิดเช่นนี้เป็นต้น และอาจบอกได้ว่าปีนั้นปีนี้ฝนน้อย ฝนมาก แผ่นดินไหวเหล่านี้ ยิ่งเกี่ยวกับฤกษ์และยามในการกระทำพิธีก่อร่างต่างๆ ซึ่งผลทั่วไปอยู่ในเกณฑ์ลงความเห็นว่าใช้ได้ดีทีเดียว เรื่องนี้คือบทกลับของโหราศาสตร์นั่นเอง เมื่อรู้ว่าดวงดาวต่างๆ จะให้คุณ ให้โทษ ณ จุดใดเราก็หลีกเลี่ยงที่การก่อร่างสร้างสรรค์แต่ในจุดที่ให้คุณเท่านั้น มนุษย์เราเลือกเวลาเกิดไม่ได้ จะดีชั่ว จึงมีคำกล่าวว่าแล้วแต่กรรมปางก่อน จึงนับว่ามนุษย์เริ่มรู้จักนำโหราศาสตร์ไปใช้ให้เป็นประโยชน์บ้างแล้วในอนาคต และโหราศาสตร์ยังอาจให้ผลประโยชน์ต่อไปอีก เช่น

       -    ทำให้เห็นพื้นความสามารถ นิสัย สติปัญญา ของเจ้าชาตาทั้งคราวดีและคราวร้ายในชีวิต

       -    ใช้ประกอบกับการสอบสวนคดีต่างๆ

       -    ใช้ประกอบในการวินิจฉัยโรคและสุขภาพ

       -    ใช้ประกอบในการสมาคมระหว่างบุคคลทั้งสองเพศ

       -    ใช้ในการพิจารณานิสัยใจคอของคนภายในใต้บังคับบัญชา เหมาะสำหรับการปกครองและแก้ไข

       -    ใช้พยากรณ์ดินฟ้าอากาศ โดยอาศัยโหราศาสตร์กับอุตุนิยมศาสตร์

       -    ทำให้รู้ข้างหน้าว่าจะมีหรือจน จะเรียนอะไรดี จะทำงานอะไรดี คู่ครองเป็นคนอย่างไร อยู่ที่ไหน ฯ

ฯลฯ

 

       ดังกล่าวมานี้โหราศาสตร์ได้ช่วยร่วมมือ ย่อมให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ปัญหาอยู่ที่การปรับปรุงโหราศาสตร์ให้ทันสมัยขึ้นเท่านั้น

       ฉะนั้น โหราศาสตร์จึงมีคุณประโยชน์มาก เป็นส่วนหนึ่งแห่งอนาคตเพื่อเตรียมพร้อมให้ทันท่วงทีที่จะรับเหตุการณ์ภายหน้า ได้เปรียบกว่าที่จะคิดแก้ไขในปัจจุบัน การรู้การภายหน้าจากโหราศาสตร์จึงมีค่าอันใหญ่ยิ่ง

 

โหราศาสตร์ตกมาถึงมือประชาชนเมื่อใด

       โหราศาสตร์เป็นวิชาละเอียดสับสน จะต้องใช้การสังเกตพิจารณากันจริงๆ มิใช่เห็นตำราแล้วก็เข้าใจทันที เพราะภาษาของตำราโหราศาสตร์นั้นยากมาก และกฎเกณฑ์ก็มีมาก สับสน ไม่มีโรงเรียนเรียนกัน คำสอนก็เป็นคำเฉพาะบ้าง คำอรรถบ้าง คำโคลงบ้างๆ ซึ่งหากข้อความอ่านง่ายๆ อ่านแล้วเข้าใจเลยทีเดียวไม่มี

       วิชาโหราศาสตร์ เดิมมีอยู่แต่เฉพาะพราหมณ์ ซึ่งเป็นโหรประจำพระองค์พระเจ้าแผ่นดิน หรือผู้ครองนครเท่านั้น หาใช่มีอยู่สำหรับบุคคลทั่วไปดังปรากฏอยู่ ณ บัดนี้ไม่ และพยากรณ์ของโหรสมัยโบราณก็พยากรณ์แก่ผู้ที่ทราบเวลาเกิดแน่นอนเท่านั้น

       วิชาโหราศาสตร์พึ่งตกมาถึงมือประชาชนทั่วๆ ไป เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดหอพระสมุดแห่งชาติขึ้น และผู้ที่มีคัมภีร์หรือตำราต่างๆ ก็นำมามอบให้แก่หอพระสมุด หอพระสมุดก็เปิดโอกาสให้แก่ประชาชนเข้ายืมอ่านและคัดลอกตำรับตำราต่างๆ ได้ ด้วยเหตุนี้ วิชาโหราศาสตร์จึงออกไปสู่ประชาชนทั่วๆ ไป แต่ก็ลุ่มๆ ดอนๆ เนื่องจากวิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาละเอียดอ่อน สับสนมีคำยากมาก มีผู้เรียบเรียงรวบรวมตำราขึ้นมาก็มากเล่ม และราคาแพง

 

 

       สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้ครองตำแหน่งโหราธิบดี ๖ ท่านมีรายงานดังนี้

       ๑.  พระยาโหราธิบดี      (ชื่อ อิ่ม)

       ๒.  พระยาโหราธิบดี      (ชื่อ คำ)

       ๓.  พระยาโหราธิบดี      (ชื่อ บัว)

       ๔. พระยาโหราธิบดี      (ชื่อ เถื่อน)

       ๕. พระยาโหราธิบดี      (ชื่อ ชุ่ม)

       ๖.  พระยาโหราธิบดี      (ชื่อ แหยม)

       ผู้ครองตำแหน่งโหราธิบดีทั้ง ๖ ท่าน หามีผู้สืบตระกูลติดต่อกันไม่ ตัวอย่างหาผู้สืบตระกูลติดต่อกันไม่ได้ คือในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ศรีปราชญ์เป็นบุตรพระยาโหราธิบดี ตามประวัติศรีปราชญ์นี้มีปฏิภาณดีเลิศกว่าคนในสมัยนั้น แต่ศรีปราชญ์ก็ไม่ได้ครอบตำแหน่งโหราธิบดี ด้วยอำนาจโชคชาตาของมนุษย์ย่อมอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ดูแต่ศรีปราชญ์เถิด แม้ทั้งที่ได้รับพระราชทานพรของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้วก็ยังคุ้มไม่ได้ ดังที่พระยาโหราธิบดีพยากรณ์ไว้แต่เยาว์ว่าจะถูกประหารด้วยคมหอกคมดาบ

 

โหรกับหมอดูต่างกันหรือไม่ อย่างไร

       ๑.  โหร คือ ผู้เรียนวิชาโหราศาสตร์ ที่กล่าวถึงอำนาจของดาวที่มีอิทธิพลต่อโลกมนุษย์ โหรเป็นผู้รู้กาลเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์ดีร้ายแก่สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลฟ้าครอบ รวมทั้งชีวิตมนุษย์ด้วย

       ๒. หมอดู คือ ผู้ที่จะบอกโชคดีหรือเคราะห์ร้ายแก่ท่าน วิชาหมอดูที่ใช้อยู่ทั่วไป คือ เลข ๗ ตัว, เลข ๑๒ ตัว กร๊าฟแบบนโปเลียน, ไพ่ป๊อก, เสี่ยงทาย, พรหมชาติ, ลายมือ

 

เหตุผลข้อเปรียบเทียบ

       (๑)   ถ้าหมอดูใช้ตำราทั้ง ๖ อย่างที่กล่าวมานี้ ดูบุตรฝาแฝด จะถูกต้องสักกี่เปอร์เซ็นต์ บุตรฝาแฝดซึ่งเกิดมาจากบิดา-มารดาเดียวกัน รูปร่างคล้ายคลึงกันหากเวลาเกิดต่างกัน นิสัยใจคอย่อมไม่เหมือนกัน และได้ประสบเหตุการณ์ในชีวิตก็ต่างกัน

       (๒)   สำหรับโหรใช้เวลาเกิดเป็นหลักพยากรณ์เพียง ๔ นาที อาจให้ลัคนาสถิตผิดราศีก็ได้ หรือไม่ก็ผิดนวางค์-ตรียางค์ แม้ลัคนาอยู่ในราศีเดียวกันแต่หากต่างนวางค์-ตรียางค์หรือฤกษ์แล้ว ย่อมทำให้นิสัยใจคอผิดกัน และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเจ้าชาตาก็ต่างกัน

       ปัจจุบันมักเรียกโหรว่าหมอ จะเนื่องจากให้หมอดูดูกันเสียบ่อยๆ จนชินปาก หรือจะเนื่องด้วยโหรผู้ที่รู้วิชาโหราศาสตร์ยังมีน้อยไม่มีใครค่อยรู้จักมากนัก และวิชาโหราศาสตร์ก็ยังไม่แพร่หลายเข้าถึงประชาชนทั่วไป

 

เรียนโหราศาสตร์ให้รู้จริงได้อย่างไร

       การศึกษาวิชาโหราศาสตร์เป็นของลึกซึ้งเป็นอันมาก ต้องพยายามศึกษาจริงๆ เนื่องจากวิชานี้ยากและไม่สู้มีผู้สนใจเรียน เพราะไม่มีโรงเรียนอย่างหนึ่ง และไม่มีการสอบอีกอย่างหนึ่ง ต้องอาศัยฝึกฝนด้วยตนเอง และสืบเสาะหาตำราอย่างตั้งใจจริงจึงพระพออ่านใจความในดวงชาตาออกซ้ำท่านผู้รู้บางท่านจะปิดๆ เคล็ดไม่สู้จะบอกกล่าวกันโดยตรง จึงเป็นเหตุให้ผู้เรียนท้อถอย เมื่อคิดแต่เผินๆ ว่าไม่สู้จะมีประโยชน์เพราะไม่ใช่การค้าขายที่ได้เงินได้ทองก็ไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าหากคิดให้ละเอียดแล้ว ขอให้คิดไปว่าคนเราเกิดมาในโลกก็ต้องหาเลี้ยงชีพทุกผู้ทุกนาม พอลืมตาขึ้นก็เห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์เรียกว่าแลเห็นโลก จะเดินไปไหนก็มีหนทางที่เขาทำไว้ให้เดินตามพื้นดิน แต่มืดต่อทางเดินแห่งชีวิตคือยังไม่ทราบว่าชีวิตต่อไปนี้จะทำอะไรจึงจะดีต่อไปในชีวิตข้างหน้า

       เมื่อทราบว่าวิชาโหราศาสตร์ เป็นแว่นตาส่องทางเดินของชีวิตได้จริงก็ควรขวนขวายพอให้รู้หนทางนี้บ้าง ถ้าผู้ใดรู้วิชานี้ไว้บ้างก็เท่ากับมีไฟฉายส่องทางเดินในเวลากลางคืนมืด ฉะนั้นถ้าจะศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไม่ต้องไปศึกษาหมอดู เพราะหมอดูเขาใช้สำหรับคนชั้นต่ำชั้นกลาง ส่วนโหราศาสตร์เขาใช้สำหรับคนชั้นสูง วิชาที่หมอดูใช้อยู่ทั่วไปคือเลข ๗ ตัว, เลข ๑๒ ตัว กร๊าฟแบบนโปเลียน, ไพ่ป๊อก, เสี่ยงทาย, พรหมชาติ, ลายมือ สิ่งเหล่านี้อย่านำไปใช้ปนกับโหราศาสตร์ เพราะไม่ใช่วิชาโหราศาสตร์ เรื่องนี้ควรระมัดระวังให้มาก

       การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ของเราส่วนมากไม่ได้เรียนกันอย่างจริงๆ จังๆ กัน เมื่อเราศึกษาไม่ทั่วถึงจะไปว่าตำราผิดอย่างไรกัน นอกจากนั้นพระพุทธเจ้ายังได้ตรัสไว้ว่า บุคคลใดสร้างกรรมไว้มากกรรมย่อมสนองผลก็ได้ แบบเดียวกับท่านไปอาศัยอยู่กับพวกหมู่อันธพาลถึงดวงดาวดี แต่ในสถานที่นั้นล้วนแต่ผู้มีกรรมชั่ว ดวงดาวดีย่อมส่งผลให้ได้ยากเหมือนกัน เพราะดวงดาวที่ขณะนั้นถูกความมืดมนปิดบังเช่นเดียวกับเมฆหมอกปกคลุมดวงจันทร์และดวงอาทิตย์

       การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ให้รู้แจ้งเห็นจริงนั้นสามารถเรียนได้เท่าเทียมกันทุกคน ไม่สำคัญที่พรสวรรค์หรือบุคลิกลักษณะแต่ประการใด สิ่งที่จำเป็นคือ

       ๑.  ผู้ที่จะศึกษาต้องทราบความเป็นมาของโหราศาสตร์เป็นขั้นๆ และดำเนินการฝึกฝนตนเองไปตามลำดับจากเบื้องต้นไปสู่ปลาย

       ๒.  อย่าลอกคำพยากรณ์เป็นดุ้นๆ จะไม่เหมาะแก่กาลสมัย

       ๓.  พูดง่ายๆ และอ่านรหัสดวงดาวโดยใช้ปทานุกรมแปลอยู่ตลอดเวลา

       ๔. ทำความเข้าใจทุกแง่ทุกมุม

       ๕. ให้สังเกตและพยากรณ์ดินฟ้าอากาศโดยอาศัยโหราศาสตร์กับภูมิศาสตร์ซึ่งเป็นการพยากรณ์ส่วนใหญ่

       ๖.  ให้สังเกตและพยากรณ์เหตุการณ์อันเกิดแต่กลุ่มชนทั่วไป

       ๗. ให้สังเกตการณ์พยากรณ์เป็นรายบุคคล

       ๘. ให้สังเกตการณ์จดจำจากการพยากรณ์ที่ถือว่าถูกต้องที่แล้วๆ มา

       ๙.  ให้สังเกตและบันทึกเป็นหลักฐานเพื่อความคิดเห็นไว้ด้วย

 

เหตุผลในการใช้ดวงชาตากำเนิดพยากรณ์วิถีชีวิตบุคคล

       โหราศาสตร์ถือเวลาเกิดเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก ณ จุดเวลาเกิดเป็นเครื่องมือพิจารณาชี้ชีวิตของบุคคล จุดเวลาเกิดอันถือเอาตอนเด็กเริ่มร้องและหายใจ ปอดเริ่มทำงาน บรรยากาศภายนอกประกอบด้วยพิกัดของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในเวลานั้นเหมือนพิมพ์ประทับ เกิดการปรุงแต่งในตัวเด็ก เรียกจุดเวลาเกิดนั้นว่า ลัคนา

       ลัคนา คือ จุดเวลาเกิดประกอบกับตำแหน่งดวงดาวเป็นสิ่งพยากรณ์ชาตาความเป็นไปของบุคคล

       ในขณะที่เด็กอยู่ในมดลูกของสตรีนั้น เด็กยังไม่มีการหายใจ ภายในมดลูกที่เด็กอยู่ก็มีเยื่อห่อหุ้มเรียกว่า รก อาหารที่เด็กได้รับจากกระแสโลหิตของมารดาภายในเยื่อรถที่หุ้มเด็กอยู่ย่อมมีความกดดันไม่เหมือนกับบรรยากาศภายนอก ตัวเรานี้มีบรรยากาศรอบๆ และเปลี่ยนความกดดันอยู่ทุกวินาที หรือส่วนของวินาที ท่านมองดูผิวน้ำที่มีเกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งและกำลังงานอันมาจากดวงดาวต่างๆ ในจักรวาล ดังจะเห็นว่ามุมของทิศทางแรงต่างๆ ของดวงดาวโคจรอยู่ตลอดเวลา ย่อมเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาบรรยากาศบนโลก เราก็รับแรงนั้นเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยอยู่ทุกขณะ

       เมื่อรกเด็กออกมาสู่บรรยากาศนอกมดลูก และถ้าตัวเด็กเปิดเผยต่อบรรยากาศของโลก ทุกอวัยวะของเด็กที่เคยอยู่ในความกดดันของมดลูก ก็จะพองออกเพื่อให้เสมอกับบรรยากาศภายนอก การพองตัวและขยายตัวนี้ ทุกอวัยวะจะขยายตัวออกถึงจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นความกดดันของบรรยากาศของโลก ณ จุดนั้น ปอดเมื่อขยายตัวถึงความกดดันของบรรยากาศภายนอกแล้ว แล้วก็หดลงเป็นขนาดเดิมด้วยกำลังยืดหยุ่นของปอด อากาศก็วิ่งเข้าและออกสู่ปอด เด็กจึงมีการหายใจขึ้น ณ จุดเวลานี้เอง บรรยากาศ ณ จุดเวลานั้นพิมพ์ประทับความกดดันแก่ทุกๆ สิ่งในตัวเด็ก ไม่ว่าสมองหรือไม่ว่าการหายใจและความเติบโตเปล่งปลั่งทั้งปวงที่ถูกความกดดันในรกบังคับอยู่ บรรยากาศภายนอก ณ จุดนั้นจึงทำเสมือนพิมพ์กดลงบนตัวเด็ก ขอให้ท่านดูการทำลูกบิลเลียด หากแม่พิมพ์กลมดิกไม่เบี้ยวลูกบิลเลียดจะกลิ้งไปโดยสม่ำเสมอ หากแม่พิมพ์เบี้ยว ลูกบิลเลียดก็จะโขยกเขยกไปตามเรื่อง แม่พิมพ์ของบุคคลก็เช่นกัน เราก็พิจารณาดูว่า ณ จุดเกิดของเด็กนั้นดาวต่างๆ อยู่ ณ พิกัดใด ให้คุณให้โทษอย่างไร ถ้าให้คุณตามเกณฑ์ที่เคยสังเกตไว้ ชีวิตของเด็กที่จะผ่านบรรยากาศของโลกในโอกาสต่อไปก็ราบรื่น หากมีความบกพร่องต่อไป ก็มักลำบากยากเข็ญแบบลูกบิลเลียดเบี้ยวกลิ้งไปนั่นเอง

       การพยากรณ์ชีวิตของบุคคลจึงแบ่งออกเป็นตอนสำคัญไว้ ๒ ตอนคือ

       ๑.  พื้นดวงกำเนิด เปรียบเหมือนบ้าน ท่านต้องค้นดูว่าเขาผู้นั้นมีอะไรบกพร่อง หากบ้านนั้นรั่วอ่อนแอเราก็รู้ดีทีเดียวว่า

       ๒.  ดาวจร ดาวจรนั้นเวลาพายุพัดมาตรงจั่วจะหักลงก่อนที่อื่น เช่นนี้เป็นต้น

       ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ เป็นเหตุผลอันเด่นชัด มนุษย์เราอันประกอบด้วย ธาตุ กับจิตใจ เมื่อธาตุถูกสร้างมาดี จิตใจย่อมดีไปตามธาตุเช่นกัน กระแสของดวงดาวในอนาคตต่อมาย่อมเกิดผลโดยตรงกับธาตุและจิตใจของคน โดยลำดับกันทางโหราศาสตร์จึงถือเอาดวงชาตาอันแสดงพิกัดของดวงดาว ณ จุดเวลาเด็กเกิดเปรียบเทียบกับพิกัดของดวงดาวต่างๆ ในปัจจุบัน ซึ่งทราบได้จากการคำนวณทำปฏิทินโหราศาสตร์เป็นเครื่องมือพยากรณ์ชีวิตของบุคคล ซึ่งทุกวันนี้เราถือว่าแม่นยำอย่างสูงสุดพอใช้การได้

 

เหตุผลของโหราศาสตร์และศาสนา

       ข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านผู้ใหญ่พูดว่า “สำหรับพุทธศาสนิกแท้ดูไม่น่ามีความจำเป็นอะไรที่จะข้องแวะกับโหราศาสตร์” เพราะพุทธศาสนาสอนไว้สมเหตุผลดีที่สุดแล้วว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” และก็เคยได้ยินพระโหราจารย์แสดงอธิบายว่าโหราศาสตร์เป็นอุปกรณ์ช่วยให้บุคคลทำดี และได้รับผลดีตามคำสอนนั้น

       ขอยกว่า ทุกคนย่อมอยากได้ดีด้วยกันทั้งนั้น และพยายามประกอบเหตุอันดี ครั้นแล้วก็หาประสบผลที่สมใจคาดทุกคนไม่ เพราะผลดีนั้นๆ มีตั้งร้อยอย่างพันอย่าง และเหตุประกอบอันจะนำไปหาผลดีนั้นเล่าก็มีตั้งพันประการ เมื่อไม่ทันทราบรายละเอียดก่อนว่า ประการไหนจะตรงไปให้ผลดีอย่างไรแก่ตนแน่ก็ต้องเดาสุ่มไปตามเพลง ถ้าผลดีอยู่ทางหนึ่งเหตุที่ประกอบนั้นเลี่ยงไปเสียทางหนึ่ง ถึงจะเป็นผลที่ดีก็ย่อมคลาดแคล้วไปจากผลที่หวังไว้ แม้เผอิญได้ผลดีมาใหม่ก็ไม่ใช่ที่ประสงค์เสมือนเดินทางผิด หากจะถึงที่อื่นก็มิใช่ที่มุ่งหมาย โหราศาสตร์เป็นเครื่องส่องทางเดินตรงไปยังสายที่ต้องการผลโดยไม่ให้เสียเวลาเหลวเปล่า

       โดยมากมักเข้าใจว่า ผลดี ผลร้าย แห่งการกระทำของบุคคลคือ กรรม หรือจะเรียกว่า กุศล และอกุศล ประกอบด้วยก็ไม่ผิด และก็ไม่สนใจคำว่าโชคนั้นมาก ถ้ามีกุศลก็ว่ามีโชค ถ้ามีอกุศลก็ว่ามีโชคร้าย

       ในเรื่อง กรรม นี้มีความเห็นแตกต่างกัน ความดีเด่นชัดนั้น คนจำนวนมากยอมรับว่า กรรม คือการกระทำที่มีผลถึงขนาด ไม่ใช่แต่เฉพาะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กรรม คือการกระทำที่ให้เกิดเป็นผลขึ้น เช่นปลูกต้นไม้ไว้ก็อาจได้ผลของต้นไม้ หรือเราไปฆ่าเขาตายเขาก็ตามจับเราไปฆ่าเช่นเดียวกัน

       คนส่วนมากมักไม่เข้าใจว่า กรรม คือการกระทำแต่ชาติก่อนที่เชื่อกันว่ามนุษย์จะต้องเวียนเกิดเวียนตาย เป็นสิ่งที่เคยบันดาลความเป็นไปของคนเราให้ผิดไปกว่าที่เราคาดคะเนไว้มากบ้างน้อยบ้าง ส่วนอิทธิพลของกรรม บางคนถือว่าจะหลีกเลี่ยงเสียมิได้เพราะพี่น้องท้องเดียวกันยังมีนิสัยและเหตุผลต่างกัน

       ทางโหราศาสตร์เห็นว่า กรรมคือสิ่งที่เราทำไว้แต่ปางก่อนแต่ลืมเสีย ไม่นึกถึงจนกระทั่งพบผลของกรรมนั้น เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดรู้เสียก่อนว่ากรรมคือสิ่งที่ตนทำไว้แล้วในอดีต จักให้ผลดีและผลร้ายในเวลานั้นก็อาจแก้พิษร้ายให้น้อยลง และเพิ่มกำลังแห่งกรรมดีให้บังเกิดผลดียิ่งๆ ขึ้นจนเรียกว่าเป็นโชค

       ฉะนั้น จึงเห็นว่าทุกคนควรเรียนรู้วิชาโหรไว้เพื่อทราบหนทางแห่งกรรมดี คือเหตุดีและเหตุชั่ว คือกรรมชั่ว นั้นไว้ด้วย

 

ความสัมพันธ์ระหว่างโหราศาสตร์กับพุทธศาสนา

       โหราศาสตร์กับพุทธศาสนามีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอยู่ เพราะว่าพระพุทธเจ้าขณะที่ยังทรงเป็นมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นโอรสของกษัตริย์ พระราชบิดาหวังจะให้ปกครองแผ่นดินต่อไป จึงได้โปรดให้พระราชโอรสศึกษาวิชาการต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนั้น ตามประวัติบ่งว่า “ศิลปะศาสตร์” ศึกษาจบถึง ๑๘ สาขา ถ้าเทียบกับสมัยปัจจุบัน หมายถึงพระพุทธเจ้าได้สำเร็จปริญญาโลกหลายสาขา ยิ่งกว่าด็อกเตอร์หรือดุษฎีมหาบัณฑิตคนใดๆ ในยุคนี้ และหากจะพิมพ์นามบัตรมีดีกรีพ่วงท้ายไปด้วย ต้องใช้การ์ดแผ่นใหญ่มาก

       “ศิลปะศาสตร์” ทั้ง ๑๘ สาขานั้นมีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่า พระองค์ทรงศึกษาเจนจบทั้ง ๑๘ สาขา และมีวิชาโหราศาสตร์รวมอยู่ด้วยสาขาหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อพระองค์ออกบวชและสำเร็จ “สพฺพญฺญุตญาณ” ทางศาสนาเพิ่มอีกสาขาหนึ่ง พระองค์จึงทรงบัญญัติหลักวิชาการต่างๆ ลงใน “พุทธศาสนา”

       ฉะนั้น หลักพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ บางข้อบางประการจึงคล้ายคลึงกับหลักทางโหราศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระองค์ได้ยึดเอาหลักวิชาการทางโหราศาสตร์มาเป็นแนวพื้นฐาน ในการบัญญัติวิชาการทางพุทธศาสนาของพระองค์ด้วย ตัวอย่างข้อนี้คือหลัก “กาลญฺญุตา” คือจะทำอะไรให้รู้จักกาลเวลาที่เหมาะกัน ตรงกับหลักการคือ “ฤกษ์” ในทางโหราศาสตร์นั่นเอง เพราะว่าการดูฤกษ์นั้น คือการดูเวลาอันเป็นศุภมงคลที่เหมาะสมในการประกอบกิจการงานต่างๆ เพื่อความสุข ความวัฒนาถาวร ความสำเร็จผล และเพื่อประสิทธิ์ฯ ความเจริญให้ได้ต้องตามความต้องการนั่นเอง นี่แหละคือความสัมพันธ์ระหว่างโหราศาสตร์กับพุทธศาสนา

 

ข้อแนะนำในการศึกษาวิชาโหราศาสตร์

       เนื่องจากวิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ลึกลับซับซ้อน การศึกษาจึงมีแต่การสับสนสลับซับซ้อนทั่วๆ ไป หลักสำคัญมีอยู่ว่า

       ๑.  ท่านต้องเรียนไปอย่างช้าๆ อย่าด่วนรีบเรียนจนเร็วเกินไป อาจทำให้ท่านสับสนยุ่งยากใจขึ้นภายหลัง

       ๒.  ต้องศึกษากฎเกณฑ์หลักมูลฐานขั้นต้นโดยทั่วๆ ไปเป็นขั้นๆ โดยใช้เวลาพอสมควร

       ๓.  เรียนอย่างมีระเบียบด้วยวิธีที่ถูกต้องเป็นขั้นๆ อย่าข้ามไปข้ามมา มิฉะนั้นจะจับหลักไขว้เขวและปนไปกันหมด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผลวินิจฉัยที่ต้องอาศัยหลักเปรียบเทียบความสัมพันธ์

       ๔. การวิเคราะห์หาความชำนาญ ใช้วิธีอนุมาณเปรียบเทียบว่าสอดคล้องหรือขัดแย้งเสริมกำลังหรือลดกำลังลงไปแค่ไหน การประมาณหนักเบาตลอดถึงผลมากน้อย

       ๕. เมื่อศึกษามาพอสมควรแล้ว ฝึกหัดปัญหาคำถามต่างๆ แล้วค้นหาวิธีตอบ ท่านควรลองใช้ความพยายามด้วยความรู้ความเข้าใจของท่านเองเสียชั้นหนึ่งก่อน ครูของท่านคือ ตัวของท่านเอง และท่านควรจะซื่อสัตย์ต่อตัวเองด้วย

       ถ้าท่านมีโอกาสก็ควรหัดพยากรณ์คนในบ้านของท่านทุกคน เพื่อนๆ ของท่านเพื่อหาความเจนจัดจากประสบการณ์จริงๆ เรื่อยไป

       การศึกษาวิชาโหราศาสตร์เป็นของกว้างขวางและพิสดารมาก ถ้าหากจะเอาตำรามารวมกันทั้งเก่าและใหม่ก็นับเป็นจำนวนพันๆ เล่ม และรวมทั้งภารตะ สากล ไทย จีน ก็นับกันไม่ไหว ฉะนั้นการศึกษาวิชาโหราศาสตร์จึงไม่รู้จักจบสิ้นลงได้เหมือนกับวิชาการแพทย์ซึ่งมีโรคเพิ่มขึ้นฉันนั้น แต่เท่าที่ทราบโหรทั้งหลายเอาแต่ส่วนที่เข้ากันได้เฉพาะโหรไทยแล้วนิยมทำนายกันทางราศี ที่เรียกว่า “ดวงจักรราศี” การศึกษาวิชาโหราศาสตร์เพื่อเข้าใจแต่ละอย่างให้แจ่มแจ้งชัดเจนไม่ใช่อยู่ที่การท่องจำอย่างนกแก้วนกขุนทอง ต้องอยู่ที่การเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างทุกแง่ทกมุม เช่นกับการผสมสีเป็นต้น เรารู้จักการเอาสีมาผสมกัน สีแดงกับสีขาวจะออกเป็นสีอะไร ถ้าเราอ่านสีผสมนั้นออกก็เรียนโหราศาสตร์เข้าใจได้แจ่มแจ้ง  สีแดงผสมสีขาวต้องออกสีผสมเป็นสีชมพู  เมื่อผสมสีเป็นเราก็สามารถเรียนวิชาโหราศาสตร์กันได้เท่าเทียมกันทุกคน  ไม่เป็นการสำคัญที่ต้องมีพรสวรรค์หรือบุคลิกลักษณะแต่ประการใด  ส่วนการพยากรณ์พิสดารเป็นเรื่องที่นักพยากรณ์จะสอนตัวเองด้วยการค้นสอบหาความชำนาญต่อไป

 

 

      ดังคำโคลงของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕  ดังนี้

            ฝูงคนกำเนิดคล้าย   คลึงกัน

       ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ   แผกบ้าง

       ความรู้อาจเรียนทัน       กันหมด

       ยกแต่ชั่วดีกระด้าง        อ่อนแก้ฤาไหว ฯ

 

การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ขั้นแรก

       การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ในขั้นแรก ควรทำความเข้าใจคำว่า จักรวาลเสียก่อนแล้วจึงรู้จักกับคำว่า สุริยจักรวาล และจักรราศีในขั้นต่อไปเป็นลำดับ สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ต่อไป

 

จักรวาล

       จักรวาล หมายถึง ปริมณฑลท้องฟ้าอันได้แก่ วงรอบหรือวงกลมของท้องฟ้า พูดอย่างง่ายๆ จักรวาล หมายถึง เนื้อที่แผ่นฟ้าครอบคลุมตัวเรา ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ ณ ที่ใดๆ ก็ตาม มองตรงไปในที่โล่งแจ้งรอบๆ ตัวจะเห็นเป็นท้องฟ้า แหงนหน้าขึ้นเราก็พบแต่ท้องฟ้า เนื้อที่ของท้องฟ้าทั้งหมดนั้นแหละคือจักรวาล

 

สุริยจักรวาล

       สุริยจักรวาล คือ จักรวาลที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง หรือเป็นหลักเป็นประธาน มีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ระบบสุริยคดี อันหมายถึงระเบียบแบบแผนที่รวมส่วนต่างๆ อันเกี่ยวกับดวงอาทิตย์เข้าด้วยกันตามลำดับ และสุริยจักรวาลนั้นประกอบไปด้วย ดวงอาทิตย์เป็นประธาน และมีดาวเคราะห์ พุธ ศุกร์ โลก อังคาร พฤหัสบดี เสาร์ และดวงจันทร์เป็นบริวาร

 

จักรราศี

       จักรราศี คือ เขตที่กำหนดเป็นเส้นทางรวมกัน โอบอยู่โดยรอบเป็นรูปวงกลมในท้องฟ้า มีระยะจากสุริยวิถีข้างละ ๙๐ องศา เรียกว่า ภาจักร หรือ รัศมีมณฑล เป็นวงกลมที่ไม่มีต้นและปลาย เพื่อสะดวกแก่การกำหนดระยะ จึงตั้งจุดเริ่มต้นเป็นจุดหมายตายตัวขึ้นเรียกว่าจุดต้นของราศี เริ่มราศีเมษ จักรราศีหมุนอยู่รอบแกนวันละรอบ จากตะวันออกไปตะวันตก

       สุริยวิถี คือ ทางโคจรของอาทิตย์ เรียกว่า อปมณฑล หรือ รวิมรคา เป็นทางตรงผ่านตลอดศูนย์กลางของเส้นทางรอบจักรราศี

       ราศี คือ ส่วนหนึ่งของจักรราศีในห้วงเวหาของสุริยวิถี แบ่งออกเป็น ๑๒ ภาค เรียกแต่ละภาคว่า ราศี ราศีหนึ่งมีระยะเขต ๓๐ องศา และเฉพาะราศีหนึ่งๆ มีคุณภาพพิเศษต่างๆ กัน และราศีหนึ่งแบ่งออกเป็นส่วนใหญ่อีก ๓ ส่วน เรียกว่า ตรียางค์ และตรียางค์หนึ่งๆ แบ่งเป็นซอยลงไป ๓ ซอย เรียกว่า นวางค์ รวมการแบ่งจักรราศีมีดังนี้คือ ภายในจักรราศีแบ่งเป็น ๑๖ ราศี

            ๑ ราศี         มี ๓๐ องศา      เท่ากับ           ตรียางค์

            ๑ ตรียางค์                         เท่ากับ           นวางค์

            ๑ นวางค์                           เท่ากับ     ๒๐๐  ลิปดา

            ๑ องศา       มี ๖๐ ลิปดา      ๑ ลิปดา         มี ๖๐ ฟิลิปดา

       ดังนั้นทั้งหมดโคจรรอบของจักรราศีได้ ๓๖๐ องศา หรือ ๓๖๐ x ๖๐ ได้ ๒๑๖๐๐ ลิปดา หรือ ๒๑๖๐๐ x ๖๐ ได้ ๑๒๙๖๐๐๐ ฟิลิปดา รวม ๑๒ ราศี มี ๓๖๐ องศา มี ๓๖ ตรียางค์ มี ๑๐๘ นวางค์ ราศีหนึ่งมี ๓ ตรียางค์ ๙ นวางค์

       นักษัตร คือ ดาวฤกษ์อันเป็นแขกของสุริยวิถีหมู่ดาว ๒๗ หมู่ หมู่ดาวหรือนักษัตรเหล่านี้ เรียกกันว่าเป็นที่อาศัยของดวงจันทร์ เพราะดวงจันทร์ต้องอาศัยจรผ่านเข้าในหมู่นักษัตรเหล่านี้ครบทั้ง ๒๗ นักษัตร จึงได้ ๑ รอบวงจร ดังนั้นดวงจันทร์จึงสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนักษัตรทั้ง ๒๗ นี้ เมื่อจันทร์ผ่านหมู่นักษัตรในสุริยวิถีครบ ๒๗ นักษัตร หรือครบรอบหนึ่งก็เป็นที่หมายได้ว่า ๑ เดือนจันทรคติ นักษัตรหนึ่งแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน เรียกส่วนนั้นๆ ว่าบาท หรือจัตุภาค และบาทหนึ่งเท่ากับ ๓ ๑/๓ องศา (๓ องศา ๒๐ ลิปดา) รวมรอบจักรราศีหรือเส้นโค้งของจักรวาลหรือว่ารวมทั้งจักรราศีประกอบด้วย ๑๐๘ บาท เท่ากับ ๑๐๘ นวางค์นั่นเอง ดังนั้นนักษัตรหนึ่งแบ่งออกได้ ๑๓ องศา ๒๐ ลิปดา ราศีและนักษัตรทั้ง ๒ อย่างถือเอาจุดเริ่มต้น ณ ที่จุดเดียวกันของราศีเมษ และเป็นจุดเริ่มต้นของนักษัตรอัศวินีด้วย หมายความว่าทั้งราศีและนักษัตรร่วมจุดเริ่มต้นจุดเดียวกัน

 

ระบบดาวเคราะห์

       ระบบดาวเคราะห์ คือ ระบบสุริยะ โดยมีดาวเคราะห์มีรัศมีแรงกล้า คือดวงอาทิตย์เป็นประธาน ประกอบด้วยดาวเคราะห์ ๗ ดวง (รวมทั้งอาทิตย์เองด้วย) ดาวเคราะห์ทุกดวงรักษาศูนย์กลางของการหมุนเวียน และศูนย์กลางที่ได้รับแสงโชติช่วงไว้ได้ด้วยการดึงดูดจากกำลังของอาทิตย์และเคลื่อนตัวเป็นวงอยู่รอบดวงอาทิตย์ ระยะที่ดาวเคราะห์เคลื่อนไปจากจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่งไม่เท่ากัน เปลี่ยนไปตามเหตุเฉพาะของแต่ละดาวเคราะห์ในระบบดาวเคราะห์นั้นมีราหูและเกตุร่วมอยู่ด้วยโดยถือเป็น อปรภาศะเคราะห์ (ดาวเคราะห์ไม่มีแสง) ความสำคัญของดาวเคราะห์ทั้ง ๒ นี้ เมื่อเข้าไปสถิตราศีใดก็คล้อยตามสัญลักษณ์ของราศีนั้นๆ

       ดาวเสาร์อยู่ห่างไกลจากพื้นปฐพีมากที่สุด ต่อมาพฤหัสบดี อังคาร อาทิตย์ ศุกร์ พุธ และจันทร์ใกล้เข้ามาตามลำดับ

       การหมุนเวียนและอาการหมุน ท่านโบราณจารย์ได้สังเกตเห็นว่าอาการเคลื่อนไหวของแต่ละดาวเคราะห์ได้ก่อให้เกิดอิทธิพลเหนือปรากฎการณ์ของพื้นปฐพี เพราะดาวเคราะห์ทุกดวงรับกำลังดึงดูดและแสงโชติช่วงจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ดำเนินการเคลื่อนไหวพร้อมกัน ๒ อย่าง คือ

       ๑.  เคลื่อนไหวไปรอบดวงอาทิตย์ เพื่อรักษาศูนย์กลางของกำลังดึงดูด และศูนย์กลางของแสงโชติช่วง ในขณะดาวเคราะห์กำลังเคลื่อนไหวเกิดคลื่นในอากาศหรืออากาศเกิดเป็นคลื่น

       ๒.  ดาวเคราะห์เคลื่อนไหวหมุนรอบตัวเอง เพื่อรักษาการทรงตัวทางดิ่ง ในขณะที่หมุนก็เกิดแรงเหวี่ยงกระจายกระแสวัตถุส่วนประสมในตัว แปลเป็นกระแสอิทธิพลเข้าประสมส่วนกับคลื่นอากาศ และคลื่นนี้พร้อมด้วยส่งกระแสอิทธิพลส่งตัวเองทยอยกันมากระทบกับพื้นปฐพีให้เกิดปรากฎการณ์ต่างๆ สุดแท้แต่กระแสวัตถุประสมหรือรวมความว่าคุณภาพของดาวเคราะห์นั้นส่วนอิทธิพลออกจากตัวดาวเคราะห์

       เมื่ออาการเคลื่อนไหวของดาวเคราะห์ทั้ง ๒ ประการ และรวมทั้งโลกเข้าด้วย จึงเรียกว่าโคจรเป็นความหมาย

       กำลังโคจรของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แต่ละดวงมีกำลังเร็วในการโคจรของตัวเอง โดยยึดหลักระยะใกล้ไกลจากโลก เช่น ดาวเคราะห์จันทร์เป็นตัวอย่าง ดาวเคราะห์จันทร์อยู่ใกล้กับเรามากที่สุด ดังนั้นจึงโคจรไปอย่างรวดเร็ว ดาวเคราะห์จันทร์โคจรไปรอบจักรราศี ๑ รอบ ประมาณ ๓๐ วันจันทรคติ ดาวเสาร์อยู่ไกลมากที่สุดจากโลก มีอาการเชื่องช้า ดังนั้นดาวเสาร์จึงโคจรรอบจักรราศี ๑ รอบประมาณ ๓๐ ปี ดาวเคราะห์ไม่อาจรักษากำลังโคจรให้เสมอคงที่ได้เพราะเหตุหลายประการ (จะเอาไว้กล่าวละเอียดในบทต่อไป)

 

ราศี และความหมาย

       ทัศนของโหราศาสตร์ ถือโลกเป็นศูนย์กลางมีดาวเคราะห์เป็นบริวารโคจรอยู่รอบโลก ได้แบ่งที่ว่างในท้องฟ้าหรือจักรวาลออกเป็น ๑๒ ส่วน เพื่อไว้เป็นที่หมายการโคจรของดวงดาวกำหนดส่วนนั้นๆ เรียกว่าราศี รวมเป็น ๑๒ ราศี หรือ ๑๒ ส่วนเข้าด้วยกันเรียกว่าจักรราศี จักรราศีเป็นวงกลมใหญ่ในท้องฟ้า เริ่มต้นที่ดาวฤกษ์อัศวินีแล้วมาบรรจบที่ดาวฤกษ์อัศวินีอีก

       ทั้ง ๑๒ ราศีภายในจักรราศี สมมุติชื่อและกำหนดให้มีนักษัตรประจำราศีไว้เฉพาะแต่ละราศี เริ่มต้นที่จุดดาวฤกษ์อัศวินี

       ราศีต้นหรือราศีที่ ๑ เรียกว่าราศีเมษ แพะเป็นนักษัตรประจำราศีใช้ ๐ เป็นเครื่องหมาย ทุกๆ ราศีมีคุณลักษณะพิเศษให้ความหมายต่างๆ กัน นับเวียนจากขวาไปซ้าย (ทวนเข็มนาฬิกา) เริ่มต้นที่ราศีเมษ บรรจบครบ ๑๒ ราศีมีน ราศีหนึ่งๆ มีชื่อเรียกและเครื่องหมายต่างๆ กันดังนี้

 

 

                            
 

  ราศีเมษ      ใช้เลข ๐   เป็นเครื่องหมาย มีรูปแพะประจำราศี หมายความว่า ความอุดมสมบูรณ์ เจ้าชาตา คือเป็นคนมั่งมี มีการเลี้ยงแพะไว้บริโภคนมและเนื้อ หรือขายก็ได้เป็นธรรมดาสามัญชนสมัยก่อนเข้าเลี้ยง

  ราศีพฤศภ    ใช้เลข ๑   เป็นเครื่องหมาย มีรูปโคหรือกระบือ ประจำราศี ความหมายของภาพอันนี้ แสดงว่าอุดมสมบูรณ์เหมือนกัน แต่เห็นจะต่ำกว่าราศีเมษ เพราะเราอาศัยใช้แรงงาน เช่นการทำไร่ไถนา

  ราศีมิถุน      ใช้เลข ๒   เป็นเครื่องหมาย มีรูปคนสองคนกอดกันอยู่ผู้หญิงและผู้ชาย แต่ตำราไม่บอกว่าทำอะไรกันต่อไปอีก ก็หมายความเอาเองว่า มีความสุขความสมบูรณ์ในเรื่องเพศตรงข้าม

  ราศีกรกฎ     ใช้เลข ๓   เป็นเครื่องหมาย มีรูปปูประจำราศี คือเป็นสัตว์มากเท้า และย่อมอยู่หางไกลจากบ้าน แต่ก็ยังมีที่อยู่ได้เช่นนี้ต้องอาศัยรู หมายความว่าผู้นั้นเป็นคนดีเด่น จึงมีสัตว์ชนิดนี้บริโภค

  ราศีสิงห์      ใช้เลข ๔   เป็นเครื่องหมาย มีรูปราชสีห์เป็นสัตว์ประจำราศี ความหมายของราศีนี้แสดงให้เห็นว่า ท่าทางสง่าผ่าเผย เป็นที่เกรงขามของสัตว์ทั้งปวง มีอิทธิพลมาก

  ราศีกันย์      ใช้เลข ๕   เป็นเครื่องหมาย มีรูปผู้หญิงสาวสวยและพรหมจารีประจำราศี ซึ่งยืนอยู่ในเรือริมฝั่ง มือถือรวงข้าว แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่สวยเปล่าๆ แถมทรัพย์สมบัติยังติดตัวมาด้วย

  ราศีตุลย์      ใช้เลข ๖   เป็นเครื่องหมาย มีรูปตาชั่งซึ่งวางไว้ในตลาดประจำราศีสำหรับให้ความยุติธรรมกับคนทั่วไป ไม่ต้องการจะให้คนเอารัดเอาเปรียบกัน

  ราศีพิจิก      ใช้เลข ๗   เป็นเครื่องหมาย มีรูปแมลงป่องหรือกุ้งประจำราศี ชอบชูหางวางท่า แต่ตัวของมันเองไม่ชอบไปไกลจากที่อยู่ที่อาศัยของมันตามในสถานที่ชื้นๆ ซึ่งคนวางไว้หรือเป็นด้วยธรรมชาติ

  ราศีธนู        ใช้เลข ๘   เป็นเครื่องหมาย มีรูปคนถือธนูกำลังจะยิงสัตว์หรือยิงอะไรก็ได้แต่ตัวเป็นม้า หัวเป็นคนกายเป็นสัตว์ หมายความว่าราศีนี้ เป็นราศีนักต่อสู้โดยธรรมชาติ

  ราศีมังกร     ใช้เลข ๙   เป็นเครื่องหมาย มีรูปมังกรประจำราศี มังกรนี้เป็นสัตว์ที่มีอายุยืนนาน และเป็นเจ้าของสัตว์ในทะเล นอกจากนั้นมีเท้าอีกด้วย ถึงแม้บนบกก็ยังเดินได้

  ราศีกุมภ์      ใช้เลข ๑๐ เป็นเครื่องหมาย อันมีรูปคนถือหม้อน้ำกำลังเทลงเพื่อช่วยระงับความเดือดร้อนของผู้อื่นในการที่ขาดแคลนน้ำบริโภค หรือดับเพลิงที่เกิดขึ้น

  ราศีมีน        ใช้เลข ๑๑ เป็นเครื่องหมาย มีรูปปลาตะเพียนคู่แหวกว่ายคลอเคลียกันอยู่อย่างมีความสุขความสบาย หมายความว่า ไม่มีความทุกข์ร้อนอะไรเลย

 

       เรื่องราศีและความหมายของราศีนี้เราต้องจำให้ขึ้นใจ เพื่อนำไปใช้ในการผูกดวงชาตาและพยากรณ์ควบคู่กันไป หากเราจำราศีและความหมายของราศีไม่ได้แล้ว ก็จะเป็นมูลเหตุทำให้ผูกดวงชาตาไม่ได้และพยากรณ์ไม่ได้ด้วย หรือผูกดวงชาตาคลาดเคลื่อน การพยากรณ์เลอะเลือน

       การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์นั้นเราต้องพินิจพิจารณามาก เพราะทุกอย่างที่มีอยู่ในตำราท่านให้เอามาประสมเป็นคำพยากรณ์ทั้งสิ้น

 

ธาตุของราศี

       เมื่อเราจำราศีและความหมายของราศีได้ดีแล้ว เราต้องรู้จักธาตุของราศีอีกต่อไป 

 

                           

 

 

       ธาตุในราศีเมษ       คือ ธาตุไฟ     ไฟร้อนแรงที่สุด เป็นไฟอันประกอบด้วยลม เช่น ไฟถลุงเหล็ก ทำให้เหล็กอ่อนหรือละลายเป็นน้ำไปเลยก็ได้

       ธาตุในราศีพฤศภ     คือ ธาตุดิน     คือดินในที่สูง คือดินแข็งไม่มีน้ำเจือปน

       ธาตุในราศีมิถุน       คือ ธาตุลม     ลมที่ร้ายอันจะนำมาซึ่งสิ่งที่เราไม่พึงปรารถนา เช่น ลมปาก ลมนำโรคร้ายมา นำกลิ่นเหม็นมา

       ธาตุในราศีกรกฎ      คือ ธาตุน้ำ     คือน้ำที่เขาจัดสรรไว้ เช่นน้ำในขวดในโอ่งในถัง

       ธาตุในราศีสิงห์       คือ ธาตุไฟ     ไฟอันเกิดขึ้นโดยฉับพลันทันใด เช่น ฟ้าผ่า หรือไฟฟ้าช็อต หรือจะเรียกว่าไฟปรมาณูก็ได้

       ธาตุในราศีกันย์       คือ ธาตุดิน     ดินที่อยู่ริมน้ำชนิดดินเปียกไม่แข็ง ไม่เหลว

       ธาตุในราศีตุลย์       คือ ธาตุลม     คือลมธรรมดา ซึ่งพัดไปมาตามปกตินี้เอง

       ธาตุในราศีพิจิก       คือ ธาตุน้ำ     คือน้ำที่ขังอยู่โดยธรรมชาติ เช่น น้ำในสระในหนองในบึง

       ธาตุในราศีธนู         คือ ธาตุไฟ     ไฟประกอบกับน้ำคือประสมกับของเหลวนั่นเอง เช่น ไฟตะเกียง ไฟอันทำให้น้ำเดือดร้อนแรง

       ธาตุในราศีมังกร      คือ ธาตุดิน     คือดินที่อยู่ใต้น้ำ ไม่แข็ง ไม่เปียก เหลวไปเลย

       ธาตุในราศีกุมภ์       คือ ธาตุลม     คือลมที่ร้ายแรง เช่น ลมพายุ อันเป็นความรุนแรง เกินกว่าธรรมชาติมาก เช่น ปะทะเรือๆ ก็ล่ม ปะทะบ้านๆ ก็พัง ปะทะต้นไม้ๆ ก็พังล้ม

       ธาตุในราศีมีน      คือ ธาตุน้ำ     คือน้ำชนิดไหลขึ้นไหลลง ไม่ได้อยู่ตามปกติ ได้แก่น้ำในแม่น้ำลำคลอง

 

ลักษณะและกำลังของราศี

       ลักษณะหรือประเภทและกำลังของราศี ท่านได้จัดไว้ ๓ หมวด คือ

       ๑.  ราศีที่มีกำลังแรงหรือเคลื่อนไหวเร็ว เรียกว่า จรราศี ได้แก่ ราศี เมษ กรกฎ ตุลย์ มังกร หรือเรียกว่าราศีเคลื่อนไหว เป็นราศีที่บอกลักษณะและกำลังแสดงให้เห็นความสามารถในการบริหาร ผู้ที่เกิดในราศีนี้จะมีกำลังใจในการเป็นผู้นำความทะเยอทะยานใฝ่สูง ความสามารถในการทำงานรุดหน้าเพื่อต้านทานความยากลำบากต่างๆ

       ๒.  ราศีที่มีลักษณะและกำลังเชื่องช้าหรือตั้งมั่นอยู่กับที่ เรียกว่า สถิรราศี ได้แก่ ราศีพฤศภ สิงห์ พิจิก กุมภ์ หรือเรียกว่าราศีคงที่ เป็นราศีที่บอกลักษณะและกำลังความเป็นหลักฐานมั่นคง ความอดทน ความมานะ การทูต ผู้ที่เกิดในราศีนี้จะมีความมั่นคงในความหมายของความตั้งใจอันแน่วแน่

       ๓.  ราศีที่มีลักษณะและกำลังไม่แน่นอน เร็วก็ได้ ช้าก็ได้ หรือเรียกว่าทวิภาวราศี ได้แก่ ราศี มิถุน กันย์ ธนู มีน หรือเรียกว่าราศีสามัญ เป็นราศีที่บอกลักษณะและกำลังชี้ให้เห็นความสามารถหลายอย่าง ความโอนอ่อนผ่อนตาม มักประสบความขาดแคลนแต่เดิมมา ผู้ที่เกิดในราศีนี้จะมีความรู้หลายอย่าง อย่างละเล็กละน้อย แต่ความเป็นอยู่มักประสบความขาดแคลนบ่อยๆ

 

 

เครื่องหมายแทนดาวและกำลังโคจรของดาว

       ดาวเคราะห์ที่ปรากฏอยู่ในโหราศาสตร์ไทยมีอยู่ ๑๐ ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ทุกดวงโคจรเป็นวงรอบโลกในเขตรัศมีของสุริยวิถี มีเครื่องหมายแทนชื่อและมีอัตรากำลังโคจรต่างๆ กัน คือ

       อาทิตย์     เลข ๑    อักษร อ เป็นเครื่องหมายแทน     มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๓๐ วัน

       จันทร์       เลข ๒    อักษร จ เป็นเครื่องหมายแทน     มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๒ วันครึ่ง

       อังคาร      เลข ๓    อักษร ภ เป็นเครื่องหมายแทน     มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๔๕ วัน

       พุธ          เลข ๔    อักษร ว เป็นเครื่องหมายแทน      มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๓๐ วัน

       พฤหัสบดี  เลข ๕    อักษร ช เป็นเครื่องหมายแทน     มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๑ ปี

       ศุกร์         เลข ๖    อักษร ศ เป็นเครื่องหมายแทน     มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๓๐ วัน

       เสาร์        เลข ๗    อักษร ส เป็นเครื่องหมายแทน     มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๒ ปีครึ่ง

       ราหู         เลข ๘    อักษร ร เป็นเครื่องหมายแทน      มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๑ ปีครึ่ง

       เกตุ          เลข ๙    อักษร ก เป็นเครื่องหมายแทน     มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๒ เดือน

       มฤตยู       เลข ๐    อักษร ม เป็นเครื่องหมายแทน     มีกำลังโคจรปกติราศีละ ๗ ปี

       การโคจร หรือการเคลื่อนที่ไปของดาวทุกดวง เว้นอาทิตย์และจันทร์ เฉพาะดาวบางดวงก็มีอาการเคลื่อนที่ไปอย่างผิดปกติ ถ้าโคจรเร็ว เรียกว่าเสริดถ้าช้ากว้าปกติหรือถอยหลังเรียกว่าพักร ถ้าอยู่ในราศีหนึ่งนานกว่าปกติเรียกว่ามนท์

       ดาวทั้งหมด เว้นแต่ราหู เกตุและมฤตยู ต่างเป็นเจ้าครองประจำราศีทั้ง ๑๒ ราศี เรียกว่า เกษตร หรือเรียกว่าเจ้าที่หรือเจ้าเรือน

       สำหรับดาวเคราะห์ใดที่ครอง ๒ ราศี คือ อังคาร พฤหัสบดี พุธ ศุกร์ และเสาร์ เรียกว่าเอกาธิปไตย

 

อธิบายเรื่องดาว พักร-เสริด-มนท์

       พักร เมื่อดาวเคราะห์ใดทิ้งระยะห่างจากดวงอาทิตย์มากขึ้น กำลังเคลื่อนของดาวนั้นจะช้าลงหรือถอยหลัง เรียกว่าดาวดวงนั้นพักร คือเมื่อดาวเคราะห์ออกอยู่นอกทางที่อยู่ในระยะใกล้ชิดกับดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นทางโคจรธรรมชาติของดาวเคราะห์นั้นเอง เพราะเมื่อถอยห่างจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์นั้นก็เสียกำลังดึงดูดที่ได้จากดวงอาทิตย์ไปทีละเล็กละน้อยเพื่อให้ได้กำลังนั้นคืนมา ดาวเคราะห์จึงมีอาการพักร

       เสริด เมื่อดาวเคราะห์ใดเคลื่อนจากระยะไกลอาทิตย์ เข้าระยะใกล้กับอาทิตย์ย่อมใกล้เข้าไปก็ได้กำลังดึงดูดจากอาทิตย์มากขึ้น ดังนั้นจึงเพิ่มกำลังความเร็วขึ้น เรียกว่าเสริด คือความเร่งรีบ

       มนท์ คือดาวเคราะห์โคจรอยู่ในลักษณะเริ่มช้าลง พิกัดแต่ละวันเริ่มลดลงๆ เป็นอย่างนั้นอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็กลับโคจรย้อนวิถี

 

รูปแสดงวิถีจักรดาวเคราะห์โคจรรอบโลก

 

       ดาวเคราะห์แต่ละดวง ต่างก็มีวิถีโคจรของตนเองเป็นอิสระ และโคจรรอบโลกแบบทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นเฉพาะราหูและเหตุซึ่งโคจรนอกแบบ คือโคจรตามแบบเข็มนาฬิกา ดาวดวงไหนอยู่ใกล้โลกช่องราศีจะแคบ การโคจรเพื่อให้ผ่านพ้นสุดราศีก็ใช้เวลาเร็วส่วนดาวดวงไหนที่อยู่ห่างไกลออกไป ยิ่งห่างออกไปมากช่องราศีก็ยิ่งกว้าง การโคจรเพื่อให้ผ่านพ้นราศีหนึ่งๆ ก็ต้องกินเวลานานกว่าตำแหน่งของดาวที่อยู่ใกล้โลก

       ท่านลองรำลูกศรชี้ตามเส้นทางโคจรของดาวแต่ละดวงดู แล้วขีดเส้นแบ่งช่องราศีให้เท่ากันเป็น ๑๒ ช่องราศี เขียนชื่อราศีประจำไว้ให้ครบแต่ราศี เมษ-มีน จะเห็นวิธีโคจรของดาวได้ชัดเจนและเข้าใจดียิ่งขึ้น

 

ดาวที่มีอิทธิพลเกี่ยวข้องแก่โลกและมนุษย์

       ดาวมีอิทธิพลเกี่ยวข้องแก่โลกมนุษย์มีอยู่ ๒ ชนิด

       ๑.  เป็นดาวประจำราศีที่ในท้องฟ้ารวมกันเป็นหมู่ๆ มีอยู่ ๒๗ หมู่เรียกว่า ดาวฤกษ์ แต่ละหมู่อยู่ห่างกันเป็นระยะตลอด ๑๒ ราศี

       ๒.  เป็นดาวเคลื่อนที่ มีอิทธิพลอำนาจดีร้ายให้แก่โลกและมนุษย์ เรียกว่าดาวเคราะห์

       สิ่งมีชีวิตได้กระทบหรือรับธาตุครบทั้ง ๔ ธาตุ คือ เมื่อร่างกายได้กระทบอากาศและเริ่มหายใจในครั้งแรก ขณะนั้นก็รับเอาอิทธิพลของดาวเคราะห์ต่างๆ เข้าไว้ในร่างกาย เป็นอิทธิพลประจำกำเนิดให้ผลแก่จิตใจและร่างกายให้เป็นไปต่างๆ ตลอดชีวิต สุดแท้แต่ปริมาณของอิทธิพลคุณภาพและลักษณะของดาวเคราะห์ เจ้าของอิทธิพลนั้นๆ เป็นอิทธิพลประจำกำเนิดจะคงอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต

       ในระหว่างชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวัน ก็รับกระแสอิทธิของดาวเคราะห์ต่างๆ ที่โคจรหมุนเวียนอยู่ กระแสอิทธิพลของดาวเคราะห์จรหรืออิทธิพลจรที่รับนี้ เมื่อเข้ากระทบกับกระแสกำเนิด ถ้าเป็นกระแสที่ไม่ขัดกันเข้าร่วมกันได้ส่วนและอยู่ในที่เหมาะสมก็ให้คุณแก่ชีวิตและร่างกาย ถ้าเป็นกระแสที่ขัดกันเข้ากันไม่ได้ก็ให้โทษ

 

ดาวฤกษ์

       ดาวฤกษ์เป็นดาวที่ตรึงอยู่กับที่ในท้องฟ้าไม่เปลี่ยนแปลง รวมกันเป็นหมู่ๆ มี ๒๗ หมู่ การแบ่งดาวฤกษ์เป็นหมู่ๆ นี้ เพื่อการดูดาวของคนโบราณในเวลากลางคืนและเพื่อสำหรับดูจันทร์โคจรด้วย จึงแบ่งดาวออกเป็น ๒๗ ส่วน หรือ ๒๗ หมู่ หรือ ๒๗ กลุ่ม มีชื่อเรียกดังนี้

 

      กลุ่มดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ ฤกษ์นี้ คนโบราณใช้ดูด้วยตาเปล่า ไม่มีกล้องส่องดูเหมือนสมัยนี้ ต้องอาศัยดูดาวบนท้องฟ้าเป็นประจำเพื่อการนับเวลา และดูดาวฤกษ์ในการเดินเรือหรืออย่างอื่น และมีการพยากรณ์คนเกิดขณะเมื่อจันทร์โคจรอยู่กลุ่มดาวฤกษ์อะไร สำหรับคำพยากรณ์คนเกิดขณะจันทร์อยู่ฤกษ์อะไรนั้นจะกล่าวในตอนหลัง

       สมัยนี้การดูดาวฤกษ์มีผู้สนใจน้อย หรือเกือบจะไม่รู้จักกับดาวฤกษ์เอาเสียเลย เนื่องจากใช้นาฬิกา หรือเข็มทิศและอื่นๆ แทนเสียโดยมาก

 

 

อธิบาย

       ๑.  หมู่ดาวฤกษ์แต่ละหมู่นั้นที่อาทิตย์โคจรผ่าน เรียกว่า ราศี ส่วนที่จันทร์โคจรผ่านเรียกว่าฤกษ์ และจันทร์ผ่านไป ๒๗ หมู่ เป็นเวลาบรรจบเดือนหนึ่ง

       ๒.  ในที่นี้ นับขึ้นที่อัศวินีฤกษ์เป็นที่ ๑ เวลาที่อาทิตย์โคจรมาถึงฤกษ์นี้กลางวันและกลางคืนเท่ากัน เรียกว่ามัธยมกาล บริเวณที่อาทิตย์โคจรในมัธยมกาลนี้ เรียกว่ามัชฌิมมณฑล และเมื่อดาวเคราะห์ดวงใดโคจรมาบรรจบรอบที่อัศวินีฤกษ์ก็เป็นเวลาปีหนึ่งของดาวเคราะห์นั้น ดังนั้นดาวเคราะห์ทุกดวง จึงได้เรียกว่าโลกกาล คือเป็นที่กำหนดเวลาในโลก

       ๓.  แต่ละฤกษ์มีกลุ่มดาวมากบ้าง น้อยบ้าง เช่นฤกษ์อัศวินีมี ๗ ดวง จึงทำให้มนุษย์เกิดมามีผิวพรรณสัณฐานผิดแผกกัน ถ้าผู้ใดเกิดในขณะที่ดาวรัศมีสว่างรุ่งโรจน์กำลังขึ้นเป็นกลุ่มหรืออยู่ตรงศีรษะ ผู้นั้นจะมีผิวพรรณสะอาดผ่องใสสดชื่น มีปัญญาไวฉลาดเฉียบแหลม เป็นต้น

       ๔. ดาวฤกษ์ที่อยู่บนท้องฟ้าเป็นกลุ่มๆ นั้น ยังเรียกต่างกันออกไปอีก ถ้าลากเส้นจากดวงนี้ไปดวงนั้นในกลุ่มหนึ่งๆ มีลักษณะเหมือนกับสิ่งใด ก็เรียกชื่ออย่างนั้น เมื่อต่างคนต่างลากเส้นก็ย่อมนึกเห็นเป็นรูปไปตามที่คาดคะเน ดังนั้นดาวฤกษ์หมู่หนึ่งๆ จึงเห็นเป็นรูปต่างๆ กัน แล้วก็มีชื่อเรียกต่างๆ กัน ดังกล่าวข้างต้น เช่น ฤกษ์ที่ ๗ ปุยฝ้าย หรือพวงดอกไม้ ดอกบัวหลวง สมอสำเภา หรือรูปหีบ

       ๕. ดาวฤกษ์ทุกๆ กลุ่ม มีดาวเคราะห์เป็นเจ้าเข้าครอบฤกษ์ทั้งหมด (จะอธิบายรายละเอียดเรื่องดาวเคราะห์เป็นเจ้าครองฤกษ์ทั้งหมดไว้ในเรื่องฤกษ์โดยเฉพาะ)

       ๖.  ในดาวฤกษ์ทั้ง ๒๗ ฤกษ์ หรือ ๒๗ กลุ่ม หรือ ๒๗ หมู่นั้น หมู่ที่จันทร์เสวย คือโคจรผ่านเมื่อวันเพ็ญ มีดาวฤกษ์ ๑๒ หมู่ คือ

ฤกษ์ที่ ๑๔   จิตรา          เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนห้า         จิตรมาส      เป็นต้นปี

ฤกษ์ที่ ๑๖    วิศาขา        เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนหก        วิศาขมาส

ฤกษ์ที่ ๑๘   เชษฐา        เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนเจ็ด       เชษฐมาส

ฤกษ์ที่ ๒๐   บุรพษาฒ    เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนแปด      อาษาฒมาส

ฤกษ์ที่ ๒๒   ศรวณะ        เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนเก้า        สาวนมาส

ฤกษ์ที่ ๒๔   บุรพภัทรบท เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนสิบ        โปฐบทมาส

ฤกษ์ที่ ๑      อัศวินี         เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนสิบเอ็ด   อัศวยุชมาส

ฤกษ์ที่ ๓     กฤติกา        เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนสิบสอง   กัตติกมาส

ฤกษ์ที่ ๕     มฤคศิร        เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนอ้าย       มฤคีรมาส

ฤกษ์ที่ ๘     บุษย           เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนยี่          บุษยมาส

ฤกษ์ที่ ๑๐    มฆา           เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนสาม       มาฆมาส

ฤกษ์ที่ ๑๒   อุตรผลคุนี   เรียกตามเดือนจันทรคติว่า   เดือนสี่          ผัคคุณมาส

       ด้วยเหตุนี้ วันมาฆะ จึงหมายความว่าวันที่จันทร์เพ็ญเสวย ฤกษ์ที่ ๑๐ คือมาฆนักษัตรฤกษ์ หรือ วันวิสาขะ จันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์ที่ ๑๖ คือ วิสาขนักษัตรฤกษ์

 

หมายเหตุ

       ในวรรณคดีไทย ก็มีกล่าวถึงกลุ่มดาวต่างๆ ไว้มาก เช่น ในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ได้พรรณนาเรื่องดาวไว้ว่า

                 “ดูโน่นแน่แม่อรุณรัศมี          ตรงมือชี้ดาวเต่านั่นดาวไถ

       โน่นดาวธงตรงหน้าอาชาไชย           ดาวลูกไก่เห็นอยู่เป็นหมู่กัน

       นางอรุณทูลถามพระเจ้าป้า              ที่ตรงหน้าดาวไถชื่อไรนั่น

       นางบอกว่าดาวธงอยู่ตรงนั้น            ที่เห็นกันเป็นระนาวชื่อดาวโลง

       แม้ดาวกามาใกล้ในมนุษย์               จะม้วยมุตมรณาเป็นห่าโหง

       ดาวดวงสำเภามีเสากระโดง             สายระโยงรยางค์หางเสือยาว

       นั่นแน่แม่ดูดาวจระเข้                      ศีรษะเร่หกหางขึ้นกลางหาว

       ดาวนิดทิศพายัพดูวับวาว                 เขาเรียกดาวยอดมหาจุฬามณี

       โน่นดาวคันชั่งช่วงดวงสว่าง            ที่พร่างพร่างพรายงามดาวหามผี”

 

       วิธีดูดาวฤกษ์ประจำสิบสองราศี  วิธีที่ง่าย คือ แหงนหน้ามองหันศีรษะไปทางทิศเหนือ ขวามือของเราเป็นทิศตะวันตกและทางซ้ายมือเป็นทิศตะวันออก และให้ออกไปดูท้องฟ้าเวลา ๒๐.๐๐ น. กลุ่มดาวฤกษ์เหล่านี้จะปรากฏคล้ายกับว่าหมุนขึ้นมาจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก กลุ่มดาวฤกษ์เหล่านี้จะเห็นด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน ดังที่สุนทรภู่ได้พรรณนาไว้ตอนหนึ่งว่า “โน่นดาวม้าก็เหมือนอาชาไนย” และอีกตอนหนึ่งว่า “เรียงรายพรายพราวดาวลูกไก่ เห็นไรไรเรียงจรัสประภัสสร” ส่วนดาวจระเข้ขึ้นค่อนข้างดึก ในเดือนธันวาคมและมกราคม ราวๆ ๒๔.๐๐ น. เศษ แต่จะขึ้นเร็วในเดือนต่อไป และจะเห็นดาวกลุ่มนี้เมื่อหันหน้าไปทางทิศเหนือ ดาวจระเข้มีลักษณะอิริยาบถ คือ “ศีรษะตกหันหางขึ้นกลางหาว” สุนทรภู่ได้พรรณนาไว้ว่า “นั่นแน่แม่ดูดาวจระเข้ ศีรษะเร่หกหางขึ้นกลางหาว” วิธีดูดาวฤกษ์นี้เมื่อสายตาคุ้นกับท้องฟ้า ก็จะเห็นดาวต่างๆ อยู่เป็นกลุ่มๆ เรียงกัน ถ้าลากเส้นจากดวงนี้ไปดวงนั้นจะเรียกชื่อถูกต้องดังกล่าวแล้วข้างต้น

 

ดาวเคราะห์ (ดาวเคลื่อนที่)

       ภายในสุริยจักรวาล คือขอบเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางและมีดาวบริวารหมุนรอบ

       ดวงอาทิตย์  ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ มีแสงสว่างในตัวเองที่โคจรไปในจักรวาลอันเวิ้งว้างพร้อมกับบริวาร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๘๖๔,๐๐๐ ไมล์ หมุนรอบตัวเองกินเวลา ๒๕ วัน ๑๒ ชั่วโมง มีอุณหภูมิที่ผิวนอกประมาณ ๕,๕๐๐ K ถึง ๖,๐๐๐ K ผิวนอกของดวงอาทิตย์เป็นกลุ่มแก๊สเหลวร้อน และบางทีเกิดมีพายุพัดไปมาบนดวงอาทิตย์ ตรงบริเวณที่เกิดพายุ พายุหมุนนี้เรียกว่าจุดดับในดวงอาทิตย์ ซึ่งบางแห่งมีบริเวณกว้างถึง ๕๐,๐๐๐ ไมล์ จุดดับนี้จะเปลี่ยนแปลงไปทุก ๑๑ ปีครึ่ง ดวงอาทิตย์มีขนาดโตกว่าโลกประมาณ ๑ ล้าน ๑ แสนเท่า มีความถ่วงจำเพาะ ๑๒๕ สีทองแดง หรือสีแดงแก่

       โลก  อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ ๙๓ ล้านไมล์ (แสงเดินได้วินาทีละ  ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์)    ดังนั้นแสงอาทิตย์จะส่องมาถึงโลก ต้องเสียเวลานานประมาณ ๘ นาที โลกหนักประมาณ        ๖,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ตัน มีความถ่วงจำเพาะ ๕ มีอายุประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านปี เส้นผ่าศูนย์กลางยาว ๗,๙๒๖ ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลางเหนือถึงใต้ยาว ๗,๙๐๐ ไมล์ เส้นรอบโลกตรงเส้นศูนย์สูตรยาว ๒๔,๐๐๐ ไมล์ มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๑๙๗ ตารางไมล์ โลกมิได้หยุดนิ่ง โคจรไปเรื่อย การโคจรแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ

       (๑)   โคจรรอบตัวเองกินเวลา ๒๔ ชั่วโมง ด้วยความเร็วที่เส้นศูนย์สูตรประมาณ ๑,๐๓๘ ไมล์ ต่อชั่วโมง

       (๒)   โคจรรอบดวงอาทิตย์ ทางโคจรเป็นวงรี การโคจรรอบดวงอาทิตย์ ๑ รอบเสียเวลา ๓๖๕ วัน ๕ ชั่วโมง ๔๙ นาที ๑๒ วินาที

       โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาและแกนของโลก (เส้นสมมุติจากขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้) มิได้ตั้งฉากกับเส้นระยะทางจากดวงอาทิตย์ แต่จะเยื้องไปประมาณ ๒๓ องศา ๓ ลิปดา

       ดวงจันทร์  ดวงจันทร์เป็นดาวบริวารของโลก ดวงจันทร์มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒,๑๖๐ ไมล์ อยู่ห่างจากโลกประมาณ ๒๓๘,๘๖๐ ไมล์ แสงจันทร์ส่องมายังโลกเสียเวลาประมาณ ๑.๓ วินาที ดวงจันทร์มีน้ำหนัก ๗๔,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ตัน หมุนรอบโลก ๑ รอบเสียเวลา ๒๗ วัน ๗ ชั่วโมง ๔๓ นาที ด้วยความเร็วประมาณ ๒,๓๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมง ดวงจันทร์หันด้านเดียวมายังโลกตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเห็นอีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ได้ ดวงจันทร์ให้เกิดน้ำขึ้น น้ำลง เชื่อกันว่าบนดวงจันทร์ไม่มีอากาศ ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ สีของดวงจันทร์ขาวนวล

       ดาวอังคาร  สีค่อนข้างแดง ได้ชื่อว่า “เทพเจ้าแห่งสงคราม” นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีสิ่งที่มีชีวิตอยู่บนดาวดวงนี้ โคจรระยะห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ ๑๔๑,๑๕๕,๐๐๐ ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๔,๒๐๐ ล้านไมล์ ปริมาตรเทียบกับโลกเป็น ๐.๑๑ หมุนรอบดวงอาทิตย์ ๖๘๖ วัน ๒๓ ชั่วโมง ๓๑ นาที หมุนรอบตัวเอง ๑ รอบ เสียเวลา ๒๔.๕ ชั่วโมง

       ดาวพุธ  ดาวพุธลักษณะสีเขียวใบไม้ ดาวดวงนี้โคจรระยะห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ ๓๕,๙๘๗,๐๐๐ ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓,๐๐๐ ไมล์ ปริมาตรเทียบกับโลก ๐.๐๔ หมุนรอบดวงอาทิตย์ ๘๗ วัน ๒๓ ชั่วโมง ๑๕ นาที

       ดาวพฤหัสบดี  เป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลายที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ มีดวงจันทร์ ๑๒ ดวง เป็นบริวารหมุนรอบดาวดวงนี้ บนดาวพฤหัสบดีมีก๊าซ ชื่อ มีเธน มีแอมโมเนีย สีของดาวพฤหัสเป็นสีเหลืองสด มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๘๘,๗๐๐ ไมล์ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ ๔๘๓,๖๗๘,๐๐๐ ไมล์ มีปริมาตร ๓๑๘ โคจรหมุนรอบดวงอาทิตย์ ๔,๓๓๒ วัน ๑๔ ชั่วโมง ๒ นาที เท่ากับ ๑๑ / ปี หมุนรอบตัวเอง ๑ รอบ ๙.๗๕ ชั่วโมง

       ดาวศุกร์  เป็นดาวที่สว่างสุกใส เราจะเห็นดาวนี้ในตอนเช้ามืดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เรียกว่าดาวประกายพฤกษ์ และเห็นในตอนหัวค่ำ เรียกว่าดาวประจำเมือง และนอกจากนี้ยังได้ชื่อว่า “เทวีแห่งความงาม” มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๗,๖๕๐ ไมล์ ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ ๖๗,๒๔๕,๐๐๐ ไมล์ มีปริมาตร ๐.๘๓ โคจรหมุนรอบดวงอาทิตย์ ๒๒๔ วัน ๑๖ ชั่วโมง ๔๘ นาที ดาวศุกร์มีสีผสมหลายสี ลักษณะเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำทะเล

       ดาวเสาร์  มีลักษณะเป็นวงแหวน สีแก่ สีคล้ำๆ ห่างจากดวงอาทิตย์ ๘๘๖,๗๗๙,๐๐๐ ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๗๕,๐๐๐ ไมล์ มีปริมาตรเทียบกับโลก ๙๕ หมุนรอบดวงอาทิตย์ ๑๐,๗๕๙ วัน ๕ ชั่วโมง ๑๖ นาที หรือเท่ากับประมาณ ๓๐ ปี หมุนรอบตัวเอง ๑๐.๒๕ ชั่วโมง ดาวเสาร์มีดวงจันทร์เป็นบริวารถึง ๙ ดวง

       ราหู  ไม่ใช่ดาว แต่เป็นเงาของโลกส่วนหนึ่ง

       เกตุ  เป็นวิญญาณธาตุ ห่างจากดวงอาทิตย์ ๒,๗๙๔,๐๐๐,๐๐๐ ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๓,๐๐๐ ไมล์ มีปริมาตรเทียบกับโลก ๑๗. หมุนรอบดวงอาทิตย์ ๖๐.๑๘๐ วัน ๒๐ ชั่วโมง ๓๘ นาที หมุนรอบตัวเองประมาณ ๑๕.๗๕ ชั่วโมง

       มฤตยู  เป็นสภาวะธรรมชาติ ห่างจากดวงอาทิตย์ ๑,๗๘๓,๓๘๓,๐๐๐ ไมล์ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๐,๙๐๐ ไมล์ มีปริมาตร เทียบกับโลก ๑๕. หมุนรอบดวงอาทิตย์ ๓๐,๖๘๘ วัน ๗ ชั่วโมง ๑๒ นาที ประมาณ ๘๔ ปี หมุนรอบตัวเอง ๑๐.๗๕ ชั่วโมง

 

อิทธิพลของดาวเคราะห์ ๗ ดวง

 

       ดวงอาทิตย์

       เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล เปรียบเป็นบิดาของดวงดาว บริวารอื่นๆ ชาวกรีกโบราณถือดวงอาทิตย์เป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจในทางโชคชาตาทางดี เหนือเทพเจ้าทั้งปวง เป็นเทพเจ้าของนักรบและเป็นเทพเจ้าของกสิกรรม พืช และปศุสัตว์ทั้งปวง และทุกคนทั่วไปเรียกว่าเทพเจ้าของแสงสว่างและเป็นเทพเจ้าของการดนตรี และศิลปินต่างๆ ที่เก่งที่สุด คือ ทางพิณโบราณ เป็นเทพเจ้าที่มีความสามารถและเก่งที่สุดทางกีฬาต่างๆ เป็นเลิศในการวิ่งเร็ว พวกกรีกและโรมันได้สร้างเทวรูปไว้เคารพด้วยสัมฤทธิ์ คือ ศีรษะสวมหมวกเหล็กโบราณส่วนมือถือธนูเป็นอาวุธ

       ดวงอาทิตย์ มีความหมายและอิทธิพลทางธรรมชาติ แสดงถึงเพศชาย แสดงถึงผู้สร้างมีลักษณะนิสัยอวดโต วางโต มีอำนาจ บังคับบัญชา ความเจริญงอกงาม

       ถ้าตำแหน่งสัมพันธ์ที่ดีกับดวงชาตา  ย่อมให้คุณทำให้เกิดมีประสิทธิภาพในทางการงาน เป็นที่นิยมรักใคร่ สุขภาพพลานามัยดี งานมีเกียรติ ความใฝ่สูง ความสำเร็จ อิทธิพลการแพทย์ งานการใหม่ๆ การเดินทาง การเปลี่ยนที่อยู่ ที่พัก ที่อาศัย การเจรจาแลกเปลี่ยนที่มีผลสำคัญ การทูตการเอาประกัน ผลประโยชน์ทางครอบครัวทั้งหมด

       ถ้าตำแหน่งสัมพันธ์ไม่ดีกับดวงชาตา  ย่อมให้โทษกับผลที่ให้คุณต่างๆ ในขณะที่อาทิตย์มีตำแหน่งสัมพันธ์ไม่ดี ไม่ควรเริ่มงานใหม่ พยายามรักษาสุขภาพอนามัยให้ดี ควรเลื่อนการชุมนุมพบปะ ไม่ควรทำธุรกิจการงานที่สำคัญๆ ในระยะนี้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้อาทิตย์จะอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ไม่ดี ก็ยังให้โอกาสเหมาะอยู่อย่างหนึ่ง คือ ส่งเสริมงานที่จะจวนจะแล้ว การเดินทางกลับ การถอยทัพ

       อิทธิพลของดวงอาทิตย์มีพลังมาก และคงทนอยู่นาน

 

       ดวงจันทร์

       เป็นดาวบริวารของโลก ชาวกรีกโบราณนับถือพระจันทร์เป็นโลกพิภพ เป็นเทพเจ้าแห่งอากาศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประจำชีวิตของสตรีทุกๆ คน ตลอดจนชีวิตซึ่งใครๆ นับถือว่าเป็น เทพเจ้าแห่งการวิวาห์ และเทพเจ้าแห่งการเกิดของทารก คือ หมายความว่าเป็นมารดาของเด็ก และในขณะเดียวกันเป็นเทพเจ้าของการเป็น หม้าย คือ สามีตายด้วย

       ดวงจันทร์ มีอิทธิพลต่อธรรมชาติชีวิตทุกชีวิตบนพื้นโลก มักมีอิทธิพลต่อผู้มีอารมณ์คอยเคลิบเคลิ้มอย่างแรง ต่อธาตุน้ำ ต่อต้นไม้ พืชพันธุ์ต่างๆ ต่อชาวประมง มีธรรมชาติเป็นเพศหญิง ผู้รับ มีลักษณะเปี่ยมล้น ไหลอ่อนเหมือนน้ำ เปลี่ยนแปลงง่าย

       จันทร์ข้างขึ้น  เป็นระยะของการติดต่อ ควรเริ่มลงมือทำกิจการใหม่ๆ ที่เสี่ยงๆ ในระยะนี้ งานที่ต้องวิ่งเต้นต่างๆ เช่น งานซื้อขาย นายหน้าการเดินตลาด การเอาประกันหาโฆษณา ฯลฯ เป็นเวลาที่เหมาะแก่การเพาะเมล็ดพืชพันธุ์ไม้ การเก็บเกี่ยวและการปลูกต้นไม้ งานแพทย์ที่ไม่ใช่ศัลยกรรม การบำรุง สุขภาพอนามัยในการพักฟื้นไข้ โอกาสดีสำหรับการเจรจาติดต่อ สร้างสัมพันธไมตรี แลกเปลี่ยนสนธิสัญญาทางการทูต

       จันทร์ข้างแรม  เป็นระยะเวลาที่อิทธิพลของดาวจันทร์ลดลงเหมือนกระแสน้ำลง ควรสงบนิ่ง รอดูเหตุการณ์ กระชับกิจการ ควบคุมสถานการณ์ไว้ให้ปกติในทางศัลยแพทย์ ทันตแพทย์ เหมาะแก่การศัลยกรรม การตัดสินใจรักษาโรคควรระงับไว้ก่อนในระยะนี้ ดีในการปลูกพันธุ์ไว้ ดอกไม้ปักมากกว่าไม้เมล็ดพืช

 

 

       ดาวอังคาร

       ดาวอังคาร ทั้งกรีกและโรมันนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความมีรูปร่างใหญ่โตแข็งแรง และมีกำลังมาก และเป็นผู้เชี่ยวชาญทางสงคราม อันสมเป็นทหาร หรือนักรบ มีนิสัยเสีย เป็นเทพเจ้าที่มีนิสัยโมโหฉุนเฉียวและมุทะลุ รักการสงครามชนิดเลือดตกยางออก และมีนิสัยชอบหาเรื่อง ทะเลาะวิวาท เป็นเทพเจ้าแห่งความดุร้าย ชอบทำลายล้างมากกว่าก่อให้เกิดขึ้น เป็นเทพเจ้าแห่งความตาย อันเกิดจากอุปัทวเหตุ เป็นเทพเจ้าแห่งพายุและแสง คือมีความรวดเร็วเป็นประจำ

       ดาวอังคาร มีความหมายทางธรรมชาติ ถึงการต่อสู้ รบพุ่ง ทำสงคราม ความกักขละ หยาบคาย พลังงานที่ระเบิดออก โดยไม่มีอะไรควบคุมได้ เป็นสัญลักษณ์ของการรุกราน ต่อสู้ ความกล้าหาญ มุทะลุ ตึงตัง การดิ้นรนด้วยกำลังงานเกี่ยวกับเครื่องจักร โลหะ การกีฬา (บุคคลที่เกิดใต้อิทธิพลของดาวอังคาร มักเป็นผู้เข้มแข็ง)

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ดีกับดวงชาตา  ให้คุณในทางการดิ้นรน ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ความกล้าหาญชาญชัย สุขภาพพลานามัย นักกีฬา วิศวกร อุตสาหกรรม ก่อสร้าง พวกนักรบทุกเหล่า เกี่ยวกับผู้หญิง มักมีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับความรัก

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ไม่ดีกับดวงชาตา  ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทบาดหมาง ผิดใจกัน เกิดอุปัทวเหตุเพราะความประมาทสะเพร่า การแตกความสามัคคีธรรมในหมู่คณะ ในวงสังคม

       การผ่าตัดไม่ควรกระทำในระยะที่ดาวอังคารมีกำลังสัมพันธ์ไม่ดี โดยเฉพาะการผ่าตัดอวัยวะของร่างกายส่วนที่จันทร์หรืออังคารโคจรเข้าไปอยู่ในราศีนั้น เช่นจันทร์ หรืออังคารโคจรอยู่ในราศีสิงห์ ก็ไม่ควรทำการผ่าตัดหน้าท้อง ซึ่งเป็นเครื่องหมายอวัยวะของร่างกายประจำราศีสิงห์ ดาวอังคารมีอิทธิพลทันทีทุกเวลาและถาวร

 

      ดาวพุธ

       ดาวพุธ  ชาวกรีกและโรมัน ถือว่าเป็นเทพเจ้าของพ่อค้า หรือนักธุรกิจ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งการค้าข้าวโพดของพวกพ่อค้าทั้งปวง ฉะนั้นจึงนับเข้าเป็นพระเจ้าแห่งการค้าและธุรกิจทั้งปวง พ่อค้าโดยมากของชาวกรีกและโรมัน มักบูชาเทวรูปนี้ไว้ตามร้านค้าขายต่างๆ เพราะนิสัยของเทพเจ้านี้ชอบสงบ หรือรักสงบมากกว่าตีรันฟันแทง และเป็นเทพเจ้าที่เป็นนักพูด และปราชญ์ทางค้นคว้าหาเงินมากกว่าหาเรื่องราวทะเลาะวิวาท อันเรียกว่าเทพเจ้าแห่งความสันติสุข

       ดาวพุธ  มีความหมายตามธรรมชาติในการติดต่อ แสดงถึงระบบประสาทปฏิภาณสมอง ความเฉียบแหลมว่องไว เป็นสัญลักษณ์ของผู้เยาว์ นักเรียน นักศึกษา และพลังงานเคลื่อนไวทางสมอง มีความโน้มเอียง เป็นเหตุให้บุคคลอยู่ไม่สุข กระสับกระส่ายทุรนทุราย หาความสงบได้ยาก หงุดหงิด ชอบเที่ยวเตร่ไปทุกหนทุกแห่ง มักทำให้ต้องอพยพไปอยู่ต่างจังหวัด ต่างประเทศ

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ที่ดีกับดวงชาตาย่อมให้คุณ เกี่ยวกับการเดินทาง การติดต่อ การพิจารณา การปกฐกถา การเดินตลาด การโฆษณา การประพันธ์ทุกด้าน อักษรศาสตร์ วรรณกรรม ให้คุณทางการศึกษา สวัสดิภาพของผู้เยาว์

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับดวงชาตา จะเกิดอุปสรรคเกี่ยวกับการงานที่ใช้สมอง สมาธิ ความเอาใจใส่ แสดงถึงการแทรกแซง การหยุดชะงัก ความวิตกกังวล ความหวั่นไหว กระทบกระเทือนประสาท เกิดความยุ่งยาก เกี่ยวกับผู้เยาว์และเด็ก

       ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ คือ ขณะที่ดาวพุธโยกย้ายราศี เป็นระยะที่ดวงดาวมีอิทธิพลมาก ไม่ควรทำงานที่ต้องใช้ความเอาใจใส่อย่างหนัก หรืองานที่ต้องทนทำกันนานในระยะที่กล่าวนี้

 

       ดาวพฤหัสบดี

       ดาวพฤหัสบดี  พวกกรีกโบราณถือว่า ดาวพฤหัสบดีเป็นราชาแห่งฟ้า หรือบิดาแห่งเทพเจ้าทั้งปวง (คล้ายพระอินทร์ พระอิศวร พระพรหม อย่างไทย) พวกกรีกโบราณนับถือดาวพฤหัสบดีเป็นบิดาของพระเจ้าและมนุษย์ทั้งปวง คือ เป็นเทพเจ้าของทุกๆ อย่าง คือเทพเจ้าแห่งแร่ธาตุ ฝน ลม ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ และเครื่องหมายของความสงบ คือ รุ้ง

       เมื่อเทพเจ้าแห่งชัยชนะของสงครามและกีฬาแห่งการเล่นกีฬาและการเล่น คือมีความสำเร็จทุกประการ พร้อมทั้งเป็นเทพเจ้าแห่งความยุตธรรม ความคิด กฎหมาย และอำนาจที่จะพิพากษาอรรถคดีทั้งปวง

       ดาวพฤหัสบดีมีความหมาย ทางธรรมชาติ เกี่ยวกับความมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัตินาๆ ประการ เป็นสัญลักษณ์ของโชควาสนา ความเมตตากรุณาตั้งอยู่ในภูมิธรรมสังคม ความสำเร็จ อำนาจเกียรติภูมิ อิทธิพลไปในทางคุณงามความดี

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์ที่ดีกับดวงชาตา  ให้คุณทางด้านฐานะ การเงิน การคลัง การเศรษฐกิจ การลงทุน ขนบธรรมเนียมประเพณีทางศาสนา การติดต่อด้วยสังคมธรรม สังคมสงเคราะห์ หน้าที่พลเมือง การบำเพ็ญทาน การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ มีอุดมคติ และทัศนะวิสัยงาม ใฝ่ฝันทะเยอทะยานในการสร้างฐานะ ความก้าวหน้า

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับดวงชาตา  จะไม่อำนวยผล ควรระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย มักกลับเป็นคนหัวสูง อวดโต พูดเกินความจริง

       เฉพาะนักการพนัน วันใดดาวพฤหัสบดีอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ที่ดี ตัวเก็งจะมามาก แต่ถ้ามฤตยู หรือเกตุ มีอิทธิพลสูงกว่า มักจะมีการฟลุ๊กเกิดขึ้น (อิทธิพลของดวงดาวพฤหัสบดีมีพลังเต็มที่และถาวร)

  

       ดาวศุกร์

       ดาวศุกร์  ชาวโรมันนับถือว่าเป็นเทพเจ้าผู้หญิงชื่อวีนัส ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความสวยงาม ความเจริญต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวยงามตามธรรมชาติต่างๆ เช่น ในสวนดอกไม้งามบานสีสวย เป็นเทพเจ้าแห่งความรักปนความใคร่ หรือเทพเจ้าแห่งความรักทั่วๆ ไป คือ หามีเจ้าของไม่ เทพเจ้าวีนัสนี้ ชาวโรมันปั้นเป็นหญิงสาวเปลือยกายนอน หรือยืนคู่กับเด็กเล็กเปลือยกาย มีปีกถือคันธนูและลูกธนูเป็นอาวุธ (เด็กเล็งนั้นเป็นบุตรสุดสวาทของเทพเจ้าวีนัส ชื่อ คิวปิค)

       ความศุกร์มีความหมาย ทางธรรมชาติเกี่ยวกับการประสานกลมกลืนให้สนิทเป็นสัญลักษณ์ของความรักความสงบ การอยู่ร่วมโดยสันติความสวยงาม ดาวศุกร์เป็นดวงดาวที่มีความสัมพันธ์เป็นพิเศษเกี่ยวกับเพศหญิง ทรงอิทธิพลทางสงเคราะห์อำนวยโชคต่อชีวิตเหนือดาวอื่นๆ

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ที่ดีกับดวงชาตา ย่อมให้คุณและส่งเสริมงานด้านสังคมนิยมงานส่วนรวม ความรักใคร่ระหว่างเพศ การกลับคืนดี ประนีประนอม การสร้างความสัมพันธ์กันใหม่ สิ่งที่ต้องการความละเอียดประณีต ศิลปะ นักร้อง นักดนตรี ดาราภาพยนตร์ ละคร การหากินในทางศิลปะทั่วๆ ไป

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ไม่ดีกับดวงชาตา กลับให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียด ความมึนตึงในครอบครัว วงศาคณาญาติ เกิดความยุ่งยากใจเพราะผู้หญิง สุขภาพพลานามัยเสื่อมโทรมกำลังวังชาทรุดโทรมไป

       อิทธิพลของดาวศุกร์ เป็นไปชั่วครู่ยาม และจะแรงยิ่งขึ้นในเวลาย้ายราศี

 

       ดาวเสาร์

       ดาวเสาร์  ชาวโรมันถือว่าดาวเสาร์เป็นเทพเจ้าของการหว่านพืชต่างๆ เช่น ข้าวโพด ส่วนทางกรีกถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคชาตา ฉะนั้นดาวเสาร์จึงเป็นเทพเจ้าแห่งความไม่แน่นอน คงทน คือเป็นได้ทั้งทางดีและทางชั่ว

       ดาวเสาร์มีความหมาย ทางธรรมชาติหมายถึงความอดทน การจำกัดสิทธิขอบเขต เป็นสัญลักษณ์ของความรับผิดชอบอย่างหนัก ดาวเสาร์มีอิทธิพลไปในทางบาปเคราะห์ ให้ความชั่วร้ายต่อโลกและชีวิตบนโลก ผู้ที่อยู่ในใต้อิทธิพลของดาวเสาร์ ฟันมักเสียผุเกตั้งแต่ยังเด็ก

       ถ้าอยู่ในสัมพันธ์ที่ดีกับดวงชาตา  ก็ให้คุณประโยชน์มาก ทำให้เป็นคนเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม จะได้รับผลรางวัลเพราะความพยายามอย่างหนัก โชคลาภของคนที่อยู่ใต้อิทธิพลดาวเสาร์จะได้มาก็ต้องเหน็ดเหนื่อย เกิดผลทางที่ดิน การแลกเปลี่ยนการเจรจาตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สิน คนสูงอายุ และสวัสดิภาพของคนสูงอายุ การศึกษาที่ต้องใช้ความเอาใจใส่อย่างมาก การค้นคว้า งานทุกชนิดที่ไม่ขึ้นกับอารมณ์ การลงทุนที่ต้องใช้เวลานานๆ สิ่งที่ต้องสร้างเพื่อความถาวรและปลอดภัย

       อิทธิพลของดาวเสาร์ กล้าแข็งและคงทนมาก

       ถ้าอยู่ในตำแหน่งสัมพันธ์ไม่ดีกับดวงชาตา  ทำให้เกิดความสลดใจ ฐานะต่ำต้อย การผลัดผ่อนเลื่อนกำหนด ความล่าช้า ไม่ตรงตามสัญญา หรือผิดความคาดหมาย ความรับผิดชอบแทนผู้ใหญ่สูงอายุ ความเหงาหงอยเปลี่ยวใจ ขาดความกระฉับกระเฉงว่องไว

 

ธาตุของดาว

       เมื่อโลกแบ่งสภาพของวัตถุออกเป็น ๔ ประเภท โดยใช้ความว่า วัตถุ (ธาตุ) คือ ไฟ ดิน ลม น้ำ ดาวเคราะห์ต่างๆ ก็มีธาตุเช่นเดียวกัน ดังนี้

       ธาตุไฟ       ได้แก่       ดาวอาทิตย์ และดาวเสาร์

                        อาทิตย์     แสดงถึง ธาตุไฟอันมีความร้อนและแสงโชติช่วง

                        เสาร์        แสดงถึง ธาตุไฟซึ่งกรุ่นๆ ร้อนระอุ

       ธาตุดิน      ได้แก่       ดาวจันทร์ และดาวพฤหัสบดี

                        จันทร์       แสดงถึง ธาตุดินชุ่มๆ ร่มเย็น เช่น ที่พักอาศัย

                        พฤหัสบดี  แสดงถึง ธาตุดินแห้งๆ เช่น ขุนเขาแห้งแล้ง

       ธาตุลม       ได้แก่       ดาวอังคาร และราหู

                        อังคาร      แสดงถึง ธาตุลมซึ่งพัดเรื่อยๆ ตามฤดูกาล

                        ราหู         แสดงถึง ธาตุลม ลมพายุพัดแรงเป็นคราวๆ เรื่อยๆ

       ธาตุน้ำ       ได้แก่       ดาวพุธ และดาวศุกร์

                        ดาวพุธ     แสดงถึง ธาตุน้ำซึ่งอยู่ตามมหาสมุทรทั่วๆ ไป

                        ดาวศุกร์    แสดงถึง ธาตุน้ำฝนตกแล้วไหลลงสู่ทะเลเป็นครั้งคราว ส่วนมฤตยูและเกตุไม่มีธาตุประจำ

       เกตุ  จัดเป็นดาวพิเศษ เพราะเป็นวิญญาณธาตุ เมื่ออยู่กับดาวอะไร ทำให้ดาวดวงนั้นมีกำลังแรงขึ้น ไม่เสวยอายุบุคคล ถ้ากุมลัคนา ของบุคคลใดก็ทำหน้าที่ในราศีนั้นๆ ดาวเกตุจัดอยู่ในพวกนก ๒ หัว คือเป็นทั้งบาปเคราะห์และศุภเคราะห์ ดาวไหนดี ดีด้วย ดาวไหนร้าย ร้ายด้วย โคจรผ่านอาทิตย์เพียงปีละครั้งเดียว

       มฤตยู  จัดเป็นดาวพิเศษอีกดวงหนึ่ง เกิดขึ้นโดยสภาวธรรมชาติ เกิดจากแหล่งธาตุน้ำเหมือนดาวอื่น มีกำลังเท่าๆ กับดาวอื่นทุกดวงรวมกัน ชื่อว่า เทพเจ้าแห่งความตาย (สูญสิ้น) ไม่เสวยอายุบุคคล

 

ทิศประจำราศี

       ภายในจักรวาลซึ่งแบ่งเป็น ๑๒ ราศีแล้วนั้น นับแต่ราศีเมษ ถึง ราศีมีน ได้กำหนดทิศทางของราศีต่างๆ ไว้ดังนี้

       ๑.  ทิศตะวันออก         หรือทิศบูรพา          ได้แก่ ราศีเมษ

       ๒.  ทิศตะวันตก           หรือทิศประจิม        ได้แก่ ราศีตุลย์

       ๓.  ทิศเหนือ               หรือทิศอุดร           ได้แก่ ราศีกรกฎ

       ๔. ทิศใต้                   หรือทิศทักษิณ        ได้แก่ ราศีมังกร

       ระหว่างกลางของราศีทั้งหลายที่คาบเกี่ยวกันสองราศี คือ

       ราศีพฤศภ    และมิถุน      คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ    หรือทิศอีสาน

       ราศีสิงห์      และกันย์      คือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ      หรือทิศพายัพ

       ราศีพิจิก      และธนู        คือทิศตะวันตกเฉียงใต้          หรือทิศหรดี

       ราศีกุมภ์      และมีน        คือทิศตะวันออกเฉียงใต้        หรือทิศอาคเนย์

       เมื่อเวลาพยากรณ์ ก็ให้สังเกตดาวเจ้าเรือนต่างๆ ที่ไปสถิตอยู่ราศีของทิศใด ก็ทายว่าอยู่ทิศนั้น ตามความหมายของความต้องการของเราที่จะทำนายเอา เช่น ต้องการทายคู่ครองอยู่ทิศใด ก็ให้พิจารณาดาวเจ้าเรือนปัตนิอยู่ในราศีใด และราศีที่ดาวปัตนินั้นไปสถิตอยู่ในราศีใด ก็ทายว่าทิศนั้น เช่น สถิตอยู่ราศีมีน ก็ทายว่าคู่ครองอยู่ทางทิศตะวันออกเป็นต้น การเดินทางก็แม้นกันตามหลักว่า ถ้าดาวเจ้าเรือนศุภะเข้มแข็งดี ก็จะมีโอกาสเดินทางไกล แต่จะทราบว่าจะเดินทางไกล ไปทางทิศใด ก็ให้สังเกตราศีที่ดาวเจ้าเรือนศุภะสถิต เช่น อยู่ราศีมังกร ก็ทายว่าจะได้เดินทางไปทางทิศใต้ เป็นต้น และเรื่องอื่นๆ นอกจากนี้ เมื่อต้องการดู ก็กำหนดตามหลักนี้ และไม่ใช่แต่ในดวงชาตาเดิมเท่านั้น แม้แต่ดวงชาตาจรก็ใช้ได้เหมือนกัน

 

ราศีที่มีกำลังในเวลากลางวันและกลางคืน


 

       ราศีที่มีกำลังในเวลากลางวัน คือ ราศี สิงห์ กันย์ ตุลย์ พิจิก ธนู มังกร

       ราศีที่มีกำลังในเวลากลางคืน คือ ราศี กุมภ์ มีน เมษ พฤศภ มิถุน กรกฎ

       ดาวแต่ละดวงจะให้ความหมายในทางราศีภาคนั้นๆ มากประมาณ ๗๕% เมื่อภาคนั้นที่มีดาวสถิตอยู่ และจะให้ความหมายที่ตนไม่ได้สถิตอยู่เพียง ๒๕%

       ตัวอย่าง เช่น ดาวอังคารเป็นเกษตรสองราศี คือ ราศีเมษ และราศีพิจิก แต่เมื่ออังคารไปประจำสถิตอยู่ราศีพฤศภ ซึ่งเป็นภาคกลางคืน อังคารก็จะให้ความหมายในทางราศีเมษ เจ้าเกษตรของคนถึง ๗๕% และจะให้ความหมายมาทางราศีพิจิก ๒๕%

       และสมมุติอังคารอยู่ในราศีกันย์ ภาคกลางวัน ก็จะส่งกำลังไปยังราศีพิจิก ๗๕% และจะส่งกำลังให้ราศีเมษเพียง ๒๕% เช่นเดียวกัน

 

ความเป็นจริงระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก

       ดวงอาทิตย์ที่เราเห็นในเวลากลางวันนั้น เราเรียกว่าดวงอาทิตย์ธรรมชาติ ไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลย โลกเราต่างหากที่หมุนรอบตัวเองไปด้วยและโคจรรอบดวงอาทิตย์ไปด้วย เมื่อโคจรผ่านดาวประจำราศีใด เช่น ราศี เมษ พฤศภ มิถุน กรกฎ สิงห์ เป็นต้น เราก็เรียกว่า โลกโคจรมาสถิตในราศีนั้นๆ จึงจะถูกต้อง แต่เราหาเรียกความจริงเช่นนั้นไม่ เราเรียกกลับกันว่า ดวงอาทิตย์โคจรมาสถิตในราศีนั้นราศีนี้ ที่เราเห็นในดวงชาตาเป็นเลข ๑ คือเครื่องหมายแทนดวงอาทิตย์ธรรมชาตินั้น เป็นบทกลับของโหราศาสตร์ที่นำมาใช้เปรียบเหมือนเวลาเรานั่งรถไฟกำลังแล่น เราจะเห็นว่าต้นไม้และสิ่งต่างๆ ที่พื้นดินวิ่งหนีเราไป แต่ถ้าเราอยู่พื้นดินเราก็เห็นรถไฟแล่นหนีเรา

       ฉะนั้น การคำนวณ เช่น สุริยุปราคา จันทรุปราคา หรืออื่นๆ ก็เป็นทฤษฎีต่างๆ เกิดขึ้น

 

สุริยุปราคา, จันทรุปราคา เกิดขึ้นได้อย่างไร

       สุริยุปราคา เกิดขึ้นได้ด้วยในการโคจรของโลกไปรอบๆ ดวงอาทิตย์พร้อมกับการที่ดวงจันทร์เป็นบริวารโคจรไปรอบๆ โลก โดยติดตามโลกไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ด้วยนี้ เมื่อดวงจันทร์เข้ามาอยู่ในตำแหน่งระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก และเงามืดของดวงอาทิตย์ทอดตกลงบนพื้นผิวโลก คนบนพื้นผิวโลกในบริเวณนั้นย่อมเห็นดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บังไป เรียกว่าเกิดสุริยุปราคา

       จันทรุปราคา เกิดขึ้นได้ เมื่อดวงจันทร์โคจรไปอยู่ในตำแหน่งบนวงโคจรรอบโลกตรงข้ามกับตำแหน่งเดิม และเข้าไปอยู่ในเงามืดของโลก ที่ทอดไปในอวกาศ ดวงจันทร์ก็ไม่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ เพราะถูกโลกบังเสีย คนบนโลกจึงเห็นดวงจันทร์มัวและมืดไป นับเป็นการเกิดจันทรุปราคา

       ปรากฏการณ์ทั้งสองประเภทนี้ รวมเรียกว่า อุปราคา

       อุปราคาจะเกิดได้เมื่อใดและเห็นได้ที่ไหน หลักเกณฑ์ง่ายๆ ของอุปราคาให้เห็นได้ว่า สุริยุปราคาเกิดได้แต่ในวันแรม ๑๕ ค่ำหรือขึ้นค่ำ เมื่อดวงจันทร์โคจรเข้ามาอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ และจันทรุปราคาก็เกิดแต่ในคืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ

       สุริยุปราคา เห็นมืดมิดแต่เฉพาะผู้ดูอยู่ตรงเงามืดตก ส่วนจันทรุปราคานั้น เมื่อดวงจันทร์ถูกบังมืดไป ผู้ที่อยู่บนพื้นโลกในบริเวณกว้างใหญ่ จะสามารถเห็นได้พร้อมกัน จึงเป็นปรากฏการณ์ที่มีผู้เห็นได้มากกว่าสุริยุปราคามืดมิด

       ระยะความนานของอุปราคา ช่วงเวลาที่เกิดจันทรุปราคาจะยาวกว่าช่างเวลาของสุริยุปราคา ความหนาของเงามืดของโลกตรงที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านนั้นมีค่าประมาณ ๕,๗๐๐ ไมล์ เนื่องด้วยดวงจันทร์เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉลี่ยราว ๒,๐๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมง จึงอาจอยู่ในบริเวณที่ยังถูกเงามืดของโลกทอดทับบางส่วน

       และถ้าหากว่าดวงจันทร์ เคลื่อนที่ผ่านศูนย์กลางของเงามืดด้วยแล้ว ก็จะมืดมิดอยู่นานกว่า ๑ ชั่วโมงด้วย

       ในขณะเมื่อดวงจันทร์อยู่ในแนวเดียวกับศูนย์กลางของโลกและดวงอาทิตย์ และอยู่ใกล้โลกมากที่สุดในวงทางโคจร พร้อมกับอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุดด้วยเงามืดของดวงจันทร์จะตั้งฉากกับพื้นผิวโลก และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๖๗ ไมล์ นับเป็นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ เงามืดนี้เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็ว ๒,๐๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมง เท่ากับความเร็วของดวงจันทร์ในวงทางโคจร แต่โดยเหตุที่พื้นโลกที่เส้นศูนย์สูตรและอยู่ตรงจุดเที่ยงวันเคลื่อนที่ไปทางเดียวกันด้วยความเร็ว ๑,๐๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมง เพราะการหมุนรอบตัวเองของโลก ความเร็วของเงาสัมพันธ์ต่อผู้สังเกตการณ์บนผิวโลก จึงเป็น (๒,๐๐๐ - ๑,๐๐๐) = ๑,๐๐๐ ไมล์ต่อชั่วโมง ดังนั้นเงามืดจะผ่านผู้ดูไปจากขอบหนึ่งถึงอีกขอบหนึ่งกินเวลา (๑๖๗ x ๖๐ ‚†‡÷ ๑,๐๐๐) = ๑๐ นาที แต่ค่าที่ได้นี้เป็นค่าเฉพาะตรงจุดที่แสงอาทิตย์ตั้งฉาก แต่ตรงแห่งอื่นๆ เงามืดของดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่เร็วกว่ามาก เพราะตกเป็นมุมเฉียงคิดเฉลี่ยแล้วช่วงมืดมิดของสุริยุปราคาจึงไม่เกิน ๗ นาที ๓๐ วินาที สำหรับตำบลที่เกิดสุริยุปราคาตอนเช้าหรือตอนเย็นช่วงเวลาของการเกิดมืดมิดจะสั้นลงมาก

 

สุริยุปราคาและจันทรุปราคาอย่างไหนจะเกิดบ่อยครั้งกว่ากัน

       สุริยุปราคาเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าจันทรุปราคา แต่สุริยุปราคาเกิดขึ้นครั้งหนึ่งๆ จะมีผู้เห็นได้น้อยกว่าจันทรุปราคา

       สำหรับจันทรุปราคา ก็น่าจะเกิดขึ้นทุกวันเพ็ญ แต่โดยเหตุที่วงโคจรทั้งสองไม่ทับกัน จันทรุปราคาจึงไม่เกิดบ่อยครั้ง

       สุริยุปราคาวงแหวน ปรากฏการณ์เกิดขึ้นเมื่อพื้นผิวโลกอยู่ใกล้ดวงจันทร์พอที่เงามืดตกลงถึงได้ หากดวงจันทร์อยู่ห่างโลกออกไป เงามืดตกไม่ถึงพื้นผิวโลก บริเวณเงาของดวงจันทร์มากระทบโลก อาจแบ่งได้เป็นอาณาเขตตรงกลาง ผู้ที่อยู่แนวอาณาเขตทางเหนือและทางใต้เป็นเขตเงาล้อมรอบจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกบังคับแต่บางส่วน ส่วนผู้ที่อยู่ในเขตตรงกลางจะเห็นสุริยุปราคารูปวงแหวน

 

เหตุใดอุปราคาจึงเกิดซ้ำเป็นรอบๆ

       ในการโคจรเป็นรอบๆ นั้น โลกมาอยู่ในตำแหน่งเดิมเทียบกับดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ทุกๆ รอบ ๑๘ ปี ๑๐ / วัน (๖,๕๘๕ / วัน) อุปราคาชุดต่างๆ จึงเกิดขึ้นซ้ำตามรอบนี้เอง เหตุที่เกิดมีสุริยุปราคาขึ้นได้ สภาวะสองประการที่เปลี่ยนแปรอยู่เรื่อยๆ จะต้องได้ค่าพอเหมาะ คือ

       (๑) ดวงจันทร์  จะต้องอยู่ในตำแหน่งขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๑๕ ค่ำพอดี ซึ่งจะเกิดเป็นรอบทุกระยะ ๒๙,๕๓๐๕๙ วัน

       (๒)            ดวงอาทิตย์จะต้องมาอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งจะเกิดเป็นรอบทุก ๓๔๖.๖๒๐๑ วัน ระยะนี้เรียกว่า ปีอุปราคา

       ดังนั้นจะเห็นได้ว่า อุปราคาไม่อาจเกิดขึ้นทุกรอบเดือนได้ เพราะดวงอาทิตย์ไม่อยู่ในตำแหน่งเดิมถูกต้องบ่อยครั้งกว่ารอบละ ๓๔๖.๖๒๐๑ วัน เพื่อจะเกิดอุปราคาซ้ำอีก จึงจำจะต้องให้เวลาผ่านไปหลายปี และหลายรอบเดือน เพราะจำเป็นจะต้องให้ภาวะทั้งสองพอดีกัน

       การที่จะคำนวณหาระยะเวลาเกิดเช่นนี้ พอดีก็คือ โดยการหาตัวคูณร่วมน้อยของจำนวน ๒๙.๕๓๐๕๙ วัน และ ๓๔๖.๖๒๐๑ วันนั่นเอง ตัวคูณร่วมน้อยที่พอดีจริงหาไม่ได้ ได้แต่ตัวคูณร่วมน้อยที่พอใช้ได้คือ ๖.๕๘๕ / วัน ซึ่งอาจสอบดูได้โดยการเอา ๒๙.๕๓๐๕๙ กับ ๓๔๖.๖๒๐๑ ไปหาร

       เมื่อเวลาหลังจากที่เกิดอุปราคาครั้งหนึ่งผ่านไปได้ ๖.๕๘๕ / วัน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก ก็ควรจะกลับมาอยู่ในตำแหน่งเทียบเคียงต่อกันอีกครั้งหนึ่ง แต่โดยเหตุที่ระยะเวลานี้ไม่ใช่ตัวคูณร่วมน้อยที่ถูกต้องจริงๆ ของเดือนและปีอุปราคา อุปราคาจึงเกิดขึ้นไม่ได้เหมือนเดิมทุกอย่าง

       ฉะนั้น การคำนวณสร้างปฏิทินโหราศาสตร์ก็ถือหลักการคำนวณดังกล่าวมานี้ ถ้าท่านเปิดปฏิทินโหราศาสตร์ดู จะทราบได้ทันทีว่า ปีใด เดือนใด และวันใด จะเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคา ดังนี้

       สุริยุปราคา เกิดขึ้นในวันแรม ๑๕ ค่ำ หรือขึ้นค่ำ โดยมี อาทิตย์ จันทร์ อยู่ราศีเดียวกัน ตรงข้ามกับราหูคือเงาของโลก

       จันทรุปราคา เกิดขึ้นในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ โดยมีจันทร์ ราหู อยู่ราศีเดียวกัน ตรงข้ามกับอาทิตย์

สุริยุปราคา ซึ่งเห็นในประเทศไทย ๕ ครั้ง

ครั้งที่ ๑       สุริยุปราคา พ.ศ.๒๔๑๑ สุริยุปราคาเต็มคราสครั้งแรกปรากฏหลักฐานมีอยู่ในประเทศไทย เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๔ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์เจนจบชำนาญ ทรงคำนวณทราบว่าในปีมะโรงสัมฤทธิศก พ.ศ.๒๔๑๑ จะเห็นสุริยุปราคาเต็มคราสในประเทศไทย วันอังคารขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ และวิถีโคจรของพระอาทิตย์จะเห็นสุริยุปราคาเต็มดวงได้ที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ใกล้ตำบลคลองวาฬ มีพระราชดำรัสแถลงแก่โหรไทยในสมัยนั้น ก็มิใคร่มีใครเห็นพ้องด้วยเพราะผิดกับที่กล่าวไว้ในตำราครั้งนั้นว่า ไม่เคยเห็นสุริยุปราคาเต็มคราสในประเทศไทยแต่โบราณมาว่าเต็มดวงมีแต่จันทรุปราคา ส่วนสุริยุปราคานั้นหามีที่จะหมดดวงไม่ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาบำราบปรปักษ์ได้ตรัสเล่าภายหลังว่า แม้พระองค์ท่านเองก็ไม่ทรงเชื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องที่จะเกิดสุริยุปราคาเต็มคราสนี้ หากเกรงพระราชอัธยาศัยก็รีบตามเสด็จออกไปดูด้วย จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพลับพลาสถานที่สำหรับทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอนั้น แล้วเสด็จทรงเรือพระที่นั่งอัครราชวรเดชออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันศุกร์เดือน ๙ แรม ๔ ค่ำ ประทับ ณ ที่บางแห่งในระยะทาง เสด็จถึงพลับพลาตำบลหว้ากอเมื่อวันจันทร์ เดือน ๙ แรม ๘ ค่ำ ณ วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๑๑ จึงเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พระนครกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงคำนวณเวลาสุริยุปราคาได้อย่างถูกต้องดีมากทีเดียว

                  ในวันที่ ๑๘ สิงหาคม

               -  เวลาเช้า เริ่มมีพยัพเมฆหนาแน่นเกิดขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ตลอดเวลา เมฆหมอกได้บังพระอาทิตย์เสียหมด เกือบไม่มีหวังได้เห็นสุริยุปราคา

               -  ถึง ๙ นาฬิกา มีฝนตกลงมาเล็กน้อย

               -  เมื่อ ๑๐ นาฬิกา ลมพัดจากตะวันตกเฉียงใต้อย่างแรงจัดขึ้น

               -  พอ ๑๐.๐๕ นาฬิกา เมฆเริ่มกระจายออก ทางตะวันตกท้องฟ้าโปร่งขึ้น

               -  เวลา ๑๐.๓๕ นาฬิกา จึงได้เห็นดวงอาทิตย์เป็นครั้งแรก แต่สุริยุปราคาได้เริ่มจับทางขอบตะวันตกไปประมาณ ๑ ใน ๔ ของเส้นศูนย์กลางแล้ว

               -  เวลา ๑๑.๒๐ นาฬิกา ก่อนเวลาเต็มคราส ๒๐ นาที ได้สังเกตเห็นสีฟ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนทางตะวันตก แทนที่จะเป็นสีน้ำเงินอ่อน กลายเป็นสีคล้ำขึ้น ก้อนเมฆอยู่ทางนั้นเห็นลอยเด่นอยู่ชัดเจน

               -  เวลา ๑๑.๒๐ นาฬิกา เงาพระจันทร์บังพระอาทิตย์มากขึ้น ท้องฟ้าทั่วไปมืดมัว สิ่งต่างๆ ที่ตั้งอยู่ไกลเห็นมีรูปอย่างขมุกขมัว สีทะเลเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีม่วงคล้ำ เรือกำปั่นอยู่ห่างจากฝั่งทะเล ๓ ไมล์แลไม่เห็นชัดเจน อากาศหนาวเย็นทั่วไป ปรอทวัดอากาศก็ต่ำลง ๖ องศา

               -  เวลา ๑๑.๒๕ นาฬิกา มืดมัวมากขึ้น เมื่อเวลาเงาพระจันทร์บังพระอาทิตย์ทั้งดวง ซึ่งเป็นเวลา ๑๑.๓๐ นาฬิกา มืดมากทีเดียว ในระยะ ๒-๓ ก้าว แลเห็นร่างกายคนจำกันไม่ได้

               สุริยุปราคาจับเต็มคราสได้ ๖ นาที ๔๕ วินาที แสงสว่างของพระอาทิตย์เริ่มส่องออกมา

               สุริยุปราคาคลายหมดเมื่อเวลา ๑๓ นาฬิกา ๓๗ นาที ๔๕ วินาที

 

ครั้งที่ ๒       สุริยุปราคา พ.ศ.๒๔๑๘ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๑๘ สุริยุปราคาเต็มคราส ซึ่งปรากฏเห็นในประเทศไทย ที่แหลมเจ้าลาย จังหวัดเพชรบุรี ตามการคำนวณเวลาเต็มคราส นาน ๔.๗ นาที เริ่มแต่เวลา ๑๓.๓๘ นาฬิกา ครั้งนี้มืดมัวน้อยกว่าเมื่อสุริยุปราคา พ.ศ.๒๔๑๑

 

ครั้งที่ ๓       สุริยุปราคา พ.ศ.๒๔๗๒ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ประเทศไทยจะเห็นสุริยุปราคาเต็มคราสที่ปัตตานี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าบรมราชินีทรงเรือพระที่นั่งมหาจักรี เสด็จพระราชดำเนินโดยชลมารคจากพระราชวังไกลกังวลหัวหิน ไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่จังหวัดปัตตานี แล้วเสด็จกลับพระนคร

 

ครั้งที่ ๔       สุริยุปราคา พ.ศ.๒๔๙๘ ในวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๙๘ นี้ ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ จะมีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันเกี่ยวกับการโคจรของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ มาอยู่ในเส้นเดียวกัน ทำให้เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงจับเต็มคราสเป็นเวลานานถึง ๖ นาที และเห็นได้ชัดเจนในประเทศไทย นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ประหลาดและมหัศจรรย์ยิ่ง ซึ่งจะหาโอกาสพบในประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ได้ยากที่สุด

                              ในวันที่เกิดสุริยุปราคาบูรณคราส และเห็นได้ในประเทศไทยนั้น อากาศมืดสนิทประดุจเป็นเวลากลางคืน ต้องจุดไฟ ตามตะเกียงและไฟฟ้า ฝูงวิหกนานาชนิดจะพากันบินกลับรัง ด้วยเข้าใจผิดคิดไปว่าเป็นเวลาค่ำคืน ในที่สุดบางแห่งเราอาจไม่มีโอกาสเห็นได้ชัด เพราะอากาศไม่อำนวย เช่นอาจมีเมฆฝนปกคลุม หรือมีฝนตก แต่มีบางแห่งเห็นได้ชัดเจน

                  เวลาและสถานที่เห็นคราสเต็มดวง เริ่มจับบูรณคราสเวลา ๑๐ นาฬิกา ๑๗ นาที ไปหมดเวลา ๑๐ นาฬิกา ๓๗ นาที จังหวัดที่เห็นได้ชัดเจน คือ กาญจนบุรี, ราชบุรี, เพชรบุรี, อุทัย ธานี, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, สุพรรณบุรี, ลพบุรี, สระบุรี, ปทุมธานี, นครนายก, นครปฐม, นนทบุรี, ปราจีนบุรี, พระนคร, ธนบุรี, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง, ชัยภูมิ, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, สุรินทร์, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี

                  เวลาเต็มคราสนานต่างกัน แล้วแต่จะอยู่ห่างไกลจากเส้นแนวกลางของบูรณคราส

 

ครั้งที่ ๕       สุริยุปราคาวงแหวน เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๐๑ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ จะมีสุริยุปราคาเป็นวงแหวนเห็นได้ทั่วประเทศไทย และมีบางภาคของประเทศที่จะเห็นสุริยุปราคาเป็นวงแหวน ในประเทศไทยเริ่มเห็นสุริยุปราคาเป็นวงแหวน ที่บ้านปกจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง เมื่อเวลา ๙ นาฬิกา ๑ นาที ที่อยู่ใกล้เขาใต้สุดของพื้นที่ ซึ่งจะเห็นสุริยุปราคาเป็นวงแหวน เริ่มเวลาประมาณ ๙ นาฬิกาที่เขตแดน ไปจนถึงเวลา ๙ นาฬิกา ๒๐ นาที ที่จังหวัดอุบลราชธานี ภูมิประเทศที่จะเห็นสุริยุปราคาเป็นวงแหวนคือ

                  แนวเหนือสุด  อำเภอจอมบึง ผ่านอำเภอบ้านโป่ง ผ่านอำเภอกำแพงแสน ผ่านเหนืออำเภอลาดหลุมแก้ว ผ่านเหนืออำเภอสามโคก ผ่านใต้อำเภอบางปะอิน ผ่านอำเภอหนองแค ผ่านใต้อำเภอสูงเนิน ผ่านเหนืออำเภอเมืองนครราชสีมา ผ่านอำเภอพิมาย ผ่านอำเภอพุทธไธสง ผ่านใต้อำเภอวาปีปทุม ผ่านใต้อำเภอจตุพักตรพมาน ผ่านอำเภอเสลภูมิ และผ่านอำเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม

                  แนวกลาง  ผ่านเขาใหญ่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผ่านหัวหิน ผ่านอำเภอบางละมุง ผ่านเหนืออำเภอพัฒนานคร ผ่านบ้านละแกลอย ผ่านอำเภอสังขะ ผ่านจังหวัดอุบลราชธานี และไปหมดประเทศไทยที่แม่น้ำโขง

                  แนวใต้สุด  ผ่านปากชัน จังหวัดระนอง ผ่านเหนืออำเภอท่าแซะ ผ่านใต้บ้านเปิด ผ่านเหนืออำเภอขลุง ผ่านเหนืออำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด ไปเข้าเขตแดนประเทศเขมร

                  จังหวัดพระนครเห็นเป็นวงแหวนเต็มกลางดวง เมื่อเวลาประมาณ ๙.๐๐ น. ๙ นาที

                  หัวหินเห็นเป็นวงแหวนเต็มกลางดวง เมื่อเวลาประมาณ ๙.๐๐ น. ๗ นาที

                  เฉพาะในประเทศไทยเป็นวงแหวนเต็มนานต่างกัน ตามตำบลต่างๆ แต่ ๖ นาที ๑ วินาที ถึง ๖ นาที ๒๗ วินาที

 

หมายเหตุ      สำหรับสุริยุปราคา และจันทรุปราคา ซึ่งเกิดขึ้นนั้น บางครั้งเราไม่สามารถจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า และยิ่งเกิดขึ้นในประเทศต่างๆ ด้วยแล้ว เราไม่มีโอกาสไปเห็นได้เลย แต่การเกิดของสุริยุปราคาและจันทรุปราคา ไม่เป็นของแปลกสำหรับนักโหราศาสตร์ เพราะนักโหราศาสตร์ต้องย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าจะเกิดขึ้นเมื่อวันเวลาใด เดือนใด ปีใด เนื่องจาก วันเวลาที่เกิด สุริยุปราคาก็ดี จันทรุปราคาก็ดี เป็นหลักพยากรณ์หวังผลอยู่แล้ว

 

            สุริยุปราคา ใกล้ประเทศไทย เมื่อ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๕ ประเทศที่เห็นได้ชัดเจนคือ บอเนียว นิวกินี มหาสมุทรแปซิฟิคตอนกลางและตอนเหนือ สำหรับประเทศไทยจังหวัดภาคใต้ก็มีส่วนเห็นสุริยุปราคาครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน แต่เห็นเป็นส่วนน้อย

 

 

 

สภาพของดาวเคราะห์และความเป็นจริง ของ  วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ เมื่อเวลา ๐๗.๒๗ น.

            แต่ก่อนหน้าจะเกิดสุริยุปราคา เมื่อ ๒๐ มกราคม ๒๕๐๕ ก็เกิดจันทรุปราคาก่อน การเกิดจันทรุปราคาและสุริยุปราคาระหว่าง ๒ ราศี คือ กรกฎและมังกร ในครั้งนี้เป็นจุดชนวนที่จะเกิดพายุและฝนขึ้น ดังนั้น ในระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน จึงเกิดอุทกภัยทางแหลมตลุมพุกทางภาคใต้ของประเทศไทยขึ้นอย่างใหญ่หลวง เสียหายอย่างมากมาย

            อนึ่ง ขณะที่เกิดสุริยุปราคา คนไทยเรามักนิยมเรียกกันว่า เกิดสุริยคราสหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็น สูรย์ และในวันคืนที่เกิดจันทรุปราคา ก็มักเรียกกันว่า จันทรคราส หรือเรียกว่า ราหูอมจันทร์ หรือเรียกว่าเป็นจันทร์

            ท่านอาจารย์ทางโหราศาสตร์ ได้แต่งกลอนเกี่ยวกับการพยากรณ์ได้ผลแม่นยำตอนหนึ่งว่า “อาทิตย์จันทร์เรือนครูอาจารย์ว่า ถ้าทำการวิวาห์มักจะร้าย” และอีกตอนหนึ่งว่า “ราหูกุมจันทร์และเรือนจันทร์ อังคารนั้นราหูครูท่านไข ย่อมแย่งรักสมคู่ดูกระไร แลมากไปทางเกเรเสน่ห์พาล” และยังห้ามประกอบกิจการสิ่งอันมงคลอีกว่าไว้ดังนี้ “เมื่อจันทคราสสุริยคราสทุกราตรี หน้าสัตตะวารี หลังสัตตะวารา”

            ฉะนั้น การเกิดสุริยุปราคา, จันทรุปราคา ทุกครั้ง จึงไม่เป็นของแปลกประหลาด สำหรับพวกนักโหราศาสตร์ เพียงแต่หาหลักพยากรณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์ดีหรือร้าย อันจะเกิดขึ้นแก่ภูมิประเทศใด หรือเกี่ยวกับตัวบุคคลเท่านั้น เช่น สุริยุปราคาเมื่อ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งมีดาวอังคารเป็นเทพเจ้าแห่งสมครามเข้าร่วมราศี สุริยุปราคาด้วย ก็ให้ระวังภัยสงครามจะเกิดขึ้น หรือให้ระวังภัยจากลมพายุที่ร้ายแรงที่สุดจะเกิดขึ้นเป็นต้น

 

กำเนิดของดาวเคราะห์ครองทิศและครองธาตุ

 

            เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งหลายมีสภาพที่ต้องเกิดมาจากแหล่งธาตุน้ำ ท่านบูรพาจารย์ทางโหราศาสตร์ ได้ลงมติว่า ดาวเคราะห์ทั้งหลายย่อมถือกำเนิดมากจากแหล่งธาตุน้ำทางทิศใต้ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนี้

 

                              

 

๑.         อาทิตย์  เกิดก่อนดาวทั้งหมด เป็นธาตุไฟ รุ่งโรจน์ร้ายแรงยิ่งลักษณะสีแดงโลหิตปนทับทิม ถือกำเนิดจากทิศใต้เป็นระยะที่ ๑ แล้วโคจรโดยทักษิณาวรรต เป็นทิศละระยะจนถึงทิศไฟตะวันออกเฉียงเหนือเป็นระยะที่ ๖ แล้วครองที่ทิศนั้น มีกำลังเป็น ๖ อันเป็นแหล่งต้นแห่งธาตุไฟ หรือเรียกทิศอีสาน แปลว่าทิศแห่งผู้เป็นเจ้าเป็นใหญ่ ขณะที่อาทิตย์โคจรนั้น ได้ประดับเทพอาภรณ์ปัทมราคมมณีแดง ทรงสีหราชเป็นพาหนะ

                  สำหรับดาวดวงอื่นๆ ถือกำเนิดจากแหล่งน้ำดุจเดียวกันกับพระอาทิตย์ แต่ไม่มีแสงสว่างและกำลังในตัวเอง ต่อเมื่อได้แสงจากพระอาทิตย์ฉายฉาบเข้ามา จึงปรากฏรูปลักษณะและกำลังฤทธิ์ เพราะฉะนั้นดาวทุกดวงจำเป็นต้องโคจรโดยทักษิณาวรรตผ่านพระอาทิตย์ก่อน จึงจะครองธาตุของตนตามทิศนั้นๆ ได้

            ๒.   เสาร์ ธาตุไฟ  ลักษณะสีดำคล้ำ ประดับเทพอาภรณ์แก้วมณีนิล ทรงพยัคฆราชเป็นพาหนะ โคจรไปรับแสงอาทิตย์เป็นระยะที่ ๖ แล้วเลยมาครองธาตุไฟ ทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นระยะที่ ๑๐ จึงมีกำลังเป็น ๑๐ รับกระแสไฟที่พุ่งตรงมาจากพระอาทิตย์ แต่เป็นปลายกระแสจึงมีธาตุไฟด้านๆ ไม่มีเปลวรุ่งโรจน์ เป็นลักษณะอย่างไฟถ่านตามที่ว่าผิวพรรณดำคล้ำ ถึงกระนั้นทิศของดาวเสาร์ก็คงร้ายแรงเพราะเป็นทิศไฟ จึงเรียกว่าทิศหรดี เป็นทิศที่ย่อยละลาย หมายความว่า วัตถุใดๆ แม้จะแข็งปานใด เช่น หิน หรือเหล็ก เมื่อตกลงไปในทิศนี้ ก็ย่อมละลายหมด

            ๓.   จันทร์  เป็นลักษณะสีสกาววาว ขาวนวลค่อนข้างเหลือง เรืองๆ ประดับเทพอาภรณ์เพชรดีชาติวิเชียรรัตน์ ทรงอัศวราชเป็นพาหนะโคจรไปรับแสงพระอาทิตย์เป็นระยะที่ ๖ แล้วยังหาสมบูรณ์ด้วยกำลังไม่ ต้องเลยไปแวะวกกลับมารับแสงที่พระอาทิตย์อีกครั้งหนึ่งเป็นระยะที่ ๑๔ แล้วครองธาตุดินทิศตะวันออกเป็นระยะที่ ๑๕ จึงมีกำลังเป็น ๑๕ เป็นเบื้องต้นของธาตุดิน จึงมีลักษณะเป็นดินชุ่ม คือ เพิ่งจะงวดเป็นปฐวีธาตุ จึงเรียกทิศนี้ว่า ธาตุดิน

            ๔.   พฤหัสบดี  ธาตุดิน ลักษณะสีเหลืองสดใส หรือเหลืองแก่ ประดับเทพอาภรณ์บุษราคัม ทรงมฤคราชเป็นพาหนะ โคจรผ่านอาทิตย์สองครั้งเป็นระยะที่ ๑๔ แล้วเลยไปครองธาตุดินทิศตะวันตกเป็นระยะที่ ๑๙ จึงมีกำลังเป็น ๑๙ รับแนวดินที่ตรงมาจากจันทร์ แต่เป็นปลายทางซึ่งหมดความชุ่มชื่นแล้ว จึงเป็นธาตุดินชนิดแข้น หรือเรียกทิศนี้ว่าทิศประจิม

            ๕.   อังคาร  ธาตุลม ลักษณะสีแดงแก่ คือสีดำสีแดงเจือแกมกัน ประดับเทพอาภรณ์แก้วโกเมนเอก ทรงธรราช (ลา) เป็นพาหนะ (เดิมว่าทรงกาสรราชเป็นพาหนะในเทวรูปขี่กระบือ) โคจรไปรับแสงอาทิตย์เป็นระยะที่ ๖ แล้วเลยมาครองธาตุลม ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะที่ ๘ จึงมีกำลังเป็น ๘ เป็นแหล่งต้นของธาตุลม จึงเป็นลมประลัยกัลป์ร้ายกาจนัก และทิศนี้จึงเรียกว่าทิศอาคเนย์ แปลว่าลักษณะเป็นไฟ ธาตุไฟมีลักษณะเป็นไฟนั้นคือลมกรด เช่น อัสนีบาดสามารถพัดผันเด็ดชีวิตให้แตกขาด หรือชนิดลมพิษภายในภาย

            ๖.   ราหู  ธาตุลม ลักษณะสีเป็นหมอกเมฆ หรือสีม่วง ม่วงแก่ ประดับเทพอาภรณ์ล้วนสัมฤทธิ์ ทรงครุฑราชเป็นพาหนะ โคจรไปรับแสงอาทิตย์ แล้วเลยมาครองธาตุลม ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นระยะที่ ๑๒ จึงมีกำลังเป็น ๑๒ รับกระแสลมที่พุ่งตรงมาจากอังคารแต่เป็นปลายลม ฤทธิ์กรดร้ายอ่อนจางเสียแล้ว จึงเหลือเพียงลมเปล่า แต่ก็เป็นพายุบุแคม ทิศนี้จึงเรียกว่าทิศพายัพ คำว่า พายัพ ออกจากศัพท์เดิมว่า พายุ

            ๗.  พุธ  ธาตุน้ำ ลักษณะสีเขียวใสแสงมรกต หรือเขียวใบไม้ ประดับเทพอาภรณ์แก้วอินทนิล ทรงคชราชเป็นพาหนะ โคจรผ่านอาทิตย์สองครั้ง เป็นระยะที่ ๑๙ แล้วเลยไปครองธาตุน้ำทิศใต้ หรือทักษิณเป็นระยะที่ ๑๙ จึงมีกำลังเป็น ๑๗ อันเป็นแหล่งต้นของธาตุน้ำ จึงเป็นมหาสมุทร คือมีลักษณะเป็นน้ำในแอ่ง

            ๘.   ศุกร์  ธาตุน้ำ ลักษณะสีประภัสสร คือสีพรายแสงพราวเหมือนพระอาทิตย์เมื่อแรกขึ้น ประดับเทพอาภรณ์เพชรน้ำค้าง ทรงอุสุภราชเป็นพาหนะ โคจรผ่านอาทิตย์สองครั้งเป็นระยะที่ ๑๔ แล้วเลยไปครองธาตุน้ำทางเหนือเป็นระยะที่ ๒๑ จึงมีกำลังเป็น ๒๑ รับกระแสน้ำจากพุธ แต่พุธเป็นน้ำในมหาสมุทรอยู่ทิศใต้ สถานต่ำมิใช่วิสัยจะพุ่งกระแสตรงขึ้นไปทางทิศเหนือหรืออุดรอันเป็นพื้นสูง ต้องอาศัยน้ำฝนไป เพราะฉะนั้นศุกร์จึงเป็นธาตุน้ำชนิดหน้าฝน

            สำหรับเกตุและมฤตยู  ไม่มีทิศที่อยู่และกำเนิดแน่นอน เนื่องจากเกตุเป็นวิญญาณธาตุ มฤตยูเป็นสภาวธรรมชาติ หรือเทพเจ้าแห่งความตาย (สูญสิ้น)

 

หมายเหตุ      เรื่องสีและเครื่องประดับของดาวเคราะห์เหล่านี้ ท่านเอาใจใส่กันมากในทางส่งเสริมสวัสดิ์มงคล เมื่อพิจารณาเห็นว่าดาวเคราะห์ใดเด่นในดวงชาตา เช่น อาทิตย์เจ้าชาตาก็ต้องใช้เครื่องประดับทับทิม หรือวัตถุเกี่ยวกับสีต่างๆ ก็ใช้สีทับทิม ครั้งโบราณท่านถือสีเป็นสำคัญประการหนึ่งประกอบสง่าในสงคราม

 

            สำหรับขัติราชทรงเครื่องพิชัยยุทธให้ต้องตามวารพยุหยาตรา มีแบบซึ่งประพันธ์ไว้อย่างไพเราะเช่นว่า

                  รวิสีสฤษฎ์ด้วย              อาภรณ์

            แดงพิจิตรอลงกรณ์              ก่องแก้ว

            ทรงแสงธนูศร                     ลีลาศ

            เสด็จสู่สงครามแผ้ว              เผ่าพ้องไพรี

            อนึ่ง สำหรับดาวเคราะห์ที่เด่นในดวงชาตา นอกจากเจ้าชาตาจะใช้เครื่องประดับตามสีของดาวเคราะห์นั้นแล้ว ท่านยังต้องมีที่บูชาไว้ตามปางพระของดาวเคราะห์นั้นๆ ด้วย

            สำหรับเรื่อง สีแสง เครื่องประดับ และที่บูชาตามปางพระต่างๆ จะได้กล่าวในโอกาสหลัง

            ดาวเคราะห์ทั้ง ๘ เมื่อรวมกำลังทั้งหมดเป็น ๑๐๘ พอดี เกณฑ์ ๑๐๘ นี้เป็นที่ประชุมกำลังดาวเคราะห์นับถือกันว่าเป็นกำลังของโลกทั้งสิ้น และท่านได้แบ่งจักรวาลเป็น ๑๐๘ นวางค์ และแบ่งภาคใต้ดาวเคราะห์เป็นเจ้าของประจำรักษานวางค์ละดาวเคราะห์ส่วนกิจการ เมื่อต้องการให้เกิดผลฤทธิ์แรงกล้า จะทำอะไรต้องให้ได้เต็ม ๑๐๘ คตินี้แผ่ไปถึงเมืองจีน เช่น พงศาวดารจีนเรื่อง ซ้องกั่ง กล่าวว่าซ้องกั่งกับพวกเกิดมาจากดาว ๑๐๘ ดวง ดังนี้เป็นต้น

 

ลักษณะของดาวเคราะห์ มี ๒ ประเภท

            ตามกำเนิดของดาวเคราะห์ที่กล่าวมาแล้วนั้น จะเห็นว่าดาวเคราะห์บางดวงดาวผ่านอาทิตย์ครั้งเดียว และบางดวงดาวต้องผ่านถึงสองครั้ง เป็นเพราะเหตุว่า

            ๑.   ดาวที่ผ่านอาทิตย์เพียงครั้งเดียวและรวมทั้งอาทิตย์ มีกำลังในตัวมากอยู่แล้ว โดยความเป็นไฟฟ้าบวกเพียงรับเดชอาทิตย์ฉาบครั้งเดียวก็พอ ครั้นแล้วไปครองอกุศลธาตุคือธาตุไฟและธาตุลม อันเป็นลักษณะไฟกาลและลมกรด ท่านจัดเป็นดาวบาปเคราะห์ ได้แก่ อาทิตย์ อังคาร เสาร์ และราหู ถือว่าเป็นดาวที่ให้โทษ ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ดีของดวงชาตา และของจักรราศีแล้วก็ให้คุณเหมือนกัน แต่หนักไปทางอิทธิฤทธิ์ (อำนาจ) หรือเรียกว่าดาวอกุศลธาตุ

            ๒.   ดาวที่ผ่านอาทิตย์รับแสงอ่อนเกิดกำลังตามธรรมดาแล้ว จำต้องเพิ่มกำลังสำหรับต้านทานดาวเคราะห์ด้วยความเป็นไฟฟ้าลม จึงต้องผ่านรับกำลังที่อาทิตย์ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ครั้นแล้วจึงไปครอง กุศลธาตุ คือ ธาตุดิน และธาตุน้ำ อุปถัมภ์ความทรงตัวและชุ่มชื่น ท่านจัดเป็นดาวศุภเคราะห์ ได้แก่ จันทร์ พุธ พฤหัสบดี และศุกร์ เป็นดาวที่ให้คุณ แต่ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ดีของดวงชาตาและจักรราศี ร่วมกับดาวบาปเคราะห์ที่มีพลังสูงกว่าก็ให้โทษเหมือนกัน ดาวศุภเคราะห์เมื่อให้คุณหนักจะให้คุณไปทางบุญฤทธิ์ (บารมี) บางท่านเรียกว่าดาวกุศลธาตุ

หมายเหตุ      สำหรับอาทิตย์ ถ้าอยู่ในสถานที่ดีกับดวงชาตา เรียกว่าศุภเคราะห์ เช่นร่วมลัคนา เล็งโยค ตรีโกณ

 

ความสัมพันธ์ระหว่างดาวเคราะห์กับดาวฤกษ์และราศี

            ท่านบูรพาจารย์เก่าๆ ได้เฝ้าดูความเป็นไปของดาวเคราะห์ต่างๆ ขณะเดินผ่านกุล่มดาวฤกษ์ต่างๆ ไปอยู่ ณ ราศีใด ทำให้เกิดอิทธิพลชั่วดีแก่โลก บ้าน เมือง ดิน ฟ้า อากาศ ส่วนรวมและแก่ชีวิตของบุคคลเป็นส่วนย่อยลงไป ขณะเมื่อมองจากโลกเห็นดาวเคราะห์ดวงต่างๆ เป็นรูปกลมอยู่ในราศีใดให้คุณ หรือให้โทษประการใด ก็จดจำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน จากการสังเกตผลมาเป็นเวลานานจนกว่าดาวเคราะห์ดวงต่างๆ จะให้คุณหรือให้โทษจริงตามลักษณะ ต่อเมื่อดาวเคราะห์ดวงนั้นๆ อยู่ในราศีนั้นอีก เมื่อเห็นดาวเคราะห์ดวงต่างๆ อยู่ในราศีแสดงว่าดาวเคราะห์ดวงนั้นให้คุณ และถ้าหากบุคคลเกิดตรงกับที่ดาวเกษตรก็ถือว่ามีอิทธิพล ทำให้บุคคลนั้นมั่นคงประกอบด้วยหลักฐานรุ่งเรือง ท่านบูรพาจารย์จึงวางมาตรฐานของดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ที่ให้คุณสูงมากไว้ได้แล้วก็มีความเข้าใจว่าดาวฤกษ์ที่อยู่ในราศีนั้นคงจะมีอิทธิพล สรุปเหมือนกับดาวเคราะห์ดวงที่ประจำอยู่ในราศีนั้นด้วย เมื่อได้หลักพยากรณ์ที่ดีแล้วเป็นอย่างไร จึงกำหนดเป็นดวงมาตรฐานของดาวเคราะห์ เพื่อถือเป็นหลักสำหรับเทียบกำหนดต่อไป

 

ดวงมาตรฐานของดาวเคราะห์

            คำว่า มาตรฐาน แปลว่าสิ่งที่ถือเป็นหลักสำหรับเทียบกำหนดดวงดาวเฉพาะราศี ว่าดาวดวงนั้นเมื่อไปสถิตอยู่ในราศีนั้น ได้ตำแหน่งชื่ออย่างนั้น จะแสดงปฏิกิริยาออกมาในลักษณะนั้นๆ เป็นผลดีผลร้ายแก่บุคคลซึ่งเป็นเจ้าของชาตาอย่างนั้น ดวงมาตรฐานของดาวเคราะห์เกิดขึ้นมาได้ เนื่องจากการสังเกตของท่านบูรพาจารย์เก่าๆ จดจำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ดวงมาตรฐานของดาวเคราะห์เหล่านี้ไม่ใช่ดวงชาตากำเนิด แต่เมื่อผูกดวงชาตากำเนิดได้แล้ว ก็เอามาเปรียบเทียบกับดวงมาตรฐานเหล่านี้ดูซิว่าแต่ละดวงมีดวงใดเหมือนดวงมาตรฐานของดาวเคราะห์บ้าง เมื่อเปรียบเทียบดังนี้ก็ทำให้การตัดสินพยากรณ์รัดกุมยิ่งขึ้น ดวงมาตรฐานของดาวเคราะห์ซึ่งแต่ละดวงแยกอิทธิพลในด้านต่างๆ กันไว้ไม่เหมือนกัน และมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ มีชื่อเรียกต่างกัน เช่น ดวงเกษตร มูลเกษตร ประเกษตร อุจ มหาอุจ นิจ อุจจาวิลาศ อุจจาภิมุข ราชาโชค มหาจักร ฯ ทางโหราศาสตร์ถือเอาดวงเกษตรเป็นหลักสำคัญที่สุด โดยมีความเห็นหลังจากการสังเกตผลมาเป็นเวลานาน กว่าดวงต่างๆ

                         

 

ดวงเกษตร

            ดาวดวงใดที่สถิตอยู่ในราศีต่างๆ ทั้ง ๑๒ ราศี ตามภาพตัวอย่างนี้ คือดาวดวงนั้นๆ เป็นเกษตร หรือดาวเจ้าที่เจ้าเรือน แต่ดาวบางดวงเป็นเกษตรหรือเป็นเจ้าที่เจ้าเรือนถึง ๒ ราศี เว้นแต่ อาทิตย์ จันทร์ เป็นเกษตรเพียงราศีเดียว

            ความหมายของดาวเกษตร คือแสดงความมั่นคง ความแน่นอน ความมีหลักฐาน ความกว้างใหญ่ไพศาล และความมีมานะอดทน สุดแท้แต่ดวงของผู้ใดจะได้ดาวเกษตรตัวใดครองเรือน เพราะดาวเกษตรทั้ง ๘ ดวงให้คุณแก่เจ้าชาตาไม่เหมือนกันและถ้าดาวนั้นๆ มีจุดองศาได้ตามจำนวนจำกัด ถือว่าเป็นมหาเกษตร คือแสดงความยิ่งใหญ่เต็มที่

                              

 

๑.   อาทิตย์     เป็นเกษตร          ในราศีสิงห์ มีจุดองศา ๗ องศา

                                          -  ให้คุณ ทางรูปสวย รวยทรัพย์ มีตบะ เป็นที่เกรงกลัวของคน เด็ดขาด ชนะศัตรู และมีเกียรติ ถือตัวเป็นอิสระแก่ตนเอง

๒.   จันทร์        เป็นเกษตร          ในราศีกรกฎ มีจุดองศา ๙ องศา

                                          -  ให้คุณ เป็นที่เคารพรักใคร่ของคนทั่วไป จะได้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ อุดมด้วยทรัพย์สินเงินทอง แต่งกายเรียบร้อยสะอาด ชอบรับประทานของดีๆ และมักชอบฉวยโอกาส

๓.   อังคาร       เป็นเกษตร          ในราศีเมษ มีจุดองศา ๑๑ องศา เป็นเกษตรในราศีพิจิกมีจุดองศา ๑๔ องศา

                                          -  ให้คุณ เป็นผู้มีความรู้หลายอย่าง มียศสูง มีนา มีสวน มีไร่ เป็นทหารดีที่หนึ่ง เป็นพ่อค้าก็ดี ตัดสินได้รวดเร็วและถูกต้อง

๔.   พุธ           เป็นเกษตร          ในราศีมิถุน มีจุดองศา ๗ องศา เป็นเกษตรในราศีกันย์มีจุดองศา ๒๔ องศา

                                          -  ให้คุณ เป็นผู้มีปัญญาดี เป็นนักเขียนหรือนักประพันธ์ รู้การงานมากและเป็นคนมีทรัพย์มาก เต็มไปด้วยศิลป

๕.   พฤหัสบดี   เป็นเกษตร          ในราศีธนู มีจุดองศา ๑๙-๒๙ องศา เป็นเกษตรในราศีมีน มีจุดองศา ๗ องศา

                                          -  ให้คุณเป็นผู้มีปัญญามีความสามารถมาก พร้อมด้วยสติปัญญารอบคอบ มีทรัพย์สมบัติมาก จักเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง ชอบความสงบ ยุติธรรม คงแก่เรียน

๖.   ศุกร์          เป็นเกษตร          ในราศีพฤศภ มีจุดองศา ๑๓ องศา เป็นเกษตรในราศีตุลย์มีจุดองศา ๑๔ องศา

                                          -  ให้คุณ เป็นผู้ทรงไว้ด้วยศีลธรรมอันดี เจริญด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีข้าวของธัญญาหารอันอุดม ร่าเริงเจ้าสำราญ

๗.   เสาร์         เป็นเกษตร       -  ในราศีมังกร มีจุดองศา เป็นเกษตรในราศีกุมภ์ มีจุดองศา ๑๓ องศา และมีจุดองศา ๒๗ องศา

                                          -  ให้คุณ กล้าหาญ เข้มแข็ง เด็ดขาด ผมบาง มีเงินมีทองมาก สะสมทรัพย์สมบัติ

๘.   ราหู          เป็นเกษตร          ในราศีกุมภ์ มีจุดองศา ๑๓ องศา

                                          -  ให้คุณ ทำให้ผมบาง หรือศีรษะล้าน ลาภผลดีมาก อายุกลางคนไปแล้วรวยมาก เพื่อนฝูงมาก คบคนทุกชั้น

 

 

หลักพยากรณ์

(๑)   ถ้าดวงเกษตรต่อเกษตรเล็งกัน ท่านให้ถือว่าทรัพย์สมบัติจะวิบัติภายหลัง

            (๒) ดาวใดที่เป็นเกษตร ถ้าหากดาวดวงอื่นเข้ามาอยู่ในเรือนเกษตรด้วย จะเรียกว่าดาวที่เข้ามาอยู่เป็นดาวเกษตรไม่ได้ เพราะแต่ละเรือนมีเจ้าของหมดแล้ว

                  ยกเว้น แต่ดาวที่สลับเรือนกัน เช่น จันทร์อยู่ราศีเมษ อังคารอยู่ราศีกรกฎ ถือว่าเป็นเกษตรชั้นที่ ๒ ทั้งคู่

            (๓) ถ้าดวงดาวของผู้ใด ได้ดาวเกษตรแล้ว หมายความว่าจะสบายไปตลอดชีวิต

            (๔) ศัตรูของเกษตร คือ ประเกษตร “ประ” คือดาวเกษตรกลับที่ไปอยู่ตรงกันข้ามทุกตัวไป

 

********************************************************************

                                                   ดวงมูลเกษตร

ดาวใดที่มี ๒ เรือน ในฐานะที่เป็นเกษตรด้วยกัน หากใครได้ดาวเป็นมูลเกษตร ผู้นั้นจะดีมาก เนื่องจากดาวมูลเกษตรเหล่านี้ให้คุณเป็นพิเศษ เช่น จันทร์ อยู่ในราศีพฤศภเป็นราศีคงที่ และความเข้มแข็งของจันทร์ในเรือนกรกฎยังต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น เพราะเรือนกรกฎนี้ไม่มีความเข้มแข็งและนอกจากนั้น ยังวินาศกับอาทิตย์อยู่อีก หากมาอยู่ในราศีพฤศภอันเป็นเรือนของศุกร์แล้ว จันทร์มีความเข้มแข็งของตนเองมาก แม้นอาทิตย์ก็ต้องเกรงกลัวเหมือนกัน เพราะจันทร์ดีทั้งทรัพย์และของอ่อนๆ ท่านว่าถึงหากจะทรงเครื่องจอมทัพอยู่ แทนที่จะให้บริวารถอดเครื่องทรงออก อาทิตย์อาจจะถอดเองกองไว้โดยไม่เป็นระเบียบก็ได้

 

                    

ข้อสังเกต     ๑.   อาทิตย์        อยู่ราศีสิงห์             มีองศา         ๑-๒๐ องศา      เป็น  มูลเกษตร

                                                                     มีองศา      ๒๑-๓๐ องศา      เป็น  เกษตร

                  ๒.   จันทร์           อยู่ราศีพฤศภ          มีองศา        ๔-๓๐ องศา      เป็น  มูลเกษตร

                  ๓.   อังคาร          อยู่ราศีเมษ             มีองศา        ๑-๑๘ องศา      เป็น  มูลเกษตร

                                                                     มีองศา      ๑๙-๓๐ องศา      เป็น  เกษตร

                  ๔.   พุธ              อยู่ราศีกันย์            มีองศา       ๑๖-๒๐ องศา      เป็น  มูลเกษตร

                                                                     มีองศา      ๒๑-๓๐ องศา      เป็น  เกษตร

                  ๕.   พฤหัสบดี      อยู่ราศีธนู              มีองศา         ๑-๑๓ องศา      เป็น  มูลเกษตร

                                                                     มีองศา      ๑๔-๓๐ องศา      เป็น  เกษตร

                  ๖.   ศุกร์             อยู่ราศีตุลย์            มีองศา         ๑-๑๐ องศา      เป็น  มูลเกษตร

                                                                     มีองศา       ๑๑-๓๐ องศา      เป็น  เกษตร

                  ๗.   เสาร์            อยู่ราศีกุมภ์            มีองศา         ๑-๒๐ องศา      เป็น  มูลเกษตร

                                                                     มีองศา      ๒๑-๓๐ องศา      เป็น  เกษตร

            ดวงมูลเกษตร  หมายถึง ดาวเคราะห์ที่แสดงรากฐานความมั่นคงอันเป็นที่ตั้งต้นให้เกิดความมีหลักฐาน ความกว้างใหญ่ไพศาล เปรียบเหมือนมีทุนทรัพย์เป็นเค้าทำทุนค้าขายให้เกิดหลักฐาน ร่ำรวย มั่นคงถาวร ตลอดไปนั่นเอง ฉะนั้น ดาวเคราะห์ที่เป็นมูลเกษตร จึงถือว่าให้คุณเป็นพิเศษตามสภาพของดาวเคราะห์นั้นๆ

********************************************************************

ดวงประเกษตร

            ดวงประเกษตร  เรียกว่าศัตรูของเกษตร ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเกษตร จึงเรียกว่าประเกษตร เป็นดาวที่ไม่ให้คุณ ความหมายของที่เป็นประเกษตร มักแสดงผลทางตรงกันข้ามเป็นอุปสรรคขัดขวางดาวเกษตร ดวงที่เป็นประเกษตร จะส่งผลหนักไปในทางอาภัพ เต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางเสียก่อนเสมอ

            ตำแหน่งของดาวเคราะห์ขณะเป็นประเกษตร สังเกตเห็นอยู่ตรงข้ามกับดาวเกษตรนั้นเอง โดยมีอิทธิพลดังนี้

                             

 

๑.   อาทิตย์        เป็นประ              อยู่ราศีกุมภ์

                                             -  ทำให้รูปร่างขี้เหล่ไม่ได้สัดส่วน ทรัพย์น้อย มิตรสหาย เพื่อนฝูงจะเบียดเบียนมาก ทำความดีกับเป็นความชั่ว มีที่อยู่ลดน้อยถอยลง ลาภผลหาได้ยาก

๒.   จันทร์           เป็นประ              อยู่ราศีมังกร

                                             -  รูปร่างหาความสวยงามมิได้ ทรัพย์พอปานกลาง ชอบมีแต่เมีย หาหลักฐานไม่ได้ พึ่งลูกพึ่งเมียก็ไม่ได้ต้องช่วยตนเอง

๓.   อังคาร          เป็นประ              อยู่ราศีตุลย์และราศีพฤศภ

                                             -  อาภัพเรื่องญาติและมิตรสหาย จะพึ่งพาอาศัยอะไรเขาไม่ได้ มีแต่เขาจะมารบกวนเราเท่านั้น นอกจากนั้นเขากลับจะเป็นศัตรูอีก

๔.   พุธ              เป็นประ              อยู่ราศีธนูและราศีมีน

                                             -  อาภัพไม่สมหวังในเรื่องญาติมิตรสหายและภรรยา ลูกหลานพึ่งพาอาศัยไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นก็อยู่รวมกันไม่ได้ด้วย อาจจะเป็นคนที่ไม่มีภรรยาและบุตร

๕.   พฤหัสบดี      เป็นประ              อยู่ราศีมิถุนและราศีกันย์

                                             -  จะไม่สมหวังเกี่ยวกับที่พึ่ง ครูบาอาจารย์สั่งสอนไม่ได้ ขาดที่พึ่งพาอาศัย พึ่งผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ (ดวงชาตานอนวัด)

๖.   ศุกร์             เป็นประ              อยู่ราศีพิจิกและราศีเมษ

                                             -  ร่างกายรูปทรงมักผิดแปลกจากคนธรรมดา ประสาท หูและตาอาจผิดปกติ มีโรคประจำตัว อวัยวะไม่สมบูรณ์

๗.   เสาร์            เป็นประ              อยู่ราศีกรกฎและราศีสิงห์

                                             -  ไม่สมหวังในเรื่องการคบเพื่อน มิตรสหายมากหลาย แต่เมื่อเขามาหาเรา มักนำความเดือดร้อนมาให้ทุกที

๘.   ราหู             เป็นประ              อยู่ราศีสิงห์

                                             -  ทำให้นิสัยใจคอหยาบช้า กล้าแข็ง ไม่ซื่อตรงต่อมิตร ดวงตาอาจวิปริตกว่าธรรมดา มีลักษณะหงอยไม่สง่า

 

********************************************************************

                                             ดวงอุจ

              ดาวที่เป็นอุจ หมายถึง ตำแหน่งของดาวเคราะห์ทุกดวงที่สถิตอยู่ในตำแหน่งสูงสุด หมายถึง เอาทั้งราศีนั้นๆ ซึ่งดาวอุจได้ครอบครองด้วย และหมายถึงดาวทุกดวงที่กำลังโคจรอยู่จวนจะเข้าเป็นอุจด้วย ถึงตัวจะไม่เข้าราศีเป็นอุจ หากมีองศาได้ ๒๗ องศาแล้ว แสงถึงเรือนอุจทั้งนั้น ก็จัดว่าเป็นอุจได้แล้ว แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในราศีอุจ ไม่ต้องได้องศาจำกัดจึงจัดเป็นอุจ ซึ่งมีกำลังอ่อนกว่ามหาอุจ เช่นดาวอาทิตย์อยู่ราศีมีน มีองศา ๒๘ องศากำลังโคจรจะเข้าราศีเมษ อาทิตย์จัดเป็นอุจได้แล้ว พอดาวอาทิตย์เข้าราศีเมษ ก็เป็นอุจโดยสมบูรณ์ แต่ถ้าหากอาทิตย์อยู่ในราศีเมษ มีองศาเต็มที่ตามจำนวนจำกัดไว้ ๑๐ องศาในราศีเมษ อาทิตย์ก็กลายเป็นมหาอุจทันทีแสดงคุณภาพดีเด่นที่สุด

            อุจ คือ จุดสูงในท้องฟ้า ดาวที่เป็นอุจ จึงมีอำนาจ ความร้อนแสงสว่างความรุ่งโรจน์โชติช่วง และพลังงานทางฟิสิกส์ตลอดจนความดึงดูดและดันดีด ย่อมเพิ่มทวียิ่งขึ้นกว่าปกติธรรมดา ฉะนั้น ดาวที่เป็นอุจจึงมีอำนาจและคุณภาพแตกต่างกัน ดังนี้คือ

                                      

 

อาทิตย์     เป็นอุจ   อยู่ในราศีเมษ         -  เป็นผู้มีทรัพย์ เป็นผู้ชนะศัตรู มีมิตรก็ดี เข้มแข็ง และซื่อสัตย์ เจริญด้วยศิลปวิทยา อยู่ในศีลธรรม พอใจในความสงบ น้ำใจเมตตากรุณา กำลังกายเข้มแข็ง ความรู้มาก มีโชควาสนาสูง

จันทร์        เป็นอุจ   อยู่ในราศีพฤศภ       -  เป็นผู้มีทรัพย์ รูปร่างสวย เป็นที่รักใคร่ของมหาชน จะชำนาญทางวรรณคดี มีความขยันขันแข็ง มีอายุยืน และมีบุตรบริวารมาก สมบูรณ์ด้วยทรัพย์

อังคาร    เป็นอุจ         อยู่ในราศีมังกร     -  เป็นคนกล้าเจรจาคำคม มีโทสะร้ายแต่หายเร็ว จะมีเกียรติชื่อเสียง เป็นผู้มีชัยชนะ โภคสมบัติสมบูรณ์ สนใจในการศึกษาและค้นคว้า เจ้ายศเจ้าอย่าง จะเป็นไข้อย่างแรงครั้งหนึ่ง

พุธ        เป็นอุจ         อยู่ในราศีกันย์      -  เป็นผู้มีรูปสวยรวยทรัพย์ มีวิชาความรู้ พอใจในการศึกษา ร่าเริงแจ่มใส เป็นที่นิยมกับคนทั่วไปและมีโชคดีเสมอ มีบุตลบริวาร คู่ครอง และคนรักมาก ชีวิตมีความสุข

พฤหัสบดี      เป็นอุจ   อยู่ในราศีกรกฎ    -  เป็นผู้มีปัญญา ความรู้สูง ทำแต่คุณประโยชน์ ไม่มีคนชัง ผู้ใหญ่และครูบาอาจารย์รักใคร่ ไปสารทิศใดมักมีโชคลาภเสมอ ให้อภัยไม่พยาบาท ช่วยเหลือเจือจานบุคคลส่วนมาก ระงับโทสะได้ง่าย มีอุดมคติในอริยธรรม กำลังกายแข็งแรง

ศุกร์             เป็นอุจ   อยู่ในราศีมีน        -  เป็นคนมีทรัพย์สมบัติ มีความรู้ในธรรม กิริยาสุภาพ วาจาอ่อนหวานไพเราะ มีน้ำใจเมตตากรุณา อายุยืน มีลักษณะและคุณภาพแปลกๆ ย่อมตกอยู่ในอิทธิพลของการเงิน

เสาร์      เป็นอุจ         อยู่ในราศีตุลย์      -  เป็นคนมีน้ำใจกล้าแข็ง มักมีอำนาจวาสนา ชนะศัตรู มีอายุยืนนาน ได้บุตรบริวารดี ได้รับการอุดหนุนเจือจุนเป็นอย่างดี ย่อมเป็นใหญ่ได้ จะชำนาญในศิลปกรรม (ฝีมือดี) มีเมตตากรุณา ร่างอวบ ถ้าเป็นหญิงจงรักในสามีดี จะสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ

ราหู             เป็นอุจ   อยู่ในราศีพิจิก      -  จะเจริญด้วยทรัพย์สมบัติ (คุณภาพต่างๆ เหมือนเสาร์)

 

********************************************************************

ดวงมหาอุจ

            ดาวเคราะห์ที่เป็นมหาอุจ คือดาวเคราะห์ที่เป็นอุจอยุ่ในราศีดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง เมื่อโคจรอยู่ในราศีนั้นๆ มีจำนวนองศาจำกัด เรียกดาวเคราะห์นั้นว่า มหาอุจ

            มหาอุจ  แปลว่า ผู้ยิ่งใหญ่ หรือสูงเด่นที่สุด ดาวที่เรียกว่ามหาอุจก็มาจากดาวที่อยู่ในราศีอุจนั่นเอง แต่ดาวนั้นมีองศาเต็มที่ตามจำกัด จึงเรียกว่ามหาอุจ คือดาวที่อยู่ในจุดสูงเด่นที่มีความบริสุทธิ์สูงสุดยกย่องของดวงชาตา เว้นแต่เฉพาะอาทิตย์และอังคารมีกฎเกณฑ์พิเศษคือ

            ๑.   อาทิตย์  อยู่ราศีเมษ  จะมีกี่องศาก็ตาม ไม่มีดาวดวงใดร่วมด้วย ให้ถือว่าอาทิตย์เป็นมหาอุจ

            ๒.   อังคาร  อยู่ราศีมหาอุจ  ถ้ามีดาวเจ้าเรือนเกษตรเล็งกัน จัดเป็นมหาอุจเหมือนกัน

            ฉะนั้น ดาวเคราะห์ทุกดวงที่เป็นมหาอุจ จึงมีจุดองศาเป็นจำนวนจำกัด และมีอำนาจคุณภาพต่างๆ กัน คือ

อาทิตย์     เป็นมหาอุจ    อยู่ในราศีเมษ      -  มีองศาจำนวนจำกัดเต็มที่ ๑๐ องศา

                                                         -  ผู้นั้นจะเพียบพร้อมไปด้วยญาติมิตร มีสติปัญญาดี มีทรัพย์สมบัติยิ่งกว่าพี่น้อง มียศถาบรรดาศักดิ์

จันทร์        เป็นมหาอุจ    อยู่ในราศีพฤศภ    -  ผู้นั้นจะมีเงินทองเพชรนิลมรกตมาก จะไปปรากฏตัวในที่ใด ย่อมเป็นสง่าผ่าเผยในที่นั้น ถ้าเป็นข้าราชการจะได้ตำแหน่งสูงมาก เป็นผู้มีเสน่ห์ในตัว

อังคาร       เป็นมหาอุจ    อยู่ในราศีมังกร     -  มีองศาจำนวนจำกัดเต็มที่ ๒๘ องศา

                                                         -  ผู้นั้นจะมีโภคสมบัติมากมาย จะมีบริวาร ช้าง ม้า วัว ควาย และข้าคน จะไปที่ใดมักมีโชคลาภทุกแห่งหน ถ้าเป็นชายจะมีเมียมาก กล้าหาญเด็ดเดี่ยว เหมาะทางนักรบ

พุธ           เป็นมหาอุจ    อยู่ในราศีกันย์      -  มีจำนวนจำกัดเต็มที่ ๑๕ องศา

                                                         -  ผู้นั้นจะมีความผาสุกรุ่งเรืองดี จะได้รับสมบัติมากมาย ศัตรูคิดร้ายเขาวินาศไปเอง หลักแหลม เจ้าปัญญา คารมเกล้า และมีทรวดทรงงาม

พฤหัสบดี   เป็นมหาอุจ    อยู่ในราศีกรกฎ    -  มีองศาจำนวนจำกัดเต็มที่ ๕ องศา

                                                         -  ผู้นั้นจะมีผิวพรรณงาม ตำแหน่งการงานสูงศักดิ์คงแก่เรียน ชอบแสวงหาความรู้ เด็ดขาด กล้าหาญ ทรัพย์สมบัติมากเป็นที่รักใคร่เอ็นดูต่อผู้ใหญ่ และครูบาอาจารย์

ศุกร์          เป็นมหาอุจ    อยู่ในราศีมีน        -  มีองศาจำนวนจำกัดเต็มที่ ๒๗ องศา

                                                         -  ผู้นั้นจะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รูปร่างอันเหมาะสม เป็นที่ต้องตาของคนทั่วไป และหนักไปในทางเพศตรงข้าม เจ้าสำราญ

เสาร์         เป็นมหาอุจ    อยู่ในราศีตุลย์      -  มีองศาจำนวนจำกัดเต็มที่ ๒๐ องศา

                                                         -  ผู้นั้นมีสติปัญญามากขยันหมั่นเพียรดี ปราศจากโรคภัย แต่จะติดดุร้าย ไม่เกรงขามกลัวกรรม ชอบรับประทานของดีๆ ทรัพย์สมบัติมาก ไม่เกรงใจใคร เหมาะในการทำสงคราม

ราหู          เป็นมหาอุจ    อยู่ในราศีพิจิก      -  มีองศาจำนวนจำกัดเต็มที่ ๑ องศา

                                                         -  ผู้นั้นมีทรัพย์สมบัติมาก วัว ควาย ช้าง ม้า จะไปที่ใดๆ มีพาหนะรับรองตลอดทาง จิตใจเป็นกุศลไม่มีการพยาบาท

 

 

หลักพยากรณ์

            (๑)  ถ้าดาวที่เป็นมหาอุจต่อมหาอุจเล็งกันจะถูกหักหลัง

            (๒) สำหรับดาวเกตุ

                  ถ้าอยู่กับดาวที่เป็นบาปเคราะห์ ก็พลอยเป็นบาปเคราะห์ไปด้วย ถ้าอยู่กับดาวศุภเคราะห์ ก็พลอยเป็นศุภเคราะห์ไปด้วย และจะขึ้นอยู่กับดาวที่มีองศาสูง

            เนื่องจากเกตุ จัดเป็นดาวพิเศษเพราะเป็นวิญญาณธาตุ ท่านกำหนดโดยไม่จำกัดองศา ให้เป็นมหาอุจได้ ๔ ราศี คือ ราศีมิถุน สิงห์ ธนู และกุมภ์ เนื่องจากราศีทั้ง ๔ นี้ เป็นราศีอันมีธาตุไม่สมบูรณ์ ซึ่งจัดเป็นราศีธาตุว่างหรือเรียกว่าราศีอากาศธาตุ จึงเป็นการเหมะสำหรับเกตุเป็นวิญญาณธาตุเข้าไปสถิตครองอยู่ จึงแสดงความยิ่งใหญ่ยอดเยี่ยมสูงสุดเป็นพิเศษ

            ผลของเกตุเป็นมหาอุจ คือ มักส่งผลให้ได้รับราชการเป็นหลักฐานดี มีวิญญาณการคาดคะเนได้ถูกต้องอยู่เสมอ คุ้มภัยอันตรายได้ดีด้วย อายุยืน

            (๓) สำหรับดาวมฤตยู

                  มฤตยู หมายถึง สิ่งลึกลับ ผู้รักษาความลับ ผู้เล่นของโบราณ เช่น ลัคนาร่วมมฤตยู ลัคนาเล็งมฤตยู ลัคนาเป็นโยคกับมฤตยู ลัคนาเป็นตรีโกณกับมฤตยู ท่านเหล่านี้ชอบเล่นของเก่า ชอบสะสมของเก่า และรักษาความรับได้ดี

********************************************************************

ดวงนิจ

ดาวเคราะห์ที่เป็นนิจ คือดาวที่อยู่ในราศีตรงข้ามกับดวงอุจ และดวงมหาอุจนั่นเอง

                         

            นิจ  แปลว่า ต่ำหรือเบื้องล่างต่ำสุด ดาวที่เป็นนิจ เป็นฝ่ายที่ให้โทษร้าย มุ่งผลในด้านต่ำช้า และให้โทษตรงข้ามกับอุจและมหาอุจ ดาวที่เป็นนิจจึงมีโทษและความตกต่ำต่างๆ กัน คือ 

อาทิตย์     เป็นนิจ      อยู่ในราศีตุลย์      -  มีองศาจำนวนจำกัดเต็มที่ ๑๙ องศา จะไม่เป็นนิจเมื่อมีองศาเกินกว่า ๑๐ องศา

                                                      -  ผู้นั้นจะตกเป็นทาสแก่ตนเอง มีมิตรต่ำ อาภัพญาติพี่น้อง เป็นที่เกลียดชังแก่ญาติพี่น้อง มีศัตรูมากและคิดปองร้าย ทั้งเบียดเบียนด้วย

จันทร์        เป็นนิจ      อยู่ในราศีพิจิก      -  มีองศาจำนวนจำกัด ๓ องศา จะไม่เป็นนิจ เมื่อมีองศาเกินกว่า ๑๙ องศา

                                                      -  ผู้นั้นจะมีโรคภัย และทรัพย์มักวิบัติ เพศตรงข้ามมักก่อเหตุขึ้น ย่อม เหลวแหลกในเรื่องชู้สาว (มีเชื่อเรียกจันทร์เป็นนิจว่า “จันทร์รู”) มีโรคเบียดเบียนประจำตัว ขี้โรค มักได้คู่เป็นหม้าย

อังคาร       เป็นนิจ      อยู่ในราศีกรกฎ    -  มีองศาจำนวนจำกัด ๒๘ องศา แต่จะไม่เป็นนิจเมื่อมีองศาเกินกว่า ๑๒ องศา

                                                      -  ผู้นั้นจะหาทรัพย์ได้ยาก จะเป็นผู้รับใช้ แต่มักหย่อนต่อศีลธรรม ในทางชู้สาว มีทรัพย์เก็บไม่อยู่ บริวารมักหนีห่าง พวกพ้องมักจะเป็นศัตรู จะวิบัติเมื่อแก่ด้วย

พุธ           เป็นนิจ      อยู่ในราศีมีน        -  มีองศาจำนวนจำกัด ๑๕ องศา แต่จะไม่เป็นนิจเมื่อมีองศาเกิน ๑๕ องศาขึ้นไป

                                                      -  ผู้นั้นจะมีญาติเป็นผู้รับใช้ ทำให้เป็นพาลหรือมีนิสัยเป็นพาล พูดไม่มีมรรยาท มักขู่เข็ญ และทะเลาะกับญาติตนเองอยู่เสมอ และญาติกลับเป็นศัตรู

พฤหัสบดี   เป็นนิจ      อยู่ในราศีมังกร     -  มีองศาจำนวนจำกัด ๑๕ องศา แต่จะไม่เป็นนิจ เมื่อมีองศาเกินกว่า ๑๕ องศาขึ้นไป

                                                      -  ผู้นั้นมักพูดจาไม่น่าฟัง จะมีโทษเพราะปากพล่อย หรือโอฐภัย ทำให้เป็นผู้เขลาปัญญา และจะเสียเพราะนิสัยพูดง่าย

ศุกร์          เป็นนิจ      อยู่ในราศีกันย์      -  มีองศาจำนวนจำกัด ๒๗ องศา จะไม่เป็นนิจเมื่อมีองศาเกินกว่า ๑๗ องศา

                                                      -  ผู้นั้นอาภัพความรักใคร่ อาภัพคู่ครอง แพ้คู่ และเสื่อมทรัพย์ ขาดสมรรถภาพ ต้องพึ่งผู้อื่น มีอำนาจจิตหรือความเข้มแข็งน้อยกว่าคู่ครองของตน มักมีบุตรอ่อนแอหรือบุตรจะตายจากไป

เสาร์         เป็นนิจ      อยู่ในราศีเมษ      -  มีองศาจำนวนจำกัด ๒๑ องศา แต่จะไม่เป็นนิจเมื่อมีองศาเกินกว่า ๖ องศา

                                                      -  ผู้นั้นใช้จ่ายเก่ง พึ่งพาอาศัยญาติไม่ได้ เผ่าพันธุ์มักจากไปหรือวิบัติขึ้น จะถูกใส่ความหรือเข้าใจผิด และเสียทรัพย์บ่อย

ราหู          เป็นนิจ      อยู่ในราศีพฤศภ    -  มีองศาจำนวนจำกัด ๑ องศา แต่จะไม่เป็นนิจเมื่อมีองศาเกินกว่า ๘ องศา

                                                      -  ผู้นั้นเดือดร้อนที่อยู่ เป็นคดีถ้อยความ อาจได้รับโทษกักขังจองจำ ใจน้อย ใจแข็งขลาดต่อการสารภาพผิด มักต้องย้ายที่อยู่เสมอ

หมายเหตุ

            สำหรับดาวที่เป็นนิจ จะไม่เป็นนิจได้ ต่อเมื่อถ้าหากว่ามีจำนวนองศาสูงเกินกว่ากำลังของดาวคู่ธาตุของตนขึ้นไป ถ้ามีองศาต่ำกว่าดาวคู่ธาตุก็ถือว่าเป็นนิจ และมีองศาเท่าจำนวนจำกัด ถือว่าเป็นนิจต่ำสุดอย่างแท้จริง

 

ดวงอุจจาวิลาส

 

 

ดาวเคราะห์ที่เป็นอุจจาวิลาศ คือดาวที่กำลังโคจรจะก้าวขึ้นไปสู่อุจ และมหาอุจนั่นเอง หรือเป็นตำแหน่งของราศีดวงดาวที่จะเป็นอุจ และมหาอุจ ซึ่งดาวกำลังเตรียมตัวจะเป็นอุจ และมหาอุจ

            อุจจาวิลาศ  หมายถึง การไต่เต้าขึ้นไปจะถึงจุดยอดสูงสุด โดยมีตำแหน่งอยู่ถัดจากดาวที่เป็นอุจ และมหาอุจ ถัดต่ำไป ๑ ราศี (นับแบบทวนเข็มนาฬิกา) เมื่อดาวทุกๆ ดวงเคลื่อนที่ ณ ที่ตำแหน่งอุจจาวิลาสนี้ ก็เริ่มให้คุณมีพลังกล้าแข็ง มีเรี่ยวแรงมหาศาลมากทีเดียว แต่แสดงอิทธิพลให้คุณไปในด้านบุญวาสนา และให้คุณดีเด่นในลักษณะที่จะขยับขยายและเขยิบฐานะสูงขึ้นไปอีกหน่อย ก็จะเป็นอุจและมหาอุจ

            ดาวเหล่านี้จวนจะเข้าเป็นอุจอยู่แล้ว ถึงตัวยังไม่เข้า หากมีองศาได้ ๒๗ องศา แสดงถึงเรือนอุจทั้งนั้น จึงมีอิทธิพลจะส่งเสริมโชคชาตาให้ดีเด่นต่างๆกัน คือ

 

อาทิตย์     เป็นอุจจาวิลาศ     ในราศีมีน      -  ให้คุณทางอาชีพ รับราชการทำให้มีตำแหน่งสูง มีความรู้แตกฉาน เป็นผู้รอบรู้ในกิจการต่างๆ มักทำการใดได้สำเร็จผล

จันทร์        เป็นอุจจาวิลาศ     ในราศีเมษ    -  ให้คุณ คือ ทำให้เป็นบุคคลที่มีเสน่ห์รุนแรง ให้คุณทางเมตตา เหมาะในการสาธารณกิจ และมักเจ้าชู้กรุ้งกริ่ง และเป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นได้ด้วย

อังคาร       เป็นอุจจาวิลาศ     ในราศีธนู      -  ให้คุณทางกล้าหาญ เหมาะที่เป็นทหาร ตำรวจ นักรบที่องอาจสามารถ ชอบทางปกครอง งานบังคับบัญชา บางทีชอบในทางกสิกรรม

พุธ           เป็นอุจจาวิลาศ     ในราศีสิงห์    -  ให้คุณทางมีชื่อเสียงเกียรติคุณ มีทั้งอำนาจ และทรัพย์สมบัติ เป็นที่รักใคร่ของบรรดาญาติพี่น้อง จะร่ำรวย

พฤหัสบดี   เป็นอุจจาวิลาศ     ในราศีมิถุน    -  ให้คุณทางวิชาความรู้ มีความรู้ความสามารถสูง เชี่ยวชาญ รับราชการจะได้ดี เหมาะที่จะเป็นอาจารย์หรือราชครู

ศุกร์          เป็นอุจจาวิลาศ     ในราศีกุมภ์    -  ให้คุณทางรู้หลักธรรม ถ้าค้าขายจะมั่งคั่งร่ำรวย ทำราชการจะได้ยศศักดิ์ จะมีทรัพย์มาก

เสาร์         เป็นอุจจาวิลาศ     ในราศีกันย์    -  ให้คุณทางความขยันขันแข็ง หมั่นเพียรดีมาก รู้จักเก็บออมทรัพย์สิน จะมั่งคั่ง เด่น ร่ำรวยในตระกูล

ราหู          เป็นอุจจาวิลาศ     ในราศีตุลย์    -  ให้คุณทางเกียรติยศ ชื่อเสียง จะมีชื่อเสียงกระเดื่องในความรู้วิชาการต่างๆ เหมาะกับการเป็นทหาร

 

ดวงอุจจาภิมุข

 

 

ดาวเคราะห์ที่เป็นอุจจาภิมุข สืบเนื่องมาจากดวงดาวที่เป็นอุจ และมหาอุจ และอุจจาวิลาศนั่นเอง

            อุจจาภิมุข  แปลว่า ดวงดาวที่อยู่ข้างหน้า ขึ้นหน้าล้ำหน้า หรือเกินหน้าออกไป จากตำแหน่งดวงอุจ และมหาอุจ ถัดไปข้างหน้าราศีหนึ่ง หรือเป็นราศีดาวก้าวลงมาจากตำแหน่งอุจและมหาอุจ ซึ่งโคจรออกไปใหม่ๆ มีองศาน้อยๆ มาก แต่แสดงของอุจและมหาอุจยังไม่หมดไป ยังให้ผลดีอยู่

            ฉะนั้น ดาวที่เป็นอุจจาภิมุข จึงเป็นดาวที่ให้คุณหย่อน เพราะเป็นดาวที่อยู่ในเกณฑ์จะลดลงต่ำมา แต่ก็เป็นดวงดาวที่ให้คุณอยู่บ้าง โดยไม่ต้องสงสัย แต่ก็ให้คุณหย่อนๆ ไม่เต็มที่เหมือนดวงอุจจาวิลาศ หรือดวงอุจและมหาอุจ ดังนั้นดวงดาวที่เป็นอุจจาภิมุขจึงให้คุณในทำนอง “ทุกขลาภ” ก็ได้ และให้คุณต่างๆ กัน

อาทิตย์     เป็นอุจจาภิมุข      ในราศีพฤศภ     -  ส่งผลให้เจริญรอบรู้วิชาการ มีทรัพย์สมบัติ และมีเพื่อนฝูงดี

จันทร์        เป็นอุจจาภิมุข      ในราศีมิถุน       -  ให้คุณทางมีทรัพย์สิน มีญาติบริวารมาก เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป

อังคาร       เป็นอุจจาภิมุข      ในราศีกุมภ์       -  ให้คุณและส่งผลดีในทางมีเกียรติชื่อเสียง ชอบงานใช้อำนาจ ใจร้อน ใจเร็ว จะมีโภคทรัพย์ด้วย

พุธ           เป็นอุจจาภิมุข      ในราศีตุลย์       -  ให้คุณดีในทางรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ บริวารบุตรหลานดีมาก เป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์ เข้าไหนเข้าได้

พฤหัสบดี   เป็นอุจจาภิมุข      ในราศีสิงห์ (เทียบเท่ากับเป็นอุจ และมหาอุจ เฉพาะราศีนี้)

                                                            -  ให้คุณทางมีผู้ใหญ่ช่วยเหลือ เป็นผู้รอบรู้ ฉลาดสามารถและมีสติปัญญาสูง จะร่ำรวย

ศุกร์          เป็นอุจจาภิมุข      ในราศีเมษ       -  ให้คุณนักเป็นผู้รอบรู้คดีโลกคติธรรม จะมีทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างท่าทางดีเรียบร้อยเป็นส่วนมาก

เสาร์         เป็นอุจจาภิมุข      ในราศีพิจิก       -  ให้ผลดีทางมีทรัพย์และมีอำนาจ เป็นที่นิยมนับถือของคนทั่วไปด้วย

ราหู          เป็นอุจจาภิมุข      อยู่ในราศีธนู     -  ให้คุณทางชนะศัตรู ใจกล้าหาญมีอำนาจ ปกครอง บังคับบัญชา จะมีทรัพย์ด้วย

 

หลักพยากรณ์

            ดวงอุจจาภิมุข ถ้าได้สถิตอยู่นำหน้าลัคนาในดวงชาตา คืออยู่ในภพกฎุมภะหรือเป็นศูนย์พาหนะ ย่อมให้คุณเด่นในทางมีอำนาจและร่ำรวยในโภคทรัพย์สมบัติ เพราะภพที่ ๒ หมายถึง ทรัพย์สินเงินทองรายได้ และถ้าอยู่ภพที่ ๑๑ คือลาภะ หมายถึง ลาภผลเงินทองด้วยเหมือนกัน ฉะนั้น ดาวที่เป็นอุจจาภิมุข อยู่ภพที่ ๑๑ ก็เป็นดวงดาวที่ให้ผลดีอยู่เหมือนกัน

 

ข้อสังเกต

            ตำแหน่งดาวที่เป็นอุจจาภิมุข ถ้าเล็งกับดาวเกษตร จะเกิดพลังงานทวีดีขึ้นกว่าปกติธรรมดาทันที ความหมายคือดาวที่เป็นอุจจาภิมุขอยู่ในเรือนเกษตรใดแล้ว ดาวในเรือนเกษตรนั้นไปเล็ง หรือเรียกว่า ประเกษตรจึงให้คุณดีเด่นเหมือนกัน ถ้าเล็งกับดาวอื่นๆ นอกจากดาวเกษตรเจ้าเรือนราศี อุจจาภิมุขแล้วย่อมถือว่าอ่อนกำลังลงทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

            สำหรับดวงดาวอุจจาภิมุขคู่ ที่เล็งตรงกันข้ามในราศีต่างๆ แต่ละคู่ ก็น่าจะมีอิทธิพลสูงขึ้นอีกเป็นทวีคูณ เช่น กับดวงอุจจาวิลาศคู่ หรือดวงอุจคู่ ทั้งนี้เพราะตำแหน่งดาวคู่ที่เล็งกันนั้น เป็นดาวคู่ธาตุ คู่สมพลบ้าง ซึ่งล้วนแล้วก็ส่งผลสูงทั้งสิ้น

            เรือนภพที่ดีสำหรับดวงดาวอุจจาภิมุข คือเรือนภพที่ ๑, ๔, ๕, ๗, ๙, ๑๐, ๑๑ ให้ผลดีมาก

 

เทียบตำแหน่งดาวที่เป็น อุจ – มหาอุจ – อุจจาวิลาศ – อุจจาภิมุข


 

 

ดวงมหาจักร

 

ดวงดาวเคราะห์ที่เป็นมหาจักร เป็นดวงดาวที่ให้คุณแน่นอนที่สุด

            มหาจักร  แปลว่า ความเจริญดีงามอย่างใหญ่ ดวงดาวที่เป็นมหาจักร คือตำแหน่งของดวงดาวที่จะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และร่ำรวยอันยิ่งใหญ่จริงๆ เป็นตำแหน่งดาวที่ให้คุณสมบัติอันดี สมกับนามชื่อซึ่งเป็นมงคลอันสูงส่ง ดาวที่ได้ตำแหน่งมหาจักรจึงให้คุณต่างๆ กัน คือ

 

อาทิตย์     เป็นมหาจักร     ในราศีกรกฎ     -  ให้คุณทางลาภยศ มีหลักฐาน อำนาจ บังคับบัญชา เป็นหัวหน้าใหญ่ จะมั่งคั่งร่ำรวยด้วย

จันทร์        เป็นมหาจักร     ในราศีเมษ       -  ให้คุณทางรูปสวยรวยทรัพย์ มักได้ดีเป็นใหญ่เป็นโต มีเกียรติชื่อเสียง มีหลักฐาน ที่ดิน ตึก อาคาร ถ้าสตรีมักจะได้สามีที่มีหลักฐานสูงๆ เสมอ อาจเป็นคุณนาย คุณหญิง ท่านผู้หญิงก็ได้ แม้จะหาบของขายแต่เดิมก็ย่อมให้คุณอยู่นั่นเอง

อังคาร       เป็นมหาจักร     ในราศีกันย์       -  ให้คุณทางเป็นคนใจกล้า จะร่ำรวย ให้ผลดีทางอำนาจ เกียรติชื่อเสียง เด็ดเดี่ยว อดทน จะมั่งมีเงินทองมาก

พุธ           เป็นมหาจักร     ในราศีสิงห์       -  ให้คุณเด่นในทางมีทรัพย์สมบัติ มีบริวาร คนรักใคร่มาก จะได้รับเกียรติยศชื่อเสียงทางวิชาการ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้วย

พฤหัสบดี   เป็นมหาจักร     ในราศีพิจิก       -  ให้คุณทางความมั่งคั่งร่ำรวย มีวิชาการสูงเด่น มีเกียรติยศชื่อเสียง และประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

ศุกร์          เป็นมหาจักร     ในราศีธนู         -  ให้คุณทางมีโภคทรัพย์สมบัติพัสสถานร่ำรวย มีฐานะดี มีคุณธรรมสูง มีเกียรติคุณชื่อเสียงโด่งดัง

เสาร์         เป็นมหาจักร     ในราศีพฤษภ    -  ส่งผลดีทางมีทรัพย์สินเงินทองเป็นปึกแผ่นร่ำรวย รู้จักเก็บออม มีหลักฐานดี ตึก เรือน อาคารด้วย

ราหู          เป็นมหาจักร     ในราศีมังกร      -  ให้คุณทางอำนาจ มักมีชื่อเสียงและร่ำรวยด้วย มีอำนาจการปกครองบังคับบัญชาดี มีบริวาร และพรรคพวกมาก มีโชคชัยชนะศัตรู

 

หลักพยากรณ์

               ดวงดาวที่เป็นมหาจักร เป็นดาวที่แสดงถึงอิทธิพลของดวงดาวไปในทางโลดโผน ถือว่าดี บริสุทธิ์ เป็นไปโดยสม่ำเสมอ ให้คุณตามภพ ตามลัคนา จะอยู่ในภพอริ มรณะ วินาศ มีดาวเคราะห์ที่ถือเป็นมหาจักรที่ดีเด่น คือ

               (๑)     ดาวจันทร์ สำหรับผู้ชายจะได้ทำราชการดี ถ้าสตรีจะได้สามีดี

               (๒)    ดาวพุธ จะทำให้บุคคลมีฐานะสูงมาก

               (๓)    ราหู เป็นมหาจักร เป็นคนดื้อมาก

 

 

 

 

ดวงจุลจักร

 

 

ดวงดาวเคราะห์ที่เป็นจุลจักร คือดาวที่สถิตอยู่ในราศีตรงข้ามกับดวงดาวมหาจักร เป็นตำแหน่งของดาวเคราะห์ที่ให้คุณน้อยกว่าดาวเคราะห์มหาจักร

            ฉะนั้น ดาวเคราะห์ที่เป็นจุลจักร จึงเป็นตำแหน่งเด่นเช่นกัน และให้คุณจริงๆ แต่ต้องกุมลัคนา และมีดาวที่เป็นเกษตรเรือนในสนับสนุนอย่างแรงด้วย และดาวเคราะห์จุลจักรดวงนั้นจึงจะให้คุณเด่นเป็นพิเศษสูงสุดเท่ากับดาวเคราะห์มหาจักรดวงนั้นๆ

 

 

วงราชาโชค

 

 

 

ดาวเคราะห์ที่เป็นราชาโชค หมายความว่า โชคของพระราชา “โชค” หมายถึง คราวดีคราวร้าย หรือคราวพร้อง คราวประจวบก็ได้ “ราชาโชค” แปลว่า คราวดีคราวร้ายอย่างใหญ่ ดวงดาวราชาโชคนี้ จึงคล้ายกับดวงดาวอุจจาวิลาศ แต่ส่งผลไปในทางนิยมหรือเป็นเสน่ห์ดึงดูด สืบเนื่องมาจากดวงดาวเกษตรและดวงอื่นๆ

 

            ดาวเคราะห์ดวงราชาโชค เป็นดาวเคราะห์ที่มีคุณสมบัติอย่างแน่นอนที่สุด ไม่ยกเว้นตำแหน่งที่ดาวเคราะห์นั้นๆ เข้าครองเรือนภพใดๆ ถ้าหากดาวเคราะห์ราชาโชคได้ครองตำแหน่งในเรือนกัมมะแก่ลัคน์ด้วยแล้ว จะต้องประเสริฐเลิศคนอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน อิทธิพลของดาวเคราะห์ที่เป็นราชาโชคมีต่างๆ กันดังนี้ คือ

อาทิตย์     เป็นราชาโชค    ในราศีมิถุน       -  มีอานุภาพเป็นที่รักของปวงชน มีความนิยมในทางราชการ

จันทร์        เป็นราชาโชค    ในราศีกันย์       -  มีความนิยมต่อผู้ใหญ่ทั่วไป คู่ครองเป็นผู้มีวาสนา หมายถึงพระนางเจ้าเป็นผู้อุปถัมภ์

อังคาร       เป็นราชาโชค    ในราศีพฤษภ    -  มีความนิยมต่อผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ มีมิตรสหายเป็นที่พึ่ง

พุธ           เป็นราชาโชค    ในราศีสิงห์       -  มีความนิยมต่อนักประพันธ์และทางธรรม มีสติปัญญาดี เจรจามีศิลป

พฤหัสบดี   เป็นราชาโชค    ในราศีเมษ       -  มีความนิยมต่อนักปราชญ์ และครูบาอาจารย์ ผู้ทรงศีลจะเมตตารักใคร่ และจะเป็นผู้มีความสุขมาก

ศุกร์          เป็นราชาโชค    ในราศีกรกฎ     -  มีความนิยมต่อประชาชน ทำราชการเจริญ จะมีทรัพย์สมบัติด้วย

เสาร์         เป็นราชาโชค    ในราศีพิจิก       -  เป็นที่นิยมทางการงาน ราชการสูงเด่น มีอายุยืนนาน

ราหู          เป็นราชาโชค    ในราศีตุลย์       -  เป็นที่นิยมของพวกโจร และพวกนักเลง มีบริวารมากอาจเป็นเศรษฐี

 

 ดวงเทวีโชค

 

ดวงดาวเคราะห์ที่เป็นเทวีโชค คือดาวที่อยู่ในตำแหน่งในราศีตรงข้ามกับดวงดาวที่เป็นราชาโชค

            ดาวเคราะห์เทวีโชค ให้คุณน้อยกว่าดวงดาวราชาโชค แต่ถ้ากุมลัคนาแล้ว จึงจะมีคุณสมบัติเด่นดีที่สุด ให้คุณเป็นพิเศษสุด เท่ากับดาวนั้นเป็นราชาโชคเช่นกัน

 

 

มีต่อ (การผูกดวงชาตาขั้นต้น)(คลิกที่นี่)




บทความ อาจารย์ สิงห์โต สุริยาอารักษ์

โหราศาสตร์เข้าสู่ประเทศไทย article
โหราศาสตร์ตกถึงมือประชาชนเมื่อใด article
โหรกับหมอดูต่างกันหรือไม่ อย่างไร article
สุริยุปราคาและจันทรุปราคาอย่างไหนจะเกิดบ่อยครั้งกว่ากัน อ.สิงโต
เครื่องหมายแทนดาวและกำลังโคจรของดาว โดย อ.สิงโต
โหราศาสตร์ไทย เรียนด้วยตนเอง อ.สิงห์โต สุริยาอารักษ์ (๒) article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.


-

-


Since 2003 - 7 - 11 Best View 1024 x 768 pixels...... www.horawej.com Email address: horawej@horawej.com
เว็บไซด์โหราเวสม์ (จำหน่ายโปรแกรมโหราศาสตร์ต่าง ๆ เว็บเพื่อการศึกษาทางวิชาโหราศาสตร์) โดย นายวิชิต เตชะเกษม โทร. 08-1844-3372
พร้อมหนังสือ เกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์จาก เขษมบรรณกิจ 25 ถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กทม 10600
โทร. 02-439-2339, 02-439-7388-9, Fax. 02-439-7387 (หยุดวันอาทิตย์)
www.scb.co.th/