ตำนานชาติเวร ดาวประจำวันเกิด
ได้กล่าวถึงตำนานกำเนิดแห่งดวงดาวทั้ง ๘ คือ ๑. อาทิตย์, ๒. จันทร์, ๓.อังคาร, ๔. พุธ, ๕.พฤหัสบดี ,๖. ศุกร์, ๗. เสาร์, ๘.ราหู ให้รู้ความการเป็นมาตั้งแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาล อันพอสมควรแล้ว ความจริงดวงดาวทั้งหลายที่ยังมีอำนาจ และมีอิทธิพลในตัวของบุคคลโดยทั่วไปนั้นที่สำคัญมี ๙ ดวง คือ เพิ่มพระเกตุอีก ๑ ดวง และทั้งหมดที่มีด้วยกัน ๑๒ ดวง ซึ่งมีส่วนสำคัญในการดลบันดาล ความเป็นไปในชีวิตแห่งสัตว์โลก อีก ๓ ดวงต่อไป ก็คือ มฤตยู พลูโต และ เนปจูน แต่จะงดไว้ไม่ขอกล่าว ณ ที่นี้ เพราะมีมากด้วยกัน จะทำให้เป็นการก่อเรื่องยาวสาวเรื่องยืด
ตำนานชาติเวรและหักโหราศาสตร์ในเล่มนี้เกิดขึ้นจากการค้นคว้าจากตำรับตำราโบราณ
และได้เรียบเรียงโดยท่านอาจารย์ ส.วรศิลป ซึ่งจะนำเสนอเรื่องราวและตำนานที่มีมาแต่โบราณกาล มาให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษาและสนใจ ได้รู้เรื่องหลักเกณฑ์ในการพยากรณ์ การใช้สี เครื่องแต่งกาย และการบูชาพระประจำวันเกิด ตามตำนานโบราณที่ได้บันทึกไว้
หากหนังสือเล่มนี้ ได้อำนวยประโยชน์ให้ท่านผู้อ่านและท่านผู้ศึกษาโหราศาสตร์ ตามความประสงค์แล้ว ทางเราขออุทิศผลบุญกุศลในการเผยแพร่นี้ ให้แด่ ท่านอาจารย์ ส.วรศิลป และท่านปรมาจารย์ โหราศาสตร์ทั้งหลาย ที่ได้กรุณาเผยแพร่ให้วิชาโหราศาสตร์ได้คงอยู่ต่อไปชั่วกาลนาน
ทางเราหวังว่า ตำนานชาติเวร เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อท่าน และขอให้ท่านผู้อ่านและท่านผู้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ จงประสบความสำเร็จ สมดังปรารถนาทุกประการเทอญ.
วันต่าง ๆ ที่เราท่านถือเป็นวันเกิดผิดแผกวนเวียนกันไปนั้น มีอยู่ ๗ วันด้วยกัน คือ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ ส่วนทางโหราศาสตร์เรียกเพิ่มขึ้นไปอีก ๑ ชื่อ คือ ราหู
ราหู นั้นถือกันว่าเป็นชื่อวันของบุคคลที่เกิดในเวลากลางคืนของวันพุธ และอำนาจอิทธิพลผิดแผกแตกต่างกันไปตามกำลัง (ซึ่งจะกล่าวให้ทราบต่อไป) ชื่อของวันต่างๆ เหล่านี้มีมาแต่ดึกดำบรรพกาลหลายพันปีมาแล้ว แต่กลับไปเป็นชื่อของดวงดาวนพเคราะห์ต่างๆบนท้องฟ้า ทางวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์และดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่มีเหตุผลเชื่อถือได้ หากแต่ว่ายังไม่มีใครพิสูจน์ให้เห็นจริงแท้แน่นอนลงไปได้เท่านั้นเอง เพราะว่าการพิสูจน์วิชาโหราศาสตร์นี้ ไม่มีเครื่องทดลองอะไรให้มองเห็น นอกจากการพูด หรือการเขียนเท่านั้น
ท่านปรมาจารย์บางท่านก็ได้พิสูจน์ให้ประจักษ์จริงแท้แน่นอน ด้วยการพยากรณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้องแม่นยำ ทำความนิยมเลื่อมใสเชื่อถือให้แก่ปวงชนได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันให้เห็นกันเป็นข้อพิสูจน์ได้เหมือนอย่างวิชาวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้ นอกจากจะมีแต่ตัวเลขและหนังสือถือกันเป็นบรรทัดฐานสืบมาเท่านั้นเอง เหตุนี้ จึงมีผู้นำหลักวิชาโหราศาสตร์มาใช้ผิด ๆ พลาด ๆ ทำให้คลาดเคลื่อนกลายเป็นของจริง ไม่แน่แท้แน่นอน จนถูกตำหนิจากผู้ไร้การศึกษาบางคน หาว่าโกหกพกลม ไร้เหตุผล
ศาสตร์ทั้งหลายจะไร้ความจริงนั้นไม่มี มีแต่ยังค้นไม่พบ พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีความรู้ ความสามารถทดลองเท่านั้น จึงไม่สามารถจะล่วงรู้ได้และนำวิชาทั้งหลายมาใช้เป็นประโยชน์ได้ เช่น เมขลาล่อแก้ว ของคนโบราณ ทำไมนักวิทยาศาสตร์จึงนำมาใช้ให้เป็นแสงสว่างในเวลากลางคืนได้ตามความพอใจของเรา คือ ไฟฟ้า ที่สามารถบันดาลให้เป็นแรงอันมหึมายิ่งกว่าคนได้ตั้งหลายร้อยพันเท่า ฯลฯ นั้น ก็เพราะได้พิสูจน์ทดลองเห็นจริงแท้แน่นอน และนำมาใช้ถูกหลักเกณฑ์ของการทดลองค้นคว้า
โหราศาสตร์ เป็นวิชาที่เจริญรุ่งเรืองมานานหลายพันปีแล้ว แต่วิชานี้ เป็นวิชาลึกลับซับซ้อนละเอียดถี่ถ้วนมาก ต้องทดลองกันอย่างถูกต้องตามหลักวิชาจริง ๆ จึงจะพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า มีความจริงอยู่เพียงใด ข้าพเจ้าขอให้ท่านใช้ความปรีชาสามารถของท่าน ช่วยกันพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์จริงต่อไป ส่วนที่ข้าพเจ้านำมากล่าวเล่าสู่กันฟังนี้ เป็นตำนานของท่านโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า อำนาจอิทธิพลของดวงตาวแต่ละดวงเกิดขึ้นด้วยเหตุใด ทำไมจึงว่าเป็นมิตร และ เป็นศัตรูกัน ข้าพเจ้าขอนำเสนอท่านฯ เฉพาะบางตอนเท่านั้น ดังจะกล่าวต่อไปนี้
๑. พระอาทิตย์
ตามตำนานโหราศาสตร์กล่าวไว้ว่า พระอิศวรเป็นเจ้าได้สร้างพระอาทิตย์ขึ้น ต้องเอาราชสีห์ ๖ ตัวมาเป่าลง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดง (Red Rose) พรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นองค์พระสุริยะทิพย์เทพยาทินกรขึ้น มีกายเป็นสีแดงทรงเครื่องทิพย์อาภรณ์พรายแพรวด้วยแก้วปัทมราช และวิมานสีแดง ทรงบนหลังราชไกรสร (ราชสีห์) เป็นพาหนะ สถิตอยู่ในอิสานทิศ
ตำนานมีว่า
ก. ในกาลครั้งหนึ่ง พระพฤหัสบดีเกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พระอาทิตย์เกิดเป็นมาณพไปเรียนวิชาศิลปะศาสตร์ในสำนักพระพฤหัสบดี อาจารย์ยกนางจันทร์ให้เป็นภรรยา พระอาทิตย์มีความพอใจรักใคร่นางมาก จึงเอานางใส่ตลับทองคำเก็บไว้ในเวลาเข้าป่าหาผลไม้ พระอังคารเกิดเป็นพิทยาธรเข้าไปสมจรด้วยนางจันทร์ในตลับนั้น พระพฤหัสบดีรู้เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอด จึงทำเป็นปริศนาไว้รอท่าพระอาทิตย์เพื่อบอกเหตุการณ์ ครั้นพระอาทิตย์กลับมาจากป่า เข้าไปหาพระพฤหัสตามปกติ แลเห็นเชี่ยนหมากตั้งแยกกันออกเป็น ๓ ที่ซึ่งทุกทีเคยมีตั้งเพียง ๒ ที่เท่านั้น ก็เกิดความสงสัยจังถามพระอาจารย์ไปตามได้เห็นผิดสังเกต ทุกวันมาพระอาจารย์เคยตั้งเพียง ๒ ที่ มาวันนี้ไฉนจึงตั้งเป็น ๓ พระอาจารย์จึงแจ้งว่า ถ้าเธอใคร่จะรู้ว่าปริศนานั้นมีความหมายกระไร ก็จงไปเปิดตลับดูก่อนเถิด เมื่อพระอาทิตย์เปิดตลับดู ก็เห็นพระอังคาร ก็มีความโกรธแค้นมาก จึงยกพระขรรค์ขึ้นจะฟัน พิทยาธรพระอังคาร ก็จรเหาะขึ้นไปบนอากาศ แล้วกลับเอาพระขันธ์ฟันถูกศีรษะพระอาทิตย์แยก พระอาทิตย์จึงขว้างด้วยจักรไปต้องพิทพยาธรขาขาด ฯลฯ
ข. ในกาลครั้งหนึ่งพระอาทิตย์เกิดเป็นวานร พระอังคารเกิดเป็นพราน เมื่อโคทองของนายพรานหาย ก็เที่ยวตามหาในป่า ครั้นไปพบวานรอยู่บนต้นไม้ก็หมายจะเอาเป็นอาหาร จึงได้เอาก้อนดินขว้างขึ้นไปถูกศีรษะวานรแตก ฯลฯ
ตามหลักการพยากรณ์
การที่ตัวของพระอาทิตย์ ได้ถูกสร้างขั้นด้วยราชไกรสรนั้น จังมีนิสัยดุร้ายเหมือนกับราชสีห์
กล่าวกันว่า ราชสีห์มีนิสัยดุร้าย รักยศ รักความสวยงาม เจ้าชู้ ถือตัว ปัญญาไว ไหวพริบดี เฉียบขาด โอบอ้อมอารี ใจคอกว้างขวาง กล้าได้กล้าเสีย ชอบความอิสระ มีมานะ ไม่ง้องอนใคร แต่มักเป็นกำพร้า ทั้งพระอาทิตย์เป็นเขยพระพฤหัสบดี ซึ่งเป็นสามีนางจันทร์ เป็นศัตรูกับพระอังคาร (ดังตำนานกล่าวมาแล้ว) ข้อสังเกต ที่กล่าวถึงอุปนิสัยนี้ ก็เพราะธาตุไฟเป็นหลัก และมีสีแดง คือ สีของไฟประลัยกัลป์นั้นเอง บาง
ตำรากล่าวไว้ว่า ดวงอาทิตย์เป็นดวงดาวสำคัญ ควรเปรียบเหมือนพระราชา ดาวดวงอื่นเปรียบเหมือนบริวาร (ตามหลักวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และ ดาราศาสตร์) โดยบริวารเหล่านั้น ต้องได้รับอำนาจจากพระอาทิตย์ จึงเป็นดาวบาปเคราะห์
การใช้สีผ้าแต่งตัว
แต่งตัวปัดธำมะราชนั้นระวี จรูญจรัสรัตนมณีแจ่มจ้า แสงจับรับพรรณฉวีแดง (Red Rose) เปล่ง สวมสร้อยสนิทผ้า แต่พื้น พรรณแดง
พระบูชาวันเกิด
คนเกิดวันอาทิตย์ ควรมีพระพุทธรูปปางถวาย พระเนตรบูชา จึงจะมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองดี