จากบรมครูรุ่นเก่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือบทความ ที่นำมาเผยแพร่ออกมาสู่สาธารณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นสายวิชาสาขาไหนก็ตาม เพียงเพื่อเป็นแนวทางให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาค้นคว้าและพัฒนาวิชาสืบต่อไป แต่ถ้าคิดกันว่า ต่างสำนัก ต่างวิชา ต่างอาจารย์ แล้วไม่ยอมหันหน้าเข้าปรึกษากัน แต่กลับฟาดฟันกันดั่งเป็นศัตรูแล้ว เมื่อต่างฝ่ายต่างพินาศลงไป แล้วจะเหลืออะไรสืบต่อไปให้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
ในปัจจุบันวิชาดีๆ ที่เป็นสมบัติของชาติไทย เริ่มเหลือน้อยลงทุกวัน วิชาที่มีผู้สานต่อก็ยังคงอยู่ แต่ถ้าไม่มีก็ค่อยๆ สูญหายไป สำหรับผู้ที่สนใจในศาสตร์ของการพยากรณ์จริงๆ แล้ว ถ้าพยายามศึกษาค้นคว้า เพื่อสืบสานในสายวิชาที่ตัวเองชอบ ก็จะประสบความสำเร็จในเส้นทางสายการพยากรณ์ได้ไม่ยากนัก เพียงแต่ว่าบางคนไม่สนใจ พอเรียนไม่ได้ พยากรณ์ไม่ได้ ก็กลายเป็นการต่อว่าในตัววิชา เพราะไม่พยายามทำความเข้าใจ ใช้แค่การจำรูปแบบไป โดยหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ บางคนก็เร่งรีบศึกษากันมากไปทำให้บางครั้งละเลยข้อมูลที่สำคัญ และหลายคนก็ต้องการรู้ผลในปัจจุบันกันมาก เลยทำทำให้คิดกันว่า การพยากรณ์จรนั้น สำคัญ เลยข้ามขั้นกันไปไม่สนใจพื้นฐานดวงชะตา ส่วนตัวผู้เขียนเองบางครั้ง ก็ทายเหตุการณ์ปัจจุบัน จากพื้นดวงชะตาเหมือนกัน ก็เพราะว่าต้องมีเหตุมาก่อนผลเสมอ ถ้าระงับเหตุได้ ผลก็ไม่เกิด หรือถ้ารู้แนวทางความเป็นไปต่าง ๆ ได้ ก็สามารถจัดการหรือหาทางแก้ไขในสิ่งเหล่านั้นได้
ในการพัฒนาวิชา จำเป็นที่จะต้องใจกว้าง เปิดรับความคิดเห็นของผู้อื่น อาจะมีการถกเถียงกันบ้าง จากมุมมองที่ต่างกันออกไป ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อให้ได้รับความรู้ที่แท้จริงเพื่อนำไปพัฒนาวิชา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างหลังจากเลิกงาน ผู้เขียนและเพื่อนจะนัดกันดื่มกาแฟ เพื่อคุยเรื่องโหราศาสตร์กัน แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและกันกัน เพื่อการพัฒนาในตัววิชา เพื่อรับรู้ว่า วิชาได้พัฒนาและก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วไปถึงไหนแล้ว วันหนึ่ง ผู้เขียนได้นัดเจอกับเพื่อนสนิท ที่สวนลุมไนท์บาซาร์ ซึ่งเป็นย่านการค้าช่วงกลางคืน เปิดให้ชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทย ได้มีโอกาสจับจ่ายใช้สอย ซื้อของกันมากขึ้น หลังจากที่ผู้เขียนทักทายและคุยเล่นกันสักพักแล้ว ผู้เขียนจึงนำดวงตัวอย่างขึ้นมาให้เพื่อนผู้เขียนลองอ่าน เพราะเห็นว่าดวงนี้น่าสนใจดี มีดาวที่สืบต่อเนื่องกัน จึงให้เพื่อนลองอ่านแบบครบถ้วนสมบูรณ์
เพื่อนผู้เขียนก็เริ่มโอดครวญว่ายาก ไม่อ่านได้ไหม ไม่อยากอ่าน อยากทายเลยได้ไหม ผู้เขียนก็ไม่อยากขัดใจเพื่อนจึงตอบว่า ได้ แต่ก่อนที่เธอจะทายนั้น เราไปเดินเล่นกันก่อนดีกว่า ผู้เขียนพาเพื่อนไปหยุดอยู่หน้าร้านขายของแห่งหนึ่ง ยืนมองอยู่สักพัก แล้วถามหันมาถามเพื่อนว่า เธอเห็นแม่ค้า ที่พูดภาษาอังกฤษ กับลูกค้าไหม เพื่อนผู้เขียน พยักหน้า ผู้เขียนจึงถามต่อไปว่า แล้วเห็นไกด์คนไทย ที่พูดภาษาอังกฤษ กับคนต่างชาติไหม เพื่อนผู้เขียนทำหน้าสงสัย ถามกลับมาว่า อืม เห็น ทำไมหรอ? ผู้เขียนจึงถามต่อไปว่า แล้วเธอเห็นคนต่างชาติ ที่พูดภาษาอังกฤษนั่นไหม เพื่อนผู้เขียนคงจะรำคาญเป็นอย่างมาก จึงตอบกลับมาว่า ศรรวสา ตาฉันไม่ได้บอดนะ ผู้เขียนนึกขำ ท่าทางเพื่อนที่มีความสงสัยบนใบหน้า ประกอบกับความรู้สึกรำคาญ ผู้เขียนจึงตอบเพื่อนไปว่า ถ้าเธออยากพูดภาษาอังกฤษได้ เธออยากพูดได้อย่างคนไหน ตรงนี้ไม่มีคำตอบกลับจากเพื่อนผู้เขียน มีแต่สายตาที่ค้อนแบบปะหลักปะเหลือก แล้วจำใจเดินกลับไปนั่งอ่านดวงกันต่อ
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาที่จะถูกหมิ่นในเรื่องความรู้หรือเรื่องการศึกษาของผู้อื่น แต่บางครั้งคำอธิบายที่มากมาย ก็ไม่สามารถทำให้เข้าใจได้ดีไปกว่า การเห็นด้วยภาพ เพราะจะบอกความหมายและความรู้สึกได้อย่างมากมายทีเดียว เฉกเช่นเดียวกัน แล้วท่านผู้อ่านคิดว่า ท่านจะเลือก แค่พอรู้ พอเข้าใจ พอสื่อสารได้ หรือว่าใช้อย่างผู้ชำนาญ
ต่อไปจะเป็นการอ่านแบบสรุปเรื่องราวของชีวิตคน ๆ หนึ่ง ว่าเขามีวิถีชีวิตอย่างไร และจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับตัวเขา ดวงนี้เป็นดวงชาย เกิดวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2509 เวลาประมาณ 6.00 -7.00 น. ชะตานี้ก็เกิดเวลาที่คาบเกี่ยววันอีก เพราะช่วงวันนี้ ดวงอาทิตย์ จะขึ้นเวลาประมาณ 6.43 น. แต่เมื่อลองพยากรณ์เพื่อตรวจสอบวันเกิดทั้งสองวันแล้ว ปรากฏว่าเจ้าชะตาเกิดวันพฤหัส
จากบทความที่ผ่านมาผู้เขียนจะใช้การอ่านเรื่องต่าง ๆ จากภูมิทักษาเพียงแค่สองภูมิเท่านั้น แต่ชะตานี้มีความน่าสนใจตรงที่มีดาวผูกพันสืบเนื่องต่อกันถึงกันถึงสามดวง (ดวงจักรราศี จะเรียกว่า วงจรมหาเกษตร) เริ่มที่ ดาวอายุ ๘ ไปอยู่ภูมิเดช ๖ ดาวจากภูมิเดช ๖ ไปอยู่ภูมิกาลี ๗ และดาวจากภูมิกาลี ๗ ไปอยู่ภูมิอายุ ๘
เริ่มจากภูมิอายุ ๘ ซึ่งเป็นวิถีทางการดำเนินชีวิตของเจ้าชะตา เพราะความเป็นธาตุลมของดาวราหู จึงส่งผลให้การดำเนินชีวิตเป็นไปแบบง่ายๆ ไร้กฎระเบียบ เพราะว่าไม่มีใครสามารถบังคับจำกัดรูปแบบ หรือปั้นลมให้เป็นรูปร่างต่างๆ ได้อย่างที่ต้องการได้ แต่จะรู้สึกผ่อนคลายเมื่อสายลมได้สัมผัสผิว สามารถทำให้คนที่อยู่รายรอบรู้สึกผ่อนคลายความทุกข์ความวิตกกังวลต่างๆ ได้ชั่วขณะ แต่พอนานไป จะดูคล้ายๆ คนไม่มีสาระ ไร้แก่นสาร คงเป็นเพราะความรักอิสระเสรี ไม่ชอบการผูกมัด ลุ่มหลงเป็นพักๆ ไม่นานนักก็เลิก การกระทำสิ่งใดจึงไม่คงทน ความพริ้วไหวของสายลม ส่งผลให้เกิดไหวพริบปฏิภาณอย่างมีชั้นเชิง เปลี่ยนแปลงได้ตามวาระโอกาส แต่เพราะความรวนเรไม่แน่นอนนั้น จึงส่งผลให้คนรอบข้างเกิดความไม่ไว้วางใจได้
อายุ ๘ อยู่ภูมิเดช ๖ ส่งผลให้การดำเนินชีวิตของเจ้าชะตานั้น(อายุ) ถึงแม้ว่า จะทำตัวแบบง่าย ๆ ไม่ใส่ใจ ไร้กรอบ(๘) แต่ก็มีโอกาสที่จะมียศ มีตำแหน่ง มีชื่อเสียง (เดช) อย่างง่าย ๆ ไม่ยากนัก (๖) แต่จากดวงชะตานี้ ดูเหมือนว่าถูกมอบให้ หรือถูกบังคับให้รับมากกว่า เพราะว่า
ประการแรก คือไปอยู่ภูมิเดชที่เป็นดาวศุกร์ ซึ่งหมายถึงการได้มาอย่างง่าย ๆ แล้วตำแหน่งหน้าที่ ที่ได้รับนั้น ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมาย แถมยังสร้างความสุข ความสบายให้กับตัวเจ้าชะตาอีกด้วย
ประการที่สอง ดาวธาตุลม ไปอยู่ธาตุดินที่ราศีพฤษภนั้น ทำให้ความคล่องตัวของลมนั้น ลดลงไป ช้าลงไป ไม่ได้ส่งผลให้ต้องวิ่งเต้นแข่งขัน หรือแก่งแย่งกับใคร ๆ หรือทำให้เกิดความมุ่งมั่นเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน
ประการที่สาม ดาวราหู มีตำแหน่งเป็นนิจ ซึ่งพลังงานของดาวจะอ่อนลงไป ทำให้ไหวพริบ ปฏิภาณก็ลดลงไปด้วย เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงต่าง ๆ ก็แทบไม่ต้องใช้ ติดอยู่กับอยากสบาย ไม่อยากจะรับภาระอะไร
เมื่อได้รับตำแหน่งหรือชื่อเสียงเข้ามาแล้ว เจ้าชะตาก็เริ่มหลงใหลไปกับสิ่งเหล่าที่ได้รับมา ไม่อยากดิ้นรนขวนขวายทำอะไรอีก ได้แต่กอบโกยหาความสุข ความสะดวกสบายให้กับตัวเอง ยิ่งนานวันเข้า ก็ยิ่งไม่อยากจะทำอะไร เพียงแค่ใช้ชีวิตแบบสนุกสนานเพลิดเพลินไปวัน ๆ
จากนั้น เดช ๖ ไปอยู่ภูมิกาลี ๗ ถ้าเป็นเรื่องตำแหน่งหน้าที่แล้ว(เดช) ถือว่าไม่ต้องมีกฎกติกามารยาทมากนัก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรที่หนักหนาสาหัส ไม่ต้องเคร่งครัดมากมาย (๖) จึงทำให้ไร้กฎระเบียบ ปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ ที่รับผิดชอบจนก่อให้เกิดความเสียหายตามมา(กาลี) ซึ่งปัญหาเหล่านั้น ก็สร้างความอึดอัดใจให้กับเจ้าชะตาไม่น้อยเหมือนกัน (๗) เพราะความไม่อนาทรร้อนใจ ไม่เร่งรีบที่จะแก้ไข ปล่อยทิ้งไว้จนเนิ่นนาน จนแก้ไขได้ยาก ที่เคยคิดว่าง่าย แก้ได้ไม่มีปัญหา กลับกลายเป็นปัญหาที่สร้างความหนักใจให้ในเวลาต่อมา (ดาวธาตุน้ำอยู่ธาตุดิน)
ถ้าเป็นเรื่องชื่อเสียง (เดช) ก็เรียกได้ว่า ได้รับความนิยมชมชอบ เป็นที่พอใจของตัวเอง(๖) แต่ถึงแม้ตัวเองจะมีความสุขและพอใจในชื่อเสียงเหล่านั้น แต่ความสุขเหล่านั้น ก็หาได้ยั่งยืนดั่งที่เป็นอยู่ เพราะเมื่อต้องเข้าไปประสบ กับสภาวะปัญหาบางอย่าง ที่ต้องสะสางหรือแก้ไข(กาลี) ถึงแม้จะพยายามนิ่งนอนใจ หรือไม่ใส่ใจกับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น(๖) แต่ก็สร้างความกดดันและความตึงเครียดให้กับเจ้าชะตาไม่น้อยเลยทีเดียว(๗) จากสิ่งที่เคยพึงพอใจ กลับกลายเป็นความระอาน่าเบื่อหน่าย ความสุขสบายจึงค่อย ๆ มลายหายไปกลายเป็นความทุกข์ทรมานเข้ามาแทน(ดาวธาตุน้ำ ไปอยู่ธาตุดิน)
กาลี ๗ อยู่ภูมิอายุ ๘ ปัญหาที่ก่อให้เกิดความเสียหาย หรือที่เคยทิ้งดองค้างไว้จนกลายเป็นดินพอกหางหมูกลับมารุมทำร้าย กลายเป็นอุปสรรค ขวากหนาม(กาลี) ในเส้นทางของการดำเนินชีวิต(อายุ) ส่งผลให้เกิดความกดดันและความบีบคั้น(๗) กับจิตใจของเจ้าชะตาเป็นอย่างมากด้วย(อายุ) ถึงแม้จะพยายามเร่งรีบเพื่อแก้ไข แต่ก็ยังทำได้ไม่ดีนัก เพราะความไม่รอบคอบ ความไม่สันทัด(๘) ประกอบกับปัญหาที่ปล่อยค้างไว้จนเนิ่นนาน (๗) จนดูเหมือนว่า ยิ่งแก้เท่าไหร่ ยิ่งยุ่งวุ่นวาย ส่งผลให้ร้อนอก ร้อนใจมากขึ้นเท่านั้น (ดาวธาตุไฟไปอยู่ธาตุลม)
เมื่อปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามามาก ความอดทนที่จะแก้ไขในสิ่งเหล่านั้น ก็ค่อยๆ หมดไป(กาลี๗) เจ้าชะตาก็เริ่มไม่สนใจ ไม่ใส่ใจที่จะแก้ไขแล้ว จะวางมือและหันหลัง เพื่อละทิ้งสิ่งเหล่านั้นไปได้โดยง่าย เพราะถือว่า ถ้ายุ่งยาก หรือวุ่นวายนัก ก็สามารถตัดทิ้งสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไปได้อย่างไม่อาลัยอาวรณ์ (อายุ ๘) ถึงแม้จะเกิดความเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ยอมปล่อยไป เพื่อขจัดปัญหาต่างๆ ให้พ้นตัว และรอโอกาสใหม่ที่สบายกว่านี้ ให้กับตัวเอง(ดาวธาตุไฟอยู่ธาตุลม)
ความทรงจำในสิ่งที่เคยผิดพลาดแต่หนหลัง ที่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนนั้น(กาลี) ก็ยังจะผุดขึ้นมาในความคิด ในจิตใจอยู่เสมอ(อายุ) ทำให้เจ้าชะตา เกิดความทุกข์วิตกกังวล จนกลัดกลุ้มใจได้บ่อย ๆ (๗) ความหลังฝังใจ จึงกลายเป็นบทเรียนให้เจ้าชะตาเริ่มวางแผนใหม่ เพื่อหาหนทางง่ายๆ ให้กับตัวเอง ตรงนี้เจ้าชะตาจะเริ่มใช้ไหวพริบปฏิภาณ หรือ เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง(อายุ ๘) เพื่อหาช่องทางฉกฉวยและช่วงชิงในสิ่งต่างๆ ให้ได้มา เจ้าชะตาจำเป็นต้องใช้ความแยบยล มีกลยุทธ์มากขึ้น เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ อย่างรวดเร็ว (ดาวธาตุไปอยู่ธาตุลม)
และเมื่อ อายุ ๘ มาอยู่เรือนเดช ๖ อีกครั้ง ตรงนี้ ทำให้เจ้าชะตาก็ได้รับตำแหน่งหน้าที่ หรือชื่อเสียงอย่างที่ตั้งใจไว้ โดยง่าย อีกครั้งหนึ่ง และเมื่อเดช ๖ ไปอยู่เรือนกาลี ๗ ก็มิวายที่เจ้าชะตาจะสร้างความเดือดร้อน ความเสียหายให้กับตัวเองอีกครั้ง เช่นกัน
ดวงนี้ เจ้าชะตาเป็นชาย เป็นเจ้าของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เมื่อเรียนจบกลับมาจากต่างประเทศ ก็ได้สืบทอดบริหารกิจการต่างๆ จากบิดา แต่ก็ไม่สามารถทำให้กิจการนั้นรุ่งเรืองสมัยที่บิดาดำเนินงานอยู่ได้ เป็นสภาวะแค่ทรงตัว ไปเรื่อยๆ เท่านั้น แต่เจ้าชะตานั้น ก็ไม่ใคร่ใส่ใจอะไรมากนัก ใช้ชีวิตแบบไม่ใคร่จริงจังอะไรมากนัก ทำงานบ้าง เที่ยวเล่นบ้าง ไปวันๆ เพราะถือว่ายังมีบิดาเกื้อหนุนอยู่ จึงยังไม่ใคร่เดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าเจ้าชะตาจะไม่ใส่ใจ ทำงานอะไรมากมาย แต่ก็ยังได้เป็นเจ้าของบริษัทอยู่ดี
จากที่อ่านผ่านมานั้น ท่านผู้อ่านคงพอสรุปพื้นฐานการดำเนินชีวิตของเจ้าชะตาได้แล้วว่าเป็นอย่างไร ถ้าจะถามว่า จะแก้ไขได้ไหม ก็ทำได้โดยการที่ ให้เจ้าชะตารับผิดชอบต่อหน้าที่ให้มาก ไม่ปล่อยปละละเลย จนถึงขั้นก่อให้ เกิดความเสียหาย แต่ก็นั่นละ ใครเล่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพราะเป็นวงจรชีวิตของเจ้าชะตา ที่มีทั้งดี และร้าย ไปตลอด และตราบใดเจ้าชะตายังประพฤติตัวเป็นแบบนี้อยู่ สิ่งต่างๆ ดังที่กล่าวมาก็จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดไป
จากบทความที่ผ่านมา เป็นการแจกแจงของขั้นตอนรวมถึงวิธีในการอ่านพื้นดวงทักษาอย่างสมบูรณ์ จริงอยู่ที่ว่า ดาวและธาตุของภูมิทักษานั้นขึ้นอยู่กับดาวที่ประจำอยู่ภูมินั้น ๆ แต่การนำมาอ่านร่วมกับดวงจักรราศี จำเป็นต้องนำเอาธาตุของเจ้าเรือนนั้นมาร่วมอ่านด้วย เหตุเพราะว่า ภูมิต่าง ๆที่กำหนดขึ้นตามดาวนั้นไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ แต่เป็นดวงดาวต่างหากที่เคลื่อนโคจรไปยังที่ต่าง ๆ และเมื่อนำดวงจักรราศีมาใช้เพื่อร่วมในการพยากรณ์ของทักษา ทำให้ธาตุของราศีเข้ามามีบทบาทร่วมด้วยในการขยายความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เหมือนกับเป็นการประสานเพื่อให้สอดคล้องและกลมกลืนกัน จนทำให้ได้คำพยากรณ์ที่สมบูรณ์มากขึ้น
ตรงนี้อาจจะมองภาพได้ยาก ถ้าท่านลองนึกถึงทะเลสักแห่งหนึ่ง ที่มีทั้งสีเขียวและสีฟ้า เรียกว่าจะเขียวก็ไม่ใช่ จะฟ้าก็ไม่เชิง เหมือนผสมกันอยู่ ที่เรียกว่า สีฟ้าน้ำทะเล ไม่สามารถมีเส้นแบ่งได้แน่นอนว่าตรงไหนเป็นสีฟ้า หรือตรงไหนเป็นสีเขียวได้อย่างชัดเจน เปรียบเสมือนว่าดาวดวงหนึ่ง ไปอยู่ในภูมิของอีกดาวหนึ่ง ย่อมมีการผสมผสานของคุณลักษณะของทั้งสองดาวเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความลึกของทะเล หรือเป็นเพราะแสงอาทิตย์ที่ส่องสาดลงมา จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นสีน้ำทะเลนั้น อ่อนหรือเข้มแตกต่างกันไป ก็คงเช่นเดียวกันกับธาตุของราศี ที่มีส่วนส่งเสริมหรือบั่นทอนพลังงานของดาวนั้นให้เปลี่ยนแปลงไปได้อีก
ชีวิตมนุษย์นั้นก็ยังขึ้นอยู่กับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีส่วนผลักดันให้มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป ส่วนจะเปลี่ยนแปลงยากหรือง่าย ช้าหรือเร็วนั้น ก็เป็นไปตามธาตุของดาวต่างๆ ที่ส่งผลกับบุคคลนั้น ธาตุลมก็เปลี่ยนง่าย ส่วนธาตุดินนั้นก็เปลี่ยนแปลงยากหน่อย เพียงแต่ถ้ารู้จักการนำสิ่งนั้น มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้แล้วก็ถือว่าคุ้มค่าในการเรียนรู้ บางครั้งติดการยึดติดกับหลักการมากไป หรือไม่ก็เอาความคิดตัวเองเป็นหลักมาตรฐาน ทำให้ลืมมองไปถึงชีวิตของมนุษย์จริง ๆ นั้นว่าเป็นอย่างไร จากบทความก่อนๆ จนถึงบทความนี้ ผู้เขียนได้พยายามเรียบเรียงลำดับขั้นตอน เป็นหลักไว้ให้ท่านผู้อ่านได้ค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับขั้น เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้คิดตาม เผื่อว่าถ้าจุดไหนท่านผู้อ่านสามารถ เพิ่มเติมความคิดส่วนตัวของตัวเองลงไปได้ หรือตรงไหนที่ไม่เห็นด้วยนั้น ก็จะได้นำไปคิดไปพัฒนาต่อ หรือศึกษาค้นคว้าหาคำตอบเพิ่มเติมให้กับตัวเอง เพราะวิชายังต้องมีการพัฒนาต่อไปอีกเรื่อย ๆ และในการศึกษาวิชาความรู้นั้น จำเป็นต้องมีระบบขั้นตอน ไม่สามารถเรียนแบบสะเปะสะปะได้ แต่ถึงแม้ว่าจะมีหลักการมากมาย แต่ถ้านำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ก็เหมือนกับว่ามีอาวุธแต่ใช้ไม่เป็นเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องดนตรีราคาเรือนแสน ก็เพียงช่วยทำให้แค่ดูดี มีรสนิยม แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้เล่นเก่งได้ ตราบใดที่ไม่ฝึกฝน ก็จะกลายเป็นแค่ผู้ชม มิใช่ผู้โชว์ผลงาน/. |