สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านโหราเวสม์ทุกท่าน ชื่อของผมอาจจะดูแปลกตาสักหน่อย เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ผมลองเขียนบทความมาลงในนิตยสารฉบับนี้ ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งรักในวิชาโหราศาสตร์จนเข้ากระดูกดำไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาโหราศาสตร์ไทย เป็นวิชาที่ผมรักมากที่สุด ถึงกับลืมกินลืมนอนทีเดียวเวลาได้อยู่กับสิ่งที่ผมชอบสิ่งนี้ วิชาที่ใช้ก็ไม่ได้พิเศษพิสดารพันลึกจนยากที่จะเข้าใจได้ ผมจั่วหัวไว้ว่า โหราศาสตร์ไทยระบบเรือนชะตาสัมพันธ์ ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า อะไรคือระบบเรือนชะตาสัมพันธ์ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรในกอไผ่หรอกครับ เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของการอ่านภพอ่านดาวนั่นเอง หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ดวงอีแปะ ก็ไม่ผิดนัก ผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์หลายต่อหลายท่าน หรือเกือบจะทุกท่านด้วยซ้ำไปคงจะเคยผ่านดวงอีแปะกันมาแล้วทั้งนั้น หลายคนก็ประสบความสำเร็จ และอีกหลายคนก็ผิดหวังจนหันไปศึกษาโหราศาสตร์ในระบบอื่น เช่น โหราศาสตร์ระบบสิบลัคนา โหราศาสตร์ระบบพาราณสี โหราศาสตร์ภารตะ โหราศาสตร์ยูเรเนียน ฯลฯ แต่สำหรับผมเองแล้ว ผมมองว่าวิชาโหราศาสตร์ไทยในระบบการอ่านภพอ่านดาว หรือที่เรียกกันว่า ดวงอีแปะ เป็นวิชาที่สามารถให้รายละเอียดได้มากจนแทบจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่หลักวิชาหนึ่งๆ จะพึงบอกได้ ในอดีตและที่ผ่านมาในรอบห้าสิบปีนี้ก็มีอาจารย์หลายๆ ท่านก็ได้ใช้จนมีชื่อเสียงเป็นที่โด่งดัง อาทิเช่น อ.ประทีป อัครา อ.อรุณ ลำเพ็ญ อ.พายัพ วชิโร อ.สถิตย์ สถิตยืนยง อ.เชียร บางบอน เป็นต้น ซึ่งต่างคนก็ต่างมีหลักการอ่านคล้ายคลึงกัน ต่างกันที่เทคนิคและความละเอียดบางส่วนเท่านั้น มีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็คือระบบการอ่านภาคพยากรณ์จรเท่านั้น ที่ต่างคนต่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่ง อ.ประทีป และ อ.พายัพ ใช้การทายจรในระบบชะตาจร อ.อรุณ ใช้ระบบชันษาจร อ.เชียร ใช้ระบบวัยจร ๑๒ ปี อ.สถิตย์ ใช้ระบบทักษาคู่สมพลและจุดอิทธิพลประจำปี สำหรับผมเองนั้นแนวทางการอ่านในปัจจุบันจะเป็นไปในรูปแบบของ อ.พายัพ หรือนายพายัพ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและซี้ที่สุดตั้งแต่ผมเริ่มก้าวเข้าสู่ถนนสายโหราศาสตร์จนถึงบัดนี้ สำหรับในส่วนที่ว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้นผมศึกษาจากใครและมีผู้ใดสอนสั่งมาบ้าง ผมขออุบไว้ก่อน แล้วจะค่อยๆ นำมาเล่าสู่กันฟังในภายหลัง หากว่าข้อเขียนของผมเป็นที่ถูกใจคอโหราศาสตร์ทุกท่าน จะอย่างไรอย่าลืมปรบมือเชียร์ก็แล้วกันล่ะครับ
กฎเกณฑ์ในการอ่านดวงในระบบเรือนชะตาสัมพันธ์นั้นก็เหมือนกับกฎเกณฑ์การอ่านดวงอีแปะทั่วๆ ไปที่อ่านๆกัน ต่างกันก็ตรงที่ว่าให้ความสำคัญกับดาวมากๆ จากเหตุที่ว่า ภพบอกเรื่อง ดาวบอกการดำเนินไปของเรื่อง ค่าความหมายของภพบอกเรื่องได้ไม่มาก แต่ค่าความหมายของดาวสามารถขยายรายละเอียดได้มากมาย และในระบบนี้ยังเน้นเรื่องธาตุอีกด้วยตั้งแต่ธาตุดาวและธาตุราศีที่ดาวไปอยู่ เพื่อขยายรายละเอียดเพิ่มขึ้นไปอีก ฟังดูง่ายๆ นะครับ แต่ใช้จริงๆ ไม่ง่ายเลย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่คิด หลายคนท้อใจและหันไปเล่นศาสตร์วิชาอื่นที่มีการอธิบายอย่างชัดเจนเป็นรูปแบบสำเร็จเหมือนอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมจะนำไปรับประทานได้เลย แต่หลักวิชาโหราศาสตร์ไทยของเราไม่ใช่แบบนั้น ของไทยเราเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ศาสตร์หมายถึงตัวระบบวิชาความรู้ที่เป็นแบบฉบับอย่างชัดเจน และศิลป์หมายถึงศิลปะในการพยากรณ์ เทคนิคต่างๆ ลูกล่อลูกชน ลูกเล่นต่างๆ ในการออกคำพยากรณ์ หากจะเปรียบก็เหมือนกับการประดิดประดอยอาหารให้แลดูสวยงามและน่ารับประทานไปพร้อมๆ กันนั่นเอง อารัมภบทมายืดยาวพอสมควรแล้ว เข้ามาสู่การอ่านดวงกันเลยดีกว่าครับ อ่านตามได้เลยครับ เป็นการตามภพ 3 จังหวะปกติธรรมดาๆ เท่านั้น ซึ่งมีอาจารย์หลายๆ ท่านเคยเขียนมาแล้ว
ดวงนี้เป็นดวงหญิง เกิดเมื่อวันอังคารที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เวลา ๐๓.๑๗ น. ในการอ่านดวงตามปกตินั้น เราจะเน้นอ่านภพหลักๆ 4 ภพ คือ ภพตนุ เพื่อทราบวิถีชีวิตความเป็นไปของเจ้าชะตา ภพกดุมภะ เพื่อดูการเงินของเจ้าชะตา ภพปัตนิเพื่อดูคู่ครองหรือการครองเรือนของเจ้าชะตา ภพกัมมะ เพื่อดูอาชีพการงานของเจ้าชะตา วิธีอ่านก็เรียงตามลำดับขั้นตอนสั้นๆ ดังนี้
1. นำเอาดาวเจ้าเรือนเรื่องที่ต้องการทราบขึ้นมาเป็นดาวประธาน จังหวะนี้เป็นเหตุของเรื่อง
2. ตามดาวประธานนั้นว่าไปอยู่ในราศีธาตุใด เรือนดาวอะไร มีตำแหน่งดาวมาตรฐานหรือไม่ เรือนนั้นเป็นภพอะไร อ่านความหมายให้ละเอียด จังหวะนี้ถือว่าเป็นจังหวะตัดผล
3. ตามดาวต่อไปในจังหวะที่สาม ดูเช่นเดิมว่า ไปอยู่ในราศีธาตุอะไร เรือนดาวอะไร มีตำแหน่งดาวมาตรฐานหรือไม่ และเรือนนั้นเป็นภพอะไร อ่านขยายเรื่องที่ได้จากจังหวะที่หนึ่งและที่สอง
ขั้นตอนทั้ง 3 ขั้นตอนนี้เป็นแม่บทสำคัญที่สุดในการอ่านดวงในระบบนี้ และอันที่จริงก็เป็นแม่บทในการอ่านดวงอีแปะนั่นแหละ หลายต่อหลายคนตัดผลผิดก็ที่ตรงนี้ ทำให้การพยากรณ์ผิดไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือก็มี ตรงนี้มีหลักการง่ายๆ คือ อ่านดวงให้มาก อ่านดวงให้บ่อย ทักษะความชำนาญเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถพัฒนาการอ่านจนถึงระดับที่น่าพอใจ ฟังดูเหมือนง่ายใช่ไหมครับ แต่กว่าจะได้แค่การอ่านสามจังหวะนี้ ไม่ใช่หมูเลยครับ ขอบอก เอาล่ะครับ เราจะเข้าไปสู่การอ่านแล้ว ล้อมวงกันเข้ามาเลยครับ
1. ภพตนุ ตนุ ๗ มหาจักร + ปุตตะ ๖ ประ + พันธุ ๓ เกษตร
การอ่านภพตนุนั้นจะเป็นการอ่านถึงวิถีชีวิตของเจ้าชะตาที่จะดำเนินไปเป็นส่วนใหญ่ หลายคนไปให้ความหมายภพตนุเป็นเรื่องวาสนาของชีวิตที่เจ้าชะตาจะได้รับ เป็นเรื่องของชื่อเสียง ซึ่งไม่ใช่เลย ชื่อเสียงเป็นเรื่องของดาว ดาวที่บอกเรื่องชื่อเสียงจะเป็นดาวอาทิตย์ ไม่มีภพหรือเรือนชะตาใดเลยที่บอกความหมายเรื่องชื่อเสียงเลย เอาล่ะ กลับมาที่การอ่านตนุของดวงชะตานี้ ในชะตานี้ตนุเป็นดาว ๗ เป็นดาวธาตุไฟชนิดไฟสุมขอน สิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าชะตาก็คือ มักเป็นคนที่มีความร้อนรุ่มอยู่ในใจเสมอๆ มักเก็บเรื่องราวต่างๆ ไว้ในใจ ทำให้เกิดความกลัดกลุ้มและเกิดความเครียดขึ้นกับตัวเอง การแสดงออกจึงมักปรากฏในรูปของคนอมทุกข์ ไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าใด แต่ความดีของเสาร์ก็จะทำให้เป็นคนที่สุขุมรอบคอบ มีความอดทนสูง ตนุ ๗ ไปอยู่ราศีพฤษภ ธาตุดิน เรือนดาว ๖ ภพปุตตะ ปกติในการอ่านวิถีชีวิต ภพปุตตะจะถูกอ่านเป็นชีวิตในวัยเด็ก ดังนั้น ในความหมายดาว ๗ ที่ให้ไปเมื่อครู่ จะดูหนักไปสำหรับวัยเด็ก จึงอ่านได้แต่เพียงว่า ตัวเจ้าชะตามักจะไม่ค่อยความสุขมากนักในวัยเด็ก (ดาว ๗ เป็นดาวแห่งความเครียดและคิดมาก เมื่อไปอยู่ในราศีธาตุดินซึ่งเป็นธาตุแห่งการสั่งสม ทำให้ยิ่งนานเข้าความเครียดและความทุกข์ก็ยิ่งสะสมมากขึ้น ดาว ๗ ในราศีพฤษภได้ตำแหน่งมหาจักร ยิ่งนานเจ้าชะตายิ่งเครียดและคำนึงถึงแต่ตัวเองมากขึ้น ดาว ๗ ไปอยู่ในเรือนดาว ๖ ทำให้อึดอัดใจ ไม่มีความสุข เมื่อเป็นภพปุตตะก็เท่ากับ เขาอึดอัดใจไม่มีความสุขตั้งแต่วัยเด็กเป็นต้นมา นั่นเอง) ตามดาวไปจังหวะที่สาม ดาว ๖ เจ้าเรือนปุตตะ ไปอยู่ราศีเมษ เรือนดาว ๓ ภพพันธุ ซึ่งดาว ๖ ได้ตำแหน่งประในราศีนี้ ดาว ๖ มีความหมายของความสุข เป็นดาวธาตุน้ำไปอยู่ในราศีธาตุไฟ สภาวะแห่งธาตุน้ำของดาว ๖ เมื่อไปอยู่เรือนธาตุไฟ จะก่อให้เกิดสภาวะที่ร้อนรุ่มเปรียบได้กับน้ำเดือด เมื่อเป็นดาว ๖ ปุตตะ ทำให้สภาวะชีวิตในวัยเด็กมักไม่ค่อยมีความสุขมากนัก ดาว ๖ เป็นประ ทำให้ได้รับความรักความอบอุ่นที่ไม่เพียงพอ เรือนราศีเมษเป็นภพพันธุ ก็เท่ากับว่าไม่ได้รับจากผู้ใหญ่หรือคนที่อยู่ร่วมในครอบครัวของเจ้าชะตานั่นเอง ตัวดาว ๓ เจ้าเรือนพันธุได้ตำแหน่งเกษตร ดาว ๓ มีค่าความหมายของโทสะ ความรุนแรง เท่ากับว่า ในครอบครัวมักจะมีอารมณ์ใส่กันเสมอๆ หรือถ้าจะอ่านพันธุเป็นแม่ เท่ากับว่าแม่ของเจ้าชะตามักเป็นคนเจ้าโทสะแรง หากเจ้าชะตากระทำผิดหรือไม่ถูกต้องก็มักจะใช้การเฆี่ยนตีในเรื่องที่เกิดขึ้น สาเหตุนี้เองที่ทำให้เจ้าชะตาไม่มีความสุขในวัยเด็ก อาจจะมีคนสงสัยว่า แล้วความเป็นคู่มิตรล่ะ ไม่เอามาอ่านด้วยหรือ ความเป็นคู่มิตรจะเอามาอ่านแค่ว่า ถึงแม้ไม่มีความสุขมากนัก แม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัวมักจะใช้อารมณ์ มีโทสะ ชอบตี แต่ก็ยังมีการเกื้อกูลช่วยเหลือกันอยู่ดี (ฐานแห่งคู่มิตร) และเวลาเกื้อกูลช่วยเหลือก็จะกระทำอย่างเต็มที่จริงจัง (ความหมายของดาว ๓)
2. มาอ่านเรื่องการเงิน กดุมภะ ๘ มหาจักร - ตนุ ๗ มหาจักร - ปุตตะ ๖ ประ
ในเรื่องการเงินของเจ้าชะตานั้น ดาวกดุมภะเป็นดาว ๘ ความหมายของดาวราหู ๘ หมายถึง ปฏิภาณ การรู้จักพลิกแพลง เมื่อเป็นเจ้าเรือนภพการเงินจึงทำให้รู้จักหาวิถีทางต่างๆ นานาที่จะให้ได้มาซึ่งเงินทองทรัพย์สิน ดาว ๘ เป็นดาวธาตุลมไปอยู่ราศีมังกรธาตุดินทำให้สภาวะความคล่องตัวความรวดเร็วในการตัดสินใจของราหูช้าลง ไปอยู่ในเรือนเสาร์ ทำให้นิ่งคิดมากขึ้นมีความสุขุมรอบคอบมากขึ้นรู้จักที่จะอดทนรอเวลาหรือโอกาสที่จะเปิดให้แก่ตน แต่ในราศีมังกรนั้นดาวราหู ๘ ได้ตำแหน่งมหาจักร เมื่อมีเวลานิ่งคิดยิ่งทำให้ราหูเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ปฏิภาณและความเจนจัดรอบตัวมากขึ้น ราศีมังกรเป็นเรือนตนุอ่านได้ว่าเจ้าชะตาต้องการที่จะหาเงินหาทองสร้างฐานะด้วยความสามารถของตัวเอง ตามดาวไปจังหวะที่สาม ดาว ๗ ไปอยู่ภพปุตตะเรือน ๖ ราศีพฤษภธาตุดิน สภาวะดาวตนุ ๗ เมื่อไปอยู่ธาตุดิน ทำให้ตัวเองไม่มีการผ่อนคลาย ทำให้ความเครียดเกิดการสะสมขึ้นตามความหมายธาตุดิน ไปอยู่เรือน ๖ ซึ่งดาว ๖ มีตำแหน่งประด้วย ทำให้ขาดความสบายที่พึงมีไป ภพเป็นภพปุตตะ ซึ่งเป็นเรือนแห่งดาว ๖ ปุตตะจึงควรแปลเป็นความสุขความร่าเริงแจ่มใสในชีวิต ทำให้เจ้าชะตาขาดความร่าเริงแจ่มใสที่พึงมีไปเพราะเหตุแห่งการที่อยากจะสร้างฐานะเงินทองให้มีมากมายในชืวิตของตนนั่นเอง
3. คราวนี้มาถึงเรื่องยอดนิยม ภพปัตนิ ปัตนิ ๒ - กดุมภะ ๘ มหาจักร - ตนุ ๗ มหาจักร
เรื่องเกี่ยวกับปัตนินั้น เราสามารถแยกอ่านได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นสภาวะเรื่องความรักของเจ้าชะตา หรือการคบหา หรือเรื่องเกี่ยวกับตัวคู่ ตลอดจนถึงชีวิตหลังการครองเรือน จะอ่านในแบบไหนก็ให้ตามจังหวะและหาความหมายให้สอดคล้องกับเรื่องที่อ่านอยู่ เข้าเรื่องเลยดีกว่า ชะตานี้มีปัตนิเป็นดาว ๒ ซึ่งมีความหมายของการเกื้อกูลช่วยเหลือ อารมณ์อันอ่อนหวานอ่อนไหว จิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ จันทร์เป็นดาวธาตุดินประเภทดินเลน ทำให้คู่ของเจ้าชะตาเป็นคนช่างเอาอกเอาใจ ชอบช่วยเหลือคนรอบข้าง ดาว ๒ เป็นดาวธาตุดินเลนไปอยู่ราศีกุมภ์ธาตุลม ทำให้จันทร์ซึ่งเป็นดาวที่หวั่นไหวง่ายอยู่แล้ว ยิ่งหวั่นไหวมากขึ้นไปอีก ไปอยู่ในเรือนราหูก็หลงเชื่อหลงลมได้ง่ายๆ เป็นภพกดุมภะของเจ้าชะตาก็เท่ากับจะได้คู่ที่ช่างเอาอกเอาใจและจะให้การเกื้อกูลเจ้าชะตาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังโดยเฉพาะในเรื่องการเงิน ไม่สนใจว่าเจ้าชะตาจะเอาไปทำอะไรด้วยซ้ำ ขอเพียงแต่เอ่ยปากเป็นไม่มีการปฏิเสธ (ด้วยฐานแห่งดาว ๒ ที่ไปอยู่ในเรือนราหู ทำให้เกิดการหลงเชื่อหลงใหลได้ปลื้ม) ตามจังหวะสาม กดุมภะ ๘ ไป ตนุ ๗ ดาว ๘ ได้ตำแหน่งมหาจักร ยิ่งทำให้เขาหลงใหลได้มากเท่าใดก็จะยิ่งได้มากขึ้นเท่านั้น ดาว ๘ มาอยู่ภพตนุ มาย้ำว่าจะอย่างไรเรื่องเงินเรื่องทองนี้มาถึงตัวเจ้าชะตาแน่นอน ตามที่เจ้าชะตาอยากจะได้หรือเคยคิดไว้ว่าอยากจะได้มากๆ (ดาว ๗ จะเป็นดาวที่อยากมีอยากได้เหมือนกัน แต่เป็นการอยากมีอยากได้ในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน)
4. ภพกัมมะ กัมมะ ๖ ประ - พันธุ ๓ เกษตร
มาถึงภพกัมมะ ซึ่งเป็นสภาวะในเรื่องงานของเจ้าชะตา ดาวเจ้าเรือนกัมมะเป็นดาว ๖ เป็นดาวธาตุน้ำ กล่าวได้ว่าอันที่จริงแล้วเจ้าชะตาเองชอบที่จะทำงานที่สบายๆ แต่ดาวเจ้าเรือนกัมมะ ๖ ไปอยู่ราศีเมษธาตุไฟ เป็นประ ดาว ๖ เป็นประ ความหมายของดาว ๖ ก็ลดลง เมื่อดาว ๖ หมายถึง ความสุข ความสบาย เมื่อเป็นประ ทำให้สภาวะเรื่องงานของเจ้าชะตาไม่สบายตามที่ตัวเองต้องการ เมื่อดาว ๖ ไปอยู่ในราศีธาตุไฟ ทำให้ในเรื่องงานของเจ้าชะตาต้องมีความกระตือรือร้นต้องคอยผลักดันตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ อยู่ในเรือนดาว ๓ ภพพันธุ เป็นเกษตร ต้องมีการแข่งขัน ต้องมีการต่อสู้ช่วงชิงสูง (ความหมายดาว ๓ และได้ตำแหน่งเกษตร) กับคนรอบข้างในสถานที่ทำงาน (ความหมายพันธุ ซึ่งหมายถึง คนในครอบครัว เมื่ออ่านเรื่องงาน จึงอ่านเป็น คนในสถานที่ทำงาน) ซึ่งคนเหล่านี้ต่างก็เป็นคนที่มีความเอาจริงเอาจัง เป็นคนที่มีความขยันขันแข็งสูง เช่นกัน (พันธุ ๓ เป็นเกษตร)
เป็นอย่างไรครับ หวังว่าคงจะไม่มึนน่ะ การอ่านดวงแบบนี้จะทำให้เราสามารถดึงรายละเอียดมาได้มากเพื่อประกอบการพิจารณาและพยากรณ์ออกไป หลักการก็มีไม่มาก เพียงดึงความหมายดาว ความหมายธาตุ และความหมายภพ ออกมาใช้ให้มากที่สุด และผสมความหมายให้กลมกลืนกัน ในการใช้ครั้งแรกๆ จะติดขัดอยู่บ้าง นานเข้าเมื่อทักษะความชำนาญสูงขึ้นการติดขัดก็จะหมดไปเอง หลักการอ่านพื้นดวงตรงนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด เมื่อก้าวไปสู่ภาคพยากรณ์จรก็ยังต้องใช้หลักการอ่านตรงนี้อยู่ เป็นการอ่านโครงสร้างเดิมด้วยภพจร และผสมการอ่านดาวจร เพื่อออกผลการพยากรณ์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์ไปด้วยรายละเอียดออกไป
สุดท้ายนี้หวังว่าข้อเขียนของผมคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย หากมีข้อสงสัยหรือต้องการทราบอะไรเพิ่มเติม ก็ฝากมาทางโหราเวสม์หรือทางเขษมบรรณกิจหรือที่คุณวิชิต เตชะเกษม ก็ได้ หากข้อเขียนคราวนี้เป็นที่ชื่นชอบแก่ท่านผู้อ่าน ผมก็จะทยอยเขียนมาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านอีก อาจจะเป็นเรื่องการพยากรณ์จร เรื่องทักษา เรื่องเลขเจ็ดตัว เรื่องเกี่ยวกับทิศชัยภูมิ หรือเรื่องฤกษ์ ฯลฯ ก็แล้วแต่ช่วงโอกาสที่เหมาะสมแล้วกันน่ะครับ ... สวัสดีครับ |