มูลบทแห่งดวงจันทร์
ในระบบวิชาโหราศาสตร์ไทย ที่มีมาในอดีตจวบจนปัจจุบัน บูรพาจารย์จะให้ความสำคัญกับเรื่องของดาวจันทร์มากกว่าปรกติ โดยจะเน้นพิจารณาโครงสร้างพลังงานของดวงดาวต่างๆจากดาวจันทร์ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้รู้และสันทัดเรื่องดวงจันทร์จริงๆน้อยมาก เพราะเป็นวิชาฝ่ายปกปิดมิได้เปิดเผย ในบางตำราที่มีเขียนอยู่นั้นบางเล่มก็แค่กระพี้เปลือก บางเล่มก็มีการซ่อนการปกปิดอยู่เพราะวิชาจริงๆนั้นมีค่าที่น่าหวงแหนยิ่งนัก ทำให้ท่านผู้ศึกษาจากตำราหลายๆท่านเกิดการหลงทาง บางท่านก็ไม่สามารถตีค่าที่ซ่อนอยู่ในตำราได้ จนเกิดการเข้าใจผิด ซึ่งการที่จะเรียนรู้เรื่องดาวจันทร์ ควรจะวางสิ่งที่ยึดถือในตำราลงเสีย แล้วมามองในโครงสร้างธรรมชาติจริงๆ การศึกษาตรงนี้นั้นเป็นเรื่องที่อยากพอควร เพราะไม่ใช่การเรียนแบบสอนให้พยากรณ์ แต่เป็นการเรียนให้รู้หน้าที่และการทำงานของดวงจันทร์จริงๆ ซึ่งหมายถึงเรียนให้เข้าใจ มิใช่เรียนให้จำ หรือมิใช่เรียนเพื่อพยากรณ์ ซึ่งเมื่อเข้าใจสื่อจากจันทร์ตรงนี้แล้วเราก็จะเข้าสู่การปรับระดับให้สูงขึ้นของรากฐานวิชาที่เคยติดขัดอยู่ในสายโหราศาสตร์ได้อีกมากมาย
ในการเขียนบทความครั้งนี้ข้าพเจ้าจะเริ่มค่อยๆกล่าวกันในจุดเริ่มต้น ขององค์ประกอบแห่งพลังงานและการทำหน้าที่ของดวงจันทร์ อย่างละเอียดละออ จนไปถึงมุมในการที่จะโน้มนำสู่การพยากรณ์ ซึ่งคงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ศึกษามากขึ้น
ดวงจันทร์และโลกในกฎสัมพันธภาพ เราทราบว่าดวงอาทิตย์นั้นเป็นดวงดาวที่สามารถแผ่คลื่นพลังงาน ไปสู่ดวงดาวต่างๆและเมื่อพลังงานแห่งดวงอาทิตย์แทรกซึมเข้าสู่ดาวเคราะห์เหล่านั้นก็จะเกิดปฏิกิริยาในสะสารและมวลสารที่อยู่ณ.ดาวเคราะห์เหล่านั้น ทำให้ดาวเคราะห์เหล่านั้นเมื่อกลั่นกรองพลังงานแห่งดวงอาทิตย์ก็สามารถที่จะส่งพลังงานคืนกลับสู่ระบบสุริยะจักรวาลได้ โลกเราก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์และดวงดาวอื่นๆเช่นกันแต่ก่อนที่พลังงานจากดวงดาวต่างๆนั้นจะผ่านชั้นบรรยากาศโลกลงมาสู่พื้นพิภพนั้นจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากดวงจันทร์ก่อนพลังงานเหล่านั้นจึงจะผ่านลงมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้ ดาวจันทร์ถือได้ว่าเป็นดวงดาวที่อยู่ใกล้โลกที่สุด ดาวจันทร์จึงสามารถที่จะซึมซับคลื่นพลังงานที่ออกไปจากโลก ได้มากที่สุด ดาวจันทร์จึงถูกคลื่นพลังงานที่แผ่ออกจากโลกเราทำให้ดาวจันทร์เกิดปฏิกิริยาและกระแสคลื่นแม่เหล็กจักรวาลที่เกิดจากคลื่นพลังงานของโลกและดาวจันทร์ทั้งเกิดแรงดึงดูดและแรงเสียดทานจนเกิดวงโคจรทำให้ดวงจันทร์มีวงโคจรรอบโลก จากการที่ดาวจันทร์โคจรรอบโลกนี้เอง จึงทำให้ดาวจันทร์ได้รับคลื่นพลังงานที่ใกล้เคียงกับคลื่นพลังงานที่อยู่รอบชั้นบรรยากาศรอบนอกแห่งโลก แต่ด้วยสะสารที่มีอยู่บนดวงจันทร์นั้นเบาบาง แม้ได้รับพลังงานจากโลกเราไปดาวจันทร์ก็ไม่อาจที่จะสร้างระบบชั้นบรรยากาศให้เหมือนกับโลกเราได้ จึงทำให้ดวงจันทร์เป็นดวงดาวที่เป็นเครื่องกลั่นกรองพลังงานของดาวดวงอื่นก่อนที่พลังงานนั้นๆจะส่งมาสู่บรรยากาศโลก เพราะเมื่อพลังงานของดวงดาวดวงอื่นจะส่งลงมาสู่ชั้นบรรยากาศนั้นดาวจันทร์จะทำหน้าที่กลั่นกรองคลื่นพลังงานของดวงดาวต่างๆให้มีลักษณะที่คล้ายคลึง กับกระแสคลื่นพลังงานที่มีอยู่บนดวงจันทร์ซึ่งเท่ากับกระแสคลื่นพลังงานของดวงดาวดวงอื่นได้ผสมผสานเข้ากับคลื่นพลังงานของโลกที่มีอยู่บนดาวจันทร์ก่อน หลังจากนั้นคลื่นพลังงานต่างๆจึงลงมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกชั้นบรรยากาศแห่งโลกนั้นก็ทำหน้าที่กลั่นกรองคลื่นพลังงาน จากดวงดาวอื่นๆอีกทีหนึ่งเพื่อให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งโดยทั่วไปเราเองจะพอทราบว่าชั้นบรรยากาศแห่งโลกมีหลายชั้นซึ่งชั้นต่างๆเหล่านี้ก็จะปรับคลื่นพลังงานเหล่านั้นจนสามารถที่จะกลืนกับคลื่นพลังงานที่อยู่ในชั้นบรรยากาศแต่ล่ะชั้นได้หลังจากนั้นคลื่นพลังงานเมื่อได้รับการปรับกระแสคลื่นแล้ว จึงผ่านลงมาสู่พื้นพิภพ เมื่อโลกได้รับคลื่นพลังงานจากดาวดวงต่างๆก็เฉกเช่นเดิม คือนำคลื่นพลังงานของดวงดาวต่างๆเหล่านั้นเก็บสะสม เมื่อสะสมได้เพียงพอถึงระดับหนึ่ง สิ่งมีชีวิตและธรรมชาติต่างๆก็ได้กำเนิดขึ้นและมีการวิวัฒนการจนถึงปัจจุบัน
อิทธิพลของพลังงานอันนี้เองที่เป็นจุดที่นักโหราศาสตร์ได้นำประโยชน์จากตรงนี้นำมาพยากรณ์ดวงทั่วๆไป การที่โหรฯในอดีตเน้นเรื่องจันทร์เป็นข้อสำคัญนั้นก็เพราะว่าจันทร์เป็นด่านของการกรั่นกรองพลังงานของดวงดาวอื่นที่จะลงมาสู่โลก โดยถ้าจะมองในอีกแง่มุมหนึ่งก็คือถ้าเราอยากรู้ว่าดวงดาวดวงใดส่งผลกับโลกมากหรือน้อย หรือจะส่งผลถึงมนุษย์หรือไม่เราก็ต้องดูจากดาวจันทร์นี่แหล่ะ ฉะนั้นเราจะสังเกตไหมว่า ในทุกครั้งเมื่อพระจันทร์แดง(จะเกิดขึ้นเมื่อดาวจันทร์ดูดซับพลังงานของดาวอังคารมากเป็นพิเศษ คลื่นพลังงานแห่งดาวอังคารที่ห่อหุ้มชั้นบรรยากาศของดาวอังคารอยู่ที่เป็นสีแดง ก็จะถูกดวงจันทร์ดูดซับมาด้วย) จึงมักจะเกิดเหตุรุนแรงหรือสงครามอยู่เสมอ เนื่องด้วยดาวจันทร์ได้ดูดซับคลื่นพลังงานแห่งดาวอังคารมามากกว่าปรกติ ซึ่งเมื่อดาวจันทร์ได้ดูดซับพลังงานของดาวอังคารมามาก โลกเราก็ได้รับพลังงานของดาวอังคารมากเช่นกัน ซึ่งจุดนี้จะทำให้มนุษย์ในช่วงระยะนั้นมีโทสะเพิ่มขึ้น เกิดโมโหกันง่ายขึ้นกว่าปรกติ จึงเป็นสื่อชนวนให้เกิดเหตุการขัดแย้งและความรุนแรงขึ้น
นี่คืออีกบทบาทหนึ่งของดวงจันทร์ที่บูรพาจารย์และคนรุ่นเก่าได้มีการกล่าวกันไว้ คำว่าพระจันทร์แดงก่อนที่จะเกิดเหตุศึกสงครามจึงไม่ใช่เรื่องที่ไร้ที่มาที่ไป
ดวงจันทร์กับบทบาทแห่งวันจันทร์เพ็ญจันทร์ดับ
โดยมูลเหตุแล้ว เป็นความสัมพันธ์ระหว่างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ โดยมีโลกเราเป็นจุดรับผลกระทบ โดยมีมนุษย์และสิ่งมีชีวิตบนโลกรับช่วงต่อ
ดวงจันทร์ก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ได้รับและสะสมพลังงานจากดวงอาทิตย์ โดยดูดซับพลังงานของดวงอาทิตย์มาสู่ตน ผสมผสานกับพลังงานและสะสารที่มีอยู่แต่เดิมของดาวจันทร์ และแผ่พลังงานออกสู่รอบนอกสร้างระบบบรรยากาศแห่งดวงจันทร์ และแผ่กระจายพลังงานเหล่านั้นสู่จักรวาล
วันจันทร์เพ็ญ
ดวงอาทิตย์สำหรับดวงจันทร์เปรียบเสมือนก้อนถ่านไฟฉาย ดวงจันทร์นั้นทำหน้าที่ดูดซับและกระจายพลังงานของดวงดาวต่างๆ ก่อนที่จะส่งพลังงานเหล่านั้นมาบนโลกด้วยการดูดซับพลังงานของโลกอีกต่อหนึ่ง เมื่อดวงจันทร์ได้รับพลังงานของดวงอาทิตย์มาก แรงการดูดซับและแรงส่งพลังงานของดวงจันทร์ก็มากขึ้น มวลสะสารและแร่ธาตุของดวงจันทร์ก็เกิดปฏิกิริยามากขึ้น ทำให้พลังงานของดวงดาวต่างๆนั้นได้ถูกพลังงานของดวงจันทร์ดูดเข้ามาเก็บกักมากขึ้นและแผ่กระจายพลังงานเหล่านั้นมากขึ้น วันจันทร์เพ็ญนั้นจึงเป็นวันที่พระจันทร์มีพลังงานในการดูดซับสูงที่สุด
เมื่อพลังงานต่างๆนั้นได้ถูกดวงจันทร์ดูดซับเข้ามา ก็ได้ผสานกับพลังงานที่มีอยู่เดิมของดวงจันทร์ซึ่งถูกปลุกเร้าโดยพลังงานจากดวงอาทิตย์ ทำให้พลังงานของดวงดาวเหล่านั้นถูกอิทธิพลของดวงจันทร์ เข้าไปผสมผสานมากกว่าปรกติ ดวงดาวที่ถูกพลังงานแห่งดวงจันทร์ดูดซับ มิสามารถแผ่พลังงานของตนเองได้อย่างเต็มที่ เมื่อมูลเหตุของดวงจันทร์ตามนามธรรมแห่งโหราศาสตร์ คืออ่อนโยนนุ่มนวล ดวงดาวเหล่านั้นก็จะมีผลละมุนละม่อมขึ้น
โดยยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่เกิดในวันที่จันทร์เพ็ญ โดยมีดาวอังคารเข้ามาสู่จุดสัมพันธ์ ดาวอังคารนั้นก็มิได้แสดงผลของตนเองอย่างเต็มที่ เพราะถูกพลังงานของดวงจันทร์แทรกแซง ทำให้ดาวอังคารในระยะดังกล่าวลดความรุนแรงลง หรือมีความนิ่มนวลของดวงจันทร์เพิ่มเข้าไป ทำให้ผลการแสดงคุณและแสดงโทษของดาวอังคารในช่วงระยะดังกล่าวไม่เด็ดขาดและไม่รุนแรงเสมือนดาวอังคารปรกติ
ซึ่งในจุดนี้ทำให้คนรุ่นเก่าๆ มักกล่าวชมผู้ที่เกิดวันจันทร์เพ็ญว่า เป็นผู้ที่เกิดมามีกุศลบำรุงอยู่ และมักนิยมว่าจะมีชีวิตที่เรียบง่ายสบาย แต่ที่จริงแล้ววันจันทร์เพ็ญนั้นจะปรับโครงสร้างของพลังงานของดาวที่รุนแรงนั้นให้อ่อนลง และยังส่งพลังงานลงมายังโลกได้มากกว่าปรกติ ตรงนี้เองจะทำให้ผู้ที่เกิดในวันเพ็ญโดยทั่วไปจะมีชีวิตที่ไม่โลดโผนเท่ากับผู้ที่เกิดจังหวะแห่งมุมดาวที่ใกล้เคียงกัน
วันจันทร์ดับ
ถือว่าเป็นวันที่นักโหราศาสตร์หลายท่านให้ความสนใจอยู่ โดยเฉพาะโหราศาสตร์ต่างประเทศ แต่ก็มีส่วนน้อยที่จะรู้ถึงว่ามูลเหตุของการนำจุดนี้มาพยากรณ์นั้นคือสิ่งใดและทำไมถึงนำมาพยากรณ์ได้
ถ้าเราจะมองว่าพลังงานของดวงจันทร์ที่ถูกปลุกเร้าให้เกิดปฏิกิริยาสูงสุดโดยพลังงานแห่งดวงอาทิตย์ได้แก่ วันจันทร์เพ็ญ ในทางตรงกันข้าม วันจันทร์ดับก็จะเป็นวันที่ดวงจันทร์จะเปล่งพลังงานได้ต่ำสุด ไม่ว่าจะเป็นการดูดซับหรือการแทรกแซงพลังงานก็ตาม
ทำให้ในวันจันทร์ดับนั้นพลังงานของดวงดาวต่างๆ ได้ไหลผ่านบรรยากาศแห่งดวงจันทร์ไหลเวียนสู่โลกเรา ในภาวะปรกติ และพลังงานแห่งดวงดาวต่างๆแสดงผลแห่งพลังงานอย่างเต็มที่ โดยไม่มีพลังงานแห่งดวงจันทร์เข้ามาแทรกแซงหรือปรับคลื่นกระแสพลังงาน พลังงานของดวงดาวต่างๆจึงและผลจริงจังตามภาวะที่จะเป็นแห่งดวงดาวนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงหรือความผันผวนก็ตาม จุดตรงนี้เองทำให้นักโหราศาสตร์ในอดีตเกิดความไม่แน่ใจในพลังงานของดาวที่ส่งมาในวันจันทร์ดับว่าจะรุนแรงเพียงใด จึงมิอาจที่จะวางหรือให้ฤกษ์ในวันดังกล่าวได้ จุดตรงนี้จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมนิยม ในการห้ามวางฤกษ์ในวันจันทร์ดับด้วย
แต่ด้วยการแสดงผลของดวงดาว ได้เปล่งพลังงานแห่งตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นจุดที่จะสามารถนำมาชี้ชัดในเรื่องราวแห่งพลังงานของดาวดวงนั้นๆได้เป็นอย่างดี ซึ่งความชัดเจนของการแสดงผลของดวงดาวนั้น นักโหราศาสตร์ได้นำมาสร้างเป็นระบบการพยากรณ์ ที่เรียกกันว่า ดวงอมาวสี
ในมุมมองของผู้ที่เกิดในช่วงวันอมาวสีนั้น โดยส่วนมากมักจะมีชีวิตที่ผกผัน ไม่แน่นอน แต่ถ้าโดดเด่นก็คือโดดเด่นเลย ถ้าตกต่ำก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน (อันนี้ขึ้นอยู่กับดวงดาวที่แสดงผลกับดาวจันทร์) เพราะเกิดในช่วงของพลังงานของดวงดาวที่แสดงผลอย่างเต็มที่ ถ้าท่านอยากมองหาตัวอย่างลองมองไปที่ดวงนักการเมืองดังๆเด่น โดยส่วนมาก จันทร์จะเกือบดับหรือดับ(จันทร์อยู่ราศีเดียวกับอาทิตย์)
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีดาวอาทิตย์ที่ได้ตำแหน่งเช่น เกษตร,อุจจ์,มหาจักร หรือราชาโชค เข้าจุดที่สัมพันธ์กับจันทร์ ก็จะโดดเด่นมีชื่อเสียง อันนี้เป็นการกล่าวเทียบเคียงมิใช่การพยากรณ์จริงๆ เพราะการพยากรณ์จริงๆจะต้องมีกระแสพลังงานของดาวดวงอื่นอีก
ในมุมมองแห่งเรื่องพลังงานของดวงดาวนั้น ปัจจุบันได้มีกลุ่มนักโหราศาสตร์ให้ความสนใจอยู่มาก แต่บางท่านก็หาจุดต่อยอดไม่ได้ สำหรับบางท่านอาจจะเป็นของใหม่ ซึ่งผมเองจะค่อยๆขยายความรู้ที่มีอยู่ออกมาในบทความต่อไปๆ ท่านผู้ใดสนใจจะนำความเข้าใจอันนี้ไปพัฒนาต่อก็มิได้หวงห้าม และหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิชาโหราศาสตร์สืบต่อไป
ขอให้มีความเจริญแห่งปัญญา
พายัพ พยากรณ์ |