ดวงเมืองประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
ผมได้เว้นวรรคการพยากรณ์ดวงเมืองประจำปี พ.ศ.๒๕๕๓ ไปเกือบสองเดือน เนื่องจากในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นมา เหตุการณ์ไม่สงบถึงขั้นการก่อจลาจลถึงขั้นนองเลือดบาดเจ็บล้มตายเผาบ้านเผาเมืองกัน เพราะความหลงผิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัวของบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า นปช.บ้าง คนเสื้อแดงบ้าง คามคำพยากรณ์ของผมที่ได้กล่าวไว้ในบทความเรื่อง บทบาทของดาวเสาร์ใน ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓ ซึ่งสรุปไว้ว่า ดาวเสาร์ซึ่งเป็นดาวบาปพระเคราะห์ใหญ่ที่สุดได้โคจรถอยหลังมาตั้งแต่วันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๓ ทำมุมเบียนประมาณ ๙๐ องศาเป็นทุกข์โทษกับดาวพฤหัสบดีกับดาวเสาร์ และทำมุมเล็งประมาณ ๑๘๐ องศากับดาวศุกร์ในดวงเมืองเดิม เหตุการณ์ดังกล่าวได้รุนแรงถึงจุดสูงสุดในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และเริ่มคลี่คลายไปตามลำดับจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่ดาวเสาร์หยุดถอยหลัง โคจรตามปกติ
ผมใคร่ขอทบทวนทำความเข้าใจแก่ท่านผู้อ่านบทความนี้ไว้ว่า การพยากรณ์ดวงชะตาของแต่ละบุคคลประจำปีนั้น จะต้องเริ่มต้นจากวันที่เจ้าชะตามีอายุมาครบรอบปีซึ่งเป็นวันที่ดวงอาทิตย์โคจรถึงราศี องศา ลิปดา ของดวงอาทิตย์เดิมในดวงชะตาศัพท์เทคนิคกรณีนี้ว่า Solar Return หาได้เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคมไม่ ต่อจากนั้น จึงผูกดวงชะตาในวันนั้นขึ้นใหม่ คำนวณหาว่า ในปีนั้น ดาวพระเคราะห์ดวงใดทำหน้าที่เป็นดาวประจำตัว สถิตอยู่ในเรือน หรือ ภพของดวงชะตาภพใด ให้คุณหรือให้ทุกข์โทษ สถานภาพของดาวพระเคราะห์แต่ละดวงเป็นอย่างไรโคจรตามปกติ หรือ วิกลคติ สถิตในราศีที่เป็นเกษตร ประเกษตร เป็นอุจจ์ เป็นนิจ ฯลฯ แล้วจึงพยากรณ์ไปตามนั้น การพยากรณ์ดวงเมืองไทยประจำปีก็เช่นเดียว วิธีการพยากรณ์แบบนี้ ตามหลักโหราศาสตร์สากลเรียกว่า Progressed Astrology โหราศาสตร์ฮินดู เรียกว่า Varshaphal และโหราศาสตร์ไทยโบราณเรียกว่า ทินวรรษ
ดวงเมืองของประเทศเรา ซึ่งในวงการโหราศาสตร์ไทยได้ยอมรับใช้ในการพยากรณ์ คือ วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เวลา ๐๖:๕๔ นาฬิกา ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีตั้งเสาหลักเมือง กรุงเทพมหานคร โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงกำหนดพระฤกษ์นี้ด้วยพระองค์เอง ตามดวงเมืองนี้ ลัคนา หรือ จุดกึ่งกลางของภพที่ ๑ สถิตในราศีเมษ ๒๓ องศา ๕๖ ลิปดา และดวงอาทิตย์สถิตในราศีเมษ ๑๐ องศา ๙ ลิบดา
ปี พ.ศ.๒๕๕๓ (ระหว่างวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔) ผลการคำนวณปรากฏว่า ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวประจำเมืองประจำปี ดาวพฤหัสบดีจึงเป็นตัวแปรสำคัญชี้ชะตาของดวงเมือง และเมื่อได้ตรวจสอบกำลังของดาวพฤหัสบดีตามหลักวิชาโหราศาสตร์ฮินดู (Vedic Astrology) มีเพียง ๐.๘๙ (โดยปกติจะต้องไม่ต่ำกว่า ๑.๐๐) ประกอบกับดาวดวงนี้สถิตอยู่ในเรือนที่ ๖ ภพเกี่ยวกับบริวารผู้ใต้บังคับบัญชา สุขภาพโรคภัยไข้เจ็บ ศัตรูที่ไม่เปิดเผย จึงเป็นสัญญาณบอกเหตุว่า ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะดูสงบราบคาบ แต่ก็ยังมีความพยายามที่จะรวมตัวกันที่จะก่อการไม่สงบขึ้นมาอีก ในลักษณะขบวนการใต้ดิน โดยยังมีตำรวจมะเขือเทศ และทหารแตงโมสนับสนุนขบวนการนี้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรประมาท รีบปรับปรุงองค์กรที่รับผิดชอบเรื่องการข่าวให้มีประสิทธิภาพให้สูงยิ่งขึ้น และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะยกเลิก พรก.บริหารราชการแผ่นดินในยามฉุกเฉินในขณะนี้
ในด้านเศรษฐกิจการคลังของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการก่อจลาจลครั้งนี้อย่างน่าใจหายนั้น ในปีนี้ ดาวอังคารเป็นเจ้าของเรือนที่ ๒ ภพเกี่ยวกับเศรษฐกิจการคลังของประเทศมีกำลังสูงถึง ๑.๓๒ จึงน่าจะพยากรณ์ว่า เศรษฐกิจบ้านเมืองจะไม่มากนักตามที่คาดหมายกันไว้ (ตรงกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้แถลงไว้) จีงน่าจะเบาใจได้
มีข้อสังเกตสำคัญประการหนึ่งซึ่งผมได้มองข้ามไปมิได้กล่าวพยากรณ์มาตั้งแต่ต้น คือ นอกจากดาวเสาร์ที่ทำมุมเบียนกับดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ในวันเกิดเหตุการณ์ไม่สงบดังกล่าวแล้ว ยังมีดาวพลูโตอีกดวงหนึ่งซึ่งโคจรถอยหลังอยู่ในราศีธนูอยู่ที่ ๑๐ องศา ๑๐ ลิปดา ทับดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์เกือบสนิท ดาวพลูโตนี้ถึงแม้ว่าจะดาวพระเคราะห์ดวงเล็กและอยู่ห่างไกลโลกมากที่สุด แต่ก็มีพิษสงร้ายกาจมากที่เดียว ดาวดวงนี้มีความหมายเกี่ยวกับการลอบสังหาร การตายหมู่ การก่อการจลาจล การกระทำที่ผิดกฎหมายต่างๆ การปฏิรูปปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง แผ่นดินไหว น้ำท่วม การที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ถูกลอบสังหารก็ดี บทบาทของขบวนผู้ก่อการร้ายที่ลอบสังหารทหาร ตำรวจ และพลเรือนจนบาดเจ็บล้มตายจำรวนไม่น้อย น่าจะเป็นคำตอบยืนยันความหมายของดาวพลูโตได้อย่างชัดเจน
ดาวพลูโตเริ่มโคจรถอยหลังตั้งแต่วันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๓ และจะโคจรเป็นปกติในวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ จึงมีความชัดเจนว่า เหตุการณ์บ้านเมืองจะสงบราบคาบให้ประชาชนคนไทยได้เงยหน้าอ้าปากโล่งอกสูดหายใจได้เต็มปอดกันได้จนถึงสิ้นปี