สำหรับผู้ชอบศึกษาวิชาโหราศาสตร์จากหนังสือหรือตำรา คงมีไม่น้อยเลยที่รู้สึกสับสน และเคว้งคว้าง บางครั้งเหมือนว่ารู้มากแล้ว แต่บางครั้งก็กลับเหมือนว่า แท้จริงแล้วไม่ได้รู้อะไรเลย เพราะเมื่ออ่านหลายๆ ตำราเข้า คำพยากรณ์ต่างๆ กลับค้านกันเอง ตำราหนึ่งบอกว่าดี ส่วนอีกตำราหนึ่งบอกว่าเสีย จะหาผู้ที่สามารถซักถามไขข้อข้องใจก็ไม่ได้ (เพราะผู้ที่จะสามารถอธิบายได้ถูกต้องตามนั้น ก็คงมีแต่เพียงผู้เขียนตำราเท่านั้นเอง) ทำให้ขาดหลักยึดที่แน่นอน เมื่ออ่านแล้วใช้กับตัวเองไม่ได้ หนังสือทั้งหลาย ก็เลยกลายเป็นเศษขยะ อาจจะนำไปแจกจ่าย หรือนำไปขายต่อ ก็แล้วแต่ ความรู้ต่างๆ ที่เพิ่งจะเริ่มต้น ก็จะวนเวียนอยู่แค่นั้น ไม่สามารถพัฒนาวิชาให้ก้าวหน้าสืบต่อไปได้
หนังสือหรือตำราต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้ว มีไว้สำหรับให้ความรู้ก็จริงอยู่ แต่ยากที่จะทำให้เข้าใจได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้วิชาไหนๆ ก็ตาม การที่จะมีความเข้าใจได้ ให้ตรงกับวัตถุประสงค์นั้น โดยมากจะได้จากการสั่งสอนของครูบาอาจารย์ หรือได้ฟังจากปากของผู้มีประสบการณ์ตรง ประโยคนี้ อาจจะมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและคัดค้านก็ตามที จริงอยู่ที่ว่าใครๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ เพียงแต่ไม่สามารถเข้าใจได้เหมือนกัน เท่ากันทุกคน แม้จะอ่านตำราเล่มเดียวกัน และใช่ว่า อ่านตำราจนหมดเล่ม แล้วจะรู้ จะเข้าใจ จะเก่งได้ ด้วยตัวเอง เพราะตำราส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสายวิชาโหราศาสตร์นั้น มีไว้สำหรับคนที่เรียนรู้มาแล้วนำมาอ่าน ไม่ใช่สำหรับอ่านเพื่อให้รู้
เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องเกิดจากความเข้าใจในตัวของวิชานั้นๆ เองของผู้ศึกษา ว่าเป็นอย่างไร เพราะแค่การจดจำจากตำราแล้วมาบอกต่อผู้อื่นนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการพยากรณ์ ผู้ที่เริ่มศึกษาด้วยตนเอง โดยส่วนมากแล้ว จะมีข้อขัดแย้งหรือสงสัยเกิดขึ้นภายในใจ โดยจะสมมุติว่า ถ้าเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนี้จะได้ไหม หรืออยากจะให้เป็นอะไรที่ตรงกับใจของตัวเอง ถ้าการพยากรณ์ออกมาในทางดีก็ชอบใจ แต่ถ้าเป็นทางร้าย ก็จะวิตกกังวลเกิดความหวาดกลัว กับสิ่งที่จะต้องประสบกับเหตุการณ์เหล่านั้น แต่เมื่อมีสิ่งใดไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง ดั่งคำพยากรณ์แล้ว ก็อาจจะทำให้คิดไปได้ว่า คำพยากรณ์ไม่แม่น หรือตัวเรานี้กลายเป็นคนเหนือดวงไปแล้ว ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า คำพยากรณ์นั้นถูกแปลความหมายมาถูกหรือผิด เพราะทายตามตำรา ถ้าจะผิด ก็ต้องผิดที่ตำรา นั่นเอง
และส่วนที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เป็นเพราะว่า คนเรานั้น ได้ถูกการปรุงแต่ง จากสิ่งภายนอก ที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการอบรมบ่มนิสัยในครอบครัว การศึกษา ฐานะ เป็นสิ่งที่ทำให้ คนเกิดวันเดียวกันนั้น แสดงออกในเรื่องเดียวกันที่ไม่เหมือนกันอีก เช่น คนเกิดวันเสาร์ มีภูมิมูลละ เป็นดาวอาทิตย์ คำพยากรณ์ก็จะออกเป็นว่า ถ้าเจ้าชะตาต้องการทรัพย์สินเงินทอง ก็จำเป็นต้องกระตือรือร้นในการแสวงหา ต้องมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มา ตรงนี้เป็นเงื่อนไข ที่เจ้าชะตาต้องทำ แต่ถ้าเจ้าชะตาเกิดมาอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ทรัพย์สินมากมายอยู่แล้ว เจ้าชะตาไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาเงินทอง ก็อาจจะกลายเป็นคนที่ใช้เงินแบบหน้าใหญ่ใจโตแทน ตรงนี้ก็จะเป็นส่วนปลีกย่อย ทำให้คนเกิดวันเดียวกัน มีความแตกต่างกันไปอีก คนละรูปแบบด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ รูปพรรณสัณฐานของเจ้าชะตา ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้พื้นฐานของคนเกิดวันเดียวกัน แตกต่างกันไปอีก ตรงนี้เองจะเป็นการแยก วาสนาของเจ้าชะตาอย่างแท้จริง คือที่เรียกว่า ทักษานรลักษณ์ ซึ่งเป็นวิชาที่ครูโหร สมัยก่อนใช้กัน
ดาวนรลักษณ์หรือดาวรูป นั้นถือว่าเป็นวิชาชั้นสูงสุด เพราะสามารถกำหนดวาสนาให้กับเจ้าชะตาได้ว่า จะเป็นไปในทิศทางใด เพราะถึงแม้ว่า จะเกิดวัน เดือน ปี และเวลาเดียวกัน ก็ตาม เพราะจะเป็นลักษณะโดยเฉพาะตัวของผู้นั้นเลย แต่ผู้ที่จะสามารถใช้วิชานี้ได้นั้นจำเป็นต้อง เป็นผู้ที่เข้าใจดวงดาวอย่างลึกซึ้ง จึงจะสามารถจำแนกลักษณะของบุคคล ให้เป็นดาวต่างๆ ได้ เพราะถ้าไม่มีความชำนาญพอแล้ว จะไม่สามารถแยกบุคคลให้เป็นดาวได้อย่างเด็ดขาดได้เลย
ซึ่งผู้เขียนเอง ก็เคยได้ ถูกถามคำถามจากเพื่อนที่เรียนโหราศาสตร์ด้วยกันว่า จะตัดดาวรูปของ คนงานที่บ้านได้อย่างไร เพราะไม่รู้ว่า คนงานที่ทำงานให้นั้น เขาทำเพราะขยัน แบบดาวอังคารหรือว่า ทำเพราะอดทนแบบดาวเสาร์ ด้วยความอยากเย้าเพื่อนเล่น จึงตอบเพื่อนไปว่า เธอก็ลองเดินไปชกหน้าเขาสิ ถ้าคนไหนชกสวนกลับ คนนั้นเป็นดาวอังคาร แต่ถ้าคนไหน แค่มองหน้าแล้วพูดว่า ฝากไว้ก่อนเถอะ คนนั้นจะเป็นดาวเสาร์ ปรากฏกว่า เพื่อนของผู้เขียน ยอมเก็บความสงสัยเอาไว้ โดยไม่กล้าพิสูจน์
เพราะว่า เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะแยกบุคคล ในขณะที่มีอากัปกริยาต่างๆ หรือว่าอยู่นิ่งเฉย ว่าที่นั่งนิ่งๆ นั้น เพราะ ประหม่า หรือเขินอาย แบบดาวจันทร์ หรือ นิ่งเพราะว่า ไม่อยากยุ่งหรือสุงสิงกับใคร แบบดาวเสาร์ เพราะดาวเสาร์ จะถือสันโดษ หรือแม้กระทั่งตอนอารมณ์ โมโห ความเกรี้ยวกราดต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะว่า ความใจร้อน ต้องการเอาชนะ เอาให้ได้ ของดาวอาทิตย์ หรือว่า เป็นคนกล้าไม่เกรงกลัวใคร แบบดาวอังคาร หรือแม้กระทั่ง การที่บุคคลนั้นช่วยเหลือผู้อื่น ผู้นั้นช่วยเหลือเพราะว่า มีความเมตตาปราณี ช่วยตามเหตุผล อันสมควร แบบดาวพฤหัส หรือช่วยเพราะว่า ความใจอ่อน ขี้สงสาร หรือเกรงใจ แบบดาวจันทร์
เพราะดาวบางดวงมีคุณลักษณะ ที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ถ้าไม่ชำนาญจริงๆ แล้วจะสามารถแยกได้ยากมาก การอ่านดวงจากดาว นรลักษณ์หรือดาวรูปนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราถ้าตัดดาวรูปผิด การพยากรณ์ก็จะผิดทั้งหมด ฉะนั้น ถ้าจะต้องการเข้าใจเรื่องดาวรูปหรือ ดาวนรลักษณ์ จึงจำเป็นต้องเข้าใจนิสัยของดาว ได้อย่างแท้จริงเสียก่อน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นิยมใช้การอ่านทักษา เข้าร่วมกับดวงจักรราศี เพื่อการพยากรณ์
การอ่านทักษาร่วมกับดวงจักรราศีนั้น จะมีสองแบบด้วยกัน คือ
1.การอ่านโดยไม่มีลัคนา
2.การอ่านแบบมีลัคนา
ในขั้นเริ่มแรก ควรอ่านแบบไม่มีลัคนาเสียก่อน เพื่อกันความสับสน ระหว่างความหมายภูมิ กับความหมายเรือน เมื่อชำนาญแล้วจึงค่อยอ่านร่วมแบบมีลัคนา ส่วนวิธีการอ่านนั้น จะใช้วิธีการอ่านเช่นเดียวกับดวงจักรราศี เพียงแต่เปลี่ยนจากเรือน(ดวงจักรราศี)เป็นภูมิ(ทักษา) และ ใช้การอ่านตัดผลแค่สองจังหวะ เท่านั้น
การตรวจสอบพื้นฐานดวงชะตา ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อดู โครงสร้างหลัก ขององค์ประกอบรวมทั้งหมดของเจ้าชะตา ว่าดีเรื่องใด เสียเรื่องใดบ้าง แนวทางการดำเนินชีวิตเป็นอย่างไร เพื่อรู้หนทางการปฏิบัติ ที่ถูกต้องให้กับตัวเอง เช่น บางคนมีสติปัญญาดี หรือบางคนมีผู้ช่วยเหลือ บางคนใจร้อน บางคนไม่รอบคอบ บางคนไม่กระตือรือร้น นี่คือการรู้ข้อดี และข้อเสียจากพื้นดวงชะตา
ในการพยากรณ์พื้นดวงชะตากำเนิดนั้น ไม่ควรพยากรณ์แบบดีมากหรือเสียมาก จนเกินไปนัก คำพูดบางคำที่ออกจากปากของนักพยากรณ์นั้น อาจจะทำลายชีวิตของคนๆ หนึ่งได้ บ้างก็วาดฝันรอคอยความรุ่งเรือง รอโชควาสนา บ้างก็เศร้าเสียใจกับชีวิตอันอาภัพของตัวเอง แต่พื้นดวงนั้น เปรียบเสมือนมีหลักทรัพย์ หรือทุนเดิมของชีวิตมาแค่นั้น แต่ไม่ใช่ว่า พื้นดวงไม่ดีแล้วจะไม่มีทางเงยหน้าอ้าปาก กับเขาได้ เพราะว่าเมื่อเจ้าชะตาได้รับรู้แล้ว ก็จะสามารถ สร้างเสริมต่อเติมจากที่มีอยู่ หรือใช้สิ่งที่ตัวเองมีมานั้น สร้างตัวเองในแต่ละปีต่อไป ชีวิตมีโอกาสประสบความสำเร็จ เพียงแต่ต้องทำตามเงื่อนไข ของพื้นดวงชะตาเท่านั้น
ผู้ที่ศึกษาบางคนชอบที่จะหาตัวอย่างดวงมาสะสม เพื่อดูแนวทาง หรือเพื่อดูว่าเหมือนกับใครตรงไหน อย่างไร แต่จริงๆ แล้ว ดวงดาวต่างๆ แม้จะเหมือนกัน แต่เหตุการณ์ในวิถีชีวิตของแต่ละคนนั้น ก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเหมือนกัน หรือเกิดขึ้นพร้อมกัน เหตุการณ์ บางอย่างของคนบางคน เกิดเมื่อช่วงอายุน้อย ๆ แต่บางคน เกิดเมื่อช่วงอายุมากขึ้น ผ่านประสบการณ์ต่างๆ จากสิ่งภายนอกมาแล้วมากมายจึง ทำให้เกิดผลกระทบ ที่แตกต่างกัน จึงมีคำพูดที่พื้นๆ ว่า ดวงใครดวงมัน เพราะไม่สามารถนำดวงของคนอื่นๆ มาอ่านเพื่อเทียบเคียงได้ ถึงแม้อาจจะเกิดเรื่องเพียงแค่คล้ายๆ กัน ไม่ใช่ว่า ภูมิกับดาวเหมือนกัน แล้วจะต้องดำเนินชีวิตแบบเดียวกัน ทั้งหมด ตรงนี้เองสำหรับผู้ที่ศึกษา ต้องทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อนว่า อะไรคือ ความเหมือนกัน และอะไรคือความแตกต่างกัน เพราะจะมีคำถาม ที่มักจะได้ยินบ่อย ๆ ของผู้ที่ไม่เคยศึกษาสายวิชาพยากรณ์ว่า คนที่เกิดวัน เดือน ปี เดียวกัน จะต้องเหมือนกัน เช่นนั้นหรือ?
ที่ต้องอธิบายมามากมาย ให้กับท่านผู้อ่านก่อนที่จะเข้าสู่การอ่านดวงอย่างแท้จริงนั้น ก็เพราะว่า เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจ ทั้งสองฝ่าย ว่าตรงนี้ เป็นวิชาที่ผู้เขียนใช้ในการพยากรณ์จริง และได้ผลจริง ไม่ว่าท่านผู้อ่านจะมีความคิดเห็นตรงกับผู้เขียนหรือขัดแย้งก็ตามทีนั้น ผู้เขียนเคารพในสิทธิของความคิดและความเชื่อของแต่ละบุคคล ในทุกสายวิชา เพราะมีความเชื่อว่า ทุกสายวิชาของการพยากรณ์นั้น ต่างก็มีดีเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่ทั้งสิ้น
แต่ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะพยายามอธิบายเท่าไรนั้น ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ที่จะทำให้ท่านผู้อ่านนั้นเกิดความเข้าใจทั้งหมดได้ เพราะต้องเกิดจากความเคารพ ความเชื่อมั่นและความศรัทธาในตัววิชาก่อน ความเข้าใจจึงจะค่อยๆ เข้ามาเอง เพราะเมื่อเคารพ เมื่อศรัทธา เมื่อมีวาสนา วิชาก็จะมาเอง
ข้อมูลต่างๆ หรือข้อสงสัยบางประการ ที่นำมาเป็นข้อมูลในการเขียน ก็ได้รับมาจากเพื่อนที่ร่วมศึกษาในสายวิชาเดียวกัน หรือผู้ที่เคยศึกษามาก่อนหน้าผู้เขียน ส่วนความรู้ในสายวิชาทักษานี้ ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ ที่เคารพอย่างสูง ทั้งสองท่าน ผู้เขียนถือว่าเมื่อมีวาสนากับวิชานี้ ก็สมควรที่จะเผยแพร่ออกไปบ้าง ให้กับผู้ที่มีวาสนากับวิชานี้ ได้มีโอกาสศึกษา และตัววิชาคงอยู่ต่อไป/. |