พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับวิชาการโหราศาสตร์
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือกสกนธ์
คำนำ
ผมได้เคยเขียนบทความเรื่องนี้ออกเผยแพร่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๐ จนถึงบัดนี้เป็นเวลา ๖ ปีเศษ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมได้ใช้เวลาว่างศึกษาค้นคว้าวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวเพิ่มเติมจนมีความรู้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น จึงได้นำบทความนี้มาปรับปรุงแก้ไขใหม่เพื่อเป็นวิทยาทานแก่นักศึกษาวิชาการโหราศาสตร์ดวงดาว
ในโบราณกาล พระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ปกครองประเทศและจอมทัพ จำเป็นต้องทรงศึกษามีความรู้ในวิชาการแขนงต่างๆ อาทิ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ศิลปะการต่อสู้โดยใช้อาวุธในรูปแบบต่างๆ การฝึกม้าช้าง ตำราพิชัยสงครามซึ่งจะมีหัวข้อวิชาเกี่ยวกับโหราศาสตร์อยู่ด้วยเพื่อใช้ในการคำนวณหาฤกษ์ที่สำคัญต่างๆ เช่น ฤกษ์เคลื่อนทัพ ฤกษ์เข้าตีข้าศึก เป็นต้น สำหรับวิชาโหราศาสตร์นี้ พระมหากษัตริย์บางพระองค์ได้ทรงสนพระทัยศึกษาอย่างจริงจังแล้วนำมาประยุกต์ใช้งานด้วยพระองค์เองดังตัวอย่าง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ซึ่งทรงได้รับการยกย่องกันในวงการโหรเมืองไทยว่า ทรงมีความรู้และเชี่ยวชาญในวิชาการโหราศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง แต่บางพระองค์ก็เพียงแต่ศึกษาตามหน้าที่เป็นความรู้ ส่วนรายละเอียดในทางปฏิบัตินั้นได้ทรงมอบให้แก่ขุนนางที่มีตำแหน่งโหรหลวงเป็นผู้รับผิดชอบ โหรหลวงบางท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระยาโหราธิบดี
สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลปัจจุบันนั้น มิได้ปรากฏหลักฐานว่าพระองค์ท่านทรงเคยศึกษาวิชาการแขนงนี้มาก่อน จนกระทั่งผมได้เปิดอ่านหนังสือพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ซึ่งโปรดเกล้าฯให้จัดพิมพ์จำหน่าย และได้พบว่าในภาพประกอบการเดินทางทางทะเลของพระมหาชนกนับตั้งแต่วันออกเดินทาง วันที่เรือพระที่นั่งถูกพายุในทะเลจนอับปาง จนถึงวันที่นางมณีเมขลามาช่วย มีรูปภาพดวงแสดงที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในวันเกิดเหตุไว้ทุกภาพ
ผมในฐานะนักศึกษาวิชาโหราศาสตร์คนหนึ่งจึงอดไม่ได้ที่จะพิจารณาดูดวงเหล่านี้โดยเฉพาะในวันที่เกิดพายุรุนแรงขึ้นจนเป็นเหตุให้เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปางนั้น ดาวพระเคราะห์ต่างๆ สถิตอยู่ในราศีใดบ้างเพื่อประกอบการศึกษาค้นคว้าวิชาการนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลของดาวพระเคราะห์กับอุบัติภัยธรรมชาติต่างๆ ที่เรียกว่า Mundane Astrology
ภาพดวงแสดงที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ
ในวันที่เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปาง
ในบทพระราชนิพนธ์ได้ทรงระบุวันเดือนที่เกิดเหตุไว้ประกอบดวงชะตาว่า เป็นวันที่ ๒ พฤษภาคม ส่วนปีและเวลาที่เกิดเหตุมิได้ทรงระบุไว้ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนพุทธกาลส่วนวันที่นางมณีเมขลามาช่วยนั้นเป็นวันที่ ๙ พฤษภาคม หลังจากวันที่พระมหาชนกได้ทรงพระวิริยะว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรมาแล้วเป็นเวลา ๗ วัน
ท่าน B.V. Raman โหราจารย์อินเดียที่มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่งได้กล่าวถึงอิทธิพลของดวงดาวที่มีต่อสภาพดินฟ้าอากาศไว้หลายประการในหนังสือที่ท่านได้เขียนไว้คือ PLANETARY INFLUENCES ON HUMAN AFFAIRS ซึ่งผมขอประมวลมาเพียงบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับวาตะภัยและแปลเป็นไทยได้ใจความดังนี้
ดาวพระเคราะห์ที่มีอิทธิพลแก่ลมพายุทั้งความรุนแรงและทิศทาง ได้แก่ ดาวเสาร์จะแสดงผลต่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงเหนือ และดาวพฤหัสบดีจะส่งผลต่อลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทั้งนี้จะส่งผลได้เด่นชัดมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อดาวพระเคราะห์ทั้งสองสถิตในราศีมิถุน ราศีตุลย์ และราศีกุมภ์ซึ่งล้วนแต่เป็นราศีธาตุลม และทำมุมสัมพันธ์กับดาวจันทร์และดาวอาทิตย์ คือ ทับกัน เล็งกัน หรือ ๙๐ องศา
เมื่อพิจารณาจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ตามดวงในวันเกิดเหตุวาตะภัยที่ปรากฏอยู่ในบทพระราชนิพนธ์ฯ คือในวันที่ ๒ พฤษภาคม จนเป็นเหตุให้เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกต้องอับปางแล้ว ปรากฏว่า
ดาวเสาร์สถิตราศีกุมภ์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม ดาวพฤหัสบดีสถิตราศีตุลย์ซึ่งเป็นราศีธาตุลม เช่นกัน นอกจากนี้ดาวพฤหัสบดียังทำมุมเล็งกับดาวอาทิตย์ที่สถิตอยู่ในราศีเมษ และทำมุม ๙๐ องศากับดาวจันทร์ซึ่งสถิตในราศีมังกรตรงกับที่ท่านโหราจารย์ B.V. Raman ได้กล่าวไว้ อนึ่ง เมื่อพิจารณาตรงจุดที่เรือพระที่นั่งของพระมหาชนกอับปางนั้นอยู่ในบริเวณลองติจูด ๙๐ องศาเศษ ซึ่งอยู่ในอาณาเขตต่อเนื่องระหว่างประเทศบังคลาเทศกับประเทศพม่า และตามตำรา Mundane Astrology ได้กำหนดให้ลัคนาของดวงเมืองประเทศพม่าไว้ในราศีตุลย์ พายุรุนแรงที่เกิดขึ้นในวันนั้นจึงเกิดจากอิทธิพลของดาวพฤหัสบดีที่ทำมุมเล็งกับดาวอาทิตย์ และทำมุม ๙๐ องศากับดาวจันทร์ เท่านั้นดูจะยังไม่เพียงพอหากไม่ได้พิจารณาถึงจุดที่ตั้งของดาวมฤตยูซึ่งทางโหราศาสตร์ถือว่า เป็นเจ้าการของอุบัติเหตุด้วย ดาวมฤตยูในวันที่เกิดเหตุนี้ปรากฏว่า สถิตอยู่ในราศีมังกรราศีเดียวกับดาวจันทร์จึงทำมุม ๙๐ องศากับดาวพฤหัสบดีช่วยส่งอิทธิพลในทางทุกข์โทษให้แก่ดาวพฤหัสบดีอีกส่วนหนึ่ง อุบัติภัยอันเกิดจากลมพายุหรือวาตะภัยจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ จุดที่ตั้งของดาวพลูโตซึ่งระบุไว้ในดวงวันเกิดเหตุนั้นได้สถิตอยู่ร่วมกับราหูในราศีพิจิกซึ่งเป็นราศีธาตุน้ำ ดาวพลูโตมีความหมายในตัวประการหนึ่งว่า "เรืออับปาง"ดังนั้นเมื่อสถิตร่วมกับราหูซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงการโหราศาสตร์ว่าหากเข้ามาประชิดในเชิงมุมกับดาวอาทิตย์และดาวจันทร์ในวันข้างขึ้น ๑๕ ค่ำ ก็จะเกิดจันทรุปราคา หรือ จันทรคราส ถ้าเป็นวันข้างแรม ๑๕ ค่ำ (เดือนคู่) หรือข้างแรม ๑๔ ค่ำ (เดือนคี่) ก็จะเกิดสุริยุปราคาหรือ สุริยคราส ซึ่งจะมีอิทธิพลส่งผลเป็นทุกข์โทษแก่เจ้าชะตาได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในกรณีนี้จึงมีความเป็นไปได้ว่า ได้เกิดจันทรคราสขึ้นก่อนวันที่เกิดเหตุและเงาดำของคราสหรือราหูได้ครอบคลุมมาถึงอาณาบริเวณที่ใกล้เคียงกับจุดที่ตั้ง ของดาวพลูโตจึงส่งผลให้เกิดการอับปางของเรือขึ้น
ผมเองได้เคยปฏิบัติหน้าที่สนองพระเดชพระคุณมาเป็นเวลานานและในบางโอกาสที่ได้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ พระองค์ท่านได้ทรงทราบว่า ผมมีความสนใจศึกษาวิชาการโหราศาสตร์ดวงดาวอยู่จึงได้รับสั่งสอบถามผมในบางเรื่องบางประเด็น นอกจากนี้ ผมยังได้ทราบว่าพระองค์ท่านยังได้มีพระราชกระแสสอบถามเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์จากข้าราชบริพารอีกหลายท่าน อาทิ ท่านอาจารย์ภาวาส บุนนาค อดีตรองราชเลขาธิการ (ถึงแก่กรรมแล้ว) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ประสบการณ์ในวิชาการโหราศาสตร์มากท่านหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง และผมเองไม่มีโอกาสทราบเลยว่า พระองค์ท่านได้ทรงศึกษาวิชาการนี้มาจากที่ใดมากน้อยเพียงใด แต่เมื่อผมได้สังเกตพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอดแล้ว ผมจึงเข้าใจเอาเองว่า พระองค์ท่านจะต้องทรงมีความรู้ทางวิชาการโหราศาสตร์ไม่น้อย และเมื่อผมได้ตรวจสอบวิเคราะห์ดวงแสดงจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของพระมหาชนกตามหลักวิชาโหราศาสตร์ที่ผมได้ศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว ทำให้ผมมีความมั่นใจยิ่งขึ้นว่านอกเหนือจากพระปรีชาสามารถในวิชาการรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การสื่อสารโทรคมนาคม การจัดการจราจร การชลประทาน การอุตุนิยมวิทยา การดนตรี การกีฬา ฯลฯ แล้ว พระองค์ท่านยังทรงมีพระปรีชาสามารถในวิชาการโหราศาสตร์อีกแขนงหนึ่งด้วย เพราะจุดที่ตั้งของดาวพระเคราะห์ต่างๆ ที่พระองค์ท่านได้แสดงไว้ในดวงของวันที่มีเหตุการณ์เกี่ยวกับการเดินทางของพระมหาชนกดังที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพระราชนิพนธ์ พระมหาชนก นั้น มีที่มาจากรากฐานความเป็นไปได้ซึ่งสามารถพิสูจน์ยืนยันด้วยหลักวิชาโหราศาสตร์ดวงดาวได้อย่างจริงๆ และเป็นสิ่งที่พสกนิกรคนไทยโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงการโหราศาสตร์ควรภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าพระองค์ท่านจะทรงมีพระปรีชาสามารถในวิชาการโหราศาสตร์มากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่โดยที่พระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสเข้าพระทัยในแก่นแท้ของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างลึกซึ้งแท้จริง และทรงน้อมนำมาใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงเชื่อว่า พระองค์ท่านจะใช้วิชาการแขนงนี้เป็นเพียงส่วนประกอบพระราชวิจารณญาณในพระราชกรณียกิจบางเรื่องบางประเด็นเช่นเดียวกับบุรพพระมหากษัตราธิราชเท่านั้น
ประชาชนคนไทยนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีโชคดีที่พระมหากษัตราธิราชซึ่งทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรม ทรงมีพระปรีชาสามารถ ทรงมีพระราชอัจฉริยภาพสูงส่ง และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่พวกเราเหลือคณานับ ดังนั้นในวโรกาสที่สำคัญยิ่งที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ท่านได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราชาวไทยทุกคนจะได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานถวายพระพรให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานตลอดไป