" ตฤมศำศ "
ว่าด้วย ตฤมศำศ
วิชาโหราศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของ ตฤมศำศ นี้ ความจริงแล้วโหรไทยของเราได่ขอยืมเอาของภารตะมาใช้ และเรียกว่าดวง วิภาคจักรราศี บ้าง เรียกว่า ดวง ขันธ์ห้า บ้าง แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร ตฤมศำศ นี้ก็คือการแบ่งราศีออกเป็นห้าส่วนและมีดาวเคราะห์ครองส่วนละหนึ่งองค์ หรือเรียกว่าองค์ละหนึ่งขันธ์ก็ได้
การแบ่งเป็นองค์ละหนึ่งขันธ์นี้ จะทำให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นถึงวิธีการที่จะนำมาใช้ในการพยากรณ์ เพราะเกจิอาจารย์ท่านได้แบ่งขันธ์ห้านี้ออกเป็นสัดส่วนและมีความหมายต่างกันเป็นห้าอย่าง ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไปในภายหลัง
แท้จริงแล้ว คำว่า ตฤมศำศ นี้ถ้าแปลตามตัวก็จะแปลว่า ๓๐ ส่วน หรือ ๓๐ องศาใน ๑ ราศี นั่นเอง เมื่อ ๑ ราศีมี ๓๐ องศาเช่นนี้ ท่านก็แบ่งราศีนี้ออกเป็นห้าส่วนอย่างที่กล่าวมาแล้ว และให้ดาวเคราะห์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า (ยกเว้นอาทิตย์และจันทร์ซึ่งถือเป็นดาวประธานแห่งจักรภพ) ทั้งห้าดวงเข้ามาครองสัดส่วนนั้นโดยแบ่งเป็นราศีเพศชายและเพศหญิง ดาวเคราะห์ทั้งห้านั้นมีดังนี้คือ :-
อังคาร (๓) , เสาร์ (๗) , พฤหัสบดี (๕) , พุธ (๔) , ศุกร์ (๖) .
ในราศีเพศชายคือราศีเมษ, มิถุน, สิงห์, ตุลย์, ธนู, กุมภ์ นั้น ให้ดาวอังคารซึ่งเป็นตัวแทนแสดงเพศชายเป็นตัวครองแต่ต้นราศี คือองศา 0-5 เสาร์ครองแต่ 5.01-10 พฤหัสบดีครองแต่องศา 10.01-18.00 พุธครองแต่องศา 18.01-25.00 และศุกร์ครองแต่องศา 25.01-30.00 เป็นอันจบราศี
สรุปก็คือ อังคาร , เสาร์ , ศุกร์ , ครองส่วนละ 5 องศา พฤหัสบดีครองส่วยละ 8 องศา พุธครองส่วนละ 7 องศา
ในราศีเพศหญิง การครองส่วน (หรือขันธ์) นี้จะกลับกันกับราศีเพศชาย คือเมื่อเป็นราศีเพศหญิงก็จะนำเอาดาวศุกร์ ซึ่งเป็นตัวแทนแสดงเพศหญิงมาเป็นตัวครองแต่ต้นราศี โดยให้ดาวเคราะห์เรียงกันมาแต่ท้ายหาต้น อ ศุกร์ , พุธ , พฤหัสบดี , เสาร์ , และ อังคาร โดยให้อาณาเขตการครององศาเหมือนกันทุกประการ คือพฤหัสบดี ครอง 8 องศา พุธ 7 องศา นอกนั้น ครอง 5 องศา เช่นเดิม
ขันธ์ทั้ง 5 มีอะไรบ้าง?
ใครที่มีความรู้ทางธรรมอยู่บ้าง ก็คงจะไม่ต้องถามคำถามนี้แน่ เพราะขันธ์ห้านี้ก็คือ รูป และนาม ในทางธรรมนั่นเอง ซึ่งในชีวิตทุกชีวิตจะต้องประกอบไปด้วยขันธ์ห้านี้ทั้งนั้น ทางพระท่านเรียกว่าห้ากอง คือในชีวิตของเราแต่ละคนนี้จะมีส่วนสำคัญที่บงการชีวิตเราอยู่นี้ 5 ส่วน หรือ 5 กอง ที่ว่านี้แหละ แต่ละกองหรือขันธ์นี้ท่านเรียกชื่อว่า :-
1. รูป
2. เวทนา
3. สัญญา
4. สังขาร
5. วิญญาณ
ขออธิบายอย่างคร่าว ๆ ไว้ก่อนว่า แต่ละขันธ์นั้นหมายความถึงอะไร
รูป หมายถึงวัตถุที่เป็นแท่งก้อน ที่สายตาเรามองเห็น สิ่งที่เราจับต้องได้
เวทนา คือความรู้สึกที่เกิดกับเรา เช่น ได้เห็น , ได้ยิน , ได้ลิ้ม , ได้สัมผัส , ฯลฯ
สัญญา คือการจำได้ เช่นเห็นดอกไม้นี้ก็จำได้ว่าเป็นดอกกุหลาบเป็นต้น
สังขาร หมายถึงการปรุงแต่งของจิตใจ เช่น รัก , เกลียด , เบื่อ , เซ็ง , เป็นต้น
วิญญาณ หมายถึงธาตุรู้ เช่น ได้ยินเสียงรู้ว่าได้ยิน ตามองวัตถุก็รู้ว่าได้เห็น
ขันธ์ทั้ง 5 นี้ เกจิอาจารย์ท่านก็ได้จัดแบ่งให้ดาวเคราะห์ทั้ง 5 ดวงที่ว่ามาแล้วนั้นเข้าครองขันธ์แต่ละขันธ์ เพื่อทำหน้าที่ไปตามความหมายของขันธ์นั้น ๆ
ขันธ์ที่ 1 คือ รูป ให้ดาวพฤหัสบดีเข้าครองเป็นรูปขันธ์ รูปนี้ยังแบ่งเป็น 2 ประเภทอีก คือ รูปที่มีวิญญาณครอง และ รูปที่ไม่มีวิญญาณครอง รูปที่มีวิญญาณก็คือคนและสัตว์ทั้งหลายนี้แหละ และหมายถึง เนื้อ หนัง กระดูก ในร่างกายทั้งหมดจองคนและสัตว์นี้ด้วย ส่วนรูปที่ไม่มีวิญญาณก็คือพวกภูเขา ทะเล ก้อนหินก้อนกรวด แม้แต่ต้นไม้ก็ถืออยู่ในรูปนี้ด้วย เพราะต้นไม้ถึงจะมีชีวิตแต่ก็ไม่มีวิญญาณครอง
ในส่วนของโหราศาสตร์ เราก็จะใช้รูปที่หมายถึงคนเรานี่เท่านั้น พฤหัสบดีทำหน้าที่ครองส่วนที่เป็นรูป การตรวจดูถึงรูปกายหรือความสุขความทุกข์ของกายจึงต้องใช้ดาวพฤหัสบดีนี้เป็นตัวกำหนด เพราะรูปคนย่อมแตกต่างกัน เช่นบางคนดำบางคนขาว บางคนอายุสั้นบางคนอายุยืน บางคนขี้โรคแต่บางคนแข็งแรง อะไรเหล่านี้เป็นต้น
ขันธ์ที่ 2 คือ เวทนา ให้ดาวศุกร์เข้าครองเป็นเวทนาขันธ์ เวทนาคือความรู้สึกต่าง ๆ เป็นสุขเป็นทุกข์ ร่าเริงหรือซึมเศร้า จู้จี้ขี้บ่นหรือหงุดหงิดเก่ง วันหนึ่ง ๆ ของ คนเรามักประสบกับความรู้สึกหลายอย่าง แต่ส่วนที่มักจะเป็นสันดานอยู่ตามบุคคลนั้นจะต้องตรวจดูที่ดาวศุกร์หรือขันธ์ของดาวศุกร์ คนที่มีเวทนาขันธ์เสีย ก็มักจะเป็นคนทุกข์ คิดมากหมกมุ่นแต่ ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอะไรเหล่านี้เป็นต้น
ขันธ์ที่ 3 คือ สัญญา หมายถึงการจำได้หมายรู้ ให้ดาวพุธเป็นดาวประจำสัญญาขันธ์ คนที่มีสัญญาขันธ์เด่นมั่นคง จะเป็นคนที่มีความทรงจำดี หัวไว ปฏิภาณเด่น มีไหวมีพริบ บุคคลที่สัญญาขันธ์เสีย มักจะขี้หลงขี้ลืม ถูกหลอกลวงง่าย ไม่ทันคน ติดต่อกับใครไม่ค่อนสำเร็จ ถ้าเสียมาก ก็อาจจะเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ เสียจริตไปได้เลย
ขันธ์ที่ 4 คือสังขาร อันนี้ไม่ได้แปลว่าร่างกายอย่างที่เราเคยใช้กัน ในทางธรรมหมายถึงการปรุงแต่ง ปรุงแต่งอะไร ก็ปรุงแต่งอารมณ์ที่เวทนาทำให้เกิดขึ้นนั่นไง จะรักจะชังจะเบื่อจะเซ้งก็เจ้าตัวสังขารนี่แหละ จะทุกข์ จะสุขก็เจ้าสังขารนี่แหละ ด้วยเหตุนี้เจ้าสังขารจึงมักจะต้องทำงานหนักมาก ต้องคล่องแคล่วว่องไว ไม่งั้นจะทำงานไม่ทันกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุผลนี้กระมัง เกจิอาจารย์ท่านจึงมอบหน้าที่ให้ ดาวอังคาร เข้าครองประจำสังขารขันธ์ ฉะนั้นคนที่มีสังขารขันธ์เด่น จึงมักจะเป็นคนที่มีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว(อาจดีหรือชั่วก็ได้) แต่จะเป็นคนที่ผู้อื่นมองเห็นว่าเป็นผู้ที่มีศักยภาพสูง ตรงข้ามกับผู้ที่มีสังขารขันธ์เสงี่ยม จะมองเห็นว่าเป็นผู้ที่ศักยภาพต่ำ หรือเป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ไปเลย
ขันธ์ที่ 5 คือ วิญญาณ ที่มีความหมายว่าธาตุรู้ (ไม่ใช่วิญญาณที่ออกจำร่างเมื่อตายแล้วหรอกนะ) ดาวเสาร์รับหน้าที่ครองวิญญาณขันธ์ บุคคลที่มีวิญญาณขันธ์เข็มแข็ง ก็จะเป็นผู้ที่สมบูรณ์ในความรู้เรื่องของอวัยวะต่าง ๆ เช่นไม่พิการ เมื่อเรามองสิ่งใดเห็นชัด นั่นเป็นเพราะเรามี จักขุวิญญาณ ที่ดี คนตาบอดจะเป็นผู้ที่มีมีจักขุวิญญาณ หรือคนหูหนวกคือคนที่ไม่มีโสดวิญญาณเป็นต้น วิญญาณขันธ์จะทำหน้าที่จากภายในมาสู่ภายนอก เช่นทำให้เป็นคนช่างคิด ช่างฝัน เจ้าทุกข์ เงียบขรึม วิญญาณขันธ์จรเข้าภพมรณะวินาศน์กับลัคน์ก็ต้องระวังให้ดี จะทำให้ธาตุรู้บางอย่างเสื่อมลงไป อย่างนี้เป็นต้น
สรุปแล้วก็คือ เมื่อผูกดวงชาตาขึ้นมาแล้ว ก็ตรวจดูว่าสมผุสของลัคนาเจ้าของดวงนั้นอยู่ในขันธ์อะไร ก็จะทำให้จริตนิสัยของผู้นั้นเป็นไปตามขันธ์ดังกล่าว ตรวจดูว่าดาวประจำขันธ์นั้นมีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอ ครองภพอะไร สัมพันธ์ดีกับลัคนาหรือดาวนดวงอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลในการตรวจดวงได้เป็นอย่างดี
ความจริงแล้ว การใช้ ตฤมศำศ นี้ยังมีวิธีใช้อย่างอื่นอีก แม้แต่การใช้ในดวงจรก็นำมาใช้ได้ดี เท่านี้นำมาบรรยายให้รู้ในครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น โอกาสหน้าถ้ามีเวลาพอก็อาจจะนำมาบรรยายเพิ่มกันต่อไป
( คัดลอกมาจาก บทความของ อาจารย์ เศก ดุสิต ) |