พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับโหราศาสตร์
ใน โบราณกาล มีศิลปศาสตร์หลายประการที่เป็นหัวข้อวิชาบังคับซึ่งพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ปกครอง ประเทศ และในฐานะจอมทัพจะต้องทรงศึกษาไว้ อาทิ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ศิลปะการต่อสู้โดยใช้ อาวุธในรูปแบบต่างๆยุทธศาสตร์ที่ต้องใช้หลักวิชาตามตำราพิชัยสงครามซึ่งจะมีหัวข้อวิชาเกี่ยวกับ โหราศาสตร์อยู่ด้วยเพื่อใช้ในการคำนวณหาฤกษ์ที่สำคัญต่างๆ เช่น ฤกษ์เคลื่อนทัพฤกษ์ฤกษ์เข้าตี ข้าศึกเป็นต้นสำหรับวิชาโหราศาสตร์นี้พระมหากษัตริย์บางพระองค์ได้สนพระทัยศึกษาอย่างจริง จังแล้วนำมาประยุกต์ใช้งานด้วยพระองค์เองดังตัวอย่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งทรงได้รับการยกย่องกันในวงการโหรเมืองไทยว่า ทรงมีความรู้และเชี่ยวชาญใน วิชาการโหราศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง แต่บางพระองค์ก็เพียงแต่ศึกษาตามหน้าที่เป็นความรู้ ส่วนราย ละเอียดในทางปฏิบัตินั้นได้ทรงมอบให้แก่โหรหลวงซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางที่มีเกียรติท่านหนึ่ง เป็นผู้รับผิดชอบ โหรหลวงบางท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระยาโหราธิบดี
ผมได้เคยเขียนบทความเกี่ยวกับพระราชอัจฉริยภาพในด้านการสื่อสารของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณให้ประชาชนคนไทยได้รับทราบในวโรกาสที่สำคัญ โดยเฉพาะในวันเฉลิมพระชนมพรรษามาแล้วหลายตอนซึ่งดูจะครบถ้วนสมบูรณ์แล้วในด้าน การสื่อสาร ในวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙ ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ ๖๙ จัดได้ว่า เป็นวโรกาสที่สำคัญยิ่งอีกวาระหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันนี้ยังอยู่ในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก ฉลองสิริราชสมบัติครบ๕๐ปีผมได้นั่งคิดนอนคิดมาตั้งแต่ต้นปีว่าจะยังมีพระปรีชาสามารถ ในวิชาการแขนงใดที่ผมได้เคยรับทราบมาหลงเหลืออยู่สมควรนำมาเผยแพร่อีกบ้างจนกระทั่ง ผมได้เปิดอ่านหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง "พระมหาชนก" ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์จำหน่าย และได้พบว่าในภาพประกอบการเดินทางทางทะเลของพระมหาชนกนับตั้งแต่วันออกเดินทาง วันที่เรือพระที่นั่งถูกพายุในทะเลจนอับปางจนถึงวันที่นางมณีเมขลามาช่วย มีรูปดวงชะตาแสดง ที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในวันเกิดเหตุไว้ทุกภาพ
ผมในฐานะนักศึกษาวิชาโหราศาสตร์คนหนึ่งจึงอดไม่ได้ที่จะพิจารณาดูดวงชะตาเหล่านี้โดย เฉพาะในวันที่เกิด พายุรุนแรงขึ้นจนเป็นเหตุให้เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปางนั้น ดาว พระเคราะห์ต่างๆ สถิตอยู่ในราศีใดบ้างเพื่อประกอบการศึกษาค้นคว้าวิชาการนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับอิทธิพลของดาวพระเคราะห์กับอุบัติภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เรียกว่า Mundane Astrology
ในดวงชะตาที่อ้างถึงได้แสดงที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ไว้ดังนี้
ดาวอาทิตย์สถิตในราศีเมษ
ดาวจันทร์อยู่ในราศีมังกร
ดาวอังคารสถิตราศีมีน
ดาวพุธสถิตราศีเมษ
ดาวพฤหัสบดีสถิตราศีตุลย์
ดาวศุกร์สถิตราศีพฤษภ
ดาวเสาร์สถิตราศีกุมภ์
ดาวราหูสถิตราศีพิจิก
ดาวเกตุสถิตราศีเมษ
ดาวมฤตยูสถิตราศีมังกร
ดาวเน็ปจูนสถิตราศีธนู
ดาวพลูโตสถิตราศีพิจิก
(ภาพประกอบที่ ๑ ดวงชะตาวันเรือพระมหาชนกอับปาง)
ในบทพระราชนิพนธ์ได้ทรงระบุวันเดือนที่เกิดเหตุไว้ประกอบดวงชะตาว่า เป็นวันที่ ๒ พฤษภาคม ส่วนปีและเวลาที่เกิดเหตุมิได้ทรงระบุไว้เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนพุทธกาล ส่วนวันที่นางมณีเมขลามาช่วยนั้นเป็นวันที่ ๙ พฤษภาคม หลังจากวันที่พระมหาชนกได้ทรงพระวิริยะ ว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรมาแล้วเป็นเวลา ๗ วัน
ท่าน B.V. Raman โหราจารย์อินเดียที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่งได้กล่าวถึงอิทธิพลของดวงดาวที่มี ต่อสภาพดินฟ้าอากาศไว้หลายประการ ซึ่งผมขอประมวลมาเพียงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับ วาตะภัยดังนี้
"_____South-west winds do result when Jupiter is in Aquarius_____. North-west monsoon winds are ruled by Saturn and South-west by Jupiter. When they are in airy signs the direction of the wind is easily ascertained._____. The air is essentially ruled by the planet which is applying to the Moon after its conjunction, opposition or square with the Sun._____" (PLANETARY INFLUENCES ON HUMAN AFFAIRS by B.V. Raman)
เมื่อแปลเป็นไทยจะได้สาระสำคัญสรุปได้ว่า ดาวพระเคราะห์ที่มีอิทธิพลแก่ลมพายุทั้งความ รุนแรง และทิศทางได้แก่ดาวเสาร์จะแสดงผลต่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ และดาวพฤหัสบดี จะส่งผลต่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทั้งนี้จะส่งผลได้เด่นชัดมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อดาว พระเคราะห์ทั้งสองสถิตในราศีมิถุน ราศีตุลย์ และราศีกุมภ์ซึ่งล้วนแต่เป็นราศีธาตุลม และทำ ทำมุมสัมพันธ์เป็นกับดาวจันทร์ ดาวอาทิตย์คือ ๐ องศา (ทับกัน) ๑๘๐ องศา (เล็งกัน) หรือ ๙๐ องศา
เมื่อพิจารณาตามดวงชะตาในวันเกิดเหตุวาตะภัยที่ปรากฏอยู่ในบทพระราชนิพนธ์ฯ พายุ ที่เกิดมีลักษณะเป็นพายุโซนร้อน (Tropical Cyclone) เกิดขึ้นในวันที่ ๒ พฤษภาคม จนเป็นเหตุ ให้เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกต้องอับปางแล้ว จะเห็นได้ว่า
ดาวเสาร์สถิตราศีกุมภ์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม ดาวพฤหัสบดีสถิตราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม เช่นกัน นอกจากนี้ดาวพฤหัสบดียังทำมุมเล็งกับดาวอาทิตย์ที่สถิตอยู่ในราศีเมษ และทำมุม ๙๐ องศากับดาวจันทร์ซึ่งสถิตในราศีมังกรตรงกับที่ท่านโหราจารย์ B.V. Raman ได้กล่าวไว้ อนึ่งเมื่อ พิจารณาตรงจุดที่เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปางนั้นอยู่ในบริเวณลองติจูด ๙๐ องศาเศษ ซึ่ง อยู่ในอาณาเขตต่อเนื่องระหว่างประเทศบังคลาเทศกับประเทศพม่า และตามตำรา Mundane Astrology ได้กำหนดให้ลัคนาของดวงเมืองประเทศพม่าไว้ในราศีตุลย์ พายุรุนแรงที่เกิดขึ้นในวัน วันนั้นจึงเกิดจากอิทธิพลของดาวพฤหัสบดีที่ทำมุมเล็งกับดาวอาทิตย์ และทำมุม ๙๐ องศากับดาว จันทร์ เท่านั้นดูจะยังไม่เพียงพอหากไม่ได้พิจารณาถึงจุดที่ตั้งของดาวมฤตยูซึ่งทางโหราศาสตร์ถือว่า เป็นเจ้าการของอุบัติเหตุด้วย ดาวมฤตยูในวันที่เกิดเหตุนี้ปรากฏว่า สถิตอยู่ในราศีมังกรราศีเดียวกับ ดาวจันทร์จึงทำมุม ๙๐ องศากับดาวพฤหัสบดีช่วยส่งอิทธิพลในทางทุกข์โทษให้แก่ดาวพฤหัสบดีอีก ส่วนหนึ่ง อุบัติภัยอันเกิดจากลมพายุหรือวาตะภัยจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ จุดที่ตั้งของดาวพลูโตซึ่งระบุไว้ในดวงชะตาวันเกิดเหตุ นั้นได้สถิตอยู่ร่วมกับราหูซึ่งเป็นจุดตัดของวงโคจรของดาวอาทิตย์ดับดาวจันทร์ทางเหนือในราศีพิจิก ซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำ ดาวพลูโตมีความหมายในตัวว่า "เรืออับปาง" ดังนั้นเมื่อสถิตร่วมกับราหูซึ่งเป็นที่ ยอมรับกันทั่วไปในวงการโหรว่า หากเข้ามาประชิดในเชิงมุมกับดาวอาทิตย์และดาวจันทร์ในวันข้าง ขึ้นหรือข้างแรม ๑๕ ค่ำแล้วจะเกิดเป็นคราสหรือเงาดำที่มีอิทธิพลส่งผลเป็นทุกข์โทษแก่เจ้าชะตาได้ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงอาจจะเป็นไปได้เหมือนกันว่า ก่อนหรือหลังวันที่เกิดเหตุไม่นานได้เกิด คราสขึ้น และเงาดำที่เกิดจากคราสหรือราหูได้ครอบคลุมมาถึงอาณาบริเวณที่ใกล้เคียงกับจุดที่ตั้ง ของดาวพลูโตจึงส่งผลให้เกิดการอับปางของเรือขึ้น
ผมเองได้ปฏิบัติหน้าที่สนองพระเดชพระคุณโดยใกล้ชิด และได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเป็นการ ส่วนพระองค์มากมายหลายครั้ง พระองค์ท่านได้ทรงทราบว่า ผมมีความสนใจศึกษาวิชาโหราศาสตร์ อยู่จึงได้รับสั่งสอบถามผมเกี่ยวกับวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวในบางโอกาส นอกจากนี้ ผมยังได้ทราบว่า พระองค์ท่านยังได้มีพระราชกระแสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์จากข้าราชบริพารอีกหลายท่าน อาทิ ท่านอาจารย์ภาวาส บุนนาค อดีตรองราชเลขาธิการ (ถึงแก่กรรมแล้ว) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ประสบ การณ์ในวิชาการโหราศาสตร์มากท่านหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง และผมเองไม่มีโอกาสทราบเลยว่า พระองค์ ท่านได้ทรงศึกษาวิชาการนี้มาจากที่ใดมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อผมได้สังเกตพระราชกระแสเกี่ยวกับ กับเรื่องนี้มาโดยตลอดแล้ว ผมมีความเข้าใจเอาเองว่า พระองค์ท่านจะต้องทรงมีความรู้ทางวิชาการ โหราศาสตร์ไม่น้อยและเมื่อผมได้มีโอกาสวิเคราะห์ดวงชะตาต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง ของพระมหาชนกดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทำให้ผมมีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่า นอกเหนือจากพระปรีชา สามารถในวิชาการรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การสื่อสารโทรคมนาคม การจัดการจราจร การชลประทาน การอุตินิยมวิทยา การดนตรี การกีฬา ฯลฯ แล้วพระองค์ท่านยัง ทรงมีพระปรีชาสามารถในวิชาการโหราศาสตร์อีกแขนงหนึ่งด้วยเพราะจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ ต่างๆ ที่พระองค์ท่านได้แสดงไว้ในดวงชะตาของวันที่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับการเดินทางของพระมหา ชนกที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" นั้นมีที่มาจากรากฐานความเป็นไปได้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ยืนยันด้วยหลักวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวได้อย่างจริงๆ และเป็นสิ่งที่พสกนิกรคน ไทยควรภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านจะทรงมีพระปรีชาสามารถในวิชาการโหราศาสตร์มากน้อย เพียงใดผมก็เชื่อว่าพระองค์ท่านจะใช้วิชาการแขนงนี้เป็นเพียงส่วนประกอบพระราชวิจารณญาณใน พระราชกรณียกิจบางเรื่องบางประเด็นเช่นเดียวกับบุรพพระมหากษัตราธิราชเท่านั้นเนื่องจากพระองค์ ท่านได้ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสเข้าพระทัยในแก่นแท้ของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งแท้จริง และทรงถือปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดอยู่แล้วตลอดเวลา
ประชาชนคนไทยนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีโชคดีที่พระมหากษัตราธิราชซึ่งทรงไว้ซึ่งทศพิธ ราชธรรม ทรงมีประปรีชาสามารถ ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพสูงส่ง และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ แก่พวกเราเหลือคณานับ ดังนั้นในวโรกาสที่สำคัญยิ่งที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ท่าน ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราชาวไทยทุกคนจะได้ร่วม กันตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพรให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานตลอดไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับวิชาการโหราศาสตร์
(ตอนที่ ๒ ฤกษ์พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐)
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
คำนำ คำพยากรณ์ดวงชะตาฤกษ์พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ นี้ ผมได้จัดทำขึ้นเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๐ แล้วได้นำเอาคำพยากรณ์นี้มาประมวลเข้ากับเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ ที่ผ่านมานับตั้งแต่วันเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยมา จนถึงปัจจุบัน เพื่อการตรวจสอบยืนยันความถูกต้องประเมินผลการศึกษาวิจัยวิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวของผมเพื่อเป็นประโยชน์ เป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจศึกษาวิชาการแขนงนี้ในปัจจุบัน และที่จะศึกษาในโอกาสต่อไป ฤกษ์พระราชทานนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงคิดคำนวณขึ้นเองหรือ มีที่มาอย่างไรนั้น ไม่สามารถจะยืนยันได้ ผมได้เคยกราบบังคมทูลถาม รับสั่งว่า "ฤกษ์มาหาฉันเอง" อย่างไรก็ตาม ท่านผู้อ่านที่เคยได้อ่านบทความเรื่อง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกิจการโหราศาสตร์"มาแล้ว คงจะใช้วิจารณญาณค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเอง เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๐ เวลา ๑๗.๓๐ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา ประธานสภาร่างรัฐ ธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายร่างรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อลงพระปรมาภิไธย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และได้ทรงพระปรมาภิไธยเมื่อเวลา ๑๗.๓๒ น.
ในฐานะที่ผมเป็นนักศึกษาวิจัยวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวจึงอดไม่ได้ที่จะทดลองผูกดวงชะตากำเนิดของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้นดังที่ได้แสดงไว้ในภาพประกอบบทความนี้ เมื่อได้ผูกเสร็จเรียบร้อยและสอบทานฤกษ์ยามตามวิชาการที่ได้ศึกษาไว้แล้ว รู้สึกทึ่งตื่นเต้นและมีความแปลกใจเป็นพิเศษ เพราะว่าวันเวลาดังกล่าวข้างต้นจะโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงกำหนดขึ้นเองตามพระราชอัธยาศัยที่เรานิยมเรียกกันว่า "ราชาฤกษ์" หรือทรงคิดคำนวณตามหลักวิชาโหราศาสตร์ซึ่งพระองค์ท่านทรงมีความสนพระทัยศึกษาอยู่บ้างตามที่ผมได้เคยกล่าวไว้ในบทความเรื่อง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับวิชาการโหราศาสตร์" (ซึ่งผมเชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูง) หรือโดยโหราจารย์ท่านหนึ่งท่านใดได้คำนวณขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายดังที่ได้ถือปฏิบัติตามโบราณราชประเพณีก็ตามนั้นเป็นราชาฤกษ์จริงๆ หากเป็นผลจากการคำนวณ ผมขอน้อมคารวะต่อท่านผู้คำนวณนั้นด้วยความชื่นชมและจริงใจเป็นอย่างยิ่งในความรู้ความสามารถของท่านเพราะเป็นไปตามหลักวิชาการทุกประการ และในกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าได้ทรงกำหนดวันเวลานี้ขึ้นตามพระราชอัธยาศัยก็แสดงให้เห็นถึงพลังอินทรีย์ทั้งห้าซึ่งได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญาที่แรงกล้าอันเกิดจากการบำเพ็ญบุญกิริยาบารมีมาโดยตลอดต่อเนื่องของพระองค์ท่านได้ชี้นำให้ทรงกำหนดเวลาที่มีความสำคัญนี้ขึ้น
ผมได้เคยคิดคำนวณฤกษ์ประกอบพิธีมงคลให้แก่ญาติมิตรสหายมาเป็นเวลานานมากมายหลายครั้ง ยังไม่เคยพบวันเวลาที่มีฤกษ์ดีที่สุดเช่นนี้มาก่อน และเมื่อได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับจุดที่ตั้งและการทำมุมสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะส่งเสริมเป็นคุณ และเบียฬเป็นผลทุกข์โทษของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในดวงชะตาที่ได้ผูกขึ้นนี้แล้ว ยิ่งเพิ่มแรงจูงใจให้ผมต้องศึกษาค้นคว้าต่อ โดยการนำเอาหลักวิชาโหราศาสตร์ฮินดู หรือ Vedic Astrology มาเป็นพื้นฐานในการตรวจสอบดวงชะตาดวงนี้และได้พบสาระสำคัญหลายประการที่สมควรนำออกเผยแพร่เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์ ดังจะกล่าวไว้โดยสังเขปต่อไปนี้
๑. จากผลการคำนวณตรวจสอบจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆในวันเวลานี้ ปรากฏว่า มีดาวพระเคราะห์ส่วนใหญ่ทำมุมสัมพันธ์ส่งเสริมเป็นคุณแก่กันและกัน และที่สำคัญก็คือ เป็นวันที่ดาวจันทร์ได้โคจรเข้าไปเกาะกุมดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นดาวศุภเคราะห์ (ดาวที่ส่งผลดีให้คุณแก่เจ้าชะตา) ที่ใหญ่ที่สุดสนิท ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่โหรผู้คิดคำนวณฤกษ์ใฝ่หาและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงการโหราศาสตร์ไทย และฮินดู ว่า เป็นฤกษ์ที่ดีที่สุด ตามวันเวลานี้ ดาวจันทร์ยังได้เกาะกุมอยู่ในภูมิปาโลฤกษ์ (ฤกษ์ผู้ปกครองแผ่นดิน) ด้วยจึงเป็นการเสริมพลังความขลังให้แก่ฤกษ์นี้ได้มากทีเดียว
๒. หากเป็นดวงชะตาของบุคคลที่เกิดในวันเวลานี้ เจ้าชะตาน่าจะมีนิสัยใจคอ มีบุญวาสนา ชีวิตอนาคต ดังนี้
๒.๑ เจ้าชะตาจะเป็นผู้ที่มีความรู้สูง มีเสน่ห์ มีชื่อเสียงเกียรติยศสูง เป็นผู้นำเป็นที่พึ่งของมวลชน (ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์หลักของรัฐธรรมนูญฉบับนี้) ร่ำรวยช่วยตนเองได้ (เศรษฐกิจของประเทศคงจะดีขึ้นตามลำดับ) และมีอายุยืน
๒.๒ เจ้าชะตาจะต้องทำงานหนัก แต่ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตหน้าที่การงานอย่างคุ้มค่า และจะได้รับความไว้วางใจจากรัฐไปจนถึงอายุ ๕๐ ปี เจ้าชะตาจะต้องพรากจากบิดาตั้งแต่เยาว์ (คงจะถูกต้องเพราะบิดาคือ สภาร่างรัฐธรรมนูญได้ถูกยุบลงเมื่อรัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้แล้ว)
๒.๓ เจ้าชะตาจะเป็นคนฉลาดแกมโกง เห็นแก่ตัว ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่ออุดมการณ์ ไม่สนใจในศาสนา ไม่ยอมรับฟังความเห็นของผู้อื่น (เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการรณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ผ่านมาย่อมเป็นเครื่องยืนยันความถูกต้องในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี) ประการหลังทั้งสองนี้จึงเป็นการบั่นทอนพลังความเป็นสิริมงคล วาสนาเกียรติยศชื่อเสียงของเจ้าชะตาลงไปส่วนหนึ่งอย่างน่าเสียดาย
๒.๔ ดาวเสาร์ในดวงชะตานี้ เป็นดาวที่มีกำลังสูง ดังนั้น ถึงแม้ว่า เจ้าชะตาจะต้องเผชิญอุปสรรคมากมายนานาประการ แต่ก็จะสามารถฟันฝ่าไปได้ การที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ถือกำเนิดในวันเสาร์จึงน่าจะเป็นการเสริมพลังความศักดิ์สิทธิ์ ความยิ่งใหญ่ความมั่นคงถาวรได้ส่วนหนึ่ง
คำพยากรณ์เกี่ยวกับดวงชะตานี้ยังมีรายละเอียดอีกมากมายหลายประการซึ่งไม่สามารถนำมาเผยแพร่ในที่นี้ได้ แต่เท่าที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นคงจะช่วยให้ท่านผู้อ่านจินตนาการเห็นรูปร่างหน้าตาอนาคตของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้บ้างพอสมควร
วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับล่าสุดแก่ประชาชนไทยจึงเป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย วันสำคัญวันนี้ได้มีส่วนสัมพันธ์กับปรากฏการณ์ธรรมชาติที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ครั้งหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย วันนั้นก็คือ "วันปราบดาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช" หรือ "วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งมีหลักฐานปรากฏอยู่ในหนังสือประชุมพงศาวดารฯ กล่าวคือ
ในหนังสือประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๕-๖๖ (ประชุมพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศ) ได้กล่าวไว้ว่า
"__ณ วัน ๓ฯ๑๑ ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิศก เพลาย่ำค่ำแล้วทุ่มหนึ่ง มีจันทรุปราคาคาย ณ วัน ๓ฯ๔๑ ค่ำ เพลาโมงเศษเสด็จออกขุนนางตรัสประภาษเนื้อความ__พระราชสุจริตปรารภตั้งพระอุเบกขาพรหมวิหารเพื่อจะทะนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาและพระอาณาประชาราษฎรนั้นอัศจรรย์แผ่นดินไหวเป็นเวลาช้านาน____"
ปรากฏการณ์ธรรมชาติดังกล่าวได้เกิดขึ้นในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ เช่นกัน คือ
๑. เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๐ ได้เกิดจันทรุปราคา (จันทรคราส) เต็มดวงเมื่อเวลา ๐๑.๔๗ น.เห็นได้ในประเทศไทย ๒. ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๐ นี้ ได้มีแผ่นดินไหวในต่างประเทศ มีความแรงมากกว่า ๕ ริกเตอร์ ซึ่งถือว่า สามารถสร้างภัยพิบัติให้แก่ทรัพย์สินสมบัติชีวิตของประชาชนได้ เกิดขึ้นรวม ๒ ครั้ง
นอกจากนี้ ยังได้ทราบว่า ในวันเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น ได้เกิดอสุนีบาตขึ้น มีฝนตกหนักมาก จึงน่าจะเป็นนิมิตหมายว่า พระสยามเทวาธิราชและทิพยวิญญาณทุกสวรรค์ชั้นฟ้าได้ทรงรับทราบเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยแล้ว
หากสมมุติฐานที่ผมได้ตั้งขึ้นจากผลการศึกษาวิจัยวิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของคราสโดยการนำเอาวิชาการโหราศาสตร์สากลคือ Mundane Astrology มาประยุกต์ผสมผสานกับวิชาโหราศาสตร์ฮินดู และไทยที่ประยุกต์แล้วมีความเป็นไปได้ที่ว่า การโคจรผ่านของดาวพระเคราะห์ต่างๆ สามารถส่งอิทธิพลให้เกิดภัยพิบัติธรรมชาติอาทิ แผ่นดินไหว น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด ได้ก็น่าจะพยากรณ์ได้ว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะอยู่คงทนสถาพรได้นานไม่น้อยกว่า ๑๕ ปี โดยจะมีการปรับปรุงแก้ไขครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๗-๒๕๔๘ ด้วยเหตุผลดังนี้
๑. ในช่วงเวลาที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงปราบดาภิเษกเสด็จขึ้นครองราชย์นั้น บ้านเมืองอยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ทรัพย์สินสมบัติในท้องพระคลังไม่มีเหลือหลอเพราะถูกพม่าข้าศึกกวาดล้างไป มีการกล่าวกันว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชต้องทรงกู้ยืมเงินจากเมืองจีนเพื่อมาจัดหาอาวุธ ข้าวปลาอาหารเลี้ยงทหาร และแจกจ่ายช่วยเหลือประชาชน ซึ่งดูจะคล้ายคลึงกับสภาวะเศรษฐกิจการคลังของบ้านเมืองในขณะนี้ (ปี พ.ศ.๒๕๔๐) รัชสมัยของพระองค์ท่านได้สิ้นสุดลงในปี พ.ศ.๒๓๒๕ หลังจากวันที่ได้ทรงปราบดาภิเษก ๑๕ ปี และในช่วงเวลาก่อนจะสิ้นพระราชอำนาจก็ได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นมากมายจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์ เหตุการณ์บ้านเมืองไทยจึงได้คลี่คลายไปในทางที่ดีมีวัฒนาการขึ้นโดยลำดับ
๒. นับตั้งแต่นี้ (วันพระราชทานฯ) เป็นต้นไปอีก ๑๕ ปี ดาวเสาร์จรจะทำมุม ๑๘๐ องศากับดาวเสาร์ในดวงชะตากำเนิดของรัฐธรรมนูญฯ ที่ผมได้ผูกไว้นี้ ย่อมจะส่งผลให้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงพัฒนารัฐธรรมนูญฉบับนี้อีกครั้ง ตามที่ผมได้แสดงผลการวิเคราะห์เรื่องอิทธิพลของดาวเสาร์ไว้ในบทความเรื่อง "อิทธิพลของดาวเสาร์ต่อดวงเมืองของประเทศไทย" ในบทความนี้ ผมได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ในช่วงเวลาประมาณ ๗ ปีครึ่งซึ่งดาวเสาร์จรจะทำมุม ๙๐ องศาซึ่งเบียฬให้ทุกข์โทษกับดาวเสาร์ในดวงชะตาเดิม เจ้าชะตาจะประสบปัญหาเดือดเนื้อร้อนใจทั้งในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงานเป็นอย่างยิ่งซึ่งดูจะสอดคล้องกับเหตุการณ์บ้านเมืองไทยในช่วงเวลาก่อนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น
ก่อนที่รัฐสภาจะลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้มีกระแสต่อต้านในประเด็นสำคัญประการหนึ่งคือ เรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ดูเสมือนจะถูกริดรอนลงไป แต่เมื่อนำเอาวันเวลาของเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้มาประมวลพิจารณาประกอบกับกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงคำนวณกำหนดวันเวลาเป็นพระฤกษ์ด้วยตนเองตามที่ผมคาดคะเนไว้ ย่อมเป็นการยืนยันได้อีกประการหนึ่งว่า พระองค์ท่านได้ทรงเต็มพระทัยที่จะพระราชทานทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี ที่เป็นสิริมงคลเพื่ออำนวยประโยชน์อันสูงสุดแก่ประเทศชาติ และประชาชนคนไทยเป็นที่ตั้งดังที่ได้ทรงตั้งพระราชปณิธานไว้นับตั้งแต่วันที่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์มาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้ โดยมิได้หวงแหนพระราชอำนาจไว้เป็นของพระองค์เองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น มวลชนที่ร่วมกันเดินขบวนชูธงเหลืองคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้โดยอ้างเหตุผลสำคัญว่า จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ขอให้เลิกราการปฏิบัติการต่อไปได้แล้ว ในส่วนมวลชนที่ร่วมกันเดินขบวนชูธงเขียวให้การสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ขออย่าได้ฮึกเหิมเกริมคะนองใจว่า ตนเองมีภูมิปัญญาเหนือกว่าผู้อื่น ควรลดทิฐิมารับรู้สดับตรับฟังความเห็นข้อท้วงติงของคนอื่นบ้าง รวมทั้งให้ความสำคัญแก่ศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนาบ้าง แล้วท่านจะประสบแต่ความเป็นสิริมงคล รัฐธรรมนูญฉบับนี้จะได้อยู่ยงสถาพรยืนนานยิ่งๆขึ้นไป
ดวงชะตากำเนิด รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
สนธิกาลกำเนิด ณ วันเสาร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีฉลู จุลศักราช ๑๓๕๙
สุริยกาลกำหนด วันที่ ๑๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐ คริสต์ศักราช ๑๙๙๗
เวลา ๑๗.๓๒ นาฬิกา กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
ลัคนาสถิตราศีมีน นวางศ์ที่ ๕ ตรียางศ์ที่ ๒
เสวยอุตรภัทรบทนักขัตฤกษ์ ประกอบด้วยราชาแห่งฤกษ์