ลักคเนย์
ลักคเนย์ วันนักขัตฤกษ์ จนสายแดดกล้าร่วม 10.00 น. ร้านกาแฟเจ้าโกมีลูกค้าคับคั่ง ทุกโต๊ะเต็มร้านเพราะเป็นวันหยุดราชการด้วยนายห้างเจ้าโกเดินเก็บเงินหน้าตายิ้มแย้มเบิกบานเป็นพิเศษ โต๊ะติดหน้าร้าน ใกล้ริมถนน สมาชิกเต็มโต๊ะเป็นครูเก่าหนึ่ง ครูใหม่หนึ่ง และข้าราชการอำเภอ คุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ ข้าวสารขึ้นราคาและการเดินขบวนและข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เสียงพูดคุยทางโต๊ะในร้านกาแฟชะงักหยุดเงียบลงทันควันเหมือนนัดกันหยุดพร้อมกันเพราะเสียงเอะอะสลับกับเสียงไชโยโห่ฮิ้วของคนจำนวนมากดังมาจากทางแยกที่จะเลี้ยวมาทางร้านกาแฟ ทุกคนในร้านกาแฟลุกออกมามุงแน่นอยู่หน้าร้านด้วยความสนใจครูเก่าและครูใหม่ที่นั่งโต๊ะหน้าร้าน พยายามแทรกคนมุงออกมาหน้าเพื่อน เพื่อจะดูเหตุการณ์ให้ถนัด พอหัวขบวนโผล่จากทางแยกเป็นวัวผู้สีน้ำตาลพ่วงพีล่ำสันเดินอย่างองอาจผ่าเผยมากลางถนนและที่องอาจยิ่งไปอีกก็คือคนที่นั่งหลัววัวไขว่ห้างทำโก้อย่างกับนั่งรถยนต์เก๋งชั้นดี ข้างหลังเป็นขบวนเด็กวัยสิบ ทั้งโห่ร้องป้องปากล้อวัว บ้างตีปีกปึงปังหวังจะให้วัวตื้นเพื่อจะได้ดูคนขี่วัวผจญภัย ทั้งครูก้อนและครูสมศักดิ์จำได้ก็อุทานเต็มเสียงพร้อมกัน เฮ้ย
หมอเถา เสียงสองครูดังจนได้ยินถึงหูหมอเถาที่นั่งอยู่บนหลัววัว ถึงกับเหลียวหน้ามาดูดีใจที่พบเพื่อนคู่หูจึงเหนี่ยวสายสนตะพรายให้วัวเลี้ยวตรงมาทางครูก้อนและครุสมศักดิ์พอวัวเข้าใกล้กลุ่มคนเด็กๆที่มุงอยู่ด้านหน้าก็แตกฮือวิ่งหนีอลหม่าน ให้ผู้ใหญ่พลอยหลบพัลวันเพราะไม่ไว้ใจเส้าสัตว์มีเขา กลุ่มเด็กที่ยกขบวนตาโห่ฮืวมาก็เข้าล้อมหน้าลอ้มหลังล้อเลียนร้อนจถึงครูสมศักดดิ์ต้องจัดการไล่เพราะล้วนแต่เด็กนักเรียนโรงเรียนครูสมศักดิ์ทั้งสิ้น จึงเชื่อฟังและแยกย้ายไปโดยดี นี่มันเกิดอะไรขึ้นหมดเถา ถึงได้ขี่วัวเป็นพระอินทร์ยังงี้ ครูก้อนถามปนเสียหัวเราะเพราะขำท่าทางของเพื่อน หมอเถายังนั่งไขว่ห้างอยู่บนหลังวัวท่าทางภูมิใจในพาหนะของตน บ๊ะ
ขี่วัวมันแปลกยังไง ผู้คนถึงแตกตื่นนักครูก้อนก็ยังพลอยแปลกกะเขามั่ง โธ่เอ๋ยหมอเถาดูสารรูปตัวเองเถอะมันน่าขำเพียงไหน ช๊ะๆฉันว่าสารรูปฉันมันเป็นพระเอกน๊ะครู พระเอกลูกทุ่งของไม้เมืองเดิมยังไงล่ะ หมอเถาลอยหน้าเถียงอย่างภาคภูมิ ทั้งครูก้อนและครูสมศักดิ์หัวร่องอหายจนหมอเถานึกกระดากทำทาเก้อเขินเสพูดเรื่องธุระ วันนี้วันหยุดตั้งใจจะมาชวนไปกุฏิหลวงตาคงจะมีแขกมาแยะคงมีดวงแปลกๆบ้าง หมอยังไม่ตอบเลยว่าทำไมถึงมาเป็นพระเอกขี่วัว ครูสมศักดิ์ถามอีกเพราะอยากรู้ เถอะน่ะ
หมอเถาตัดบท เรื่องมันยาวไว้ไปเล่าที่กุฏิหลวงตาดีกว่า ไปก็ไป หมอเถามีรถยนต์ตราวัวขี่ล่วงหน้าไปก่อนเถอะ ครูก้อนว่า ไปพร้อมๆกันก็ได้เหมอเถาเขยิบที่นั่งบนหลังวัวให้ ขี่มันไปพร้อมๆกันทั้งสามคนนี่เหละ ไม่ขอเดินไปเองดีกว่า ครูก้อนปฏิเสธ หันไปชวนครูสมศักดิ์ออกเดินไปก่อน หมอเถาก็กระตุ้นวัวเดินตามหลังไปติดๆ พอลับร้านกาแฟ หมอเถาเทียบวัวข้าไปใกล้ชวนอีก ขึ้นมาเถอะน่าครูมันนั่งสบายไม่หยอก หลังมันนุ่มยังกะเบาะยัดนุ่น ครูก้อนหยุดเหลียวหน้าเหลียวหลังเห็นลับตาคนก็ชักเปลี่ยนใจนึกสนุก เดินวนไปท้ายวัวแล้วก็ตัดสินใจปีนขึ้นไปนั่งและฉุดมือครูสมศักดิ์ขึ้นไปเป็นสาม หมอเถาสงสัยถาม เมื่อกี้ครูก้อนเดินไปตรวจท้ายวัวทำไมรึครู ครูก้อนตอบหน้าตาเฉย ดูว่ามันตัวผู้หรือตัวเมีย ถ้าเป็นตัวเมียมันจั๊กจี้หัวใจไม่กล้าขี่ ต่างหัวเราะกันครื้นแครงปล่อยให้วัวเดินไปตามสบายจนกระทั่งเลี้ยวเข้าสู่เขตวัด บนกุฏิหลวงตาชื้นขวักไขว่ด้วยผู้คนแขกเหรื่อตั้งแต่เวลาฉันเช้ามาแล้ว กระทั่งเหลือชุดสุดท้ายเป็นข้าราชการที่ย้ายมาใหม่ยังอ้อยอิ่งซักไซร้ไล่เลียงหลวงตาว่าจะเป็นใหย่ไปภายหน้าหรือไม่ จะร่ำรวยเห็นเศรษฐีหรือไม่ จะไม่ถามอยู่ก็เรื่องเดียว เรื่องว่าจะมีเมียน้อยหรือไม่เพราะคุณนายนั่งท้าวแขนฟังอยู่ด้วยห่างออกไปทางหอฉัน แขกประจำกุฏิคือศิษย์ทั้งสามเลี่ยงไปนั่งจับกลุ่มคุยกันคอยให้แขกว่าง ครูก้อนยังติดใจเรื่องวัวจึงถามต่ออีก หมอเถาว่าจะเล่าเรื่องวัวมันยังไงกัน หมอเถาสีหน้าหนักใจ เรื่องมันยังงี้ฉันทำสวนครัวไว้หล้งบ้านพอทุ่นค่ากับข้าวได้เก็บกินมาทุกวัน มาเมื่อเช้าวานซืนตื่นขึ้นก็พบเจ้าสองเขานี่เข้าไปอยู่กลางสวนเถาฟักแฟงแตงร้าน ที่อุตส่าห์รดน้ำทุกวันจนงอกงามมันกินเรียบไม่เหลือเลยสักต้นเดียว หมดคลังเสบียงก็คือฉันหมดตัวแหละ มันวัวใครก็ไม่รู้ฉันก็เลยยึดตัวมันไว้เป็นจำเลยเพื่อจะได้คิดค่าเสียหายกับเจ้าของมัน คอยแล้วคอยอีกก๋ไม่มีเจ้าของมาติดตามผูกมันไว้กับระเบียลงบ้านไปเที่ยวติดตามหาเจ้าของ ช๊ะ
พอกลับมาพบระเบียงบ้านพังไปอีกแถบหนึ่งเพราะมันดิ้น ที่หายไป 2-3 วันน่ะหยุดซ่อมบ้าน ครูสมศักดิ์แนะอย่างผู้รู้ ก็ไปแจ้งอำเภอเขาซี แจ้งแล้ว หมอเถาว่า ไปแจ้งตำรวจกองเมืองเขาก็รับแจ้งแต่เขาไม่มีห้องขังจำเลยวัว ตำรวจเขาให้มาเลี้ยงไว้รอเจ้าของไปไหนก็ต้องเอาไปด้วย ขืนผูกไว้บ้านก็คงพังทั้งหลัง ครูก้อนออกความเห็นมั่ง ก็มันกินของเรา เราก็มีสิทธิกินเนื้อมันเสียก็สิ้นเรื่อง โธ่ครูก้อนคิดเป็นยักษ์เป็นมารใครจะทำลง หมอเถาส่ายหน้าและจุ๊ปากรำพันคิด ถ้าเป็นวัวตัวเมียละก็ไม่ว่าเลย ยังจะพออาศัยประโยชน์ได้มั่ง เฮ้ย
หมอเถา ครูก้อนร้องอึกเสียงลั่น จนแขกของหลวงตาหันมามอง ครูก้อนจึงลดเสียงลงพอได้ยินกันสามคน แกจะคิดพิเรนเอาวัวทำปัตนิเรอะ อย่านา
ติดคุกเป็นปีทีเดียว ครูก้อนพูดลามก หมอเถาปฏิเสธทันควัน ฉันหมายนถึงว่าถ้าเป็นวัวตัวเมียยังจะพอรีดนมขายหาลำไพ่แทนค่าเสียหายได้บ้าง เออพ้นเคราะห์ปี ครูสมศักดิ์ถอนหายใจหายห่วง นึกว่าหมอเถาจะมีลัคนาราศีพิจิกเรือนปัตนิเป็นราศีพฤษภ วัว หมอเถาหัวเราะยิงฟันขาวเพราะถูกสัพยอกแล้วก็ระบายความทุ่กข์ในอกที่หนักใจอยู่ ถ้าไม่พบเจ้าของอีกพักเดียวฉันเจ๊งแน่ ทุกเช้าก็ต้องพาไปกินหญ้า ไปไหนก็ต้องหอบหิ้วไปด้วยนานเข้าเห็นจะต้องนิรโทษกรรมเจ้าวัวตัวนี้ เอามันไปปล่อยเสียให้พ้นๆหมดเวรกันเสียที แขกของหลวงตาได้เวลาลากลับ ต่างคนต่างกราบหลวงตาหน้าตายิ้มย่องผ่องใสเพราะคำพยากรณ์ต่างยกขบวนถอยจากชานระเบียงพากันลงจากกุฏิไป หมอเถาและครูก้อนและผู้ที่กำลังสมัครเป็นศิษย์ใหม่คือครูสมศักดิ์ก็ลุกจากหอฉันเข้ามากราบหลวงตา เออครบชุดดีจริง หลวงตาชื้นวิสาสะยิ้มแย้มอารมณ์ดี มากันแต่เช้ามีธุระอะไรด้วยหรือเปล่าล่ะ ไม่มีธุระคะรับ หมอเถาตอบแทนเพื่อน วันหยุดก็เลยมากราบเท้าหลวงตาคอยรับใช้ครับ หลวงตายิ้มถูกใจทั่งๆที่รู้ว่าถูกประจบ ปากหมอถามันประจบหวานยังงี้ไม่น่าอยู่เป็นโสดมาจนแก่เลย ครูสมศักดิ์เรียนถามหลวงตาถึงแขกที่เพิ่งจะกลับเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะเป็นข้าราชการอำเภอเพิ่งย้ายมาใหม่กระมัง ขอรับ ใช่
ครู ย้ายมาจากภาคกลางเป็นแผนกที่ดิน เวลาเกิดเขาไม่แน่ผูกดวงมาหลายแห่งไม่ค่อยยุติกัน เขาเองก็สงสัยอยู่ตลอดมา ถ้าเช่นนั้นก็คงมาสอบลัคนา ครูก้อนแอบมองดูดวงที่ยังเขียนอยู่บนกระดาน ก็คงจะทำนองนั้นแหละ หลวงตาพยักหน้าและชี้ดวงบนกระดาน ดูเอาซีครูสมศักดิ์ ครูก้อน และหมอเถาสุมหัวเข้าดูกระดานโหรพร้อมกันทั้งสามคน หลวงตาอธิบาย เขาจำผู้ใหญ่บอกแต่เพียงว่าเกิดเวลาบ่ายโมงเศษๆไม่รู้ว่ามันเศษเท่าใด ถ้าเศษน้อยลัคนามันก็อยู่ราศีมิถุน ถ้าเศษมันถึงครึ่ง ลัคนาก็สถิตราศีกรกฏ ครูสมศักดิ์เป็นคนคิดอะไรก็บไว้ในใจไม่อยุ่ก็ออกความเห็นตามที่ตนได้เรียนมรู้มาเดิม ผมว่าคงจะพอสันนิษฐานได้ไม่ยากนักรู้เวลาเกิดวางลัคนาคาบเกี่ยวเพียง 2 ราศีเท่านั้น หมอเถาและครูก้อนไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อนจึงไม่กล้าออกความเห็นได้แต่ยิ่งคอยฟัง หลวงตาชื้นนั้นพลอยพยักหน้าและซัก ครูสมศักดิ์จะสันนิษฐานยังไง ไหนลองอธิบายดูทีรึ ครูสมศักดิ์พูดออกไปแล้วจึงคิดว่าไม่ควรแสดงความรู้ต่อหน้าหลวงตาผู้แตกฉานจึงพนมมือไหว้ผมขออภัยที่พูดเพราะเห็นเขาเล่นๆกันอยู่อย่างแพร่หลายขอรับ เออ
พูดไปเถอะครูสมศักดิ์ หลวงตาตกปากอนุญาติ อย่างแผนกที่ดินนั้น น่าจะวางลัคนาเกิดไว้ราศีมิถุน คงจะเกิดไม่ถึงเวลาบ่างโมงครึ่งแน่ หมอเถากับครูก้อนนั่งอ้าปากฟังนึกนิยมครูสมศักดิ์ว่ารวอบรู้วิชาโหราศาสตร์พอตัวทีเดียวจึงหลอยซักถามบ้าง ครูสมศักดิ์ เอาเกณฑ์อะไรเป็นเครื่องพิสูจน์หรือ ดูรวดเร็วดี ก็เจ้าเรือนของเขานั่นแหละ ครูสมศักดิ์ภูมิใจที่มีความรู้เหนือเพื่อน ท่านแผนกที่ดินรูปร่างท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์และเตี้ยรูปร่างดาวพุธเจ้าเรือนราสีมิถุนชัดอยู่ ถ้าเกิดถึงบ่างโมงครึ่งก็ต้องราศีกรกฎรูปร่างน่าจะบอบบองแช่มช้อยเหมือนสตรีตามลักษณะของจันทร์อันเป็นเกษตรเจ้าเรือน ทั้งครูก้อนและหมอเถาฟังเหตุผลเข้าเค้าดีนึกเชื่อถือเป็นจริงแต่ยังไม่แน่ใจตรงที่ยังมิได้ฟังหลวงตาอธิบายเหตุผล ใจหนึ่งก็ยังมั่นใจว่าหลวงตามักมีของดึกว่าเสมอ แต่หลวงตามิได้คัดค้าน กลับถามเรื่อยๆ เป็นไปทุกราศีซีน๊ะครูสมศักดิ์ ขอรับ เขาเล่นกันเช่นนี้ ครูสมศักดืรับคำแบ่งรับแบ่งสู้เพราะไม่แน่ใจความรู้ของหลวงตาชื้นอยู่เช่นกัน ผมก็เลยเล่นตามๆเขาเรื่อยๆมา แล้วถ้ามันมีดาวลอยจากราศีอื่นมารวมกันอยู่ด้วยล่ะ เอาละสมมุตกันว่า ถ้าลัคนามาอยู่เรือนพุธมันอ้วนเจ้าเนื้อและถ้าเสาร์เข้ากุมมักรูปร่างผอมเกร็ง เราจะกำหนดเอาว่าอ้วนหรือผอมล่ะครูสมศักดิ์ ครูสมศักดิ์ชักเงอะที่ถูกซักเพราะตนมิได้ใช้จนช่ำชองนัก นอกจากจดจำเขามาแต่ต้นๆเหตุนั่นซีขอรับ ผมยังงงๆอยู่จึงอยากกราบเท้าหลวงตาขอราบเหตุผล เออ พอมันจนมุมเข้าก็โดดเกราะเอวหลวงตาเอาตัวรอดไปทุกที หลวงตาหัวเราะชอบใจแล้วหันไปทางหมอเถา ลองปัญญา หมอเถาล่ะคิดเห็นอย่างไง หมอเถาไตร่ครองมองหน้าเพื่อนตอบไม่แน่ใจนัก เสาร์รูปผอมเกร็ง พุธรูปอ้วนท้วน ผสมกันมันคงเป็นรูปกลางๆไม่อ้วนไม่ผอมสมส่วนกระมังคะรับ หลวงตาชื้นยิ้มชอบใจความคิดเหตุผลทื่อๆของหมอเถาและหันมาซักครุสมศักดิ์ต่อไปอีก อันรูปร่างทรวดทรงของคนนั้นมันเปลี่ยนได้ตามวัยและอาย เช่นบางคนเมื่อหนุ่มๆรูปทรงอ้อนแอ้นเอวเล็กเอวบาง พออายุมากเข้าก็อ้วนท้วนก็มีมาก ยิ่งผู้หญิงด้วยแล้วรูปร่างเปลี่ยนแปลงได้ง่าย พอมีลูกมีผัวแก่ตัวสบายอกสบายใจบ้างมีบุญมีวาสนามักเจ้าเนื้อทุกราย ครูสมศักดิ์เคยเห็นมาบ้างหรือเปล่าล่ะ ครูสมศักดิ์ชักไม่สบายใจ เคยเห็นขอรับ มีมากเสียด้วย ก็นั่นน่ะซี หลวงตาว่า ถ้าเปลี่ยนรูปทีมิต้องเปลี่ยนลัคนาให้มันตรงกับลักษณะของดาวตามราศีไปหรือครูสมศักดิ์ เอ๋ย ครูสมศักดิ์ ครูก้อน หมอเถา มองหน้ากันเองหาคำตอบ เพราะตัวเองมิได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้น ทั้งเป็นเหตุผลที่ค้านไม่ได้เสียด้วยทางที่ดีที่สุดคือนิ่งเฉยเสีย หลวงตาชื้นยังอธิบายในเชิงยกตัวอย่างต่อไปอีก อย่างเช่นเด็กเกิดมารูปร่างเล็กบอบบางหรือสูงใหญ่ ผิวดำ หรือผิวขาวก็สุดแต่พ่อแม่กรรมพันธุ์แห่งเขา ลูกแขก ลูกเจ๊ก ลูกไทยมนเหมือนกันยาก ครั้นเมื่อวางลัคนาตามเวลาเกิดเขาแล้ว รูปร่างเขาเกิดขัดกับรูปร่างตามลักาณะดาวประจำราศีจะว่าอย่างไรจะเปลี่ยนเขาตามรูปร่าง เวลาเกิดเขาแน่นอนก็ยันอยู่ ครั้นถ้าไม่เปลี่ยนก็ดูมันจะผิดตำราไป ครูสมศักดิ์จะทำอย่างไร ความคิดครูสมศักดิ์ขณะนี้เหมือนยอดไม้ต้องลม มันดอนเอนจนไม่รู้ทิศทาง นึกเสียใจว่าไม่ควรออกความเห็น ความคิดของหลวงตาคิดข้ามหัวไปทุกที ผมมิได้คิดค้นเหตุผลลึกซึ้งขอรับ ใช้แต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปคราวหนึ่งๆเท่านั้น หลวงตาท่านก็เทศนาชักเรื่องมาให้ฟังอีก เรื่องรูปร่างเหมือนลักษณะดาวประจำราศีนี่น่ะ ผัวเมียทะเลาะกันถึงขนาดเลิกกันก็มีหลายรายเพราะหมอดูเอาลักษณะดาวเจ้าเรือนปัตนิของเขามาทายรูปร่างของเนื้อคู่แท้ให้เขา อ้ายที่หนุ่มสาวยังไม่มีผัวเมียก็พอทำเนา ที่เขาได้เสียอยู่กินกัน แล้วรูปไม่สมตามคำหมอดูชักเกิดระแวงพอเมีเรื่องระหองระแหงมันพาลจะคิดเลิกกันทุกทีเพราะนึกอยุ่เสมอว่ามิใช่เนื้อคู่แท้ๆ ครูสมศักดิ์เคยคบหานักโหราศาสตร์มามากกก็ออกความเห็นอีกเพื่อลองหยั่งฟังเหตุผลของหลวงตาชื้น ผมเคยได้ยินมาว่าบางอาจารย์ท่านใช้วิธีวินิจฉัยลัคนาด้วยวิธีให้เจ้าชะตาเดินให้ดู คือถ้าเดินเหมือนแพะก็อยู่ราศีเมษตามสัญลักษณ์ของราศี ถ้าเดินเหมือนวัวก็ราศีพฤษภ ถ้าเดินเหมือนมนุษย์ก็ราศีมิถุน หมอเถาเกิดเรืองปัญญาคิดเหตุผลซักมั่ง อ้ายราศีเหล่านั้นพอจะเป็นไปได้หรอกครูสมศักดิ์ แต่ราศีกรกฏมิต้องเดินให้เหมือนปูเร๊อะ คนเรามันจะเดินยังไง เดินเขาข้างๆไป ก็นั่นน่ะซี ครูก้อนชักมองเห็นขึ้นมาบ้าง พอถึงราศีตุลย์กับราศีกุมภ์ยิ่งยุ่งใหญ่เดินให้เหมือนตาชั่งหรือหม้อน้ำ มันจะเดินกันอีรูปไหน ผมมองไม่เห็นเลย ครูสมศักดิ์เสียแต้มจนหน้าแดงรีบออกตัว ผมก็ไม่เห็นด้วยแต่ไม่ทันคิดเหตุผลถี่ถ้วน หมอเถาหันไปหาหลวงตาพนมมือตามนิสัย คนเก่าๆมักเกิดจำเวลากันไม่แม่นยำเพราะมิได้จดกันเป็นโมงเป็นนาทีเหมือนคนสมัยนี้มักจะประมาณๆกันเอาตามเวลาที่สังเกตได้ นาฬิกาก็มักไม่มีทุกบ้านหรือถึงจะมีก็มักไม่ใคร่เที่ยงตรงคงเส้นวากันนัก จะวินิจฉัยอย่างไรคะรับ ถ้าเวลามันคาบเกี่ยวราศีกันหลวงตากรุณาให้ความรู้พวกกระผมด้วย วันหน้าไปดูเขาผิดๆถูกๆจะเสื่อมเสียถึงครูบาอาจารย์ ช๊ะๆหมอเถา พูดเป็นวัวพันหลักมาขู่ข้าได้ หลวงตาชอบอกชอบใจคารมหมอเถา คนโบราณเขาบอกเวลาเกิดกัน ก่อนเพลบ้าง เวลาควายกลับคอกบ้าง พระบิณฑบาตบ้าง ไม่ใคร่รู้โมงยามกันหรอก ถ้าเขาไม่มีทางพิสูจน์เขาก็ทำนายทายทักกันไม่ได้ เขามีวิธีของเขา ถึงตอนสำคัญหลวงตากับหยุดนิ่งเสียหันไปรินน้ำชาดื่มและจุดบุหรี่ใบตองในกล่องสูบ หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์คอยจ้องฟังตอนสำคัญ จะเตือนก็ไม่กล้า นิ่งกันไปพักใหญ่เหมือนลองใจศิษย์ หลวงตาจึงเอ่ยขึ้นเป็นปริศนาลายแทง มันต้องกำหนดเอาสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยากเป็นเครื่องกำหนดราศีแห่งลัคนาเขา แม้จะมีอายุขัยเท่าใดก็ตาม ท้งสามศิษย์มองหน้ากันเองใช้ความคิดตามคำของหลวงตาก็คิดไม่ออกเช่นเดิม หมอเถารำพึงอ่อยๆ ขึ้นชื่อมนุษย์ อะไรๆมันก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอคะรับ สันดาน ซีว๊ะมันเปลี่ยนยาก สันดานคนบางคนตั้งแต่หนุ่มจนแก่ไม่เปลี่ยนเลยก็มี หลวงตาไม่ทันใจความฉลาดของลูกศิษย์จึงบอกตรงๆไม่อ้อมค้อมอีก ตัวตนุเศษนั่นและคือความคิดนิสัยจิตใจที่แสดงออกให้เรารู้ได้ชัดกว่าอย่างอื่น ม่ายเช่นนั้นโบราณท่านจะวางตนุเศษไว้ทำไม เรามันไม่ใคร่ใช้กันปล่อยละเลยเสียมาก บางคนไม่เห็นประโยชน์เลยไม่หาเสียเลยก็มี ครูสมศักดิ์รีบซัก อย่างเช่นดวงของท่านแผนกที่ดินล่ะขอรับหลวงตา ลัคนาอยู่ราศีไหนขอรับ หลวงตาชี้ตำแหน่ง ลัคนาบนกระดาน ถ้าลัคนาอยู่ราศีมิถุน ตนุเศษก็จะเป็นพุธ อุปนิสัยแห่งพุธก็คือ เชาว์ไว อารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่ายรวดเร็วประทับใจ ฝังใจครู่เดียวก็ลืม ชอบสังคมคบหาเพื่อนฝูง มีความคิดความอ่านคล้อยตามคนอื่นๆได้ง่าย ชอบเล่าเรียนศึกษาเป็นคนใช้การเจรจาตกลงประนีประนอมมากกว่าหักหาญรุนแรง นี่เป็นนิสัยตามลักษณะดาวพุธ ถ้าลัคนาอยู่ราศีกรกฎตนุเศษก็จะเป็นอาทิตย์ หมอเถานับราศีหาตนุเศษแทน หลวงตาชื้นก็อธิบายต่อ ถ้าตนุเศษเป็นอาทิตย์ลักษณะนิสัยแห่งอาทิตย์ก็คือตำหนิหรือสั่งสอนแนะนำสิ่งใดตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใคร ใจกว้าง มักมีอุดมคติถือคำมั่นสัญญา ทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง เออมันแยะนักรู้แต่ย่อๆเถอะ ครูสมศักดิ์ยิ้มหน้าบานมองเห็นตลอด จริงอย่างหลวงตาแนะนำขอรับ เป็นพระเดชพระคุณที่สุด แล้วครุสมศักดิ์ว่าท่านที่ดินจะมีลัคนาอยู่ราศีไหนล่ะดูเอาเอง หลวงตาโยนกลองไปให้ ผมว่าอยู่ราศีกรกฏขอรับ เพราะเคยทราบนิสัยอยู่บ้าง ครูสมศักดิ์กำหนดอย่างมั่นใจ แต่ก็อดถามหลวงตาไม่ได้ หลวงตาวางลัคนาเขาไว้ราศีไหนขอรับ เออ
ก็ราศีกรกฏนั่นแหละถูกแล้ว หลวงตาบอกแล้วหัวร่อชอบใจ เจ้าสามคนนี่แหละไปยกอาหารมาใกล้เพลแล้ว ฉันแล้วจะไปเยี่ยมท่านเจ้าอาวาสสักหน่อย ท่านอาพาธไม่มีเวลาคุยด้วยเสียแล้ว
พินทุบาทว์
พินทุบาทว์ เช้าวันอาทิตย์ราชการก็หยุดและโรงเรียนก็ไม่ต้องสอนจตึงเป็นอาสวันว่างของครูสมศักดิ์จึงตื่นแต่เช้าชวนครูก้อนซึ่งบ้านอยุ่ห่านกันเพียง 3 หลังคาเรือน ออกไปกินกาแฟเช้าที่ร้านเจ้าโกด้วยกัน พอแดดจัดก้ชวนกันเดินกลับเลียบเรื่อยมาตามทางที่ร่มรื่นด้วยสาขาไม้ใหญ่สองข้างทาง พอพ้นทางแยกถึงเขตเวนคืนเพื่อนสร้างตัวอำเภอใหม่ ซึ่งเป็นสุมทุมพุ่มไม้รกเพราะยังมิได้ก่อสร้าง ครูสมศักดิ์เป็นคนตาไว สะกิดครูก้อนให้ดุตามมือชี้ไปที่คูใหญ่ข้างทาง ภาพที่ครูก้อนเห็นก็คือ ชายหนึ่งรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์กำลังก้มๆเงยๆอยู่ริมคูน้ำ แม้เห็นข้างหลังก็จำได้ถนัดว่าเป็นเพื่อนเกลอ หมอเถานั่นเอง จึงเกิดอารมณ์สนุก จูงมือครูสมศักดิ์ค่อยๆแอบย่องเข้าไปข้างหลังไม่ให้หมอเถารู้ตัวพอชิดตัวครูก้อนก็แกล้งตะเบ็งเสียงตวาด ขโมย หมอเถากำลังเพลินอารมณ์ไม่รู้หนเหนือหนใต้ อารามตกใจผวาจะโดหนีลงน้ำเคราะห์ดีครูสมศักดิ์เหนี่ยวแขนไว้ทันควันจึงรอดเปียกไป พอเหลียวเห็นหน้าคนร้องขโมยเต็มตา หมอเถาฉุนกึกเพราะรู้ว่าถูกแกล้ง ผ่าเถอะครูก้อนเล่นพิเรนพรรณนี้เดี๋ยวพ่อด่าเจ็บๆ เสียหรอก ครูก้อนหัวเราะยิงฟันขาวชอบใจยังขำท่าทางหมอเถาตกใจจะโดดน้ำหนีลงคู ทำอะไรอยู่ว่ะ หมอเถา หมอเถาถูกถามนึกขึ้นได้ก็เอามือทั้งสองไพล่หลังบังตัวไว้ ทำหน้าพิรุธยิ่งถูกครูสมศักดิ์ถามซ้ำเข้าอีกก็พูดแก้ตัวเก้อๆ ยืนดูน้ำในคูเล่น ช๊ะ ๆ หมอเถาชมวิว ครูก้อนพูดปนเสียงหัวเราะ ครูสมศักดิ์ถึงแม้จะไม่คุ้นเคยแต่ก็อดสัพยอกไม่ได้ หมอเถามีอะไรดี ๆ รึ ถึงต้องซ่อนไว้ข้างหลัง ขอดูหน่อยเถอะ ทีท่าหมอเถาเก้อ ๆ อายๆ แต่ก็ต้องจำใจเอามือที่ไพล่หลังชูให้ดูเป็นยอดผักบุ้งน่ากินกำใหญ่ ครูก้อนรู้ท่าอยู่แล้วจึงได้แต่หัวเราะเฉยๆ แต่ครูสมศักดิ์อยากรู้อยากเห็นยังวักต่อไปอีก กะอีเก็บผักบุ้งก็ต้องปิดบังด้วย หมอเถาจะเอาไปเลี้ยงกระต่ายรึ เปล่า
หมอเถาปฏิเสธแล้วก็อึกอัก ครั้นจะตอบตรง ๆ ว่า เอาไปกินเองก็นึกอาย ครูก้อนเลยเปิดโปง ดูหน้าหมอเถาซิ เขียวขึ้น ๆ จนจะเป็นพระอินทร์อยู่แล้ว เพราะกินผักบุ้งทั้งเช้าทั้งเย็นทุกวันนี่แหละ หมอเถาฝันทำหน้าหัวเราะเป็นเรื่องสนุก แต่นัยน์ตาที่มองครูก้อนเขียวปัด เลยดูไม่ออกว่าหมอเถาหัวเราะหรือแยกเขี้ยวโกรธ ครูสมศักดิ์หัวเราะไม่ออก เพราะนึกเวทนาความยากจนของหมอเถา ที่ต้องหาทางประหยัดเอาตัวรอด จัดแจงคว้าข้อมือดึงขึ้นมาบนตลิ่ง ไปบ้านผมด้วยกันก่อนเถอะ หมอเถา เช้าวันนี้แม่บ้านผมทำขนมจีนน้ำยาและห่อหมกขอเลี้ยงข้าวเช้าหมอเถาสักวัน ทั้งครูก้อนด้วยอย่าปฏิเสธนะ เสร็จแล้วสายๆจะได้ไปเยี่ยมหลวงตาพร้อมๆกัน หมอเถายังลังเล ครั้นจะรับปากง่ายๆ ก็เกรงว่าเขาจะว่าตะกละและครูก้อนสนับสนุน ไปน่ะหมอเถา ไปรับสังฆทานครูสมศักดิ์เขาหน่อย ครูสมศักดิ์ออกเดินนำหน้า ครูก้อนก็รุนหลังหมอเถาบอก ผักบุ้งน่ะทิ้งเสียทีซีหมอเถา ถือเอาไปประจานตัวเองอีกทำไมนะ หมอเถาหันรีหันขวาง ใจแม้ยังเสียดายแต่ก็ต้องจำใจแอบเข้าไปข้างทาง บรรจงวางผักบุ้งไว้เรียบร้อยอย่างทนุถนอม ครูก้อนเร่ง โธ่ โยนทิ้งลงคูไปก็สิ้นเรื่อง จะต้องร่ำลาอาลัยอาวรณ์กันอีก หมอเถาเถียงว่า โธ่ ผักบุ้งนี่คือผู้มีพระคุณนะ ครูสมศักดิ์ออกเดินนำ ได้แต่ยิ้มๆ ไม่กล้าสัพยอก เพราะเกรงจะกระเทือนน้ำใจเพื่อนผู้มีฐานะยากจนกว่า กุฏิหลวงตาชื้น วันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการมักจะมีแขกมาไม่ขาด ตั้งแต่เช้าสายเรื่อยไปจนบ่ายเย็นตลอดวัน วันนี้เช่นกัน พอสามเกลอหมอเถา ครูก้อน และครูสมศักดิ์ย่างขึ้นกุฏิ ก็สวนทางกับแขกกลุ่มหนึ่งกำลังจะกลับสวนทางลงกุฏิไป ทั้งสามคนเข้าไปกราบเคารพและทำหน้าที่ศิษย์วัด ช่วยกันจัดแจงเก็บข้าวของที่แขกถวายแอบข้างฝาไว้ ถาดหนึ่งเป็นนมกระป๋องและโกโก้โอวัลติน หลวงตาห้ามไว้ไม่ต้องยกไปเก็บ และเลื่อนส่งมาตรงหน้าคนทั้งส่าม เอาไปแบ่งกันกินเถอะ ของเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์แก่อาตมาเลย ทำไมเล่าคะรับหลวงตา หมอเถามองของคิดเสียดาย หลวงตาชื้นตอบว่า อาตมาชราแล้วสังขารมันไม่รับอาหารบำรุงพวกนี้หรอกปล่อยให้มันร่วงโรยหล่นไปตามอายุขัยแห่งสังขารของมันเถิดไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้ฝืนความแก่ความตายไว้อีกหรอก ครูสมศักดิ์ขยับจะค้านก็ถูกหลวงตาโบกมือห้ามไว้และท่านพูดต่อ ที่สำคัญอาหารพวกนี้เปิดขึ้นก็ฉันวันเดียวไม่หมดเสียของเปล่าๆ เพราะเก็บไว้ฉันวันอื่นๆก็ผิดพระวินัย เพราะเป็นยาวกาลิกอันต้องห้ามแก่สงฆ์ ครูสมศักดิ์เพิ่งจะรู้จักหลวงตา จึงแปลกใจทั้งศรัทธาในวัตร์และปฏิปทาที่ท่านปฏิบัติ หมอเถาเก็บกวาดของอื่นๆ แล้วก็มาถึงกระดานโหรที่ยังวางอยู่ข้างหน้าหลวงตารอยดินสอท่านเขียนดวงชะตาของแขกที่มายังปรากฏอยู่ จึงก้มดูดวงพินิจพิเคราะห์ตามนิสัย ทั้งครูก้อนและครูสมศักดิ์ก็กระเถิบเข้าไปใกล้รุมดูด้วยกันทั้งสามคน เป็นดวงผู้หญิงที่เขามาดูเมื่อกี้นี้ มาดูเรื่องเนื้อคู่ หลวงตาบอกศิษย์ให้ฟังและปลงสังเวชตามอารมณ์สมณะ หญิงก็ใฝ่แต่จะมีผัว ชายก็ใฝ่จะมีเมีย เออหนอคนเรามันดิ้นรนตะเกียกตะกายวิ่งแข่งกันลงนรกแท้ๆ ไม่กลัวเกรงกันเลย ครูสมศักดิ์แม้จะไม่เห็นด้วยกับทัศนะของหลวงตาชื้นแต่ก็ไม่กล้าคัดค้าน นิ่งมองดูดวงชะตาในกระดาน และอดออกความเห็นตามวิสัยนักโหราศาสตร์มิได้ ดวงนี้เห็นทีจะผิดหวังเรื่องเนื้อคู่นะขอรับ เพราะดวงนี้เสาร์เล็งลัคน์ เป็นพินทุบาทว์เข้าตำราทีเดียว ครูก้อนแอบสะกิดเพื่อนทั้งขยิบตาห้ามหลวงตาไม่ทันเห็น เพราะมัวหันไปพยักหน้ากับหมอเถา หมอเถาล่ะ จะว่ากระไร หมอเถาอ้ำอึ้งเพราะเรื่องพินธุบาทว์นี้ ตนเคยถูกตอกหน้ามาหลายครั้งหลายคราวจึงตอบเลี่ยงๆ พอเอาตัวรอดไว้ก่อน ผมขอตรวจดูก่อนคะรับ ยังไม่ใคร่มั่นใจ หลวงตาหันไปทางครูก้อน โคลงพินทุบาทว์เขาว่าอย่างไร ครูก้อนลองท่องให้ฟังดูทีรึ ครูก้อนท่องโคลงทั้ง 2 บท ฉาดฉานไม่ติดขัด
เสาร์เพ่งเล็งลัคน์แล้ว อสุรา ภุมเมศอัษฎา ว่าไว้ จันทร์สิบเอ็ดแก่รา- หูเล่า อาภัพอัปภาคย์ให้ โทษแท้ประเหินเห็น ระวิภุมมะ ทั้งโสรา ปัญจะแก่ลัคนา พุธเก้า จันทร์กับชีวา เป็นแปด ศุกร์เจ็ดอาจารย์เจ้า ว่าร้อนนิรันทร์ เออสมเป็นครู จำแม่นและอ่านทำนองเสนาะเสียด้วย หลวงตาชื้นชมแล้วก็หันไปทางครูสมศักดิ์ พิทุบาทว์นี้พวกโหรทางกรุงเทพฯเขาเล่นกันอย่างไรครูสมศักดิ์ ครูสมศักดิ์ซึ่งถูกครูก้อนสะกิดไว้เมื่อครู่จึงตอบระมัดระวังขึ้นเพราะยังอ่านใจหลวงตาไม่ออกว่าจะไปทางไหน พูดยากขอรับ บางอาจารย์ท่านก็ถือเคร่งครัดตามโคลงของเก่า ท่านถือเป็นดวงแตกทายเรือนปัตนิเสีย เป็นโทษแน่นอนไม่มีข้อยกเว้น บางอาจารย์ท่านก็ไม่ถืออ้างว่าดวงคุณหญิงคณนายหรือที่มีศักดิ์สูงๆมีพินทุบาทว์เล็งลัคน์ก็ไม่เห็นเป็นโทษอะไร ดูขัดแย้งกันอยู่มีข้อทุ่มเถียงกันบ่อยๆผมเองก็ตัดสินใจไม่ถูก เพราะบางทีก็เห็นมันร้าย บางทีมันก็ไม่ร้าย หมอเถาเลยรวบรัดเอาง่ายๆ ผมอยากให้หลวงตาอธิบายเพราะผมเองก็ยังงงๆเรื่องนี้และถูกหลวงตาดุบ่อยๆ ครูสมศักดิ์ได้ทีพนมมือแต้ ผมขอทานวิชาตอนนี้สักครั้งเถอะขอรับ หลวงตากรุณาอธิบายเอาบุญกับผมทั้งสามด้วย อาตมาเป็นพระบ้านนอก เล่าเรียนวิชาโหราศาสตร์กับครูบาอาจารย์ในวงแคบๆอธิบายได้แต่คำครูบาอาจารย์ที่สอนมาให้ฟังได้เท่านั้น ที่จะวิจารณ์ว่าใครผิดใครถูกอย่างไรนั้นปัญญาไม่ถึงแน่ เอาแต่เพียงฟังไว้ประดับสติปัญญาเพื่อค้นคว้าต่อไปละก็ได้ อย่าเอาไปหักล้างคนอื่นเขาเลย ครูสมศักดิ์พนมมือไหว้อีกรับคำ นึกดีใจเพราะเล่นโหราศาสตร์มาหลายปี แสวงหาคำอธิบายมาไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ใด หลวงตานั่งตัวตรงตั้งใจอธิบาย อันโคลงของเก่าตำราเก่าเขาคงไม่ผิดดอก อาจารย์เก่าท่านคงไม่ใจร้ายเขียนไว้หลอกคนเล่น แต่ท่านเขียนไว้แต่ตัวโคลงสั้นๆเราคนรุ่นหลังไม่เข้าใจเจตนาของท่านเหมือนตำรายาเขียนไว้ ถ้าไม่บอกน้ำกระสายสรรพคุณก็ไม่ขลัง หมอเถาเป็นหมอยาถูกใจ จริงแท้คะรับหลวงตา ตำรายาเก่าๆเขียนไว้ในสมุดข่อยมากมาย แต่ซ่อนตัวน้ำกระสายไว้ไม่บอกเอามาใช้ไม่ได้ผลมากต่อมาก หลวงตาหัวร่อชอบใจที่ศิษย์คอสองสนับสนุน กฎเกณฑ์พินทุบาทว์นี้ จะเล่นดาวโดดๆดวงเดียวแสดงโทษไม่ได้ จะต้องใช้ร่วมกับหลักเกณฑ์โหราศาสตร์ คือ อำนาจดาวอำนาจของเจ้าเรือนเดิมเขาเสียก้อน จึงค่อยพิจารณาถึงจุดพินทุบาทว์ เพื่อรู้ว่าโทษนั้นๆจะเกิดสถานใดหนักเบาเพียงใด ครูสมศักดิ์ตั้งอกตั้งใจฟังแทบจะลืมหายใจ เห็นหลวงตาหยุดก็รีบซักต่อถึงความข้องใจของตนอีก คำว่าพินทุบาทว์เป็นจุดชั่วจริงไม๊ขอรับ จริงแล้ว หลวงตารับคำ ชื่อมันก็บอกอยู่ตรงตัวพินทุ แปลว่า จุดหรือตำหนิหรือมลทินบวกคำว่า อุบาทว์ เข้าก็แปลว่า จุดชั่ว นั่นเอง แต่ไม่ใช่เป็นพินทุบาทว์แล้วจะชั่วร้ายเสียหายหมดก็หาไม่ มันเป็นจุดอันตรายที่พึงระมัดระวัง เหมือนจุดเปราะจุดร้าวฉานอยู่มีอะไรไปกระทบกระทั่งเข้า ผลร้ายมันก็จะเกิดโดยง่ายกว่าเรือนอื่นๆบางท่านพยากรณ์เป็นจุดเสียหายมาก ถึงกับมีผัวมีเมียไม่ได้หรือมีได้ก็เลวทรามต่ำช้าหมด อาจเป็นเพราะเข้าใจคำว่า พินทุบาทว์ เป็น ภินทุบาทว์ คำว่า ภินทุ แปลว่า แตกพังทำลาย หลวงตาหยุดรับถ้วยน้ำชา ที่หมอเถารินประเคนให้ดื่มอึกใหญ่จนหมดถ้วย หยิบกล่องบุหรี่มาจุดสูบให้อารมณ์ปลอดโปร่งแล้วท่านก็เลื่อนกระดานโหรมาตรงหน้า อย่างเช่นดวงนี้ต้องเกณฑ์พินทุบาทว์เพราะเสาร์เล็งลัคน์ก็มีโทษอยู่ แต่มิได้ร้ายแรงอย่างที่เข้าใจกัน ครูสมศักดิ์ลองอ่านดูตามทางเรือนเขา เสาร์เป็นเจ้าเรือนกดุมภะไปเล็งลัคน์ดาวเสาร์มีความหมายว่าเตระหนี่ถี่ถ้วยพิถีพิถันจู้จี้ เมื่อไปเป็นพินทุบาทว์ในเรือนปัตนิก็ได้เป็นไปตามชีวิตของเธอแล้ว คุณผู้หญิงคนนี้เธอช่างเลือกพิถีพิถันในเรื่องคู่ครองนักหนา มีคนมาสู่ขอหลายรายไม่ชอบใจ จะเลือกเอาคนมีฐานะมีทรัพย์สินร่ำรวย เลยค้างเติ่งมาจนอายุ 30 เป็นสาวแก่ และเมื่อเสาร์มีความหมายว่า เก่า,แก่,นาน เมื่อมาอยู่ในเรือนปัตนิเห็นทีจะได้ผัวแก่แน่ เห็นไหมว่าเอาเจ้าเรือนและความหมายของดาวเข้าอ่านร่วมกฏพินทุบาทว์มันได้ความเหมือนอ่านหนังสือและอีกทางหนึ่ง ให้พึงดูเจ้าเรือนปัตนิของเขาว่าไปตกอยู่ในภพคุณ ภพโทษอย่างใดกับลัคนาซึ่งจะรู้ได้ว่าเมื่อมีเรือนมีคู่แล้วจะเกิดคุณโทษสถานใดเป็นผลสุดท้าย ครูสมศักดิ์ซึ่งมิได้เคยรับคำอรรถาธิบายอย่างแตกฉานเช่นนี้มาก่อน ปิติปลาบปลื้มดีใจเหลือหลาย รีบก้มลงกราบหลวงตาชื้นจนหน้าผากกระทบพื้นกระดานดังกึก เป็นพระคุณที่สุดขอรับ ผมจะจดจำไว้ไม่รู้ลืมเลย ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ หลวงตาชื้นเอ่ยขึ้นอีก คำครุบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่าพินทุบาทว์ดาว 3 ดวง คือ เสาร์ ราหู และศุกร์นั้น ทุกข์โทษย่อมต่างกันตามสภาพแห่งดาว เช่น เสาร์ ย่อมทำให้เกิดโทษทุกข์ทางใจเกาะกินเนิ่นนานหมือนไฟสุมขอน ถ้าราหูเป็นพินทุบาทว์ท่านว่าจะเกิดโทษเพราะมัวเมาเห็นผิดเป็นชอบ ทำผิดทำนองคลองธรรมจึงเกิดโทษแท้ประเหินหีน ส่วนศุกร์เป็นพินทุบาทว์ ย่อมจะหลงระเริงความสนุกสนานด้วยกามกิเลศ จนเกิดโทษ ร้อนนิรันดร์ตามโคลงท่านว่าไว้ ครูสมศักดิ์และครูก้นหน้าบานดีอกดีใจที่ได้ความรู้ แต่หมอเถากลับมีสีหน้าเศร้าเพราะคิดคำนึงถึงตัวเอง ต้องเป็นโสดมาจนจะแก่ตาย ไม่รู้ว่าดวงตัวเองจะมีพินทุบาทว์หรือไม่ เพราะพ่อแม่จำเวลาเกิดไม่ได้และนึกเอาเองว่าถ้ามีพินทุบาทว์ ก็คงเป็นดาวมฤตยูเป็นแน่แท้ มันจึงดับสูญเรื่องคู่ถึงเพียงนี้ เสียงกลองเพลดังตูมๆ และดังเป็นจังหวะถี่เข้าจนเงียบไป เป็นสัญญาณว่าการสนทนาจะต้องสิ้นสุดลง เพราะเป็นเวลาฉันเพลของหลวงตา แต่กระนั้นหลวงตาชิ้นก็พูดสำนวนทิ้งท้ายเตือนใจครูสมศักดิ์ไว้ให้คิดว่า ที่อาตมาพูดให้ฟังนี้เขาเรียกว่า ความรู้นอกคอก คือถ้าเรียนรู้อยู่แต่ในคอกก็จะพบแต่หญ้าแห้งและฟางแห้งเป็นพื้น หญ้าสดหรือของดีๆมันอยู่นอกคอกทั้งนั้น แต่รับรองได้ว่าไม่ นอกครู เพราะมีครูบาอาจารย์สั่งสอนไว้ทั้งสิ้น.
--------------------------------------------------------------
ดาวบุพกรรม
ดาวบุพกรรม
งานทำบุญบ้านนายอำเภอ ซึ่งเป็นปกติของผู้มีอำนาจวาสนาแม้จะไม่มีการ์ดบอกกล่าวเชิญแต่พอตกบ่ายแดดร่มลมตก แขกเรื่อก็มากันเองมากมาย บ้านที่อยู่เป็นบ้านหลวงเล็กอยู่แล้วยิ่งคับแคบไปอีก เมื่อแขกมากันจนเต็มห้องรับแขก และล้นออกมาถึงระเบียง ลามจากระเบียงลงไปสู่สนามหญ้าหน้าบ้านจนเก้าอี้เตรียมไว้รนับรองไม่พอนั่ง แขกต้องยืนคุยกันเองเป็นกลุ่มๆ อันที่จริง จะถึงวันเกิดในวันรุ่งขึ้น ครั้นจะทำบุญวันเกิดโดยตรงก็จะเป็นงานใหญ่และอาจเกิดครหา เพราะฐานะหน้าราชการนายอำเภอเป็นตำแหน่งซึ่งเกือบจะใหญ่ในจังหวัด จึงจัดเป็นงานทำบุญบ้านโดยวันนี้นิมนต์พระสงฆ์สวดมนต์เย็น และรุ่งขึ้นจึงนิมนต์สงฆ์ชิดเดิมฉันเช้าอันเป็นธรรมเนียมทำบุญแบบเก่าซึงสิ้นเปลืองมากในปัจจุบัน จึงใช้วิธีลัด คือ สวดบ่าย สวดมนต์เย็นถวายจตุปัจจัยไทยทานแล้วก็เลิกกัน หลวงตาชื้นซึ่งเป็นที่นับถือของนายอำเภอและคุณนายมานานส่งคนไปนิมนต์และรับตัวมาตั้งแต่บ่าย ก่อนเวลาสวดมนต์ท่านนายอำเภอได้จัดห้องพราะเป็นที่พักเพราะสงบไม่พลุกพล่าน หลวงตาชื้น นั่งบนอาสนะกลางห้องและศิษย์วัดผู้ติดตามก็คือหมอเถา ซึ่งแต่งกายอย่างพยายามให้เรียบร้อยที่สุด นั่งพับเพียบเรียบร้อยสำรวมกิริยา คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆมีแต่ญาติๆและคนใกล้ชิดนายอำเภอนั่งอยู่เบื้องหน้า มีแขกพิเศษผู้หนึ่งเดินแหวกกลุ่มสนทนาเข้ามาอย่างอาจหาญไม่เกรงใจผู้ใดทั้งสิ้น ตรงเข้ามาหาหมอเถา กอดคอทักทายสนิทสนม หมอจ่า
รอบวงสนทนาหัวเราะกันคิกคักทั้งหญิงชาย หมอเถาพลอยหัวเราะไปด้วย แต่ก็อดเก้อๆกระดากมิได้ หมอเถาเอานิ้วชี้จิ้มหน้าอกเด็กชายน้อยๆอายุ 2 ขวบเศษ ซึ่งหมอเถาอุ้มร้องเพลงยี่เกกล่อมมาก่อน เมื่อครั้งแม่เจ้าหนูน้อยหลอกทิ้งไว้ให้ที่กุฏิหลวงตาเมื่อ 2 ปีก่อน จนต้องยกให้เป็นบุตรบุญธรรมนายอำเภอ นี่ พ่อคุณบุญเกื้อ บอกแล้วว่าอย่าเรียก หมอจ๋า ให้เรียกลุงหมอหรือไม่ก็ถือเป็นเพื่อนกัน เรียกหมอเฉยๆก็ได้ เด็กน้อยแววตาลาดหัวร่อร่า เรียกหมอเหมือนเรียกเพื่อนเล่น เหรอ เออ
คะรับ หมอเถานึกว่าตัวเองฉลาดที่ล่อหลอกเด็กได้ ไหนเรียนใหม่ซิต้องเรียกคะรับด้วยน๊ะ ไอ้หมอเถาครับ เด็กเรียกชัดถ้อยชัดคำ หมอเถาร้องเอิ๊บ กลับหนักเข้าไปอีก โธ่ ทำไมเรียกยังงั้น เด็กน้อยตอบซื่อ ๆ ฉันเรียกเพื่อน ไอ้ ทุกคนนี่ หมอเถาเสียท่าเด็กเกาหัวแกรก มองหน้าใครๆที่นั่งอยู่ เขายิ้มขบขันกันทุกคน โธ่..พ่อบุญเกื้อเอ๋ย มันน่าเปลี่ยนชื่อเป็นพ่อบุญเหลือ เหลือรับทานๆจริง พี่เลี้ยงคลานเข้ามา จูงข้อมือให้ออกมาเพราะเกรงบ่อนแตกพอแยกตัวได้ ก็บอกให้กราบหลวงตาเสียก่อน เด็กน้อยบุญเกื้อก้มลงกราบอย่างว่าง่าย หลวงตาชื้นลูบหัวเจ้าเด็กที่ตั้งชื่อให้ด้วยความเมตตาและให้ศีลให้พร ให้อายุมั่นขวัญยืนและก้มลงกระซิบเบาๆ ลองเรียกเพื่อนหมอเถาอย่างเมื่อกี้อีกทีซิ เด็กน้อยไร้เดียงสา มองหน้าหมอเถาเรียกชื่อยานคางช้า ๆ ชัดคำ อ้าย..หมอ..เถา หมอเถาขำไม่ออก ชักนึกเคืองเจ้าเด็กจะทำอะไรไม่ถนัดเพราะต่อหน้าแขกที่เขากำลังหัวเราะชอยบอกชอบใจ จึงแอบเข้าไปกระซิบข้างหูพอได้ยินกันตัวต่อตัว แก้แค้นให้หายเจ็บใจ อ้าย..บุญ..เกื้อ พอคุณลูกจอมแก่นถอยออกไปครู่เดียว คุณพ่อนายอำเภอก็หลบแขกเข้ามาหาหลวงตา มีแขกติดตามหลังเข้ามาหลายคน เพราะเพิ่งรู้ว่าหลวงตาชื้นอยู่ในห้องนี้ ท่านนายอำเภอเอ๋ยแนะนำชายอายุไล่เลี่ยที่คลานเข้ามานั่งอยู่ข้างๆ พี่ชายผมเองครับหลวงตา อยู่กรุงเทพฯชอบเล่นโหราศาสตร์มาก อยากคุยกับหลวงตาเหลือเกิน หลวงตายิ้มรับและยกมือรับไว้ ยินดีที่รู้จักคุณ มีธุระอะไรจะใช้สอยอาตมายินดีเสมอ เพราะนายอำเภอมีบุญคุณกับอาตมามากเหลือเกิน เป็น โยมอุปถาก ให้อาตมา ถาก ได้เสมอมา เมื่อปลายปีก่อน กระผมลงมาเยี่ยมน้องก็เคยแวะไปหาหลวงตาบังเอิญแขกมากเลยมิได้คุยกัน อ้อ อาตมาจำได้แล้ว คุณไปกับนายอำเภอท่าน หลวงตานึกออกและไม่ทันจะพูดอะไรต่อไปอีก ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวผงะหลังจนเอามือยันพื้น เพราะมีมือลึกลับยื่นยาวลอดคนนั่งหน้าเข้ามาหาหน้าตักหลวงตาใส่สร้อยข้อมือเป็นมือผู้หญิง เนื้อขาวสะอาด หมอเถานั่งอยู่ข้างๆก็ตกใจจึงตะครุบจับไว้มั่น เพราะกลัวจะถูกจีวรหลวงตา เจ้าของมือเป็นหญิงวัยกลางคนแหวกคนนั่งเข้ามาสะบัดมือจากหมอเถา แล้วแถมค้อนให้เต็มวง มาจับมือถือแขนฉันไว้ทำไม หมอเถาได้สติชักกระดาก ตอบอึกอัก ผมกลัวถูกหลวงตาศีลขาดซีคะรับ คุณนาย ฉันจะให้หลวงตาท่านดูดวงชะตา มือข้างที่ยื่นมายังถือการ์ดดวงชะตาไว้แน่น และกลับยื่นให้หลวงตาอีก กรุณาตรวจดูดวงชะตาให้อิฉันสักหน่อยเถอะค่ะ จะมีอายุขัยไปสักเมื่อไรถึงจะหมดอายุ หลวงตาต้องก้มหน้ามองลอดแว่นพิจารณาดูหน้าอย่างถี่ถ้วนพินิจพิเคราะห์เพราะไม่รู้เป็นใคร ท่านนายอำเภอรู้ใจหลวงตามาแต่ไหนแต่ไร จึงรีบแก้ตัวแทน อย่ากวนหลวงตาเลยคุณศรี หลวงตาท่านเพิ่งมาเหนื่อยๆประเดี๋ยวก็จะสวดมนต์อยู่แล้ว คุณศรี เศรษฐีนีเมืองชุมพร ซึ่งคุ้นเคยกับนายอำเภอตั้งแต่ยังรับราชการอยุ่ที่โน่นและตามลงมาช่วยงาน อิฉันขอพิเศษสักครั้ง พรุ่งนี้เสร็จงานนายอำเภอแล้ว อิฉันก็จะกลับรถเร็วคงไม่มีโอกาสอื่นอีก หลวงตานิ่งอึ้งเกรงใจนายอำเภอ แต่ก็ไม่ยอมรับดวงไว้ มองหน้านายอำเภอเหมือนจะภามว่าควรจะทำอย่างไร นายอำเภอจึงแนะนำถึงความคุ้นเคยกับเจ้าของดวงชะตาให้หลวงตารู้ตื้นลึกหนาบาง คุณศรียังมองทีท่าหลวงตาไม่ออก จึงพูดต่อไปอีก มีหลายๆหมอเขาดูว่าอิฉันจะอายูสั้น จึงอยากให้หลวงตาตรวจซ้ำอีกทีค่ะ หลวงตายิ้มหันไปทางพี่ชายนายอำเภอ อ้า
คุณพี่ชายนายอำเภอ
คุณเล่นโหราศาสตร์มาเคยพบกฏเกณฑ์หรือตำรับตำราทายวันตายวันหมดอายุของมนุษย์ มีหรือไม่ เขาตอบโดยไม่ลังเล ยังไม่เคยพบขอรับ อาจจะมีหรือไม่มีผมรู้ไม่ถึง น่านนะซี
หลวงตาชื้นหันไปทางคุณศรี อาตมาก็ยังเรียนไม่ถึงขั้นนั้น แม้แต่เหตุการณ์ในระยะใกล้ๆ เช่นอาทิตย์หน้า เดือนหน้า ยังทายเขาไม่ใคร่ถูก จะหาญไปดูถึงวันหมดอายุเขา ซึ่งมันไกลโพ้น มันจะเป็นการอุตริมนุษย์ธรรมไปน่ะคุณ ก็หมออื่น ๆ เขาดูได้ล่ะเจ้าคะ เธอยังเถียงค้าน ก็เขาเรียนกันมาสูงๆกว่าอาตมามากน่ะซี บางคนบางหมออาจบรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญาฌานอันวิเศษ รู้บุญรู้กรรมของมนุษย์ที่จะสิ้นบุญสิ้นกรรมได้ หมอเถารุ้ใจหลวงตาว่าท่านเคืองๆ เลยเทศน์โปรดสัตว์เสียเลย ตามวิสัยสงฆ์ แต่คุณศรีแกก็ยังไม่เข้าใจกลับโต้คำมาอีก เขาว่าดวงชะตาซึ่งมีดวงดาวบอกทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกต้อง ก็เมื่อความตายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ของชีวิต ทำไมดวงชะตาจะไม่บอกเชียวหรือเจ้าค่ะ หมอเถาเป้นคนทึบ ฟังปัญหาแล้วใจคอไม่สบายแทนหลวงตาอาจารย์ จึงรีบรินน้ำชาประเคนถวาย เพื่อจะได้ให้หลวงตาสบายอารมณ์ตอบได้คล่องแคล่ว หลวงตารับน้ำชามาจิบดื่ม ใบหน้ายิ้มละมัยเหลียวดูใบหน้าคนที่นั่งอยู่ทุกคน กำลังสนใจอย่างจริงจังจึงเอ่ยช้าๆ ในทางโหราศาสตร์ ดาวในดวงกำเนิดจะถือว่าเป็นบุพพกรรมที่จะแสดงผลและดาวจรจะถือเป็นดาวปัจจุบันกรรม ถ้าบุพพกรรมมีโทษอยู่ ปัจจุบันกรรมส่งผลโดยดาวจร ก็จะมีผลร้ายแรงและจริงจัง ดวงดาวจะบอกถึงเหตุ และผลจากเหตุได้ เช่น จะเกิดอุบัติเหตุ และตนจะได้รับเคราะห์บาดเจ็บหนักหรือเบาบอกได้ แต่จะพยากรณ์ถึงขนาดต้องตายนั้นก็ต้องใช้วิธีเดาร่วมด้วย โหราศาสตร์ใช้ดวงดาวเป็นสิ่งบอกเหตุบอกผลแต่เฉพาะในวิสัยอันจะพอกำหนดได้เท่านั้น มิได้บอกทุกสิ่งเหมือนดวงแก้วสารพัดนึกหรอก พี่ชายนายอำเภอเป็นคนมีอายุและมีความคิดในเหตุผลยกมือพนม ผมเห็นด้วยกับหลวงตาขอรับ หลวงตายังนึกคิดต่อไปอีกจึงพูดต่อ ในทางธรรมย่อมถือว่ามนุษย์ดำรงชีพอยู่ในโลกเพื่อเสวยผลกรรมแห่งตน ซึ่งมีทั้งอดีตกรรมและปัจจุบันกรมเป็นที่ตั้ง นรกสวรรค์ก็อยู่บนพื้นโลกรวมกันนี้แหละ ผู้มีกรรมเก่าเป็นกุศลกรรมอันดีมาย่อมเสวยสุขในชาตินี้บนโลกเป็นผู้มีทรัพย์มีอนามัยดี มีสิ่งแวดล้อมดี เหมือนอยู่ในสวรรค์ ส่วนผู้มีกรรมเก่าชั่วอันเป็นบาปกรรม ก็ย่อมเกิดมาเสวยทุกข์ทรมานดิ้นรนต่อสู้เอาตัวรอด อดอยากแร้นแค้น บ้างก็ทรมานด้วยโรคาพยาธิ ก็คืออยู่ในนรกบนพื้นโลกอันเดียวกับสวรรค์นั่งเอง พอหลวงตาหยุดพูด พี่ชายนายอำเภอตั้งกระทู้ถาม เพราะกำลังกระหายจะรู้ แล้วความตายเป็นชะตากรรมหรือผลแห่งอดีตกรรมขอรับ หลวงตา หลวงตานิ่งคิดลำดับความจำอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบเล่นสำนวนเป็นกลอนว่า ปรมัตถอิธรรมทานจำแนก ได้แบ่งแยกบัญญัติจัตุผล ซึ่งความตายวายชีพนรชน ดังยุบลแจ้งจัดเป็นปัจจัย อายุกฺขเยน นั้นหนอมรณา สิ้นชีวาด้วยบรรลุอายุขัย และสังขารถึงพิกัดปัจฉิมวัย พิลาลัยล่วงลับลำดับกาล
กมฺมกฺขเยน นั้นจะแจ้ง ดังสิ้นแสงสุริยะอวสานต์ ที่มีบุญสิ้นบุญจะบันดาล ที่มีกรรมสิ้นการทรมา อุภยกฺขเยน สละจิต ด้วยชีวิตล่วงขั้นชัณษา สิ้นทั้งบุญทั้งกรรมที่ทำมา ถึงสัญญาถึงสมัยบัลลัยลาญ อุปจฺเฉทกกมฺม ซึ่งสำแดง เป็นด้วยแรงกรรมกล้ามาประหาร ให้ชีวันอันตรายต้องวายปราณ ทิ้งวงศ์วานให้ชอกช้ำด้วยลำเค็ญ คุณศรีถึงจะอย่างไรก็เป็นคนยึดมั่นในธรรมแห่งศาสนา และเชื่อมั่นในพระสงฆ์มิได้โต้แย้ง แต่ความสงสัยยังไม่สิ้นกระแสความ จึงค่อย ๆ ถามเกรง ๆ ใจ ไม่เหมือนหนแรก มีบางหมอเขารับจะทำพิธีต่ออายุให้ แต่ดิฉันไม่เชื่อสนิทใจนัก จึงใช้ทำบุญทำทานหวังในกุศลผลบุญจะได้ส่งให้มีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกได้ อิฉันเข้าใจถูกหรือผิดเจ้าค๊ะ วันนี้หลวงตาชื้นมีอารมณ์ครื้นคิดจะเป็น สุนทรชื้น จึงตอบเป็นคำอรรถคำกลอนต่อไปอีก อันความจริงสิ่งนี้มีมานาน พุทธกาลเมื่อนางวิสาขา นิมนต์สงฆ์ทรงฉันโภชนา สองพันองค์ทรงมาทุกวันวาร ประพฤติธรรมบำเพ็ญเบญจศีล เป็นอาจินต์ตั้งอารมณ์พรหมวิหาร มีธิดาช่วงใช้ไทยทาน เยาวมาลย์ สุทัต ตี ศรีวิไล เกิดเวรกรรมจำพรากจากฤดี กุมารีสิ้นชีวาอายุขัย เธอโศกเศร้าแสนอนาถแทบขาดใจ อรทัยคิดคำนึงถึงชีวี จึงเข้าเฝ้าอาภิวาทศาสดา พระสัมมาพุทธองค์ผู้ทรงศรี ดำรัสถามบุญญาบารมี ซึ่งนางนี้สร้างไว้ใหญ่อนันต์ เหตุไฉนใยกรรมนำวิบัติ จึงมาตัดลูกยาให้อาสัญ แรงกุศลไม่อำนวยช่วยชีวัน กระหม่อมฉันมิเคยสร้างทางอบาย พุทธองค์ทรงดำรัสพระสัทธรรม บุพพกรรมนำวิบัติสัตว์ทั้งหลาย ปุริมชาติฆาตชีวันอันตราย ต้องวางวายใช้ชีวีแก่หนี้เวร อันมนุษย์พูดไปทำไมเล่า พระเป็นเจ้าโมคคัลลามหาเถร องค์สาวกเบื้องซ้ายถวายเวร ไม่ว่างเว้นเคียงอาสน์ศาสดา อนันตกรรมสำคัญบรรพชาติ โจรพิฆาตแสนอนาถอนาถา เหลือพระธาตุขนาดเมล็ดงา กุศลลามิได้ช่วยอำนวยชนม์ ท่านนายอำเภอเข้ามานิมนต์หลวงตาชื้นเพราะท่านเป็นพระอาวุโสกว่า ต้องเข้าประจำที่สวดมนต์ก่อนพระทั้งหลายจึงจะเข้านั่งอาสน์ได้ หลวงตาหันไปทางพี่ชายนายอำเภอเพราะยังมีเรื่องที่พูดค้างกันอยู่ พรุ่งนี้ ถ้าคุณยังไม่กลับ ขอเชิญที่กุฏิคงจะคุยกันถึงเรื่องโหราศาสตร์ได้มาก เขาพนมมือรับคำ ขอรับ พรุ่งนี้ผมจะไปหาหลวงตาแน่นอน หลวงตาลุกขึ้น จัดจีวรเข้าที่ หมอเถาบ่นพอได้ยินกันสองคนระหว่างศิษย์กับอาจารย์ หลวงตาเทศน์เป็นกลอนออกไพเราะ ไม่ยักกะมีกัณฑ์เทศน์
--------------------------------------------------------------
บุษบามีคู่
จังหวัดที่ผมอยู่เป็นจังหวัดเล็กๆริมทางผ่านของถนนสายใหญ่เป็นเมืองชนบทที่มีธรรมชาติและผู้คนสงบ ครั้งหนึ่งโหราศาสตร์เคยรุ่งโรจน์ ณ ที่นี้ และทำให้ชื่อเสียงจังกวัดของเราโด่งดังมากในสมัยเมื่อท่านเจ้าคุณใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ชื่อเสียงในการพยากรณ์ของท่านเล่าลือไปในหมู่โหรเกือบทุกจังหวัด แม้โหรผู้มีชื่อเสียงในกรุงเทพฯก็เคยมานมัสการท่านอยู่เสมอ ท่านเจ้าคุณใหญ่จึงเสมือนสมบัติของเมืองนี้ ที่ชาวเมืองเคารพ รัก และภูมิใจ
เมื่อท่านมรณภาพ ล่วงมาจนบัดนี้ร่วม 20 ปี ชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านยังคงอยู่ก็จริง แต่เพลิงโหราศาสตร์ในเมืองนี้กับวูบลง เหมือนเพลิงสิ้นเชื้อ นักโหราศาสตร์ที่เคยกระตือรือร้นเล่าเรียนเพื่อเอาดีทางนี้ ต่างเลิกรากันไปทีละคนสองคนจนถึงบัดนี้แทบจะเรียกว่าไม่มีเหลืออยู่เลย
นอกจากหลวงตาชื้น ซึ่งเคยมาอยู่รับใช้ปรนนิบัติวัตฐากท่านเจ้าคุณใหญ่อยู่ 2 - 3 ปี ก่อนท่านมรณภาพ แม้จะมิได้ เป็นศิษย์ที่ได้เล่าเรียนสั่งสอนกันโดยตรง แต่อยู่ใกล้ชิดได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ จึงพอจะจดจำมาได้ตามกำลังปัญญา เมื่อท่านย้ายมาจำพรรษาในเมือง กุฎิของท่านจึงมีแขกไม่เว้นแต่ละวัน นอกจากชาวบ้านร้านตลาดที่มีทุกข์มาขอความอนุเคราะห์จากท่าน ก็มีพวกนักโหราศาสตร์ที่ยังสนใจและไม่สันทัดจัดเจนมาชุมนุมกันถกเถียงไต่ถามท่านบ้าง มาดูลีลาการพยากรณ์ของท่านเพื่อเก็บเป็นความรู้
ในจำนวนนั้นก็มีผมอยู่ด้วยคนหนึ่งที่เป็นขาประจำไม่ขาด อันที่จริงความรู้ทางโหราศาสตร์มีอนาคตผมก็แค่งูๆปลาๆ เป็นนักเรียนก็แค่ประถม ๔ ที่ต้องยึดโหราศาสตร์ไว้เหนียวแน่น เพราะอาชีพผมเป็นหมอแผนโบราณ ผมชื่อเต็มๆว่า นายเถาวัลย์ แต่ใครๆทั้งเมืองเรียกผมสั้นๆเหลือแต่ หมอเถา เดิมอาชีพนี้จำเริญรุ่งเรืองดี แต่พอหมอฝรั่งมันเพ้อเต็มเมือง ผมก็เลยต้องลดฐานะลงมาเหลือแต่แผนกกุมารเวช คือรับกวาดยาเด็กเป็นอาชีพหลัก พวกพ่อแม่เด็กก็มักขอให้ตั้งชื่อเด็กบ้าง ผูกดวงเด็กบ้าง เพราะเขาถือว่าการผูกดวงเด็กเท่ากับผูกมิ่งขวัญเด็กให้เป็นสิริมงคล ผมจึงจำเป็นต้องกระตือรือร้น ขวนขวายเรียนวิชาโหราศาสตร์
วันนี้ก็เช่นเดียวกับวันก่อนๆพอตกบ่ายกะว่าพระฉันเพลเรียบร้อยแล้ว ผมก็แอบไปชวนครูก้อนเพื่อนคู่หูขึ้นกูฎิหลวงตาชื้นเช่นเคย
พอกราบเสร็จ ท่านก็ยกป้านชาคอของโปรดส่งมาให้อย่างรู้ใจ วันนี้เป็นวันพระ จึงมีขนมเหลือเพลกินแกล้มน้ำชา กินไปคุยไปสารพัดเรื่อง ตั้ง แต่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่อยมาจนเรื่อดินฟ้าอากาศ
เสียงหมาใต้ถุนกุฎิเห่ากันขาม แข่งกับเสียงเรียกชื่อหลวงตา แสดงว่ามีแขกมา เณรขั้วซึ่งมีหน้าที่ปรนนิบัติและดูแลแขกก็ลุกไปประตูชานกุฎิ
เป็นผู้หญิงวัยกลางคน เหลียวหน้าเหลียวหลังคอยระวังสุนัขที่รุมเห่า ไม่ทันเห็นเณรที่ชะโงกประตู ยังคงตะโกนเสียงดัง หลวงตา ขา อยู่ไม๊
เณรชั้วอายุย่าง 16 ปีนี้ นิสัยติดข้างจะล้นๆ ตอบสวนควันทันที ขาของหลวงตาอยู่ทั้งสองข้างจ้ะ เดี๋ยวนี้ตัวของท่านก็อยู่กะขาของท่านน่ะแหล่ะ คุณนายเฮี๊ยะ
แม่ค้าร้านชำในตลาดที่ชอบให้คนเรียกคุณนาย ทั้งยิ้มทั้งค้อนพร้อมกัน ประคองถาดรองถวายพระขึ้นบันไดกุฎิ ไม่ต่อล้อต่อเถียง ผ่านเฉลียงไปมุขหน้ากุฎิที่หลวงตาเอกเขนกอยู่
คุณนายเฮี๊ยะวิสาสะครูก้อนกับผมตามประสาคนคุ้นเคยกัน แล้วก็ก้มกราบหลวงตาชื้นประเคนถาดดอกไม้ธูปเทียนและใบชา
หลวงตาชื้นทอดผ้าอาบรับประเคนแล้วก็ทักทาย เออ ไม่ได้พบกันเสียนาน ค้าขายดีอยู่หรือ
ไม่ค่อยดีเจ้าค่ะ คุณนายเชื้อจีนตอบสำเนียงไทยชัดเจน ตั้งแต่เตี่ยเต็กตาย ไม่มีใครช่วยค้าขายเลยเจ้าค่ะ มีลูกสาวกะเขาก็ไม่ได้พึ่งแรง มันทัศนาจรทุกวัน
ครูก้อนร้องเอ๊ะ ! ทัศนาจรกันยังไง ทุกวัน
ก็มันจรไปจรมา ไม่อยู่ติดร้านสักวัน คุณนายเฮี๊ยะตอบยิ้มๆ
ทั้งผมและครูก้อนร้อง อ้อ เหมือนกับนัด
คุณนายเฮี๊ยะหันมาทางหลวงตา พูดถึงธุระที่มา ดิฉันตั้งใจจะมาให้หลวงตาตรวจดวงชะตา ลูกบุษบาสักหน่อยเจ้าค่ะ หนูมันเกิดวันพฤหัส ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ เวลา 5 โมงเย็น เจ้าค่ะ (๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๙)
หลวงตาชื้นถามยิ้มๆ เรียกชื่อเดิมของลูกส่วคุณนาย ดูว่าเมื่อไร แม่ฮวยมันจะหายจรไปจรมายังงั้นเร้อะ
ไม่ใช่เจ้าค่ะ แม่เฮี๊ยะตอบยานคาง ปีนี้หนูบุษบาของอิฉันอายุย่างเข้า 26 ปีเข้าไปแล้ว ยังไม่มีเหย้าไม่มีเรือนเป็นฝั่งฝากะเขาสักทีกลุ้มใจเหลือเกินเจ้าค่ะ ธรรมเนียมจีนมันขายหน้าพ่อแม่
ผมคันปากอดไม่ได้ก็เคาะเอาว่า แล้วคุณนายเฮี๊ยะไม่ดูเนื้อคู่กะเขามั่งหรือ
แม่เฮี๊ยะเหลียวขวับมาทางผม จะว่าค้อนก็ไม่เชิงเพราะนัยน์ตาเขียวปั้ดคงเข้าใจว่าถูกเกี้ยวพาราสี ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าผมจัง ๆ นี่หมอเถา ปีนี้อายุกี่ขวบแล้ว ผมก็ขาวโพลนไปทั้งหัว
ก็ 60 แหละ อีกนานกว่าจะตาย ผมทั้งอายทั้งเคืองที่ถูกถอนหงอกอย่างไม่ไว้หน้า ถ้ามีเมีย ก็เห็นพอจะมีลูกได้สัก 2-3 คนหรอก
นั่นน่ะซีย๊ะ แม่เฮี๊ยะกระแทกเสีย คนแก่ปูนนี้มัวแต่คิดเรื่องไม่เป็นสิริมงคลพรรค์นี้มันถึงต้องหากินจนแก่ตาย
ผมหน้าร้อนผ่าว ขยับจะโต้คารมต่อไปอีก ก็พอดีถูกครูก้อนสะกิดจึงได้สติยอมนิ่ง นึกเสียว่าเสียเฟื้องดีกว่าเสียสลึง เพราะยังจำประวัติแม่เฮี๊ยะคนนี้ได้ว่าขนาด 5 ต่อ 1 รุมทะเลาะ ยังด่าไม่ทันแก ฟังครูว่าสักหน่อยคุณนาย ครูก้อนรีบขัดจังหวะเพื่อหย่าศึก ด้วยการเอาน้ำเย็นละลายยาหอมปลอบ อ้ายเรื่องเช่นนี้มันธรรมดาโลกนะจ๊ะ ไม่น่าขุ่นเคือง ทั้งคุณนายก็ใช่ว่าจะแก่เฒ่าขี้ริ้วขี้เหร่เมื่อไร ยังสวยยังอิ่มเอิบ จะปล่อยให้อับเฉาร่วงโรยก็น่าเสียดาย หมอเถาแกถามด้วยความหวังดีหรอกจ๊ะ
อย่ามาจ๊ะมาจ๋าเลยครู เรื่องความหวังดีของผู้ชายน่ะ แม่เฮี๊ยะชี้นิ้วกราดเฉียดหน้าจนทั้งผมและครูก้อนต้องหลบวูบ ฉันเข็ดเสียแล้ว เมื่อแรกๆ แสดงตัวมาก็ทำท่าจะเป็นตัวเถ้าแก่ช่วยกันค้าขาย ลงท้ายก็จะเหมาะตำแหน่งลูกเขย ฉันขี้เกียจมีลูกกะหลานพร้อมกัน ลำดับญาติไม่ถูกเลยเฉดหัวหมด
หลวงตาชื้นก้มหน้าก้มตาลงเลขผานาทีกระดานโหรอยู่พักใหญ่ๆ พอผูกดวงเสร็จ ท่านพิจารณาแล้วก็ยิ้มอยู่ในที เลื่อนกระดานโหรมาวางตรงหน้าผมกับครูก้อน
เอ้าหมอเถากะครู ลองช่วยกันดูซิว่าเรื่องคู่ที่เขาถาม จะเป็นอย่างไร
(วันนั้นเป็นวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2515 ) ทั้งผมและครูก้อนช่วยกันตรวจดวงชะตาแม่บุษบา(ฮวย) อย่างถี่ถ้วน ครูก้อนเป็นคนปัญญาไวกว่า ก็ทักขึ้นก่อนว่า ถ้าว่ากันตามพื้นดวง ราหูเล็งลัคน์อย่างนี้ก็เป็นพินทุบาทว์เป็นดวงชะตาแตก ซ้ำเสาร์ยังเข้ามาเล็งลัคน์เป็นพินทุบาทว์ซ้ำสอง เรือนปัตนิเสียหมดทั้งเดิมทางจรยังงี้ เรื่องคู่ครองเห็นจะยังยากนะครับหลวงตา เออว่าไป หลวงตาชื้นหันมาทางผม หมอเถาล่ะว่าเป็นอย่างไง ผมสบตากับคูรก้อน เกรงใจที่ต้องขัดคอเพื่อน ผมว่าถ้าเป็นดวงอื่นก็อาจจริงตามครูว่า แต่ตรงนี้ลัคนาเขาอยู่ราศีพิจิกเป็นกีฎะราศี ราหูเดิมเล็งอยู่นั้นเป็นองค์เกณฑ์ แม้เสาร์มาเล็งร่วมอนุโลมเป็นองค์เกณฑ์เช่นกัน มันควรจะเป็นคุณมากกว่าโทษเรื่องคู่มันน่าจะมีผล
แต่เสาร์จรเล็งลัคน์นี้ ผมไม่เห็นมันดีสักราย ไม่ว่าราศีไหนๆ ตำราเก่าๆทายร้ายทุกราย ครูก้อนรู้สึกเสียแต้มจึงรีบแย้ง
เลยไม่รู้เรื่องกัน แม่เฮี๊ยะมองหน้าคนโน้นคนนี้เลิกลัก ทั้งดีทั้งชั่วทั้งได้ทั้งไม่ได้จะว่ายังไงจ้าคะหลวงตา
เดี๋ยวอย่างเพิ่งขัด ผมโบกมือห้าม เสาร์ถึงราหูมันน่าจะได้เพื่อนร่วนชีวิตน่ะนา
หลวงตาหัวร่อจนตัวคลอน เอ้าว่าเข้านั่น มันก็ถูกทั้งสองคนนั่นแหละ เพราะตำราเขาว่าไว้ยังงั้น
ถ้าถูกทั้งผมกะหมอเถา แล้วจะทายเขายังกันล่ะครับ ครูก้อนฉงน
เออฟังให้ดีทั้งสองคน หลวงตาลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิตัวตรง องค์เกณฑ์หรือพินทุบาทว์น่ะ เขาเอาไว้อ่านดวงเดิม กฎเกณฑ์พวกนี้ยังมีอีกแยะ ของเก่าเขาก็ไม่ผิดหรอก แต่มันเหมือนตาลยอดด้วน เมาทายโดดๆไม่ได้ มันไม่มีทางเดิน กฎเกณฑ์มันขัดกันเข้า คนพยากรณ์มักหกล้มเสียก่อน
หลวงตาชี้มือลงบนกระดานโหร จะว่าข้างราหูเล็งลัคน์ในดวงเดิมเป็นพินทุบาทว์ ไม่ถึงกับว่าจะมีคู่กะเขาไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก เป็นแต่เพียงว่ามีคู่ช้า เพราะดาวมฤตยูร่วมราศีอยู่ด้วย อย่างรายแม่หนูบุษบานี่ก็อายุล่วงเข้า ๒๖ แล้วสมัยนี้ถือว่าช้ามาก เพราะเขาตบแต่งกันตั้งแต่อายุ 16-17 เสียโดยมาก แต่ว่าบทจะมีคู่ก็ปุบปับรวดเร็วตามอำนาจราหู หลวงตาชื้นหยุดรินน้ำชาจิบแก้คอแห้งแล้วก็พูดต่อ ที่ว่ามีคู่ช้าเพราะอะไร ถ้าเล่นแต่กฎเกณฑ์ มันก็เหมือนตาลยอดด้วนไม่มีทางเดินคำพยากรณ์ต่อได้ การเล่นโหราศาสตร์จะทิ้งภพทิ้งเรือนทิ้งดาวเขาไม่ได้ เพราะเป็นหลักใหญ่ ทั้งทางเดินคำพยากรณ์ก็เป็นเรื่องเป็นราว ยิ่งเพิ่มธาตุเพิ่มทักษาก็ยิ่งวิจิตรพิศดาร ผมกับครูก้อนได้แต่นั่งอ้าปากฟัง เหมือนศิษย์ฟังครูสอน หลวงตาก้มลงดูกระดานแล้วก็อ่านดวงให้ฟังต่อ ดูทางเรือนเขาราหูเจ้าเรือนพันธุมากุมเรือนปัตนิ ญาติมันคอยคุมเรื่องคู่ ดูศุกร์เจ้าเรือนปัตนิต่อไปอีกก็มาอยู่ภพศุภะ เรื่องคู่ครองมันหนีไม่พ้นผู้ใหญ่กะญาติคอยจัดแจงเจ้ากี้เจ้าการอยู่อีตอนมันขัดข้องช้านานก็เพราะศุกร์เจ้าเรือนปัตนิร่วมเสาร์กาลกิณีนี่แหละ มันถึงมียากมีเย็น หลวงตาพูดถูกเจ้าค่ะ แม่เฮี้ยะรับ อิฉันเป็นคนคอยควบคุมเข้มงวดเพราะมีสาวกะเขาคนเดียวไม่อยากจะต้องใส่ตะกร้าล้างน้ำ แนะนำคนไหนให้มันไม่ชอบสักคน หลวงตาพินิจพิจารณาดวงในกระดานแล้วมาเปิดปูมโหรดูอยู่ครู่ใหญ่ ได้การละ แม่บุษบาจะได้พบอิเหนากันเสียที ปีนี้ละว๊ะได้แต่งกันแน่ คุณนายเตรียมฉีกผ้าอ้อมเลี้ยงหลานได้แล้ว จริงหรือเจ้าคะ หลวงตา แม่เฮี๊ยะนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความยินดีปรีดา จะซักเมื่อไร กลางปีหรือปลายปีอิฉันจะได้บอกนังหนูมันรู้ตัว นี่ก็เข้าเดือน 3 แล้ว แม่เฮี๊ยะรำพึงกับตัวเอง ตกในเดือน 6 นี่แหละแต่งแน่ อีตอนศรีถึงปัตนินี่ต่อให้ขังไว้บนปราสาท 7 ชั้นก็ต้องมีผัวแน่ หาฤกษ์ให้ก่อนก็ยังได้ว๊ะ อีก 3 เดือน แม่เฮี๊ยะรำพึงกับตัวเอง แต่มันยังไม่มีเค้าเลยเจ้าค่ะ หลวงตา เพิ่งปฏิเสธเขาไปหยกๆเมื่อเร็วๆนี้เอง ไม่รู้ ฉันว่าตามดาวตามดวง หลวงตาชื้นว่า เอ้าหมอเถากะครูดูเอา มันหลายมุมนัก ผมกะครูก้อนชะโงกดูกระดานโหรตามมือหลวงตาที่ชี้ ขั้นแรกดูทักษาปีนี้อายุเข้า 26 ตามปูมพุธ ราหูเป็นศรี ดูราหูเดิมซิมันอยู่ปัตนิ มันก็คือปัตนิมาเป็นศรีข้อหนึ่ง ข้อสองราหูที่เป็นศรีเหยียบเรือนเสาร์ ถึงจะเป็นเรือนกาลกิณีเดิมก็ไม่เป็นไร เพราะเขาเป็นคู่มิตรกันย่อมไม่ทำลายกัน เมื่อศรีเข้าเรือนเสาร์และเสาร์จรเล็งลัคน์ ดาว 2 ดวงนี้มันไฟฟ้าต่อสายเป็นดวงเดียวกัน ก็เท่ากะว่าศรีเล็งลัคน์เต็มตัว ข้อสามเสาร์จรเข้าเรือนปัตนิทับราหูเดิมคู่มิตร มันคู่มิตรกันยังไงคู่มิตรเขากำลังโกรธกันหรือกำลังรักกัน มันต้องดูเสาร์เดิมของเขากับราหูจรในดวงนี้มันเล็งกันรักกันเป็นคู่เสน่หา ยืนยันเรื่องดาวทับกันในเรือนปัตนิ มันก็ให้ผลเรื่องผัวเรื่องเมียชัดๆ ไม่ต้องสงสัย หลวงตาหยุดหายใจ หอบเสียจนจีวรกระเพื่อมเพราะพูดมายืดยาว พอพักดื่มน้ำชาจนหมดถ้วย ท่านก็เริ่มชี้ให้เห็น ทำไมฉันถึงทายว่าเขาจะได้แต่งงานกันในเดือน 6 เพราะรอให้ศุกร์เจ้าเรือนปัตนิถึงเรือนของเขาเสียก่อน พอย่างเดือน 5 อังคารกาลกิณีจรก็เข้าเรือนปัตนิก่อนกระทบเสาร์คู่ศัตรูและทับคู่มิตรเข้าเต็มแรง อีตอนนี้แหละจะยุ่ง แทบจะเลิกตบเลิกแต่งกันทีเดียวเคราะห์ดีพอข้างขึ้นแก่ๆ ศุกร์ก็ยกเข้าไปเป็นเกษตรในราศีพฤษภเรือนของเขา อังคารเป็นคู่มิตรกับศุกร์อยู่แล้ว เมื่อเจ้าของบ้านเขาเข้ามาเป็นเกษตรอยู่ อังคารกาลกิณีก็เซาหมดฤทธิ์ไป ทำลายเรือนปัตนิเขาไม่ได้ กะพอว่าอังคารไปตกมรณะก็ได้การแน่ในเดือน 6
ทั้งผมและครูก้อนมองเห็นทางเดินของดาวในดวงชะตาสว่างไสวยังกะจุดเจ้าพายุดู แม่เฮี๊ยะสั่งอ้าปากฟังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องดาวเรื่องดวงจับความแต่ว่าลูกสาวจะได้แต่งแน่ก็พอใจ
เนื้อคู่ของหนูบุษบา เขารูปร่างยังไงเจ้าค่ะ ฐานะยากดีมีจนสักแค่ไหน แม่เฮี๊ยะพยายามซักละเอียด อย่างเอารูปร่างเลย คนเรามันอ้วนได้ผอมได้ แต่ดาวมันคงที่ เขาเป็นที่มีอายูพ้นวัยกลางคนแล้ว ตระกูลดั้งเดิมของเขาก็ยากจนมาก่อนเพิ่งจะมาคั้งเนื้อตั้งตัวมีชื่อเสียงภายหลังนี้เอง
เขาจะอยู่กันยืดไม๊เจ้าค๊ะ และจะมีลูกผู้ชายสืบแซ่ไหม
บ๊ะ-ซักจริง ยังไม่ทันแต่งลูกถามถึงหลานเสียแล้ว หลวงตาชื้นหัวเราะเอิ๊กลงลูกคอ ไว้เอาดวงผู้ชายมาดูสมพงษ์กันมันถึงจะรู้
แม่เฮี๊ยะซักโน่นซักนี่จนแน่ใจก็กราบหลวงตาลากลับ กับครูก้อนแกยกมือไหว้ลา แต่กับผมแกใช้ชำเลืองหางตาค้อนขวับแทนบอกลา คงยังเจ็บใจที่ถูกเย้าเมื่อแรกมา
พอแม่เฮี้ยะลงกุฎิไปแล้ว ครูก้อนยังติดใจสงสัยคำพยากรณ์ของหลวงตาที่เป็นเรื่องเป็นราวน่าฟัง ก็ซักต่อ หลวงตาดูอะไรจึงทายเขาว่าจะได้ลูกเขยมีอายุฐานะอย่างว่า
อ้าวครู ก็เมื่ออ้ายตัวจะก่อเรื่องคู่มันคือเสาร์จร เราก็ดูเสาร์เดิมเขาเป็นประมันก็ยากจนต่ำต้อยมาก่อน อีตอนเสาร์จรมาเล็งเป็นเนื้อคู่เป็นมหาจักรมีชื่อเสียงมีฐานะขึ้น อ้ายเรื่องอายุก็ดาวเสาร์อีกนั่นแหละ เสาร์แปลว่าเก่านานก็เมื่ออายุมันเก่ามันนานก็ต้องไม่ใช่คนหนุ่มซีว๊ะ
ผมกับครูก้อน ก้มลงกราบเหมือนนัดกันไว้ เพราะคิดถึงพระคุณที่ท่านให้อรรถาธิบายจนแจ่มแจ้ง
เหตุการณ์ต่อมา มีพ่อค้าทางชุมพรค้าขายเป็นเอเย่นต์บุหรี่และสุราฐานะดี เมียตายตกพุ่มหม้าย แต่งแม่สื่อมาเจรจาสู่ขอแม่เฮี๊ยะตกลงรับเพราะลูกสาวไม่ขัด เมื่อรับของหมั้นขันหมากแล้ว ก็กำหนดนัดวันแต่งงานกระทันหันในวันที่ 8 พฤษภาคม 2515 ตรงกับวันจันทร์แรม 12 ค่ำ เดือน 6 เมื่อวันแต่งผมถือย่ามเป็นลูกศิษย์ ตามหลังหลวงตาไปสวดมนต์ฉันเพลและผมได้รับเลี้ยงมาอิ่มหนำสำราญ
๑. ชาคอ = รสดี ส่วน ชากลิ่น = รสปานกลางแต่กลิ่นหอมมาก
ยามอัฎฐกาล
วันนี้ ครูก้อนไปรับเบี้ยบำนาญ เสร็จแล้วก็แวะมาหาผมตั้งแต่เพลมีส้มสูกลุกไม้ติดมือมาฝากผมห่อใหญ่ตามประสาคนใจนักเลง และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือใบชาชั้นดีที่จะถวายหลวงตาชื้น ครูก้อนแกกระทำเป็นกิจวัตรทุกต้นเดือนที่ไปรับเงินบำนาญ ด้วยเหตุนี้แม้ผมจะถูกขัดคอจังๆ ก็โกรธแกไม่ลงสักครั้งเดียว เพราะนึกถึงคุณงามความดีของเพื่อน ทั้งสนทนาและวิสัชนาเรื่องโหราศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องคุยกันไม่รู้จบ กระทั่งเที่ยงคล้อยต่างก็ชวนกันไปกุฎิหลวงตาเช่นเคย เหมือนวันก่อนๆ พอก้าวขึ้นกุฎิไม่เห็นหลวงตา เห็นแต่เณรชั้วนั่งขัดสมาธิข้างอาสนะประจำที่ของหลวงตา เบื้องหน้ามีสตรีวัยกลางคนนั่งพับเพียบเรียบร้อย พอเณรเหลียวเห็นผมกับครูก้อนเข้ามาใกล้ก็กระเถิบห่างอาสนะออกมากระดากๆ คงเกรงจะถูกหาว่าตีเสมอหลวงตา
หลวงตาไปสวดมนต์และฉันเพลงานทำบุญบ้านนายอำเภอ เณรชั้วรีบบอกก่อนถูกถาม แล้วพยักหน้าไปทางสตรีวัยกลางคน แม่บุญปลูก เขามาหาหลวงตา มีธุระเดือดร้อนมา ไม่พบหลวงตาจะให้ฉันช่วยดูให้ หมอเถากะครูมาก็ดีแล้ว ช่วยสงเคราะห์เขาสักหน่อยเถอะ
เมื่อกี้ได้ยินเสียงแว่วๆ เณรทายอยู่แล้วไม่ใช่เร๊อะ ครูถามยิ้มๆ เพราะรู้นิสัยเณรชั้ว ว่าหลวงตาไม่อยู่มักชอบตั้งตัวเป็นโหรแทนหลวงตาเสมอ
เณรชั้วยิ้มอายๆ เหมือนหญิงสาว ทายลักษณะเขา รอๆหลวงตาน่ะ
อ้อ แม่บุญปลูก ผมทักเพราะจำได้ว่าบ้านแกอยู่ท้ายตลาด รอพบหลวงตาไม่ดีกว่าเร๊อะ อีกสักครู่ก็คงจะกลับหรอก
ฉันรอไม่ได้ มันกำลังมีเรื่องร้อนใจเหลือเกิน แม่บุญปลูกยกมือไหว้อ่อนน้อมน่ารัก พ่อหมอเถา เมตตาช่วยดูให้สักหน่อยเถอะจ้ะมันเดือดร้อนจริงๆ
ครูก้อนชายตาสบตาแม่บุญปลูก เธอบอกวันเดือนปีและเวลาเกิด กี่โมงกี่ยาม ฉันจะลองผูกดวงชะตา ช่วยกันดูสงเคราะห์ทุกข์แม่บุญปลูกพอได้บ้าง
วันเดือนปีฉัน แม่แกไม่ได้จด มาตอนโตเป็นสาวนั่นแหละถึงได้รู้เพราะจะดูเนื้อคู่ แกจำๆเอา จำได้ว่าปีที่เขารบกันในกรุงเทพฯ อีตอนที่เปลี่ยนจากในหลวงมาเป็นมีทายกรัฐบาลนั่นแหละ
เขาเรียกนายกรัฐมนตรีจ้ะ อ้ายทายกนั่นมันพวกวัดๆ บ้านเรา ผมท้วงแสดงภูมิ แล้วหันมาทางครูก้อน ครูเคยเล่าเรียนมาลองนึกประวัติศาสตร์มันปีไหน คงเป็นปีกบฎใหญ่หลังเปลี่ยนการปกครอง ครูก้อนตอบช้าๆ ตรึกตรอง ปีนั้น พ.ศ. 2476 ดูเหมือนเป็นปีจอ
ใช่จ้ะครู ฉันเกิดปีจอนี่แหละ แม่แกเลยเรียกฉันว่าอีหมาๆ มาแต่เล็กๆ
แล้วเดือนล่ะ ผมช่วยซัก
แม่แกบอกว่าตอนเขาทอดกฐินกันที่วัดข้างบ้านน่ะแหละ พระออกพรรษาวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ก็เห็นจะเป็นเดือนตุลาคม ผมถนัดเรื่องเก่าๆ ก็เลยเดาเสียเองแล้วก็ถามต่อ แล้ววันล่ะแม่บุญปลูก
วันประหัส แม่บุญปลูกตอบทันใจ
เวลาเกิดล่ะทีนี้ เวลานี่ล่ะสำคัญนัก ครูก้อนกระเถิบเข้ามาถามใกล้ๆดูคล้ายๆกับจะชิงเอาหน้า
แม่บอกว่าจำทุ่มยามไม่ได้เพราะไม่มีนาฬิกา จำได้แต่ว่า ตอนพระจันทร์ขึ้นขอบฟ้าพอดี ครูก้อนเกาหัวแกร็ก เสร็จกัน เลยผูกดวงไม่ได้ฉิบ พระจันทร์ขึ้นขอบฟ้าใครจะไปรู้ว่ามันกี่ทุ่ม รู้ซีน่ะ ผมรีบค้านแสดงความรู้อย่างภาคภูมิ มันต้องใช้ทางโบราณคำนวณ ไม่ยากหรอก หรือจะคิดง่ายๆก็คือวันเพ็ญข้างขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์ขึ้นตั้งแต่ 6 โมงเย็น แล้วพระจันทร์จะขึ้นล่าไปวันละประมาณ 48 นาที ถ้ารู้ขึ้นแรมก็รู้เวลาได้แน่
ครูก้อนท้วง แล้วมันวันพฤหัสไหน กี่ค่ำ เพราะในเดือน 11 .มันมีตั้ง 4 พฤหัส ขึ้นก็มีแรมก็มี
เออ-จริงของครู เสร็จกัน ผมอ้าปากนับค้างจนมุมเอาตรงนี้เอง
แม่บุญปลูกแกจะมาดูเรื่องของหาย เณรชั้วแนะนำ หมอเถาพอจะมีทางอื่นจะช่วยพยากรณ์ได้ไม๊ จันเคยเห็นหลวงตาท่านใช้จับยาม
งั้นได้การ ผมดีดมือพัวะ ไม่รู้เสียแต่แกว่าเป็นเรื่องของหาย นึกว่าจะดูโชคเคราะห์มันต้องผูกดวง แม่บุญปลูกขึ้นกุฎิมาตั้งแต่เมื่อไร
เณรเหลือบมองนาฬิกาแมงดาข้างฝา แล้วตอบแทน สักบ่ายโมงเศษๆเห็นจะได้ หมอเถา
วันนี้วันพฤหัส ผมนับนิ้วมือไล่ยาม ครุ ภุมมะ สุริชะ ศุกระ พุทธะ บ่ายโมงเศษตกยามพุธ
พบหรือไม่พบจ๊ะหมอเถา แม่บุญปลูกรีบซักเพราะกำลังร้อนใจ
เดี้ยวอย่าพึ่งซัก ผมว่าโฉลกยามคล่องปาก เสาร์ระวิพุทธายามทั้งนี้นา แม้ดูโรคาว่าตาย บอกกล่าวจริงบ่คลาย แม้ข้าวของหายทายว่าจะได้คืนคง
สีหน้าแม่บุญปลูกมีเลือดมีฝาดขึ้นทันทีเมื่อฟังข้อความตอนท้าย ได้แน่ไหม หมอเถาจ๋า
ผมกำลังวางมาดหยิบกลักบุหรี่ใบจากจะมวนสูบ พอได้ยินคำหมอจ๋าฉุนกึก กระแทกกลักบุหรี่กับพื้น กุฎิดังโปก เรียกหมอเฉยๆก็ได้ อ้ายคำหมอจ๋าหมอขานี่ขอเสียที เดี๋ยวเลยไม่ต้องดูกัน
อุ๊ย ขอประทานโทษฉันไม่ตั้งใจ แม่บุญปลูกคนมืออ่อนยกมือไหว้อีกแถมยิ้มแย้มจนเห็นฟันทอง หายไปได้เจ็ดวันแล้วจ้ะหมอเถา ฉันจะตามพบทิศไหน และจะได้คืนเมื่อไหร่
ยามเขาบอกว่าได้แน่ ผมถูกรุกกระชั้นไม่ทันตั้งตัวต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตัวยามมันตกพุธก็ต้องทิศใต้ เลขพุธมันเลข 4 ก็ภายใน 4 วันนี้แหละ
ครูก้อนไม่ถนัดทางยามของเก่าๆ จึงได้แต่นั่งนิ่งฟังผมทายเป็นพระเอกอยู่คนเดียว
พุธตัวนี้มันธาตุน้ำ ผมจัดแจงพยากรณ์ต่อเพราะนึกถึงคำสั่งสอนของหลวงตาว่าให้อ่านดาวให้ละเอียด ของหายรายนี้ มันน่าจะถูกซุกอยู่ที่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ แม่บุญปลูกลองหาดูอาจพบก็ได้
คงไม่มีแน่ๆ จ้ะหมอเถา แม่บุญปลูกปฎิเสธทันที ทั้งๆที่กำลังกลุมแกก็หัวร่อคิกคัก ไม่ต้องหาให้เสียเวลาเปล่าๆ ผมฟังแม่บุญปลูกคัดค้านเอาง่ายๆ ซ้ำหัวเราะชักนึกเคืองๆ จึงยืนยันมั่นคง ต้องอยู่ในน้ำแน่ๆ มันต้องมีคนลักเอาไปซ่อน ถ้าไม่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ ก็ต้องคลองหรือแม่น้ำ เอากันว่ายังไงๆ มันก็ต้องอยู่ในน้ำก็แล้วกัน
แม่บุญปลูกยิ่งหน้าเป็นหนักขึ้น หัวร่อร่วน หมอเถาจ๊ะที่ว่าหายน่ะ พี่ทิดผัวฉันเอง หายจากบ้านไปเจ็ดวันแล้วไม่รู้กายไปไหน ไม่ได้ข่าวเลย ถึงต้องมาดูหมอ
บ๊ะ แล้วกัน ผมผงะแทบหงายหลังตกนอกชานกุฎิ รู้สึกอายจนหน้าชาที่พลาดไปถนัดใจ
ครูก้อนนั้นรักษามารยาทครูเก่า กัดริมฝีปากแน่นกลั้นหัวเราะไว้ข้างเณรชั่วปล่อยก๊ากเต็มสตีมไม่ยั้ง
อาจเมาตายตกน้ำตกท่ามีอันตรายหรือลงเรือแพไปกับเพื่อนฝูงก็ได้ ควรลองสืบๆดูน๊ะ ครูก้อนหาทางออกเพื่อช่วยกู้หน้าเพื่อนเอาไว้
ครูไม่น่ามาแช่งผัวฉันเลย แม่บุญปลูกแกจัดจ้านพอตัว ถ้าอยู่ในน้ำ 7 วัน อย่างหมอเถาว่า ป่านนี้น่าลอยน้ำรู้ข่าวกันทั้งเมืองไปแล้วเรื่องไปเรือก็ไม่มีทางเลยครู
เณรชั้วที่ลุกไปเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่หน้าต่าง หันมาเรียก แม่บุญปลูก ดูเหมือนน้องสาวที่บ้านจะมาตาม กระมัง
แม่บุญปลูกเหลียวมองดูทางประตูนอกชานกุฎิ สักครู่หญิงสาวผิวสะอาดสะอ้านหน้าตาละม้ายแม่บุญปลูกก็เข้าประตู มานั่งข้างๆ กระซิบกระซาบกันสองคนพี่น้องอยู่พักใหญ่ๆ แม่บุญปลูกฟังพยักเพยิด เมื่อแรกดูสีหน้าปิติยินดี แล้วก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด เหมือนคนกำลังจะเป็นลม
ฉันเห็นจะต้องลาหมอทีละ ไม่ต้องดูหมดแล้ว แม่บุญปลูกหันมายกมือไหว้ลาผมและครู สังเกตเห็นนัยน์ตาแดงๆน้ำตาคลอ
อ้าวทำไมล่ะ แม่บุญปลูก ครูถาม
ฉันได้ข่าวพี่ทิดแล้ว
พบที่ไหน ยังไง ขอทราบหน่อยเถอะ ฉันเองก็อยากรู้ว่ายามของหมอผิดหรือถูก
ไม่ได้พบในน้ำแน่ แม่บุญปลูกพูดเสียงเยาะๆ และนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เหมือนตรึกตรองตัดสินใจ คนเขามาส่งข่าวว่าพี่ทิดไปได้เมียใหม่
อ๊ะ นังเมียเด็กนั่นชื่ออะไรน๊ะ ผมเอะใจย้อนถามทันควัน
ชื่อ นังวารี
เห็นไม๊ล่ะ หมอเถา วารี มันก็แปลว่าน้ำ ยามของหมอถูกเผ็งเทียวแหละ ตั้งแต่คบกันมาหลายปี เพิ่งเห็นครูก้อนหัวเราะลงลูกคอเต็มเสียงวันนี้ จนกระทั่งสองสตรีพี่น้องลงลับกุฎิไปแล้ว ครูก้อนหัวเราะไม่หยุด คอสองคือเณรชั้วหัวเราะจนตัวงอพาดหน้าต่าง ทำให้ผมต้องหัวเราะตามไปด้วย
--------------------------------------------------------------
กฎแห่งกรรม
วันนั้นเป็นวันพระ ขึ้น 8 ค่ำ เดือนยี่ อากาศหนาวจัดเช่นทุกๆปี ถึงกระนั้นผมก็ตื่นแต่เช้าใสบาตร์อันเป็นกิจวัตร์ที่ผมทำมาหลายปีดีดักจนเป็นนิสัย บางทีก็หลายองค์บางทีก็องค์เดียวสุดแต่อัฐฬสจะอำนวย อาหารใส่บาตร์ก็มักเป็นไข่ต้มไข่เค็มยืนพื้น จนชาวบ้านที่ปากเปราะมักล้อผมว่า ชาติหน้าผมคงได้เกิดเป็นพอค้าไข่แน่ ผมมักเอาหูทวนลมเสีย ผมคิดตามประสาตาแก่โง่ๆว่าทำบุญก็เหมือนฝากออมสิน ผมตายไปเป็นผีก็จะได้เบิกเอามากินมาใช้ได้ เพราะผมตัวคนเดียวพี่น้องญาติกาไม่มี ใครเล่าเขานะทำบุญไปให้
พอสัก 8 โมงกว่าๆ ผมก็เข้าวัดแอบไปนั่งอยู่ริมประตูทางเข้าโบสถ์ ฟังพระท่านลงอุโบสถสวดมนต์ตั้งแต่ทำวัตรเช้าเรื่อยไป ถ้าเป็นวันพระข้างขึ้น 15 ค่ำ ก็เป็นบุญหูได้ฟังท่านสวดปาฎิโมกข์ จะได้บุญหรือกุศลอะไรผมก็ไม่ได้คิดจริงจังนัก เพียงแต่ได้ฟังพระภิกษุท่านสวดมนต์พร้อมๆกัน ดังกังวาลกระหึ่มในโบสถ์ มันก้องหูก้องหัวใจ ผม ทำให้จิตใจชุ่มชื่นเบิกบานเป็นสุขเสียนี่กระไร เป็นความสุกตามประสาคนแก่ที่จะหาได้วันพระละครั้ง และพอพระท่านสวดจบออกจากอุโบสถไปแล้ว ผมก็คลานไปกราบพระประธานองค์ใหญ่ จุดธุปเทียนบูชาท่านและอาราธนาศีลและรับศีลเองเสร็จ ผมถือศีล 5 ด้วยวิธีนี้มาทุกวันพระ ศีลข้อ อทินนา ปาณา กาเม สุรา ผมเคร่งทุกข้อมีแต่ศีลข้อ 5 มุสาวาทาเว นี่แหละลำบากใจอยู่ทุกวันพระ มันคอยแต่จะพลั้งๆ เผลอๆ อยู่ร่ำไปตามนิสัย ผมถือศีลไม่ได้กุศลส่งขึ้นสวรรค์ก็อีตรงศีลข้อ 5 นี่แหละ ที่จะทำให้ศีลขาดทุกวันพระ
พอเสร็จกิจอื่นๆผมก็ออกมาลานโบสถ์ เอาแรงกายทำบุญถวายพระ กวาดระเบียงโบสถ์จนรอบเป็นประจำ เช้าวันนี้ก็เช่นเดียวกับทุกวันพระ ผมกราบพระประธานแล้วก็ออกมากวาดลานโบสถ์ กวาดไปคิดไปว่ากุศลนั้นเป็นของมีจริงเป็นจริงได้กะตัวผมเอง การมาโบสถ์เป็นกิจนิจสินนี่เอง วันพระหนึ่งนานมาแล้ว ท่านเจ้า คุณเจ้าอาวาสท่านเสร็จกิจออกจากโบสถ์มา ทักผมด้วยเมตตาบอกว่า หมอเถาเอ๋ย ใจหมอเป็นกุศลมั่นคงดี หมอแก่แล้วตัวคนเดียวไร้ญาติ ฝากผีไว้กับฉันเถอะ เวลาตายฉันจะรับเป็นเจ้าภาพเผาให้ ไม่ต้องเป็นห่วง
ผมก้มลงกราบเท้าท่าน ดีใจดังได้สมบัติพระศรีอารย์ก็ไม่ปาน เพราะเหตุนี้แหละอดมั่งอิ่มมั่งผมก็ไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนเท่าไร จะทุกข์อยู่นิดๆ ก็ตรงที่กลัวว่าท่านเจ้าคุณจะเกิดมรณภาพไปก่อนผมละก็เป็นกรรมของเถา แน่ ! กำลังกวาดลานโบสถ์เพลินคิดเพลินนึกอิ่มอกอิ่มใจอยู่ ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะมีคนสะกิดบั้นเอวข้างหลัง บ๊ะเล่นพิเรนอะไรกัน ตกกะใจ ผมจ้องหน้าคนสะกิดนึกฉุนคิดว่าถ้าวันนี้ไม่ใช่วันพระจะด่าในใจให้แหลกทีเดียว จะทักทายให้สุ้มให้เสียงซักหน่อยก็ไม่ได้ มาเงียบๆ ยังกะอ้ายโจร
ก็โจรน่ะซี ฉันละ ชายร่างเล็กที่ยืนคู่กับชายร่างใหญ่กำยำ รับสมอ้างสีหน้าทะเล้นยิ้มระรื่น บ๊ะ ลุงนี่เส้นตื้นพิลึก สะกิดหน่อยเดียว เต้นยังกะหนังตะลุง
ผมพิจารณาดูชายสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ชายหนึ่งกำยำล่ำสัน หน้าเข้มดูเป็นคนจริงจัง อายุอานามราว 30 แต่งเนื้อแต่งตัวทะมะทะแมง แววตากล้าจน ผมไม่อยากสบสายตา อีกคนหนึ่งเป็นคนร่างเล็กเกร็งอายุน้อยกว่า สง่าราศรีดูแค่ชั้นลูกกะโล่ และดูเป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่คนเมืองนี้ทั้งคู่ จึงบอกชื่อเรียงนามของผม ฉันชื่อหมอเถา พ่อสองคนนี้มีธุระอะไรกะฉันรึ
เถาอะไรน่ะลุง จ้าคนตัวเล็กสอดปากถาม
เถาวัลย์ หรือจะว่าเถาวัลย์เปรียงก็ยังได้ เพราะฉันเป็นหมอยาไทย
อ้อ-นึกว่า เถาคัน เจ้าคนตัวเล็กปากอยู่ไม่สุขสัพยอกให้เจ็บ ผมเหลียวดูรอบๆตัวเอง มันห่างกุฎิพระไกล แม้เกิดอะไร ตะโกนเรียกคนช่วยก็คงไม่มีใครได้ยิน เลยต้องเป็นคนอารมณ์เย็น เฉยไว้ พอดีเจ้าผู้ชายคนตัวใหญ่สะกิดห้ามเพื่อนให้นิ่ง และยกมือไหว้นอบน้อม ขอโทษ พ่อลุง รู้จักกุฎิหลวงตาชื้นไม๊ ฉันอยากพบท่านสักหน่อย
ถ้าเป็นหลวงตาชื้นโหรละก็รู้จักแน่ ผมนึกชอบใจเจ้าหมอตัวใหญ่ที่รู้จักเด็กรุ้จักผู้ใหญ่ หลวงตาเป็นอาจารย์ของฉันเอง กุฎิท่านไม่ไกลจากที่นี่เท่าใดหรอก พาไปพบก็ยังไหว
ถ้าเมตตาพาไป ฉันก็ขอขอบพระคุณพ่อลุง เขายกมือไหว้อีก
ผมมาเจอคนมืออ่อนปากอ่อนเข้าก็เลยใจอ่อน ขมีขมันอาสาวางมือจากงานออกเดินนำหน้าลัดเลาะต้นโพธิ์ใหญ่ท้ายวัดมากุฎิหลวงตาชื้น พอก้าวขึ้นกุฎิเห็นหลวงตากำลังฉันเพล ก็นึกออกว่าอีตอนกวาดวันได้ยินเสียงกลองเพล และแปลกใจที่เห็นครูก้อนนั่งอยู่กับหลวงตา ผมจัดแจงบอกเจ้าสองคนให้นั่งคอยที่ระเบียงหอฉัน คอยหลวงตาท่านฉันเพลเสียก่อน ตัวผมเองก็เข้าไปกราบหลวงตา
ครูก้อนหันมาเห็นก็ทัก อ้าวหมอเถา-ไหงมาแต่เพล ตั้งใจว่าบ่ายๆจะแวะไปชวนอยู่
พ่อสองคนโน่น เขาขอให้พามาหาหลวงตา ผมบุ้ยปากไปที่สองคนแปลกหน้าที่นั่งคอยอยู่ห่างๆ ครูล่ะ
การ์ดรถไฟ เขาเอาชมภู่มาเหมี่ยวมาจากกรุงเทพฯมาฝาก ก็เลยคิดถึงหลวงตา เลยเอามาถวายเพล หลวงตาชื้นหันมาทักทายปราศรัยผม 2-3 คำ และปรายตาดูเจ้าสองคนนั่น แล้วก็ลงมือฉันต่อไปจนเสร็จ เมื่อเณรชั้วยกสำรับออกไปแล้ว ท่านก็จุดบุหรี่เอกเขนกพิงหมอนขวานตามสบาย จิบน้ำชานิ่งอยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วท่านก็กวักมือเรียกเจ้าสองคนที่นั่งอยู่ระเบียงหอฉันให้มาหา
เจ้าคนตัวใหญ่ซุบซิบอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าคนตัวเล็กยกมือไหว้มาทางหลวงตา แล้วก็ถอยลงจากกุฎิไป แล้วเจ้าคนตัวใหญ่ก็เข้ามาคุกเข่ากราบหลวงตา
มีธุระอะไรหรือพ่อว่าไปไม่ต้องเกรงใจ หลวงตาทักเสียงเรียบๆ แสดงความเมตตากรุณา
ผมมีทุกข์ในใจเหลือเกิน มือที่กราบยังคงพนมอยู่ที่อกแสดงความเคารพ อยากจะให้หลวงตาตรวจดูดวงชะตาสักหน่อย เมื่อไรมันจะพ้นเคราะห์
จำวันเดือนปี และเวลาเกิดได้ไม๊ล่ะ
ได้คะรับ ผมเกิดวันเสาร์ ขึ้น 6 เดือน 7 ปีมะเส็ง เวลาตีสี่ครึ่ง
หลวงตาพยักหน้าและซักถามต่อ ตีสี่ครึ่ง ของคืนวันเสาร์และรุ่งเช้าเป็นวันอาทิตย์ยังงั้นรึ
คะรับ-หลวงตา
หลวงตาคว้าปูมโหรที่อยู่ข้างๆมาเปิดๆ อ้อตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 แล้วท่านก็ลุกขึ้นนั่งหยิบกระดานโหรลงดาวลงเดือนวางลัคนา เสร็จแล้วท่านก็ก้มหน้าลงพิจารณาอย่างพินิพิเคราะห์อยู่นานสักครู่ใหญ่ แล้วท่านกลับหันไปรินน้ำชามาจิบเงียบๆไม่พูดว่ากระไร เป็นกิริยาแปลกที่ผมและครูก้อนฉงนใจ เพราะไม่เคยเห็นท่านปฎิบัติดังนี้มาก่อน เห็นนิ่งอยู่นานผมอดรนทนไม่ได้ก็ถามท่าน ดวงชะตาเขาเป็นอย่างไรครับ หลวงตา
หลวงตาเหลือบดูผมแวบหนึ่ง แล้วก็มองดูหน้าเจ้าชะตาหนุ่มใหญ่อย่างพินิจพิเคราะห์เหมือนจะอ่าน หัวใจ ฉันว่า ดวงนี้จะมาหาพระผิดกุฎิเสียแล้วกระมัง หลวงตาพูดเรื่อยๆ มันควรจะไปหาพระที่เป็นอาจารย์ขลังๆรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ หรือขอของดีคุ้มตัว ไม่ใช่มาหาพระหมอดู ผมสังเกตว่าเจ้าหมอนั่นสะดุ้งจนเห็นชัด
ไม่ผิดหรอกคะรับหลวงตา ผมตั้งใจมาหาหลวงตาจริงๆ เขาว่าเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ผมอยากจะรู้ว่ามีเคราะห์ถึงเป็นถึงตายหรือไม่ในระยะนี้
เมื่อตั้งใจมาอาตมาก็ต้องสนองศรัทธาตามกำลัง สายตาท่านยังจับใบหน้าอยู่ไม่วางตา ตอบฉันก่อนว่า พ่อเป็นคนจังหวัดไหน คงไม่ใช่คนพื้นนี้แน่
เขานิ่งตรึกตรองก่อนตอบอยู่ครู่หนึ่ง ผมเป็นคนสุพรรณครับ
อ้อ หลวงตาชื้นพยักหน้า อ้ายเรื่องราวของชีวิตก็พอจะรู้ๆ เค้าอยู่ละ ถ้าแต่เจ้าตัวจะปิดๆบังๆไม่อยากให้ใครรู้อาตมาก็จะทายให้แต่เพียงว่า อ้ายเรื่องที่หนักอกหนักใจเป็นทุกข์อยู่นี่น่ะ มันยังไม่เกิดขึ้นหรอกในระยะ 3 เดือนนี้ แต่มันมีข้อแม้อยู่
ข้อแม้อะไรคะรับหลวงตา จะบนบาลศาลกล่าว หรือสะเดาะห์เคราะห์อะไรผมยอมทั้งนั้น เขารีบรับคำรวดเร็วดีอกดีใจ
ไม่ใช่ยังงั้น หลวงตาโบกมือ เมื่อจะพูดข้อแม้มันก็ต้องพูดกันละเอียด มันก็จะกลายเป็นเปิดโปงเรื่องที่เจ้าจะปิดไป มันผิดมารยาทสงฆ์ มันพูดยาก
สำหรับหลวงตาผมไม่ปิดหรอก
แต่ เขามองมาทางผมและครูก้อน
หลวงตารู้นัยในกิริยาว่าไม่ไว้ใจจึงรับรองว่า หมอเถากับครูก้อนเป็นศิษย์อาตมา ไว้ใจได้ มีศีลธรรมเหมือนพระเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้นุ่งเหลืองห่มเหลืองเท่านั้น
ถ้าหลวงตารับรองผมก็ไว้ใจ เขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เพราะอยากรู้ชะตาชีวิตของตนเองให้ละเอียดถี่ถ้วน ตัวผมเป็น
.. หยุดก่อนอย่าเพิ่งเล่า หลวงตารีบชิงห้าม ขอบใจพ่อที่เชื่อหน้าอาตมา นิ่งๆ ฟังอาตมาก็แล้วกัน ถ้าผิดก็คอยท้วงว่าผิดไม่ต้องเกรงใจ ขอเอาดวงสอนศิษย์สองคนนี่สักหน่อย
หลวงตาชื้นเลื่อนกระดานโหรเข้ามาใกล้ ผมและครูก้อนกระเถิบเข้าไปจนติด เพื่อจะดูให้ถนัด รู้สึกตื่นเต้นแปลกใจสงสัยสับสนไปหมด หลวงตาท่านชี้ให้ดู
หมอกะครูดูให้ดีพื้นดวงเขาเป็นอย่างไรเสียก่อน
ผมมองปราดดูลัคนา เห็นเสาร์กุมก็ได้ช่องจะพยากรณ์อวดภูมิโหรกับคนแปลกหน้า จึงรีบทายเพราะถ้าขืนช้า เดี๋ยวครูก้อนแกจะคว้าเอาไปกินเสียก่อน
คนเกิดวันเสาร์ เสาร์กุมลัคน์มักดื้อ
เออแน่ะ หมอเถา.. หลวงตาพูดยิ้มๆ ทายยังกะหมอจีนเขาทาย
เห็นท่านพูดทิ้งท้ายแล้วนิ่ง ผมคิดว่าท่านชมก็เลยซักต่อ เขาทายว่าไงครับหลวงตา
เขาทายว่า มั่ว เหล็ก ๆ หลู้ หล้าน ไม่ ซั่วโพ่ ซั่วแม่
ผมหน้าร้อนฉ่าเพราะความอาย ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ กลบเกลื่อนและนึกรักครูก้อนที่มิได้พลอยหัวเราะเยาะเพียงแต่ยิ้มอยู่ในหน้า
หลวงตาทายดีกว่าครับ ครูก้อนว่า ผมกะหมอเถายังอ่อนหัดทายทีไรมันออกมาทั้งท่อนยังกะดุ้นฟืน
เอ้าดูให้ดี หลวงตาชี้เสาร์ที่กุมลัคน์ มันทายได้หลายแง่ เสาร์เขามาจากเรือนกัมมะ ถ้ากุมลัคน์ ได้ตำแหน่งดี ๆ ก็ทายว่าเป็นคนเอางานเอาการ นี่เสาร์เป็นนิจก็ต้องทายว่า เรื่องการงานไม่มีน้ำอดน้ำทน ทำการสิ่งใดพักเดียวก็เลิก พ่อผมมีนาอยู่มาก หนุ่มใหญ่ออกตัว แต่มีลูกจ้างทำอยู่ และแบ่งให้เขาถือทำ ผมก็เลยไม่ค่อยได้ลงนา
เออว่ะ พ่อเองเป็นคนดี แม่เอ็งมีสมบัติเก่ามา พ่อก็ช่วยขยันทำมาหากินสร้างฐานะจนเป็นปึกแผ่นมีหน้ามีตา กับลูกใครๆ เขาก็ว่าเอ็งเป็นลูกเศรษฐี
เจ้าหนุ่มอ้าปากหวดแปลกใจ จริง คะรับ
หลวงตาทายยังกับรู้จักเหล่ากอเขามาก่อน ผมยังก้มหน้ามองดูดวงจับดาวตามรอยไม่ทัน
ว๊ะ ก็ดวงมันบอกยังงั้นจริงๆ หลวงตาชี้ที่เรือนพันธุ เรือนแม่ เจ้าเรือนเป็นเกษตร แม่เขาก็มีฐานะเป็นปึกแผ่น เจ้าเรือนศุภะคือ พฤหัสตัวพ่อมันกดุมภะ เจ้าเรือนก็เป็นเกษตร ทั้งพ่อทั้งแม่มันโยคหน้ากัน และพ่อแม่ พฤหัส จันทร์ ก็เป็นดาวคู่ธาตุกัน มันบอกอย่างอาตมาทายไหม ดูเอา
หลวงตาแนะดาวผมกะครูก้อนร้องอ้อ มองเห็นเป็นฉากๆใสแจ๋ว จริงครับหลวงตา
ต้องดูตรงที่มันคัน หลวงตาว่าแล้วก็รินน้ำชาดื่มกลั้วคอ ตายังจับอยู่ที่กระดาน ว่าทางทักษา ตัวกาลกิณีมันก็พุธสหัชชะเพื่อนฝูงนั่นเอง เพื่อนเลวเพื่อนชั่วก็พอทำเนา ตนุเศษคือจิตใจ ตัวเองมันก็ตกพุธกาลกิณีไปด้วย แสดงว่าตัวเรานี้มันใฝ่ชั่ว เห็นดีงามตามเพื่อนชั่วๆไปกะเขาด้วย หันมาดูตนุลัคน์คือตัวตนของตนซิ มาอยู่เรือนราหูเรือนเดช ราหูตัวเจ้าเรือนมันมาอยู่ภพอริเรือนกาลกิณีเข้าอีก ว่ะ ตัวราหูมันตัวลุ่มหลง นักเลง เป็นเดช ตัวเราประพฤตินักเลงขนาดคนกลัวทีเดียว ติดอริมันก็ตัวเราเดือดร้อนมีเรื่องไม่หยุด แล้วไม่ใช่เรื่องดีเสียด้วย เพราะมันติดอริเรือนกาลกิณี ดูเสาร์ที่กุมลัคน์ก็คือบริวารมันล้อมหน้าหลัง ยิ่งเสาร์ได้คู่มิตรกะราหูเรือนอริเข้าด้วย ทั้งเพื่อนทั้งบริวารมันจะจูงมือตัวเราลงเหวเสียน่ะนา
ทั้งผมทั้งครูก้อนฟังหลวงตาอ่านดวงอย่างกับอ่านเรื่องพระอภัยมณี มันคล้องจองเป็นเรื่องเป็นราวสนุกสนาน ส่วนตัวเจ้าชะตานั่งก้มหน้านิ่งไม่เถียงสักคำ
ว่ายังไงเจ้าหนุ่ม หลวงตาเงยหน้าจากกระดานโหรถาม ถ้ามันไม่ถูกไม่จริงอย่างอาตมาว่า ก็ขอให้ค้านได้อย่าปล่อยให้คนแก่เพ้อเจ้อผิดๆ เข้ารกเข้าพงไป เพราะอีตอนต่อไปนี้แหละมันสำคัญที่เป็นที่ตายทีเดียว
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่เงยหน้าแววตาสลดเหมือนคนสำนึกตัว ยกมือพนมท่วมหัว จริงอย่างหลวงตาว่าทุกอย่าง ผมมันคนรักเพื่อน ดีชั่วไม่ใคร่ได้นึก พอมันเกิดแล้วเป็นแล้วถึงได้คิด แม่ต้องร้องไห้เพราะผมบ่อยๆ พ่อก็ต้องวิ่งเอาเงินทำขวัญเขาให้เรื่องมันเงียบหลายต่อหลายราย
หลวงตานิ่งอึ้งครางอืออยู่ในคอ ผมและครูก้อนพลอยตื้นตันใจ เมื่อนึกถึงหัวอกพ่อแม่ เลยพลอยนั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออก ต่างคนต่างนิ่งคิดกันไปหลายสถาน หลวงตาท่านก็คงคิดอย่างสงฆ์ปลงกรรมของสัตว์ เจ้าตัวอาจคิดเสียใจในความมัวเมาหลงผิด นิ่งกันอยู่นานจนกระทั่งหลวงตาชื้นท่านกระแอมเบาๆ หมอดูหมอยาก็ครือกัน อ่านดวงเหมือนอ่านโรคเขา เพื่อจะได้หาทางบำบัดรักษา ข้อสำคัญอย่าอายหมอเท่านั้น
เชิญหลวงตาเถอะคะรับ ผมเคารพหลวงตาเหมือนปู่ย่าตายาย จะไม่ปิดบังเลย
หมอเถากะครูดูให้ดีน๊ะตรงนี้สำคัญ หลวงตาชื้นท่านกรีดนิ้ววนรอบๆดวงบนกระดานโหรตรงหน้า นี่ก็ปีกุนอายุย่างเข้า 31 ตกภูมิศุกร์อังคารมนตรีเดิมเป็นศรี ราหูเดชเดิมเป็นกาลกิณี ตัวราหูขณะนี้จรอยู่ ภพกัมมะเรือนเสาร์คู่มิตร ตัวเสาร์เจ้าเรือนไปอยู่กดุมภะแสดงว่าเจ้าตัวได้การอย่างหนึ่งร่วมกับเพื่อนเพื่อได้เงินมา และราหูนี้เป็นอริเดิมและเป็นกาลกิณี การกระทำนั้นเป็นเรื่องชั่ว และเป็นเหตุให้เดือดร้อน เหลียวดูอังคารตัวตนุลัคน์เข้าเรือนวินาสน์ ตัวเองต้องหลบๆ ซ่อนๆ หนีหัวซุกหัวซุน เมื่ออังคารเป็นศรีมันถึงหนีเอาตัวรอดมาได้
หลวงตาชื้นหยุดเว้นระยะหายใจ จ้องหน้าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่ยอมสบตา แล้วท่านก็ถอนหายใจดังฮือ ข้าขอพูดตรงๆ อ้ายหนุ่มเอ๋ย เอ็งประพฤติเป็นโจรปล้นเขาและหนีกฎหมายบ้านเมืองมา มาดูดวงชะตาว่าจะหนีรอดหรือไม่
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ขยับตัวลูกขึ้นนั่งทันควัน ทั้งผมและครูก้อนใจหายวาบ เพียงคำทำนายตรงๆ ของหลวงตาก็ตกใจพออยู่แล้ว เห็นทีท่าเจ้าหนุ่มโจรผลุดลุกขึ้นนั่ง ก็ตกใจแทบสิ้นสติตะลึงตัวแข็งอยู่กับที่กลัวหลวงตาถูกทำร้าย
แต่ เจ้าหนุ่มโจรพนมมือซบหน้าลงกราบแทบเท้าหลวงตา เป็นลักษณะเสือสิ้นฤทธิ์ เสียงพูดรับสารภาพเครือๆ บอกความรู้สึกในหัวใจ
หลวงตาเทวดาดูเหมือนตาเห็น เป็นความจริงอย่างหลวงตาว่าทุกอย่าง ผมปล้นเขามาแต่สุพรรณฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย ทรัพย์สินผมไม่ได้หวังแต่มันเป็นเรื่องแค้นกัน ผมมันเห็นกงจักรเป็นดอกบัว กำลังเมาเหล้าไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง ผิดแล้วจึงได้คิดมันก็สายเสียแล้ว ช่วยผมด้วยเถิด ทำอย่างไรจึงจะเอาตัวรอดไปได้ ผมอยากมีโอกาสกลับตัวสักครั้ง แม้แต่จะบนตัวบวชก็ยอมทั้งสิ้น
หลวงตายกมือลูบหัวแล้วพยุงให้เงยขึ้น ข้ารู้ตั้งแต่ผูกดวงเสร็จถึงได้ถามว่ามาหาพระรดน้ำมนต์สะเดาะห์เคราะห์หรือมาหาพระหมอดู
ผมโล่งใจที่เหตุร้ายกลายเป็นดีไปแล็วก็จริง แต่พอนึกถึงคำพูดพล่อยปากที่ผมพูดที่ข้างโบสถ์ว่าเป็นอ้ายโจรเลยชักคิดหวาดๆไม่กล้ามองสบนัยน์ตา
หนทางเอ็งมันสั้นเต็มที หลวงตาชื้นก้มหน้าลงตรวจดวงอย่างตั้งอกตั้งใจ พฤหัสเจ้าเรือนศุภะพ่อเอ็งซึ่งเป็นมนตรีก็ตกมรณะเสียแล้ว เขาคงจนปัญญาจะวิ่งเต้นช่วยได้ เรื่องมันต้องพึ่งตัวเองเอา แต่ข้าประกันได้ว่าในปีนี้เอ็งเอาตัวรอดไม่ถูกจับแน่ แต่ต้องรับสัจจะเสียก่อน
ผมยอมรับคะรับ
ข้อหนึ่งเอ็งต้องไม่ประพฤติเป็นโจรต่อไปอีก ข้อสองเอ็งต้องไม่กลับคืนถิ่นเดิม ถ้ารับได้ข้าก็ประกันได้อย่างว่า แต่อ้ายที่จะตลอดลอดฝั่งไปตลอดนั้นมันไม่ได้ ก่อกรรมไว้ผลกรรมมันย่อมเกิดย่อมสนองตามกฎแห่งกรรมมันหนียาก ดูแต่พระโมคคัลลาน์มหาเถรสาวกพระพุทธองค์สำเร็จอรหัตน์มีฤทธิ์เดชบารมียังต้องรับกรรมให้โจรฆ่าตาย กระดูกป่นเป็นเมล็ดงา
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ก้มลงกราบรับสัจจะมั่นคง เจ้าเพื่อนร่างเล็กที่ใช้ลงไปดูต้นทางนอกกุฎิเมียงๆเข้ามากระซิบเบาๆ ตกบ่ายได้เวลารถจะออกแล้ว
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่พยักหน้ารับรู้แล้วหันมาบอกลาหลวงตาชื้น ผมจะล่องลงใต้หลบไปให้ไกล หางานหาการทำตั้งหลักฐานหาแดนตายเอาใหม่
เออ ไปเถอะ ขอให้รอดพ้นภัย อันทั้งปวง หลวงตาท่านให้พรด้วยใจจริง
ผมอยากกราบขอของดีหลวงตาติดตัวไว้คุ้มกันอันตรายบ้าง
ลูกหลานเอ๋ย อ้ายของดีมันคุ้มตัวสู้ความดีไม่ได้ เอ็งจำคำหลวงตาไว้ ความดีมันคุ้มตัวได้ตลอดชีวิต อยู่ที่ไหนเอ็งทำแต่ความดีไว้เถอะ คุ้มหัวได้ยิ่งกว่าเอ็งแขวนของดีมากนัก
พอเจ้าคนรับพรเทศน์โปรดของหลวงตาก้มลงกราบลา หลวงตาท่านก็ยึดข้อมือไว้อีกบอกว่า เอ็งเข้าวัดพบพระทั้งที เอาธรรมะติดตัวไปมั่ง นี่แหละของดีจำใส่ใจไว้เถอะ
อันทางธรรมถูกถ้วนเป็นถ่องแท้ ตามกระแสต้องพินิจจึงคิดเห็น
ธรรมบทมีกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ เรื่องกรรมเวรที่ได้สร้างแต่ปางบรรพ์
เรื่องกรรมดีกรรมชั่วติดตัวตน ให้ทุกข์ทนดลสุขเกษมสันต์
ไม่เลือกหน้าข้าเจ้าล้วนเท่ากัน ต่างผูกพันผลกรรมที่ทำมา
ทิฎฐธมฺมเวทนิยกมม นั้น เกิดโดยพลันสนองทันชัณษา
ทั้งบาปบุญปัจจุบันเห็นทันตา ตามชะตาบารมีวิถีกรรม
อุปปชชเวทนิยกมม จะน้อมนำชูชุปอุปถัมภ์
ในชาตินี้เบี่ยงบ่ายไม่กลายกล้ำ มุ่งกระทำในชาติหน้าบัญชาชนม์
อัปราปรเวทนิยกมม จ้องประจำไม่รุนแรงแสดงผล
ต่อหลายชาติอาจจะเนาว์เข้าผจญ ติดตามตนจนบรรลุอนุกุล
อโหสิกมม ไม่ซ้ำไม่ค้ำจุน ทั้งแรงบุญแรงบาปก็สาบสูญ
ไม่ก่อกรรมนำชีวาให้อาดูร ไม่เพิ่มพูนความสุขทุกประการ
กรรมลิขิตมิใช่ฤทธิ์ของเทวา ชี้บัญชาชีวันดังบรรหาร
เป็นกรรมเก่าเราเองแต่เพรงกาล ดลบันดาลโทษทัณฑ์นิรันดร
อันบุญกรรมนำชะตาอนาคต มิได้จดลงบัญชีมีอักษร
ทั้งคุณโทษไม่มีโจทก์แจ้งอุทธรณ์ กรรมมันซ่อนอยู่ในทรวงดวงกมล
สุดล้ำเหลือเนื้อกรรมที่จำแนก ล้วนผิดแผกแตกต่างในทางผล
กาลกำเนิดจะบังเกิดแก่ชีพชนม์ ตามยุบลเที่ยงแท้กระแสความ
--------------------------------------------------------------
ตั้งชื่อเด็ก
ย่างเข้าเดือน ๗ มาจนจะเข้าข้างแรม ฝนประจำฤดูการขาดหายไปร่วมเดือน บนท้องฟ้าว่างไม่มีเค้าเมฆเค้าฝนให้เห็น อากาศร้อนอบอ้าวไปทุกหนทุกแห่ง ราวกับฤดูร้อนตอนสงกรานต์ไม่ผิด ถนนสายเดียวจากตัวเมืองผ่านตลาดและหมู่บ้านออกไปสู่ทุ่งนายาวสุดตา ไม่รถราหรือผู้คนสัญจรด้วยเป็นเวลายายแดดจัด ตรงทางแยกจะเข้าสู่วัดเป็นละเมาะไม้ร่ม หญิงหนึ่งหน้าตาสวยสะอาดหมดจดอุ้มทารกน้อยแนบอกหลบแดดแฝงเงาไม้มาตามริมทาง กิริยาดูร้อนรนหวาดหวั่นเหมือนนางเนื้อระแวงภัย พอถึงทางแยกก็มุ่งหน้าเข้าสู่วัดแวะตามมาตลอดทางจนถึงกุฎิที่มีต้นมะยมคู่หน้าประตูเป็นที่สังเกต ก็รีบรุดขึ้นกุฏิโดยไม่ลังเล
หลวงตาชื้นเอกเขนกประจำที่อยู่หน้าพาไลห้องเช่นทุกวัน เสียงประตูชานกุฏิเปิด เหลียวมองเห็นหญิงสาวอุ้มลูกทรุดตัวลงนั่งไหว้แต่ไกลยกมือป้องดูก็จำไม่ได้ว่าเป็นใคร จึงหันมาทางแขกที่นั่งอยู่ด้วย
ครูก้อนตาดีๆ ช่วยดูทีหรือมันลูกใครหลานใครกัน
ครูก้อนซึ่งมานั่งคอยหมอเถาแต่บ่ายและยังไม่พบกัน พลอยป้องมือตามหลวงตาดูมั่ง ผู้หญิงครับหลวงตา
ทุด
หลวงตาชื้นทั่งฉิวทั่งขำ ลูกกะตาฉันก็มี ถึงจะแก่ชรา 7o เศษ ก็พอรู้หรอกวะว่าผู้หญิงผู้ชาย ไม่ถามให้มันเสียเวลา อยากรู้ว่ามันใครกัน ครูรู้จักหรือเปล่า
คนแปลกหน้าครับหลวงตา ดูจะไม่ใช่คนบ้านเรา ครูก้อนตอบ ตายังเพ่งอยู่ แล้วกวักมือเรียก เข้ามาซีแม่หนู มีธุระอะไรก็เข้ามาใกล้ๆ นี่เถอะ
หญิงสาววัยยี่สิบเศษลุกเดินผ่านชานกุฏิเข้ามานั่งพับเพียบเรียบร้อย วางลูกที่แนบออกลงหมอบกราบนอบน้อมใกล้ๆเท้าหลวงตาที่เหยียดอยู่ จนหลวงตากระดากต้องหดเท้าหนี หนูขอกราบเท้าหลวงตา
เออ ไหว้พระแม่คุณจำเริญ ๆ เถอะ หลวงตายกมือรับไหว้ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าลูกหลานใครที่รู้จักมาก่อนหรือเปล่า ยังไม่ทันได้พูดจาไต่ถาม ก็ได้ยินเสียงเถิดเทิงกลองยาวแว่วห่างๆ จนกระทั่งใกล้กุฏิและมาหยุดอยู่หน้ากุฏิ เสียงกลองเสียงฉาบดังจนกระทั่งจะพูดกันไม่ได้ยิน ซ้ำเสียงไชโยโห่ฮิ้วดังลั่นแสบแก้วหู
หลวงตาชื้นมองหน้าครูก้อนเหมือนจะถามว่ามันอะไรกัน จะว่าเป็นขบวนแห่บวชนาคก็ผิดสังเกตที่มาเล่นกันอยู่นอกโบสถ์ จะแห่อื่นใดก็มองไม่เห็น ครูก้อนขยับตัวจะลุกขึ้นเปิดประตูก็พอดี ชายรูปร่างท้วมสูงใหญ่เปิดประตูผลัวะเข้ามา เสื้อผ้าเปียกปอนตลอดตัว หน้าประแป้งลายไปทั้งหน้า ครูก้อนเพ่งถนัดก็จำได้หัวเราะก๊าก บ๊ะ
บ๊ะ
หมอเถา วันนี้เกิดร้อนจัดหรือไง ถึงแต่งหน้าแต่งตาพิกล ช๊ะๆยังมีขบวนแห่มาส่งเสียด้วย หมอเถาหัวเราะเอามือลูบหน้าลบรอยประแป้งออกเข้ามากราบหลวงตา ซึ่งท่านก็ตะลึงอยู่ เขาไปขอฤกษ์แห่นางแมว ฝนฟ้ามันแล้งเหลือเกิน พืชผลในไร่เสียหายหมด ก็เลยต้องร่วมขบวนแห่นางแมวมากับเขาด้วย
แห่ให้มันเสียเวลา หลวงตาชื้นว่า อีกวันสองวันก็จะเข้าเดือน ๘ แล้วพอย่างข้างแรมเข้าพรรษาฝนมันก็ตก
หมอเถาเหลือบดูหญิงสาวแขกของหลวงตาที่นั่งอยู่ข้างๆ นึกชมในใจตามประสาผู้ชายว่าเธอเป็นคนสวยคนหนึ่ง แม่หนูมาธุระอะไรหรือจ๊ะ
หนูจะมารบกวนหลวงตาท่านสักหน่อย เธอว่า
เออ ลืมไป หลวงตาพยักหน้า มัวหนวกหูไอ้เสียงเถิดเทิงแห่หมอเถาเลยลืมถามว่ามาทำไร มีอะไรว่าไปแม่หนูไม่ต้องเกรงใจ
หนูอยากจะมาขอชื่อลูกชายเจ้าค่ะ
อ้อได้ซิเป็นไรไป หลวงตาเอานิ้วจิ้มหน้าผากเด็ดสัพยอก หน้าตามันน่ารักดีเจ้าหนู แต่ข้าสงสัยว่านังแม่มันจะมีทุกข์หัวใจมากกว่าเรื่องชื่อลูก คำท้ายของหลวงตา ทำให้แม่ลูกอ่อนสะดุ้งหลบตา ทั้งหมอเถาและครูก้อนรู้สึกสะกิดใจคำหลวงตาชื้นที่มีนัยชวนให้คิด
แม่หนูมีทุกข์มีร้อนอะไรก็บอกหลวงตาท่านเถอะ หมอเถาพูดน้ำเสียงปลอบโยนแสดงเมตตา
อ้ายความทุกข์นะมันท่วมหัวใจหนูทีเดียว เธอพูดเสียงเครือน้ำตาคลอ
หลวงตารีบพูดขึ้นก่อน ดวงยามมันบอกว่า เป็นเรื่องผัวเรื่องเมีย มันจะเลิกร้างแตกแยกกัน
เจ้าตัวสะอื้นฮักแล้วปล่อยโฮหมดอาย ใช่เจ้าค่ะ ผัวเขาจะทิ้งอิฉัน
ทั้งผมทั้งครูก้อนตกตะลึงอ้าปากค้าง ที่หลวงตาท่านทายเหมือนปาฏิหารย์ ทั้งๆที่มิได้ผูกดวงผูกดาวแต่สักอย่าง ผมและครูก้อนขณะนี้คิดตรงกันอยู่อย่างหนึ่ง ก็คืออยากรู้ว่าหลวงตาท่านเอาอะไรทายเช่นนั้น แต่ไม่กล้าถามขึ้นมาขณะนี้เพราะเกรงใจท่านอยู่ จึงสบตากันเหมือนถามกันเองอยู่เงียบๆ
หลวงตาเหมือนจะรู้ใจเราทั้งสองคน ท่านพูดลอยๆเป็นปริศนาบอกใบ้ ยามแม่หนูเขามาเป็นยามศุกร์ วันนี้ศุกร์มันเดินเป็นมรณะแก่จันทร์ มันก็เรื่องศุกร์ ความรักความใคร่ มรณะมันแตกแยกสูญเสียน่ะซี และวันนี้วันพุธ ศุกร์เป็นมูละ ถ้าเป็นนกก็ออกจากรังแล้วไม่กลับคืนเรือนแน่ หมอกะครูทำหน้าตกอกตกในไปได้
ขอรับ เป็นพระเดชพระคุณที่สุด ทั้งผมทั้งครูก้อนพนมมือรับคำ ในใจผมยังคิดไม่แจ่มแจ้ง
หลวงตาจึงพูดต่อไปอีก ธรรมดาริเป็นหมอดู พอเห็นหน้าเขามันก็ต้องพิจารณายามดวงดาวประจำวัน เพื่อเป็นทางรู้ว่าเขามาเรื่องอะไร ร้ายหรือดี มัวแต่นั่งซักนั่งถามเรื่องราวมันก็ไม่ใช่หมอดู เป็นหมอถาม
เรื่องตัวยามเข้าดวงดาวหลวงตายังไม่เคยสอนพวกกระผมเลย ครูก้อนยิ้มประจบ แต่คำที่หลวงตาชี้แจงเมื่อกี้ผมพอมองเห็นเค้าบ้างแล้ว
ผมนึกอิจฉาครูก้อนเสียจริงๆที่หมอมีความคิดปราดเหรื่องว่องไว เข้าใจอะไรดูง่ายดายผิดกะผม จะได้อะไรสักทีก็ต้องไปนั่งท่องนอนท่องเป็นวันเป็นคืน อ้ายคนเราเรียนกะไม่ได้เล่าเรียนมันผิดกันตรงนี้เอง เขาเรียก กาลชะคาทางจันทรคติ เอาไว้วันประหัส เอาดอกไม้ธูปเทียนมาทั้งสองคนฉันจะสอนให้ หลวงตาพยักหน้าและให้โอวาท เป็นหมอดูจะรู้แต่ดาวเดือนอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องเรียนรู้รอบตัวสารพัดจึงจะเอาตัวรอด หลวงตาท่านหันมาทางหญิงสาวที่กำลังเช็ดน้ำตา
แม่หนูเป็นคนที่ไหน ถึงได้หอบลูกฝ่าแดดมาหาอาตมาถึงนี่
หนูเป็นคนราชบุรี มาได้สามีอยู่ที่นี่เมื่อปีที่แล้วเจ้าค่ะ
เออ มันก็ยังเป็นข้าวใหม่ปลามัน มีลูกมีเต้าด้วยกันมันน่าจะมีความสุขประสาผัวๆเมียๆ ทำไมจะมาทิ้งขว้างกันเสียล่ะแม่หนู
มันเรื่องเวรเรื่องกรรมเจ้าค่ะ ก็เพราะเรื่องลูกนี่แหละ น้ำตาที่เหือดแห้งแล้วกลับพรูนองแก้มออกมาอีก สาวแม่ลูกอ่อนก็เริ่มเล่าเรื่องแต่ต้น หนูเป็นเด็กราชบุรี กำพร้าพ่อแม่มาแต่เล็กๆ พอจำความได้ก็อาศัยอยู่กับคนอื่นเรื่อยมา อดบ้างอิ่มบ้างมาตลอด พอตอนอายุ 15-16 ก็ยิ่งลำบากหนักขึ้น พอจะได้ที่อยู่ที่กินมีความสุขก็ต้องเปลี่ยนที่โยกย้ายจนแทบจะจำไม่ได้ว่าเคยอาศัยอยู่กับใครมาบ้าง ใครๆเขาว่าเกิดเป็นผู้หญิงขอให้สวยอย่างเดียวชีวิตหาความสุขได้ง่าย หนูไม่เชื่อเลยจริงๆเจ้าค่ะ เพราะความสวยนี่แหละมันเป็นตัวกรรมให้ลำบากลำบนระเหเร่ร่อน พอแตกเนื้อสาวไปอาศัยใครเขาอยู่ มิช้ามินานพอเมียเขาหึงก็ต้องจนออกจากบ้านไป พอไปพบที่เมียเขาเป็นคนดีไม่หึง ข้างผัวก็มักทำคาวาวแอบจับมือจับแก้ม เหมาะๆบางรายมุดมุ้งปล้ำเอาก็เคยโดนเจ้าค่ะ มาเมื่อ 2 ปีที่แล้วได้เพื่อนฝูงเขาแนะนำชักจูงไปทำงานเป็นนางเสริฟในบาร์ขายเหล้าขายเบียร์ มีรายได้ดี พอจะมีชีวิตกินอิ่มนอนหลับได้แต่งเนื้อแต่งตัวสวยๆสักหน่อย เสียอย่างเดียวงานชนิดนี้มันเปลืองตัวเปลืองชีวิตอยู่สักหน่อย มันได้อย่างเสียอย่างเจ้าค่ะ เมื่อต้นปีที่แล้ว พี่เขามาเที่ยวบาร์พบกันเข้า เขารักหนูมากชวนไปร่วมชีวิตผัวๆเมียๆ หนูก็เต็มใจแม้ว่าพี่เขาจะเป็นคนเชื้อจีน อยากเลิกชีวิตดอกไม้ริมทางเสียที จะได้มีชีวิตเป็นครอบครัว แก่ตัวเข้าจะได้ไม่ลำบาก เธอหยุดเช็ดน้ำตามองเหม่อเหมือนนึกถึงความรักความหลัง เมื่อมาอยู่ด้วยกันแรก ๆ ก็เรียบร้อยดี แต่พอนานนับเดือนเข้าพี่น้องญาติ ๆ ของพี่ซึ่งล้วนแต่เป็นคนจีน ก็ตั้งข้อรังเกียจประวัติหนหลังของหนูว่าเป็นคนไม่ดี หนักเข้าก็ยุยงพี่ให้ทิ้ง อ้างว่าเลื่อมเสียวงศ์ สกุลที่ร่วมแซ่ พอเริ่มตั้งท้องลูกคนนี้ เราสองคนผัวเมียก็เริ่มระหองระแหง พี่เขาพูดอยู่เสมอว่าอาจไม่ใช่ลูกเขาก็ได้ หนูสู้อุตส่าห์อดทนมาจนถึงวันคลอด ได้ลูกผู้ชายหน้าตาผิวพรรณมาข้างหนูทั้งหมด ไม่มีส่วนละม้ายไปทางพ่อเลย เรื่องก็เลยยิ่งซ้ำร้ายหนักขึ้น เราทะเลาะกันแทบไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งญาติพี่น้องเขาก็รุมด่าเช้าด่าเย็นทุกวัน จนหนูอดทนไม่ไหวก็ต้องหนีออกจากบ้านมาวันนี้
ทั้งหลวงตา ผม และครูก้อน นั่งนิ่งฟังใจคอหอหู่ต่อเคราะห์กรรมของเด็กสาวอายุยังเยาว์แต่ความทุกข์ประหนึ่งทะเลหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาล เด็กผู้หญิงเล็ก ๆ คนนี้จะว่ายข้ามไปพ้นหรือ จะให้หลวงตาช่วยอะไรแม่หนูได้บ้างก็บอกเถอะ หลวงตาเองถึงจะเคยพบเห็นความทุกข์ยากของผู้อื่นมามากก็ยังไม่วายสลดใจ หรือจะให้ไปช่วยพูดกับผัวแม่หนูให้รู้ผิดชอบ ก็เต็มใจจะพูดให้ เอาไม๊ล่ะ
ไม่เจ้าค่ะ หลวงตา เธอรีบปฎิเสธ หนูคิดไปตายดาบหน้าเสียแล้ว ที่มาหาหลวงตาก็อยากจะให้ตั้งชื่อผูกดวงเป็นสิริมงคลแก่ลูก เพราะหนูคงหมดปัญญาเลี้ยงเขาต่อไปได้ เพราะจะต้องมีชีวิตร่อนแร่พเนจรกินไหนนอนไหนก็ยังไม่รู้แห่ง
ตั้งใจจะเอาไปยกให้เป็นลูกคนที่เขารักเด็ก วันข้างหน้ามีบุญแม่ลูกคงได้พบกัน
แม่หนูจำวันเกิดเวลาเกิดตัวเองได้ไม๊ล่ะ ผมถามเบาๆ จะได้ตรวจดงชะตาดูทีหรือว่ามันจะหมดเคราะห์หรือยัง ด้นดั้นไปครั้งนี้จะดีหรือร้ายอย่างไร
หนูจำไม่ได้เลย เพราะแม่ตายเสียแต่ยังจำความไม่ได้ และอาศัยคนอื่นเขาเรื่อยมาเลยไม่มีโอกาสรู้
เจ้าหนูน้อยละมันเกิดวันใดเวลาใดแม่หนูลองบอกซิ หลวงตามถาม
หนูจำไว้แม่นยำเจ้าค่ะ เธอว่า และก้มลงดูบุตรน้อยที่หลับอยู่คาอก วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2514 ปีนี้เจ้าค่ะ เวลาตกฟากหนูหกโมงเช้ายี่สิบห้านาที
เออจำละเอียดแม่นยำดี เอา
ลองผูกดวงมันดู ข้างมันจะดีชั่วแค่ไหน หลวงตาคว้ากระดานโหรหยิบปูมมาเปิดดวงดาววางลัคณาขีดเขียนอยู่ครู่เดียวก็วางดวงชะตาเสร็จ ท่านพินิจพิเคราะห์ดูอยู่สักครู่แล้วก็ถอนใจเลื่อนกระดาฯมาให้ผมกับครูก้อนดู ผมพินิจพิจารณาดวงชะตาอยู่ 2-3 รอบ จับเอาพฤหัสทายก่อนเพราะขืนช้ากลัวครูก้อนแกจะคว้าเอาไปกินเสีย
ชะตาเด็กคนนี้ ผมว่าคงจะไม่ตกต่ำ พฤหัสเป็นเก้า จะมีความสุขสบาย และพฤหัสเป็นตนุตกเรือนศรี ไปเบื้องเห็นทีจะไม่ลำบาก ชีวิตคงจะอุดมด้วยลาภผลสมบูรณ์
ครูก้อนไม่ยอมน้อยหน้าผม ลัคนาเขาอยู่ราศีอำพุ จันทร์เป็น 4 ได้องค์เกณฑ์ตามตำราจะเป็นถึงพระยา ชีวิตเด็กคนนี้จะรุ่งเรืองด้วยยศศักดิ์และอังคารคือศรีอยู่เรือนกัมมะ ประกอบการงานอย่างใดก็เจริญรุ่งเรืองดี หลวงตาชื้นหัวร่อชอบอกชอบใจสองลูกศิษย์พยากรณ์ได้คล่องปากแบบนกขุนทอง
ไอ้ที่ทายนี่น่ะมันไม่ผิดหรอก แต่มันยังไม่ถูก ทั้งหมดทั้งครูแหละ เรื่องเดช ศรี กาลี เข้าประกอบ มันถึงจะแนบเนียน ทีหลังไม่จำให้ได้ มันต้องจับเฆี่ยนกันเสียบ้าง คงจะจำได้ดีขึ้น หลวงตาท่านชี้นิ้วบนกระดาน ขึ้นต้นมันต้องตรวจดวงเสียก่อน ว่าวันเวลาเกิดที่เขาบอกนั้น เมื่อเฉลิมรูปดวงชะตาแล้ว มันพอจะเข้าเค้าเรื่องชีวิตของเขาหรือไม่ เป็นการสอบเวลาเกิดว่าเขาบอกผิดถูกอย่างไรด้วย
อย่างดวงนี้ หลวงตาชี้ที่จันทร์ จันทร์อยู่เรือนพันธุของลัคนาจันทร์ก็คือแม่เรือนพันธุเผ่าพงษ์ เป็นมรณะกับพฤหัสตนุลัคน์ หมายถึงแม่จากไปเหมือนตายจากกัน และไกลญาติไกลพี่ไกลน้อง พอเชื่อได้ว่าเป็นดวงของเขาจริงๆ หลวงตาหยุดตรวจดวงแล้วก็อธิบายต่อ การจะดูวาสนาหรือชีวิตเขาจะดีจะชั่วอย่างไร ไม่ใช่จะคอยจ้องแต่ศรีหรือกาลกิณีอย่างเดียว มันต้องดูตัวเขา คือลัคนาหนึ่ง และตนุลัคน์เขาอีกหนึ่ง ดูการงานของเขาอีกหนึ่ง ดูการเงินของเขาอีกหนึ่ง ดูการศึกษาเล่าเรียนอันเป็นความรู้ อีกหนึ่ง มันเป็นปัจจัยประกอบกันเป็นความรุ่งเรืองไปมิได้ เช่น ความรู้ดีไม่เอาการงานหรือทำการใดไม่ยืดมันก็ไม่เจริญ งานดีความรู้ดีแต่ตนเองเสเพลประพฤติชั่วก็เอาตัวไม่รอด คนดี งานดี ความรู้ดี แต่การเงินเสียหายมันก็ตั้งหลักฐานเป็นปึกแผ่นไม่ได้ เหมือนเก้าอี้ 4 ขา ขาดขาใดขาหนึ่งมันก็ตั้งอยู่มิได้ ทั้งผมและครูก้อนรู้สึกเสียใจตัวเองที่ไม่ควรผลีผลามตะกรุมตะกรามทายโดยไม่ตรวจตราให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน ฟังโอวาทหลวงตาครั้งใดปัญญาแจ่มกระจ่างไปทุกครั้ง
ดวงเด็กคนนี้ว่าถึงจะบุกบั่นฟันฝ่าเอาดีเอาเด่นจริงจังด้วยลำแข้งของตนเองยาก หลวงตาชื้นพูดช้าๆไตร่ตรอง นัยน์ตาท่านจับอยู่บนกระดานโหร ตัวตนตนนั้นน่ะดีอย่างหมอเถาว่า ตนุลัคน์ตก ศุภะในเรือนศรี ตนจะได้ที่พึ่งอุปถัมภ์ที่จะพาชีวิตให้รุ่งเรืองในภายหน้า ว่าถึงการงานดูเผินๆก็น่าจะดีเด่น เพราะอังคารศรีสถิตเรือนกัมมะพฤหัสคู่สมพล ทายได้ว่าจะได้หน้าที่ตำแหน่งการงานที่เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตาเป็นเกียรติแก่ตน แต่จะดูงานไปในทางลาภผลร่ำรวยไม่ได้ เพราะเรือนลาภะราหูเจ้าเรือน วินาสน์เป็นกาลกิณีครองอยู่ เจ้าเรือนลาภะคือเสาร์ ไปอยู่
กฎุมภะเป็นนิจ เท่ากับกาลกิณีเรือนกฎุมภะ การเงินการทองกว่าจะได้ก็ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดตามอำนาจเสาร์ เรียกได้ว่าลาภผลการเงินไม่ดี ดูการศึกษาเล่าเรียนก็ดูอาทิตย์พุธคู่นี้เป็นการศึกษาวัยต้นๆมากุมลัคน์อยู่ก็จริง แต่พุธ
มูละเป็นประและอาทิตย์มาจากพบอริ การศึกษาเล่าเรียนขัดข้องไม่ตลอดหรือจะเรียนรู้ให้เป็นหลักฐานมั่นคงมิได้
ผมตั้งอกตั้งใจฟังเพื่อจดจำไว้ เด็กคนนี้ดีเพียงสองสถาน ก็เพียงแต่เอาตัวรอดได้เท่านั้นนะครับหลวงตา
ถูกละ แต่ยังก่อน หลวงตาพยักหน้ารับแต่ยังชี้นิ้วนับไปตามราศีตรวจดาว มันจะต้องดูว่าดวงดาวอะไรจะนำพาชีวิตของเขาให้รุ่งเรืองได้บ้างและทางไหน
ผมรักดาวพฤหัส ผมออกความเห็นชนวน
พฤหัสน่ะถูก..แต่จะดีทางไหน ลองว่ามาซิหมอเถา หลวงตาย้อนถามสอบภูมิ ผมนิ่งอึ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งตอบอ้ออมแอ้มไม่แน่ใจนัก ชีวิตเขาจะมีความสุข
บ๊ะ
หลวงตาเกาหัวแกรกไม่สบอารมณ์คำตอบ หมอเถามันตอบกำปั้นทุบดิน คนดีคนเลวคนจนคนมี มันก็มีทางมีความสุขกันได้ทุกคน ทายอย่างนั้นไม่ได้
พฤหัสเป็นเก้าอย่างหมอเถาว่าดีน่ะถูก เขาเรียกธรรมเกณฑ์ไม่สู้จะให้คุณทางโลก แต่ให้คุณในทางธรรม เป็นผู้มีคุณธรรม จะได้รับการยกย่องนับถือ ทั้งนี้ลองหวลมาดูเรือนปัตนิดูหรือมฤตยูและเกตุเขาครองอยู่ด้วยกัน และพุธเจ้าเรือนก็เป็นประเรื่องลูกเมียดูมันจะดับสูญเป็นเพลิงสิ้นเชื้อเอา และจันทร์องค์เกณฑ์ของลัคนาราศีอำพุเป็นคู่ธาตุกับพฤหัสด้วย จะได้เป็นพระยาอย่างครูก้อนว่า แต่เป็นพระยาพระน่ะนา ถ้าบวชเรียนตำแหน่งเจ้าคุณเห็นจะอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น
ผมเห็นจริงอย่างหลวงตาว่าชัดเจนทีเดียว ผมมองเห็นเป็นฉากๆ ตามคำอธิบายและก็อดพูดเล่นตามประสาคนปากอยู่ไม่สุข เด็กคนนี้เห็นทีจะไม่พ้นทางชีวิตสมณเพศเสียเป็นแน่ ยกให้เป็นลูกพลวงตาเสียดีกระมัง พอโตสักหน่อยก็บวชเณรเรื่อยไป เพราะดวงมันต้องพึ่งพระพึ่งสงฆ์
หลวงตาอธิบายยืดยาวจนต้องหยุดพักเหนื่อยจิบน้ำชาไปพลาง พิศดูหน้าตาเด็กและดวงชะตาไปพลาง คิดหาเหตุผลตามประสาพระสงฆ์ผู้เฒ่า
จะตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่ากระไรดี ผมเรียนถามแล้วออกความเห็นอีก การตั้งชื่อก็ต้องเล่นทางทักษา ผมว่าเอาศรีคืออักษรอังคารจะเหมาะ
ผมว่าวรรคเดชคือจันทร์จะเหมาะกว่า ครูก้อนแย้ง การตั้งชื่อเด็กชายเขาต้องใช้เดช ส่วนเด็กหญิงเขาใช้ศรี
การตั้งชื่อบุคคลจะใช้แต่เดช ศรี ทางทักษาอย่างเดียวมันหยาบไป เรามีดาวก็ต้องดูดาวประกอบด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าเดชหรือศรีก็ดีจะให้คุณจริงหรือไม่ ดูเอาเห็นไม๊ะ หลวงตาชี้นิ้ว อังคารตัวศรีก็สัมผัสกับกาลกิณีทางเสาร์คู่ศัตรูที่ครองเรือนอังคารอยู่ ส่วนเดชคือจันทร์ก็อ่อนไปไม่เหมาะแก่เด็กผู้ชาย
ตัวที่เหมาะที่สุดคือพฤหัส ซึ่งทางทักษาเป็นมนตรี และทางดาวก็ตกเรือนศุภะ เด็กน้อยผู้นี้จะต้องพราก
จากอกแม่ไปอยู่ในความคุ้มครองของคนอื่น ตั้งชื่อมนตรีและศุภะไว้จะได้มีที่พึ่งที่อุปถัมภ์ชีวิตที่ดีเป็นเหมาะกว่าอื่น
จริงครับหลวงตา เหมาะแก่ชีวิตเขาเป็นที่สุดแล้วผมสนับสนุนเพราะเห็นจริงอย่างหลวงตาพูด
นังหนู แม่ชื่ออะไร พ่อชื่ออะไร จะได้ตั้งชื่อเด็กให้มันคล้องจองพ่อแม่ หลวงตาหันมาถามหญิงสาว
หนูชื่อบุนนากเจ้าค่ะ แต่ชื่อพ่อเขาไม่ต้องการให้เข้ามาเกี่ยวเจ้าค่ะ คนใจร้าย
เอาชื่อ บุญเกื้อ ก็แล้วกัน ได้ทั้งเดชทั้งศรี เป็นคู่ธาตุคู่สมพลแล้วยังได้สระคืออาทิตย์เป็นคู่มิตรอีกครบองค์
ดีแล้วเจ้าค่ะ หนูชื่อบุนนาก ลูกชื่อบุญเกื้อ คล้องจองกันดีเจ้าค่ะ เธอค่อยวางลูกลงก้มกราบแสดงความขอบพระคุณหลวงตา
เอ้าอุ้มเจ้าหนูเข้ามาใกล้ ๆ ผูกข้อมือรับชื่อเป็นสิริมงคลเสีย หลวงตาจับสายสิญจ์ทบเป็นเก้าเส้นยาวขนาดพอเหมาะ จับสองปลายเกลือกคลึงข้อมือเด็ก ปากทานก็พึมพำอาราธนาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณคุ้มครองรักษา แล้วก็เรียกชื่อ เจ้าหนูบุญเกื้อผลบุญจะเกื้อกูลให้เจ้าเป็นสุข
เธอบรรจงวางลูกกำลังหลับลง ลูกขอฝากบุญเกื้อไว้สักครู่เจ้าค่ะ จะเข้าไปในตลาดเพราะเพื่อนเขานัดว่าจะใช้เงินยืมให้ จะได้เอาไว้เป็นค่าพาหนะเดินทาง
เชิญเถอะแม่หนู ผมรีบรับอาสาทันควัน เรื่องเด็กๆ ฉันพอจะดูแลกันได้ รีบไปรีบหลับมาอย่างนานนัก ตื่นขึ้นหิวนมจะร้องไห้ปลอบไม่หยุด
เธอยกมือไว้ผมอ่อนน้อมน่าสงสาร ถอยออกจากประตูกุฏิไปแล้ว ผมก็หันมาสัพยอกครูก้อน เด็กชื่อบุญเกื้อ ถ้าได้พ่อชื่อบุญก้อนและคล้องกันเปี๊ยบเลย ครูก้อนน่าจะรับเอาไว้เป็นลูกบุญธรรมสักคน
ของผมน่ะสี่คนเข้าไปแล้วเต็มกลืน ครูก้อนส่วยหน้าเหลือระอา แต่ถ้าแถมแม่ให้ด้วยละก็ขอคิดดูก่อน อาจพอรับไว้ได้
ชะช้า ครูก้อน
ผมชี้หน้าเพื่อน มีลูกบุญธรรมน่ะมันไม่กระไร แต่จะมีเมียบุญธรรมอีกคนละก้อ รนหาที่ตายแน่
ตายยังไงหมอเถา ครูเถียงคอเป็นเอ็น ผมเป็นหนุ่มแข็งแรงกว่าหมอนะ ไม่ตายง่ายๆหรอก แล้วเมียผมก็ไม่ดุร้ายด้วย
ฟ้ามันจะผ่าตาย ผมหัวเราะ แล้วลำเลิกความหลังของครูก้อน ที่รู้ๆกันว่ามีเมียขี้หึง สงสัยว่าครูนอกใจทีไรจับสาบานทุกครั้ง ครูเคยจุดธูปสาบานบ่อยๆให้ฟ้าผ่าตาย นี่ก็จะเข้าน่าฝนฟ้ามันคะนองอยู่ ไม่นึกกลัวผิดคำสาบานมั่งรึ
หมอเถาปากเสีย ครูก้อนทั้งอายทั้งขำปนกัน แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ หลวงตาชื้นเองก็หัวเราะเต็มเสียง ส่วนตัวผมนั้นล่อเสียตัวงอที่เห็นเพื่อนอายกระมิดกระเมี้ยน
เสียงหัวเราะดังลั่นของเราทั้ง 3 คน ปลุกเด็กน้อยพ่อบุญเกื้อสะดุ้งตกใจตื่นร้องจ้า ผมเคยอุ้มเด็กวาดยาอยู่ทุกวันก็ประคองสองมือช้อนแนบอกโอ๋ปลอบ แต่พ่อหนูน้อยกำลังตกใจไม่ยอมหยุดกลับร้องจ้าลั่นกุฏิ หลวงตาลูบหัวปลอบก็ไม่ฟัง ครูก้อนถึงกับลงทุนแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกทำกิริยาแปลกๆ พ่อหนูบุญเกื้อกลับร้องดังกว่าเก่าขึ้นไปอีก ตอนนี้ชักอลเวงทั้งกุฏิ หลวงตาไม่คุ้นกับเด็กๆเล็กๆ ชักไม่สบายใจ ผมอุ้มใส่บ่าลุกขึ้นเดินนึกหาเพลงฉ่อยเพลงลิเกที่ร้องเล่นเมื่อตอนหนุ่มๆก็นึกไม่ออกได้แต่ร้องฮือๆฮาๆ ปลอบไปตามเรื่อง
เอ
นี่มันก็นานโขแล้วนะหมอเถา ทำไมแม่เจ้าหนูนี่มันยังไม่ยอมกลับ หลวงตาปรารภด้วยความเป็นห่วง
ผมเองกับครูก้อนก็คิดอย่างหลวงตาชื้นเช่นกัน แต่ยังไม่ทันจะคิดหรือพูดอะไรก็ได้ยินเสียงใครเรียกอยู่หน้าประตูนอกหลวงตาคะร๊าบ
หลวงตาคะร๊าบ
ผมเดินไปเปิดประตู ก็เห็นเจ้าเด็กรุ่น จำได้ว่าเป็นลูกแม่ค้าที่ท่ารถเมล์ อะไรวะอ้ายหน
มีจดหมายเขาฝากมาให้หลวงตา เจ้าเด็กท่าทางแคล่วคล่องชูซองจดหมายในมือให้ดู
ก็ขึ้นมาซี ผมกวักมือเรียก เจ้าเด็กนั้นก็แล่นตามมือขึ้นกุฏิตรงไปหาหลวงตา
หลวงตารับจดหมายฉงนสนเท่ห์ใจ จึงซักเจ้าเด็ก ใครฝากเอ็งมาวะอ้ายหนู
ผู้หญิงสาวๆ สวยด้วยครับ เขาจ้าง 5 บาท ให้เอามาให้หลวงตา
แล้วตัวเขาล่ะ ไปไหนเสีย หลวงตาสังหรณ์ใจ
ขึ้นรถเมล์เที่ยวบ่ายเข้ากรุงเทพฯ ไปแล้วครับ
หลวงตารีบฉีกจดหมายออกอ่านรวดเร็ว ข้อความมีอยู่ไม่เท่าไร แต่หลวงตาอ่านทวนไปทวนมาหลายตลบ นิ่งอั้นนึกไม่ถึง
จดหมายแม่บุนนากใช่ไหมครับหลวงตา ครูก้อนเดาเรื่อง
หลวงตาพยักหน้าส่งจดหมายให้ครูอ่านเอาเอง ผมก็เร่เข้าไปชะเง้ออ่านอยากรู้เรื่อง พออ่านรู้ความในจดหมาย หูผมอื้อไปหมด เจ้าหนูบุญเกื้อร้องจ้าอยู่ข้างหูก็ยังไม่ได้ยิน เพราะข้อความใน
จดหมายมันดังก้องอยู่ในสมองอึงคนึงไปหมด
กราบเท้าหลวงตาที่เคารพ เจ้าค่ะ
หนูสิ้นคิดสิ้นปัญญาที่จะหอบหิ้วเอาลูกบุญเกื้อไปด้วยจริงๆมิฉะนั้นก็คงจะไปไม่รอด หนูจึงขอยกลูกบุญเกื้อให้หลวงตา ถ้าแม้หลวงตาไม่อาจเลี้ยงดูแกได้ จะยกให้ใครก็สุดแต่หลวงตาจะเห็นสมควร
จาก บุนนาก ผู้มีกรรม
--------------------------------------------------------------
ยามกาลชะตา
ร้านกาแฟเจ้าโก หลังตลาดสด เป็นร้านใหญ่ร้านเดียวในตัวจังหยวัดที่มีขาประจำมากที่สุดตั้งแต่เช้าจดสาย คอกาแฟจะแน่นขนัดทุกวันไม่ขาดและเพราะรสมือกาแฟดีนี่แหละเลื่อนฐานะเจ้าโกตั้งแต่อยู่ห้องแถวไม้เก่าๆชั้นเดียว จนขณะนี้เป็นตึก2 คูหา เลื่อนฐานันดรตั้งแต่อ้ายโกมาเป็นเจ้าโก-เถ้าแก่โก อีไม่ช้าไม่นานก็คงเป็นเจ้าสัวโก
เช้าวันนี้คอกาแฟก็คงแน่นมาตั้งแต่เช้า พอตกสายแดดจัดก็ค่อยเบาบางลง แต่โต๊ะสุดมุมห้องชายผู้ล่วงเข้าปัจฉิมวัยผู้หนึ่งซึ่งน่งมาแต่เช้าจนบัดนี้เหลืออยู่คนเดียวในร้าน สายตาคอยจับจ้องอยุ่ต้นทางที่มาจากตลาด ผลุดลุกผลุดนั่งกิริยากระสับยกระส่วยจนเห็นได้ชัด
ตัวเถ้าแก่เจ้าโก ซึ่งเป็นที่รุ้จักกันทั้งจังหวัดว่าจะใส่เสื้อปีละ 2 ครั้ง คือตรุษจีนและชิ๊ดว่วยปั่วสราทจีนเท่านั้น แก่แร่มาที่โต๊ะแขกคนสุดท้าย ทำทีปัดกวาดเช็ดถูกึ่งไล่ชายที่นั่งอยู่ในที เพราะเห็นว่านั่งมาแต่เช้า ครั้นเห็นผู้นั่นนั่งท่าเฉยเมยไม่รู้เท่าทันในท่าที ก็ถามเอาซึ่งหน้า
อานายหมอเถา สั่งอะไรกินอีกซี นั่งเฉยๆก็ไม่ลี
อุบ๊ะ
ผมชักถอนฉิวนิสัยเห็นแก่เงินของเจ้าโกซึ่งรู้นิสัยมานมนาน อั้วไม่ได้นั่งเฉยๆหรอกว๊ะ สั่งมากินจนแก้วเกลื่อนโต๊ะแล้ว 8-9 แก้วได้กระมัง อิ่มจนจะล้นคอหอย
ผมสะกดใจท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆ เสียหลายจบเพื่อกลั้นโมโห คนๆเดียวสั่งกาแฟกินถึง 3 ถ้วย มันก็เหลือกินอยู่แล้ว เจ้าโกเคยเห็นเร๊อะ
ช่าย
ไม่เคยเห็น แล้วคนขอน้ำชาเปล่ากิน 6 ถ้วย หมอเถาเคยเห็นไม๊
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ผมโมโหจนลืมตัวท่องคาถาเสียงดังเต็มเสียง
อ๊ะ หมอเถา ลื้อท่องคาถาช่งอั๊วเร๊อะ เจ้าโกชี้นิ้วสั่น
ผมลุกขึ้นยืนทันที ไม่ได้คิดจะวางมวยหรืออะไรหรอก ชักอายเพราะเสียเจ้าโกดังลั่นลูกจ้างในร้านก็เกร่ล้อมเข้ามาฟังเรื่องหลายคนตัดใจยอมนิ่งเป็นพระเข้าไว้ ควักสตางค์ค่ากาแฟ 3 ถ้วยโยนลงบนโต๊ะพรวดพราดออกจากร้านเจ้าโก
เพราะไม่ไว้ใจโมโหของตัวเอง หรือไม่ก็กลัวโมโหของเจ้าโกจะพากันเจ็บเนื้อเจ็บตัวลงฝ่ายหนึ่ง พอพ้นหน้าร้านเลี้ยวมุมตึกแถว อารมณ์รีบร้อนเพราะโทสะยั้งไม่ทันชนโครมเข้ากับคนที่เดินออกจากมุมตึกมาเช่นกัน เสียหลักขมำจนต้องผวากอดคนถูกชนเอาไว้กันหกล้ม บ๊ะ
หมอเถา คนถูกชนจำได้ทักขึ้น
บ๊ะ
ครูก้อน ผมชักเคือง ถ้ารู้ว่าเป็นครูแต่แรกฉันปล่อยให้หกล้มเด็ด ไม่ประคองเอาไว้หรอก
ช๊ะ ๆ หมอเถา แกกอดฉันเพราะตัวแกเองจะล้มกลื้งโค่โร่ไปหรอก มาตีผีปากเอาบุญคุณ ผมเห็นเสียเปรียบก็เลยคร้านจะต่อล้อต่อเถียง แล้วต่อว่า ครูนัดให้ฉันมาคอยร้านกาแฟเจ้าโกแต่เช้า ยังไงกันพ่อคุณถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้ เกือบเสียผู้เสียคนไปแล้ว มันจำเป็น มีเรื่องจำเป็นจริงๆ ครูแก้ตัวอ้อมแอ้ม ชูดอกไม้ธูปเทียนในมือให้ดู มัวไปซื้อดอกบัวในตลาด เฮ่ย
ไม่จริงละ ผมขัดคอ ร้านดอกไม้มันอยู่หน้าตลาดแค่นี้ต่อให้เป็นพระยาน้อยชมตลาดเสีย 3 รอบมันก็ไม่เสียเวลาถึงยังงี้ ครูก้อนถูกรุกจนมุมก็แย้มๆควมจริง แม่ค้าดอกบัวผัวเขาหึงเพราะฉัน ถึงกับลงมือลงไม้ตบตีกัน ฉันเลยเสียเวลาชี้แจงแก้ความเข้าใจผิด กว่าจะเชื่อเสียเวลาไปนาน ผมตกใจร้อง อ๊ะ ครูไปเจ้าชู้กับเมียเขาอีท่าไหนถึงเกิดเรื่องได้ เคราะห์ดีถ้าเขาลงไม้ลงมือกะครูลงยุ่งกันใหญ่ ปัดโธ่ แลั้วกันหมอเถา อย่าเดาให้ฉันเสียผู้เสียคนซี ฟังเรื่องให้มนจบเสียก่อน ใครจะบ้าไปทำอย่างนั้น แล้วเรื่องมันยังไง ถึงต้องมาเกี่ยวกะครูเรื่องหึงเรื่องหวง ครูก้อนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ทำท่ากระดากๆที่จะเล่าให้ฟัง เมื่อเช้าแวะไปซื้อดอกบัวและธูปเทียนร้านแม่ยี่สุ่น แกไม่เอาสตางค์ กลับเชิญเข้านั่งในร้านเอาดวงมาให้ดู เพราะหมู่นี้ค้าขายไม่ดีเลย ฉันก็ทายเขาไปว่าเขาจะโชคดีสองชั้น อีก 3-4 เดือนจะค้าขายคล่องได้เงินได้ทอง แล้วก็จะได้บุตรไว้ชื่นชมอีกคน เท่านั้นแหละเจ้าผัวที่นั่งฟังอยู่ด้วยลุกขึ้น ฮึดฮัด หาว่าแม่ยี่สุ่นริคบชู้สู่ชายแน่ เถียงกันคนละคำสองคำพอถึงขั้นด่าก็ถึงขั้นลงมือกันเลยทีเดียว ฉันตกตะลึงนึกไม่ถึง นั่นซี
ครูทายเท่านั้นก็ไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหน เสียหายซีหมอเถาเอ๋ย สองคนผัวเมียนี้มีลูก 4 คนเข้าไปแล้ว เจ้าผัวมันบอกว่าไปผ่าตัดทำหมันที่กรุงเทพฯมาร่วมปี ถ้าเมียมันมีลูกขึ้นมา มันจะอะไรเสียอีก คำทำนายของฉันนั่นเองก่อเหตุ โธ่เอ๋ย ครู ผมปลงอนิจัง มันช่างเคราะห์กรรมของครูแท้ๆ ไปหาหลวงตาวันนี้ขอน้ำมนต์ท่านรดเสียมั่งก็จะดี ฉันก็จะรดด้วย หมู่นี้ดวงชะตาทางโหราศาสตร์ของเราสองคนมันช่างตกต่ำเสียจริง
ครูก้อนคว้าข้อมือผม ไปเถอะสายเต็มทีแล้ว วันนี้วันพฤหัสว่าจะขอเรียนดวงดาวจากหลวงตา ดอกไม้ธูปเทียนฉันก็เตรียมเผื่อหมอเถามาแล้ว เดี๋ยวจะเพลเสีย ผมออกเดินตามมือครูที่จูงไป เดินตามกันต้อยเหมือนเด็กๆ เพิ่งจะพ้น
1o โมงเช้า มาได้ครู่เดียว ผมกับครูก้อนย่างขึ้นกุฎิหลวงตา มีแขกนั่งสนทนากับหลวงตาอยู่หลายคน จึงเลี่ยงมานั่งรออยู่หอฉันห่างๆพอได้ยินเรื่องที่สนทนากัน ได้ความว่าจะบวชลูกชายก่อนเข้าพรรษานี้ และจะมานิมนต์หลวงตาเห็นคู่สวด ส่วนอุปัชฌาย์ก็เป็นเจ้าอาวาสตามธรรมเนียม จนสิ้นเวลาพักใหญ่ แขกก็ลากลับแล้ว ผมกับครูก้อนถือดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปกราบหลวงตา
หลวงตาชื้นยิ้มรับอารมณ์ดี เออ
หมอเถาและครูวันนี้มันอะไรกันถึงมีดอกไม้ธูปเทียนมาครบมือทั้งสองคน
ครูก้อนเงยหน้าขึ้นมือยังพนม วันนี้วันพฤหัส หลวงตาอนุญาตไว้จะสอนยามดวงดาวให้ขอรับ
บ๊ะ ! มันรวดเร็วทันใจดีจริง พูดอยู่เมื่อวานหยกๆเออก็ดีเหมือนกันวันนี้ก็เหมาะ ข้างขึ้น 1o ค่ำ เวลาก็ดีตะวันยังไม่คล้อย เอ้าประเคนดอกไม้มา ผมกับครูก้อนคลานเข้าใกล้ สองมือประคองดอกไม้ธูปเทียน นอบน้อมถวายพร้อมกันทั้งสองคน หลวงตาเอื้อมทั้งสองมือมาจับไว้แน่นพึมพำพอได้ยินถนัด พุทธังประสิทธิ์ ธัมมังประสิทธิ์ สังฆังประสิทธิ์ ข้าขอประสิทธิ์วิชาโหรแก่เจ้าทั้งสอง ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้วิชาที่เจ้าเรียนรู้จงจำเริญรุ่งเรืองในทางสุจริตคิดชอบ หลวงตารับดอกไม้ธูปเทียนบูชาครูเอาขึ้นวางไว้บนที่บูชาพระแล้วก็ย้อนถามถึงเรื่องเมื่อวาน เรื่องเจ้าหนูบุญเกื้อ ที่สั่งให้ไปทำเมื่อวานได้ความว่าอย่างไรหมอเถา
เรียบร้อยคะรับหลวงตา ผมตอบ คุณนาย นายอำเภอท่านดีใจใหญ่ เพราะไม่มีเด็กมานาน ไม่รังเกียจที่จะรับไว้เป็นลูก แต่ตอนนี้จะรับฝากไว้ก่อน อีก 2-3 วันจะพอมาให้หลวงตาผูกข้อมือมอบให้เป็นบุตร จะได้เป็นสิริมงคลแก่เด็กและเขา
หมดเรื่องหนักอกไปเสียที หลวงตาชื้นถอนหายใจยาวโล่งอก ลืมดูดวงตัวเอง เกือบเสียท่านังแม่มัน แต่ดู ๆ ก็น่าสงสารหรอก คนมันสิ้นคิดสิ้นทาง มันก็ต้องเอาตัวรอด หลวงตาท่านพูดจบก็หันไปคว้ากระดานโหรมาขีดดวงและวางดาวประจำวันเมื่อวานนี้ ยื่นมาให้ดูตรงหน้า ครูกะหมอเห็นอะไรมั่ง หลวงตาชื้นร้องทักถาม
เห็นแต่ดวงกับดาวครับ หลวงตา ผมตอบซื่อๆ แถมโง่ด้วย และไม่มีลัคนา
บ๊ะ ก็มันจะมีลัคนาได้ยังไง มันไม่ใช่ดวงคนมันเป็นดวงยามประจำวันนั้นๆ หลวงตาว่า
ครูก้อนก็คงสงสัยเช่นเดียวกับผมจึงซัก ถ้าไม่มีลัคนาแล้วจะทายภพทายเรือนเขาอย่างไรล่ะขอรับ เพราะความหมายดีชั่วมันก็อยู่ตรงภพตรงเรือนนั่นแหละ
ฟังให้ดีพ่อสองแก่ ฟังเจ้าแก่ที่สามคืออาตมาจะสอนให้ อย่าเพิ่งสงสัยเลอะเทอะ หลวงตาพูดกลั้วหัวเราะ ลัคนาน่ะต้องมี แต่แบบนี้เขาเรียกว่า กาลชะตาทางจันทรคติ อีกสายหนึ่งเขาเรียกกาลชะตาทางสุริยคติ คือวางดวงดาวประจำวันแล้วก็วางลัคนาแบบผูกดวงชะตาบุคคลตามเวลาที่ประสงค์จะรู้ ทำนายทายทักตามความหมายของดาวของเรือนที่ปรากฏ แต่กาลชะตาทางจันทรคตินี้ท่านใช้ดวงจันทร์เป็นหลัก
ทั้งผมทั้งครูก้อนนิ่งฟังตอนสำคัญจนเกือบจะลืมหายใจ แต่เห็นหลวงตาท่านกลังนิ่งเสียไปจุดบุหรี่สูบ ก็อดซักไม่ได้หลวงตาหมายถึงว่าต้องหาลัคนาจากจันทร์เหมือนหาลัคนาจากอาทิตย์ เช่นนั้นหรือขอรับ
ไม่ใช่เช่นนั้น การหาลัคนาจากดวงจันทร์อย่างอาทิตย์ไม่ได้ผิดหลัก เพราะอันโตนาทีที่ลัคนาเดินไปทุกราศีนั้น โบราณท่านวางไว้จากฉายาของอาทิตย์ ดวงจันทร์เดินเร็วกว่าอาทิตย์มากใช้กันไม่ได้
ทั้งผมทั้งครูก้อนถอนใจพรืดพร้อมกันอย่างผิดหวัง ทั้งโง่ทั้งมือมนเหมือนเดินเข้าถ้ำ พูดถึงลัคนาวางจากจันทร์ หลวงตาพูดตึกตรองเหมือนรำลึกถึงความทรงจำแต่หนหลัง เคยได้ยินทานเจ้าคุณใหญ่เมื่อตอนมีชีวิตอย่านพูดถึงอยู่เหมือนกันว่า เขาใช้กับฤกษ์ แต่อาตมาไม่ทันได้เรียนไว้ เพราะท่านมรณภาพเสียก่อน
ถ้าวางลัคนาจากจันทร์ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรล่ะครับ ถ้าวางไม่ได้หรือวางยากก็อย่างวางมันเสียเลย หลวงตาสรุปง่าย ๆ ทั้งผมและครูก้อนร้อง อ้าว
เหมือนนัดกัน
บ๊ะ ร้องยังกะค่างถูกยิง หลวงตาหัวร่อชอบอกชอบใจ แล้วท่านก็พูดเน้นเสียงหนักๆ กาลชะตาแบบจันทรคตินี้ เขาใช้จันทร์นั่นและเป็นตัวลัคนา ผมยกมือพนมท่วมหัวเคารพด้วยจริงใจ ตอนนี้มองเห็นโล่งเทียวครับ
โล่งยังไงหมอเถา ครูก้อนค้านคิ้วขมวดยังสงสัยไม่สิ้น มีลัคนาแล้วจะทายเขาอย่างไรกัน ดาวมันสิบดวงยังภพอีก 12 เรือนนา หมอเถานา
เออ จริงซี ผมเห็นจริง ความรู้สึกสับสนวุ่นวาย เดี๋ยวโง่เดี๋ยวฉลาดมันเปลี่ยนวุบวับจนตั้งสติไม่ถูก ได้แต่เหลียวมองหน้าครูก้อน แล้วก็มองหน้าหลวงตา แววตาละห้อย หลวงตาดูเหมือนจะมองแววตาของผมออกว่า อยากให้อธิบาย ก็ใช้ยามจับเอาซี มันยามตกดาวอะไรก็จับตัวนั้นขึ้นทายเขาตามความหมายของดาวและเรือนที่สถิตอยู่ ขณะที่ผมยังงง ๆ ให้นึกอิจฉาครูก้อนเสียจริง ดูหน้าตาแกยิ้มย่องผ่องใส แสดงว่าเข้าอกเข้าใจดี อย่างเช่นดวงนี้เป็นวันพุธ แม่เจ้าหนูบุญเกื้อเขามาเมื่อบ่าย โมงเศษ ครูก้อนสาธยายคล่องแคล่ว นับยาม พุทธะ จันเทา เสารี ครู ภุมมะ สุริชะ ตกยามศุกร์ ศุกร์เป็นมรณะกับจันทร์ เป็นเรื่องรักร้างแตกแยก แต่เอ๊ะ..หลวงตา ขอรับ เป็นมรณะกับจันทร์หรือลัคนานี้ จะเป็นเรื่องเจ็บป่วยหรือเข้าของหายก็เป็นได้กระมัง ขอรับ
เออ ครูเป็นคนฉลาดดี เข้าใจซัก หลวงตาชมเชยจริงใจ ฟังให้ดี ศุกร์นี้ถ้าจะแปลอย่างพระ ก็แปลว่า สุข คือเครื่องให้ความสุขในโลกียะทั้งหลาย มันก็คือความรักความสนุกสนาน ทรัพย์สมบัติ ศุกร์ในดวงนี้มันมรณะอยู่เรือนอังคาร และอังคารเจ้าเรือนครองภพปุตตะมันเป็นเรื่องคนไม่ใช่สิ่งของ จริงขอรับ หลวงตา ครูก้อนตรวจดาวดูเห็นจริง ถ้าจะอ่านถึงว่าเลิกร้างและต้องจากบุตรก็ยังได้ เพราะดาวมันบ่งชัด
เรื่องความหมายของดาวตัวยามและภพเจ้าเรือนต้องอ่านให้ดี หลวงตาชื้นย้ำอีก ตกอาทิตย์ก็มักเป็นเรื่องยศ ตำแหน่งงานหน้าที่งาน ตกยามจันทร์มักเป็นการเดินทาง ยามอังคารก็จะเป็นเรื่องเจ็บป่วยหนักๆ ตกยามพุธก็เป็นเรื่องข่าวคราวการนัดหมายเพื่อฝูง ตกพฤหัสก็เป็นเรื่องที่พึ่งที่อุปถัมภ์ การศึกษาคดีความ ตกยามศุกร์ก็เป็นเรื่องความรักทรัพย์สมบัติ ตกยามเสาร์เป็นเรื่องการทำมาเลี้ยงชีพ หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง ตกยามราหูเป็นเรื่องถูกลักถูกขโมยถูกข่มเหงกดขี่ ครองภพใดจากจันทร์ก็เอาความหมายดีชั่วตามภพผสมดาวทายเขา
ผมลองนับยามตามดูก็นึกเอะใจ หลวงตาตรับ ตัวราหูไม่มีในยามจะนับถึงราหูได้อย่างครับ แล้วเวลาตกยามจันทร์ก็เป็นตนุทุกทีเพราะเป็นลัคนา จะอ่านทายเขาอย่างไรครับ
เออแน่
วันนี้หมอเถาฉลาดคมคายจริง หลวงตาหัวร่อเอิ๊กชอบใจ ฉลาดอย่างนี้มันน่าจะสอนให้ ถ้าตกยามจันทร์ ก็เอาเจ้าเรือนที่จันทร์ครองนั่นแหละเป็นตัวทายตกภพใดกับจันทร์ก็ทายเขาไป ถ้าจันทร์ตกเรือนราหู ก็นั่นแหละยามราหุละ หมอเถาเอ๋ย
ทั้งผมและครูก้อนมองเห็นชัดยังกะภาพในกระจก หมดข้อเคลือบแคลงสงสัยใดๆอีกจึงก้มลงกราบทั้งสองคน เอ้าลองดูยามวันนี้ก็ได้ หลวงตาชื้นชักสนุกครึ้มใจ ดวงยามวันนี้มันก็ดวงเดิมนั่นแหละ เพราะจันทร์และดาวอื่นยังไม่ยก เมื่อตอนหมอเถากะครูมา ดวงยามว่าอย่างไร ลองซ้อน ๆ ดูทีรึ ผมกะครูช่วยกันนับยามที่มา ผมมากันเมื่อ 1oโมงเศษ วันนี้วันพฤหัสตกยามที่ 3 คือยามอาทิตย์ อาทิตย์ครองภพศุภะแก่จันทร์ ก็จริงอีกแหละครับ ผมสองคนมาขอเรียนวิชา
ดาวมันมีหลายดวง ทำไมอ่านแต่อาทิตย์ดวงเดียว หลวงตาให้สติ
ผมกะครูก้อนจ้องดูทั้งพุธและเสาร์ที่ร่วมอาทิตย์ นึกหาคำพยากรณ์อย่างไรก็นึกไม่ถูกท่า ยอมสารภาพความโง่ของตัวเอง อ่านไม่ถูกครับ หลวงตา
อ้าวก็ดูซี เอาเสาร์ก่อน เสาร์มันแปลว่าเก่าแต่มันเป็นเจ้าเรือนปุตตะที่แปลว่าใหม่ มันจะประกอบเรื่องว่าอย่างไรเล่า
มันทั้งเก่าทั้งใหม่ผมเลยแปลไม่ออใหญ่ ผมส่ายหน้าหมดหวัง
อุบ๊ะ
หัดคิดเสียมั่งวี เสียงหลวงตาตำหนิ แปลว่าวิชาเก่ามาเรียนกันใหม่ก็ได้ หรือแปลว่าลูกศิษย์เก่ามาเรียนใหม่ก็ได้ มันแปลได้ทั้งนั้น
ปัดโธ่หลวงตาชี้แล้วจึงนึกออก ครูก้อนตบเข่าเองฉาดและตุกออกไปคบอด ตัวพุธรวมกับอาทิตย์ก็แปลว่าการศึกษาและพุธกับเสาร์ก็คู่สมพล ก็แปลว่าวิชานี้เคยมีผลโด่งดังมาแล้ว หลวงตาพนักหน้ายิ้มชอบอกชอบใจ ส่วนผมก็คงอย่างว่าคือโง่กว่าครูก้อนเช่นเคย ตามเพื่อนไม่ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สิ้นสงสัย ไหน ๆ ครูก้อนก็เข้าใจแตกฉานแล้ว ช่วยอธิบายหน่อยเถอะเมื่อตัวยามคืออาทิตย์ ตกศุภะเรือนศุกร์นั้น ศุกร์เจ้าเรือนครองภพมรณะมันหมายความว่าอย่างไรอีก ครูก้อนจ้องมองกระดานโหรนิ่งอั้นไปพักใหญ่ ผลสุดท้ายก็ส่ายหน้าหันไปหาหลวงตา ต้องรบกวนหลวงตาอธิบายอีกครั้งเถอะขอรับ
มรณะมันก็คือมรณะนั่นแหละ แปลว่าวิชาที่เรียนนี้มันตายมาแล้วหรือมันนานมาแล้วน่ะซี เสียงกองเพลท้ายวัดตีตุมๆ บอกเวลาฉัน และเณรชั้วที่มายืนรีรออยู่ข้างๆ ทั้งผมและครูก้อนเกรงใจ ก็เลยถือโอกาสบอกลาทั้งสองคน แต่ก่อนจะลุกถอยออกมา หลวงตายืดมือที่กราบไว้บอกว่า เรื่องยามกาลชะตาทางจันทรคตินี้ อย่าไปหลงระเริงใช้พร่ำเพรื่อ จงใช้เมื่อยากจะรู้จริง ๆ หรือเข้าวงอับวงราจึงจะได้ผลดี มิฉะนั้นจะไขว้เขวหมด
ดาวคู่มิตร-คู่ธาตุ
วันแรม 1 ค่ำ 11 เดือน ตั้งแต่ฟ้าสางมาจนกระทั่งเช้าได้อรุณทั่งชาววัดและชาวบ้านคึกคักเป็นพิเศษเพราะเป็นวันออกพรรษา รอบอุโบสถเช้าวันนี้ ชาวบ้านร้านตลาดรายเรียงเบียดเสียดแน่นขนัดจนแทบจะไม่มีที่ว่าง ต่างตั้งโต๊ะอาหารคาวหวานคอยตักบาตรมากน้อยตามฐานะ ที่ยังหนุ่มสาวก็แต่งตัวสีสรรค์ฉูดฉาดหลากสีดูเบิกบานละลานตาเหมือนดอกไม้นานาชนิดบานอยู่กลางสวน
ท้ายอุโบสถ ราชรถซึ่งตกแต่งด้วยกระดาษสีเป็นธวัชฉัตรธงและอัญเชิญพระพุทธตั้งกลางราชรถ รายรอบด้วยบาตร คอยเวลาเคลื่อนออกให้ชาวบ้านตักบาตรเทโวและต่อกระบวนด้วยพระภิกษุสงฆ์ทั้งวัดที่เข้าแถวเพื่อรับบาตรยาวจนท้ายกระบวนออกไปอยู่นอกโบสถ์
ผู้เชิญราชรถสองคนแต่งกายสวมเสื้อกรุย ใส่ตลอมพอกยอดสูง สมมุติเป็นเทวดาผัดหน้าขาวผ่อง ทั้งคู่กำลังยืนปรึกษาเดี่ยวกันเป็นต้นเสียงโห่
ปีนี้ครูรับหน้าที่โห่ไปก็แล้วกัน ผมเป็นหวัดสุ้มเสียงมันแหบเครือ ไม่ไพเราะเลย
อ๊ะ ไม่ได้แน่ ครูก้อนเริ่มปฏิเสธเสียงแข็ง หมอเถาแหละเหมาะ กระบวนเสียงดังเสียงดี ทั้งจังหวัดเรานี่ไม่ใครเกินหมอเถา อย่ายอ
หมอเถายิ้มจนเห็นฟันขาว
อ้าว จริงนะ ครูก้อนพูดขึงขังจริงจัง เมื่อก่อนเข้าพรรษานี้หมอเถาไปช่วยงานบวชนาคเป็นต้นเสียงโห่ ได้ยินไปสามคุ้งน้ำเขาลือกันทั่วตำบล รึว่าไม่จริง หมอเถายิ้มแย้มปลาบปลื้มที่มีคนชม แต่ยังไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงพระภิกษุอาวุโสที่อยู่หัวแถวเตือนดังๆ
เอ้า
เฮ้ยพ่อเทวดา มัวแต่คุยกันเมื่อไรจะเคลื่อนขบวน หมอเถาหันขวับ ขยับจะเถียง แต่พอเห็นผู้พูด คือหลวงตาชื้นก็เลยนิ่ง หันมาทางเพื่อน เอา
เคลื่อนขบวนเถอะ
ก็หมอเถาโห่ก่อนซี หมอเถากระแอมกระไอพอคล่องคอก็ตะเบ็งสุดเสียงโห่ และเอื้อนเสียงยาวทิ้งท้ายโหยหวล เสียงฮิ้วรับพร้อมกันรอบโบสถ์ วงระนาดบนศาลาก็เริ่มบรรเลงรับครึกครื้น เทวดาก้อนและเทวดาเถา ก็ค่อยๆ จูงราชรถรับบาตรเทโวเคลื่อนไปช้า ๆ ชาวบ้านก็ชิงกันตักบาตร ชุลมุนคนละไม้คนละมือ พอพ้นช่วงราชรถก็ใส่บาตรพระสงฆ์รายองค์ ชั่วกระบวนราชรถผ่านไปเพียงครึ่งรอบถึงหน้าโบสถ์ บาตรซึ่งตั้งเรียงรอบบนราชรถก็เต็มจนล้นท่วมลงกับพื้นราชรถ
ขบวนผ่านไปจนเกือบถึงเจดีย์พระธาตุท้ายโบสถ์ เทวดาเถาก็เจอคู่ปรับเก่าจึงสะกิดให้เพื่อนดู พับผ่า วันนี้แม่เฮี๊ยะแต่งสีสดสวยเช้งทีเดียว
เชิญพ่อหมอเถา เห็นสวยเห็นงามไปคนเดียวเถอะย่ะ ฉันน่ะกลัวปากแก ยิ่งกว่ากลัวเสือเสียอีก ครูก้อนส่ายหน้าระอาใจจริงๆ ราชรถผ่านไปหยุดอย่างจงใจตรงหน้าหมอเถาทำท่ากรุ้มกริ่มแต่แม่เฮี๊ยะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาตักบาตรไม่ทันสังเกตกระทั่งหมอเถากระแอม
เออน่ะ ช่างใจบุญสุนทานแท้ๆชาติหน้าได้เกิดเป็นนางฟ้าแน่แม่เฮี๊ยะ แม่เฮี๊ยะเงยหน้าดูผู้พูด พอเห็นหน้าถนัดก็ตอบสวนทันควัน
อพิโธ่หมอเถา เขาแต่งตั้งให้เป็นเทวดาวันนี้ก็ยังไม่วายปากเปราะ จริงอยู่ถึงน้ำเสียงแม่เฮี๊ยะจะไม่กาดเกรี้ยวอย่างเคยๆแต่คารมนั้นพอทำให้หมอเถาเผ็ดเหมือนกินพริก
เออน๊ะคนเรา ฉันน่ะหวังดี ให้ศีลให้พรให้เกิดเป็นนางฟ้ากลับไม่ชอบ ใจแม่เฮี๊ยะน่ะคิดจะเกิดเป็นเมียเจ๊กทุกๆชาติรึยังไงน๊ะ
นัยตาแม่เฮี๊ยะลุกโพลงยังกับมังกรไฟ เคราะห์ของหมอเถายังไม่ถึงฆาต เพราะแม่บุษบา ฮวยลูกสาวที่เพิ่งแต่งงานไปเมื่อเดือน 6 รีบสะกิดแม่ไว้ทั้งบุ้ยใบ้ไปทางสามีที่ยืนอยู่ข้างหลัง แม่เฮี๊ยะจึงได้สติคิดอายเกรงลูกเขยจะรู้กำพืชตนจึงต้องกลั้นหายใจตั้งสติแล้วทำเหมือนไม่ได้ยินคำหมดเถา กลับเปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้มพูดเล่น
ใส่บาตรพระแล้ว วันนี้ขอใส่บาตรเทวดาสักหน่อยเถอะ ชายเสื้อกุยเฮงตัวใหม่เอี่ยมของหมอเถาถูกแม่
เฮียะดึงเข้าไปใกล้ตักข้าวเต็มทัพพีใส่กระเป๋าเสื้อ
ปกติหมอเถาเป็นคนคิดช้า จึงนึกเป็นเรื่องสนุกสนานในวันทำบุญจึงมิได้ปิดป้อง แต่ตอนใส่กับข้าวเป็นถุงแกงส้มนั้น แม่เฮี๊ยะกลับปลดยางรัดปากถุงออกเทพรวดลงไปในกระเป๋าเสื้อเต็มรัก อีตอนนี้แหละหมอเถาเพิ่งจะคิดว่าเสียทีแม่เฮี้ยะเสียแล้ว ยิ่งเสียกลุ่มผู้หญิงหัวเราะเฮฮาซ้ำเข้าอีก หมอเถาได้แต่เงอะงะก้มลงดูสังขารตนเอง ที่น้ำแกงไหลเป็นทางลงไปจนถึงเท้า
ครูก้อนทั้งๆที่อายแทนเพื่อน ก็อดหัวเราะไม่ได้ ทางดีที่จะแก้หน้ารอดตัวไปก็คือกระตุ้นหมอเถาลากราชรถไปให้พ้นๆหน้าแม่เฮี๊ยะไปเสียโดยเร็วจะได้พ้นอาย
ตะวันขึ้นกลางฟ้าบอกเวลาเลยเพลไปนานแล้ว พระที่ลงอุโบสถและรับนิมนต์ฉันในโบสถ์คับคั่ง รอฟังเทศน์รอบบ่าย ภิกษุที่ท่านเสร็จกิจแล้วก็ทยอยกลับ องค์สุดท้ายที่ออกจากโบสถ์คือหลวงตาชื้น ซึ่งต้องใช้ลูกศิษย์เอกคือหมอเถาและครูก้อนช่วยกันแบกข้าวของที่ชาวบ้านถวายสังฆทานและอดิเรกลาภจนเต็มบ่าทั้งสองคน พอกลับขึ้นกุฏิ หมอเถาและครูก้อนก็ขอแยกตัวไปอาบน้ำอาบท่าล้างแป้งที่ผัดหน้าไว้แต่เช้า หายกันไปสักพักใหญ่ ศิษย์เอกหลวงตาก็หวลกลับขึ้นกุฏิมาพร้อมกันทั้งคู่ เห็นภิกษุหนึ่งนั่งสนทนาอยู่กับหลวงตา พอเข้าไปใกล้ก็ถูกทัก หมอเถากะครู ดีใจจริงที่พบกันกำลังถามหลวงลุงท่านอยู่ทีเดียว
นึกว่าใคร มหาครื้นน่ะเอง ไปอยู่กรุงเทพฯเสียนานเกือบจำไม่ได้ ครูก้อนทักภิกษุหลานชายหลวงตาชื้น ซึ่งเดิมจำพรรษาอยู่วัดนี้และหลวงตาท่านเป็นคนบวชห็ หมอเถาคุ้นเคยสนิทสนมมาก่อนก็สัพยอก ท่านครื้นกลับกรุงเทพฯเที่ยวนี้ราศีเจ้าคุณชักจับผิวอร่าม อีกไม่นานคงได้พัดยศแน่
มหาครื้นหัวร่อชอบใจ หมอเถาเดี๋ยวนี้ความรู้โหราศาสตร์ก้าวหน้าขจนาดเห็นหน้าทายได้เชียวหรือ
หมอเถาพยักหน้ายิ้มรับสมอ้าง เข้าไปนั่งใกล้
พูดถึงโหราศาสตร์ท่านครื้นยังเล่นอยู่หรือว่าทิ้งเรื้อไปเสียแล้ว
ยังเล่นอยู่ แต่ว่า
มหาครื้นหันไปสบตาหลวงตาชื้น ซึ่งเคยแนะนำให้ก่อน ที่กรุงเทพฯเขาเล่นกันละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นก็เลยเปลี่ยนแนวไปบ้าง
ละเอียดถี่ถ้วนยังไงครับมหา ครูชักสนใจ ดาวมันเกินกว่า 10 ดวง ยิ่งกว่าที่เราเล่นๆกันอยู่นี้หรืออย่างไร
ดาวมันก็สิบดวงเท่ากันน่ะแหละ แต่เกจิอาจารย์ชื่อดังในกรุงเทพฯเขามีกฏเกณฑ์ละเอียดมากขึ้นไปอีก ไม่เล่นกับหยาบๆอย่างเราถคยเล่นกันเมื่อก่อน
เออแน่ะ มาเที่ยวนี้ มหาครื้นมีของดี หลวงตาชื้นพลอยสนใจไปด้วย ไหนลองแย้มดูทีหรือว่าอ้ายที่หยาบและละเอียดนั้นมันยังไง
มหาครื้นถูกยกย่องชมเชยวางท่าภาคภูมิอธิบาย ดาวเป็นเกษตรในเรือนราศีของเรานั้นมันกว้างทั้งราศี แต่แบบใหม่เขานั้นจำกัดองศา ไว้ว่าเป็นเกษตรจริงหรือไม่จริง
หมอเถาซัก หมายความว่า ดาวเป็นเกษตรในราศีนั้นถึงองศาไม่ตามกำหนด เขาว่าไม่เป็นเกษตรยังงั้นใช่ไม๊มหา
ก็ทำนองนั้นแหละ มหาครื้นถูกซักก็ยิ่งยืนยัน ถ้าได้องศาที่กำหนดถึงจะเป็นเกษตรแท้ให้คูณแรง ถ้าพ้นไปก็อ่อนลงไม่เกิดมรรคผล
หมอเถาส่ายหน้า ผมรู้สึกว่ามันไม่เข้าที
มหาครืนชักรู้สึกว่าจะถูกขัดคอจึงชักเสียงแข็ง ไม่เข้าทียังไงหมอเถา พวกกรุงเทพฯเขาเล่นทั้งนั้น
ฟังนะมหาครื้นคะรับ หมอเถายืดอกดูมั่นใจในความคิดของตนเองเต็มประตู ดาวเป็นเกษตรในเรือนในราศีของเขามันก็คือเจ้าเรือนเจ้าของบ้านนั่นแหละ มันจะกี่องศาก็เหมือนกับว่าอยู่ที่ไหนไม่ว่าอยู่ชั้นบนชั้นล่างอยู่ห้องไหนๆเชาก็เป็นเจ้าของบ้านมีอำนาจสิทธิขาดเต็มที่ทั้งบ้านน่ะแหละคะรับ
ช้ะ
ช้าหมอเถา หลวงชื้นถูกใจหัวเราะร่า เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะเปลี่ยนชื่อหมอเถาเป็นหมอทึ่ม แต่วันนี้เออแน่ะความคิดทั้งแหลมทั้งคมยังกะเข็ม
มหาครื้นชักเสียงอ่อนๆ เพราะเห็นหลวงตาชื้นให้ท้าย เขาเล่นกันเช่นนั้นจริงๆเพราะมันเกี่ยวกะให้คุณมากให้คุณน้อยแก่ดวงชะตาคนเรา
ครูก้อนไม่ยอมน้อยหน้าหมอเถาเอ่ยขึ้นบ้าง เรื่องดาวเกษตรให้คุณมันก็ไม่แน่ครับมหา ผมคิดโง่ๆตามประสาของผมว่าคุณเรื่องให้คุณมันไม่เกี่ยวกะเกษตรหรือไม่เกษตรหรอก ดาวประให้คุณก็ได้ ดาวเกษตรให้โทษก็ได้
มหาครื้นเห็นครูก้อนพูดทิ้งท้ายให้ฉงนแล้วนิ่งก็อดซักมิได้ มันไม่ฝืนตำราเขาหรือครูลองวิสัชนาให้ฟังสักหน่อยเถอะ
ฝืนตำราน่ะก็คงจะฝืนมั่งละ แต่ตำราเล่มไหนไม่รู้เพราะตำราเดี๋ยวนี้มันมีมากเหลือเกิน แต่ตำราเก่าน่ะไม่ฝืนแน่ ผมรับรอง
ออกพรรษาปีนี้ ลูกศิษย์ฉันมันช่างเฉลียวฉลาดกันทั่งคู่ เออเล่าเรียนวิชามันไม่เสียเปล่า หลวงตาชมด้วยใจจริง เอ้าลองอธิบายให้มันตลอดทีซิครู
ครูก้อนได้ท่าเลยอธิบายฉอดๆ ที่ว่าดาวประให้คุณก็คือว่าถ้าเป็นดาวเจ้าเรือนที่เป็นโทษ เช่นเป็นเจ้าเรือนอริมรณะวิสาสน์หรือว่าเป็นดาวกาลกิณี เมื่อมันเป็นประเสียหายไปเสียมันก็ย่อมไม่เกิดโทษ เขาก็เรียกว่าให้คุณ แต่ถ้าดาวเจ้าเรือนโทษเป็นเกษตรมันกลายเป็นให้โทษแรงไปเสียอีกน่ะนา มหา
อ้างเช่นนั้นมันก็จริงแหละครู มหาครื้นแบ่งรับแบ่งสู้แต่ยังไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างเพราะถือได้เรียนรู้มาจากแห่งที่เจริญกว่า ราศีหนึ่งมันกว้างขวางไม่มีอาณาเขต เขาจึงแบ่งราศีออกเป็นเก้าส่วน ๆ หนึ่ง ๆ เรียกว่านวางศ์หนึ่ง เหมือนราศีย่อยๆในราศีใหญ่อีกที แต่ละนวางศ์มีเจ้านวางศ์เป็นดาวประจำเหมือนเจ้าเรือนเกษตรเช่นพระจันทร์เป็นเกษตรในราศีกรกฏ แต่ถ้าเกิน 20 องศา ถึง 23 องศา 20 ลิปดา เขาก็ถือว่าเกาะนวางศ์เสาร์ ซึ่งเป็นเจ้าเรือนราศีมังกรถือว่าเท่ากับระจันทร์อยู่ราศีมังกรเป็นประไปเสียเล้ว เป็นเกษตรไม่สมบูรณ์ครูกับหมอเถาพอจะอธิบายได้ไม๊ว่า กฎเกณฑ์ของเขามันผิดถูกตรงไหน
หมอเถากะครูก้อนหันมาสบตากันนิ่งอึ้ง ไม่เคยเรียนเคยรู้มาก่อนไม่รู้จะขัดแย้งเขาอย่างไร ข้างหลวงตาชื้นนั่งเคี้ยวหมากยิ้มพรายอยุ่ในหน้าพอใจที่ศิษย์พระและฆราวาสโต้แย้งเหตุผลซึ่งกันและกัน หมอเถาจจมุมเข้าก็พนมมือหันเข้าหาที่พึ่งคือหลวงตาชื้นผู้เป็นอาจารย์
หลวงตาช่วยอรรถาธิบยายทีเถอะครับ ว่ามันน่าจะผิดถูอย่างไร
ท่านมหาครื้นก็เห็นด้วยที่มีกรรมการตัดสิน หลวงลุงกรุณาสักครั้งก็จะเป็นพระคุณ เขาว่ากันว่าแบบเก่าๆของเราเบ่นดาวดวงเดียวในราศีทั้งราศี มันหละหลวมเกินไป สู้แบบจำกัดองศาหรือแบบเกาะนวางศ์ไม่ได้เพราะพิจารณาได้ละเอียดถี่ถ้วนดีกว่า หลวงตายิ้มแย้มอารมณ์ดี
จะว่ากฎเกณฑ์ของเขาผิดถูกชั่วดีอย่างนั้นไม่ได้เพราะเราไม่เคยเล่นอย่างเขา แต่ที่จะว่าดีกว่าของแบบโบราณของเรานั้นเห็นจะไม่ถูกแน่ ที่ว่าแบบเก่าๆเล่นดาวราศีดวงเดียวนั้นเข้าใจผิดถ้ารู้จักเล่นตามทาเก่าเขาจริงๆแล้วมีทาง พิจารณาลึกซึ้งละเอียดพิศดารมากมายกว่าวิธีเล่นองศา หรือนวางศ์ที่มหาว่ามากนัก ไม๊ล่ะ ผมนึกแล้ว หมอเถาได้ทีผสมโรง
มหาครื้นแม้จะไม่ถือสาหมอเถาเพราะคุ้นเคยมเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งเป็นเณร แต่ก็อดค้อนไม่ได้ทั้งที่เป็นผู้ชาย หลวงตานิ่งนึกลำดับความหลัง
เมื่อหลายปีก่อนฉันเคยติดตามเจ้าคุณใหญ่ไปกรุงเทพฯมีโหรเก่าๆหลายท่านมาสนทนากับท่านเจ้าคุณใหญ่ ถึงเรื่องนี้เหมือนกันฉันยังจำได้ดีแหละที่ว่ากรุงเทพฯเขาเล่นกันแบบนี้หมดน่ะยังไม่ถูก โหรเก่าๆรุ่นผู้ใหญ่เขาก็ยังเล่นแบบเดิมๆของเขาอยู่นอกจากโหรรุ่นใหม่ๆที่เจริญก้าวหน้ารวดเร็วจึงนิยมในแบบใหม๋ๆนี้เท่านั้น รุ่นใหม่ๆบางคน
มหาครื้นก็รับว่า จริงครับ มีพวกหัวรุนแรงตำหนิติเตียนว่าพวกรุ่นเก่ามีทิษฐิไม่ยอมรับรู้ของใหม่ๆ แต่คงไม่หมายความมาถึงฉันด้วยหรอกน๊ะ หลวงตาชื้นสัพยอก
มหาครื้นรีบพนมมือ มิได้ครับหลวงลุง ผมพูดตามที่ได้ยินมาเช่นนั้น เป็นการพูดถึงทั่วไป
จำไว้ให้ดี มหาก็ดี ครูหรือหมอเถาก็ดี ฉันขอเอาถ้อยคำของพระเดชพระคุณ เจ้าคุณใหญ่ที่ท่านได้เคยอรรถาธิบายเรื่องนี้ เมื่อครั้งไปกรุงเทพฯคราวนั้นมาเล่าให้ฟัง
หมอเถา และครูก้อนดีใจจนออกนอกหน้าแม้มหาครื้น ตัวเจ้าปัญหาก็ยินดีที่จะได้ฟังเพราะกิติศัพท์ท่านเจ้าคุณใหญ่ในเรื่องโหราศาสตร์นั้นท่านแตกฉานรอบรู้ เป็นที่นับถือแก่บรรดาโหรทั่วทั้งเมืองไทย
เรื่องนวางศ์ก็ดีหรือการกำหนดองศาดาวเสวยตำแหน่งเกษตรอุจจเหล่านนี้นัยว่าเป็นวิธีของแขกเขาเล่นมาก่อน ต่อมาตำรับตำราแขกตกเข้ามาบ้าง โหราศาสตร์เราก็รับเอามายักย้ายวิธีเล่นพลิกแพลงกันไปตามมติที่ตัวเห็นชอบ เรื่องนวางศ์นั้นทางแบบโหรไทยเราก็เล่นอยู่ แต่เล่นกันไปทางฤกษ์ผานาที ท่านเรียกว่าบาทฤกษ์ หนึ่งฤกษ์มี 4 บาท ฤกษ์ก็คือลูกนวางศ์นั่นแหละ เห็นหลวงตาหยุดอธิบาย แต่พียงนั้นมหาครื้นซึ่งชักเห็นแสงสว่างก็รีบซักต่อเพราะอยากรู้อย่างจริงใจ แล้ววิธีเล่นดาวในราศีที่หลวงลุงว่าแบบเก่าๆเขาเล่นได้ละเอียดถี่ถ้วนนั้นเป็นอย่างไรครับ
หลวงตาชื้นลากกระดานโหรมาวางตรงหน้าศิษย์ทั้งสาม ขีดดวงและเขียนดาวประจุลงในราศีโดยสมมุติ ทั้งหมอเถา ครูก้อนและมหาครื้นจ้องมองตามแทบไม่กระพริบ นี่เป็นดาวสมมุติ ลองดูทีละดวงซิทั้งสามคนนั่นแหละ หลวงตาชื้นชี้ดวงบนกระดาน จันทร์ก็เป็นอุจจ อังคารก็เป็นอุจจ สองดวงอุจจนี้ดวงไหนจะยิ่งหย่อนกว่ากัน ทั้งมหาครื้นและหมอเถาครูก้อนจ้องแล้วจ้องอีก ก็คงยังนิ่งคิดไปทางไหนก็มืดมนต์นึกไม่ออก จึงได้มองดูตากันเฉยอยู่จนถูก หลวงตาชื้นซักอีก ว่ายังไง เอ้าหมอเถาล่ะ วันนี้ดูปัญยาดีกว่าคนอื่นๆเขา ลองว่ามาซิ หมอเถาตอบเสียงอ่อย จนปัญญาครับหลวงตาดูๆมันก็อุจจเท่ากัน จะว่าดาวเล็กดาวใหญ่ผมก็ไม่แน่ใจนอกจากนึกเดาๆเอา
ขั้นต้นต้องรู้เสียก่อนว่าเป็นอุจจ หรือมหาอุจจนั้นมีความหมายขึ้นมาอย่างไร หลวงตาชื้นอธิบายต่อ คำว่าอุจจก็แปลว่าสูงส่ง ดาวได้ตำแหน่งอุจจ ก็เหมือนคนได้มีอำนาจราชศักดิ์มีเกียรติอำนาจขึ้น ถ้าดาวได้ตำแหน่งเกษตรก็แปลว่า มั่นคงเป็นหลักฐานยืนยง ผมพอเข้าใจละครับ มันเข้ารูปเข้ารอยดี หมอเถาพูดแล้วมองดูทางมหาครื้น
เข้ารูปเข้ารอยยังไงกันหมอเถา มหาครื้นยังงๆไม่เข้าใจ เข้ารูปรอยทางพยากรณ์ น่ะซีมหา หมอเถาได้ท่าเลยตั้งตนเป็นอาจารย์ที่สองสอนต่อ ถ้าว่าดาวเจ้าเรือนมันภพกัมมะเป็นอุจจมันก็หมายถึงงานใหญ่หรืองานมีเกียรติ ถ้าเป็นเกษตรก็หมายถึงมีฐานะการเงินมั่นคง ถ้าเป็นดาวเจ้าเรือนภพกดุมภะเป็นอุจจ ก็หมายถึงมีฐานะมีหน้ามีตามีเกียรติ ถ้าเป็นเกษตรก็หมายถึงมีฐานะการเงินมั่นคงเป็นปึกแผ่นยังงั้นใช่ไม๊คะรับหลวงตา
พับผ่า
ถ้าข้ามีเหรียญ วันนี้เห็นจะต้องติดเหรียญความฉลาดให้หมอเถาเขาสักหน่อย หลวงตาชื้นหัวร่อชอบอกชอบใจแล้วก็วกมาพูดเรื่องเดิม พระจันทร์เป็นอุจจในเรือนของพระศุกร์ ตัวพระศุกร์เองก็ไปได้ตำแหน่งอุจจในราศีมีนเช่นกัน ถ้าเปรียบเหมือนคนเรา พราะจันทร์เขามีเกียรติมีอำนาจในถิ่นฐานบ้านเมืองที่มีเกียรติมีอำนาจ ส่วนพระอังคารนั้นเป็นอุจจในเรือนพระเสาร์ แต่พระเสาร์ไปเป็นนิจเสียแล้ว พระอังคารจึงเสมือนคนที่มีเกียรติมีอำนาจ ในบ้านเมืองที่ต่ำต้อยไร้เกียรติก็ย่อมจะยิ่งใหญ่สู้พระจันทร์ไม่ได้เป็นธรรมดา
ผมเห็นจริงด้วยครับหลวงลุง มหาครื้นฟังอธิบายเห็นชัดเจนเหมือนดูภาพยนตร์ เป็นพระคุณแก่ผมที่สุด
ยังก่อนจงดูต่อไปอีก ดูที่พระเสาร์และพระพุธ ซึ่งเป็นประเป็นนิจนั้นทีหรือ มันเสียหายจริงหรือไม่ หลวงตาชื้นอธิบายต่อคล่องปาก ทั้งพระพุธและพระเสาร์นั้นไม่เสียหลายเสียทีเดียวหรอก เพราะราศีนี้พระเสาร์เป็นประ พระอาทิตย์คู่ธาตุก็เป็นอุจจร่วมอยู่ด้วย เช่นเดียวกับพระพุธเป็นประในราศีนั้น พระศุกร์คู่ธาตุก็เป็นอุจจอยู่ร่วมจึงไม่ถึงกับต่ำต้อยเสียทีเดียว เปรียบเสมือนว่าตนเองต่ำต้อย แต่มีญาติสกุลพี่น้องซึ่งมีธาตุเดียวกันเป็นคนยิ่งใหญ่ มีอำนาจก็พลอยได้อาศัยบารมีญาติเป็นเกียรติอำนาจของตนเอง ไม่ต่ำต้อยเสียทีเดียว
ถ้าสมมุติว่า พระอังคารมาเป็นประในราศีพฤษภในเรือนพระศุกร์และพระศุกร์เจ้าเรือนก็เป็นเกษตรอยู่ร่วมด้วยล่ะครับหลวงลุง มหาครื้นตั้งปัญหาเพื่อจะหาความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง
เออมหาช่างฉลาดถามดี หลวงตาก็อธิบายต่อโดยไม่ต้องคิด พระอังคารก็เปรียบเหมือนคนตกยากไร้ทรัพย์แต่มาอยู่ในบ้านเรือนของคู่มิตรคือเพื่อนฝูงที่เป็นเศรษฐีมีฐานะมั่นคงก็พอได้อาศัยการเกื้อกูลกันฉันท์มิตร ไม่ตกยากตามสภาพมากนัก ได้อาศัยฐานะเกษตรของคู่มิตรเขาได้
ทั้งหมอเถาครูก้อนและมหาครื้นเหมือนนัดกันไว้ก้มลงราบขอบพระคุณหลวงตาพร้อมกันทั้ง 3 คน มหาครื้นยังพนมมือพูด ผมเห็นจะต้องเปลี่ยนวิธีเล่าเรียนโหราศาสตร์ไทยเสียใหม่แล้วครับหลวงลุง ตำหรับตำราผมก็อ่านมามากไม่เห็นเขียนอธิบายไว้ชัดแจ้ง เหมือนคำของหลวงลุงสอนอย่างนี้เลย หลงวนเวียนเข้าใจเงอะงะอยู่นาน
หลวงตาชื้นมองดูศิษย์ทั้ง อย่างคนแผ่เมตตาจิต การเรียนโหราศาสตร์มันก็เหมือนเรียนว่ายน้ำ ขั้นต้นครูมันต้องว่ายน้ำเป็นเสียก่อน แล้วจึงจะสอนศิษย์ให้ว่ายน้ำได้ ลำพังตนเองจะหัดว่ายน้ำโดยอ่านตำราว่ายน้ำก็เห็นจะเป็นยาก คัดลอกเขาต่อๆมาก็จะทำให้ผู้อ่านจมน้ำตายเสียเป็นแท้
--------------------------------------------------------------
ห้ามฤกษ์
ลมหนาวเดือนยี่ พัดโกรกทุ่งหนาวเย็นยะเยือกมาตั้งแต่เช้ามืดจนกระทั่งสายตะวันขึ้น นาแปลงใหญ่หลังวัดกลาง เป็นนาธรณีสงฆ์ซึ่งชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจช่วยกันปักดำมาแต่ฤดูฝน บัดนี้ข้าวทั้งทุ่งตกรวบแก่รอการเก็บเกี่ยวเป็นสีทองไปทั่วท้องทุ่ง กลางนาโน้น ชาวนารวมกลุ่มกันนับสิบทั้งชายหญิงถือเคียวครบมือ หน้าตายิ้มแย้มไปทั่วทุกตัวคนหวังทำกุศลเกี่ยวข้าวัดเพื่อเป็นเสบียงสงฆ์ทั้งวัด ที่ยังหนุ่มสาวก็จับคู่เกี่ยวกันเป็นคู่ๆหยอกล้อเกี้ยวพาราศีหน้าระรื่น ที่อายุย่างเข้าปูนแม่ล้าแล้วแต่หัวใจยังครึกครื้นก็เอื้อนเพลงเกี่ยวข้าวแจ้วๆแข่งกับลมหนาว
หมอเถาและครูก้อน แม้จะไม่ถนัดเคียวเกี่ยวเก็บเพราะมิเคยเป็นลูกไร่ลูกนามาก่อน ก็อาศัยเรี่ยวแรงช่วยแบกหามเอากุศลเพราะเป็นงานของสงฆ์ ทั้งพ่อแม่เพลงที่กำลังร้องแก้กันถึงพริกถึงขิงก็สะดุดหยุดชะงักลงทันควัน ทั้งคู่ป้องหน้าดูไปต้นทางที่เป็นถนนตัดผ่านท้องทุ่งเข้าหมู่บ้าน พวกที่กำลังก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าวก็พลอยวางมือแพ่งดูไปด้วยทุกคน ภาพที่เห็นลิบๆเมื่อใกล้เข้ามาเห็นถนัดตา เป็นรถยนต์เก๋งสีสวยคันใหญ่แล่นไล่หลังเด็กรุ่นมาตามถนนเดิน แล้วเด็กที่วิ่งอยู่นหน้ารถยนต์ก็คงก้มหน้าก้มตาวิ่งไม่คิดชีวิตคมุ่งเข้าไปสู่หมู่บ้าน พอผ่านหน้าคณะเกี่ยวข้าวที่รุมมองอย่างฉงนสนเท่ห์ หมอเถาเป็นคนตีปัญหาออกร้องบอกพวกด้วยเสียงดังลั่น รถยนต์มันวิ่งไล่ทับ อ้ายแจ้งลูกตาแจ่มว่ะ ต่างรับกันเป็นเสียงเดียวกัน ใช่แล้ว ดูหน้าอ้ายแจ้งวี เสียงสนับสนุนเห็นจริงเห็นจัง เหงื่อกาฬแตกกลัวตายวิ่งหนีไม่คิดชีวิตทีเดียว หมอเถาออกความคิดเปรย อ้ายพวกหนุ่มๆใครข้อแข็งๆวิ่งไปบอกกำนันมาจับอ้ายรถเก๋งนี่ทีเถอะว๊ะ พอกำนันมาถึง ก็ได้แต่เก็บศพอ้ายแจ้งไปวัดเท่านั้นเอง หมอเถาเหลียวดูผู้พูดขัดคอ ก็ไม่มีใครรับชักฉุนๆ ว๊ะ
จะช่วยอ้ายแจ้งมันยังไง งั้นวิ่งตามรถไปดีไม๊ เออดี วิ่งไปคอยบอกอรหัง ตอนอ้ายแจ้งจะหมดลม หมอเถาถูกขัดคอหันดูก็ไม่รู้ว่าใครพูดอีก เคืองสุดขีด ใครใจดำยืนดูอ้ายแจ้งตายต่อหน้าต่อตาก็ตามใจ ข้าวิ่งไปคนเดียวก็ได้ว๊ะ พอแกพูดจบก็พอดีรถที่ไล่อ้ายแจ้งผ่านหน้าไป แกก็ออกวิ่งขึ้นถนน แม้จะอ้วนอุ้ยอ้ายแต่ก็วิ่งตัวกลมใส่หลังรถยนต์ไป ครูก้อนตัดสินใจออวิ่งกวดตามเพื่อนไปติดๆพวกชาวบ้านก็พลอยออกวิ่งตามกันไปจนหมดเป็นขบวนยาวเหมือนงูกินหางตามติดๆรถยนต์ไป เจ้าแจ้งวิ่งอกตั้งเหงื่อท่วมตัวพอถึงทางแยกเข้าวัดก็เลี้ยว ดูทีท่าเหมือนจะหลบรถยนต์ที่กวดหลังมาติดๆ แต่รถยนต์ก็เลี้ยวตามติดไม่ลดละ ขบวนคณะเกี่ยวข้าวซึ่งนำหน้าด้วยหมอเถาก็เลี้ยวตามมาด้วย พอถึงกุฏิต้นมะยม เจ้าแจ้งก็หยุดวิ่งยืนหอบซี่โครงบาน รถยนต์เก๋งก็พลอยห้ามล้อหยุดตามด้วยกะทันหัน ข้างหมดเถาก้มหน้าวิ่งตามติดมาเต็มฝีเท้า ไม่มีเบรคเหมือนรถยนต์จึงหยุดไม่ได้ดังใจ จนครูก้อนมาถึงต้องอุ้มประคองลงยืนดิน คณะเกี่ยวข้าวตามมาถึงก็ล้อมรถไว้พูดอะไรไม่ออกเพราะเหนื่อยจนหายใจทางปากกันทุกคน ประตูท้ายรถเก๋งก็เปิดออก ผู้ก้าวลงมาเป็นหญิงสาวโสภา แต่งตัวทันสมัย และผู้ตามลงติดๆก็เป็นหญิงอายุกลางคนภูมิฐานเป็นคนมีฐานะมีอันจะกิน ทั้งสองสตรีมองหน้ากลุ่มชาวบ้านที่รายล้อมอยู่อย่างแปลกใจเพราะไม่รู้ความมุ่งหมาย จึงเดินเลยไปหาเจ้าแจ้งที่ยังยืนหายใจออกกระเพื่อมอยู่ ขอบใจหนูเหลือเกิน โถคงเหนื่อยมาก เจ้าเด็กแจ้งได้แต่พยักหน้าและแบมือ หญิงวัยกลางคนเปิดกระเป๋าถือหยิบธนบัตรใส่มือให้โดยไม่อิดเอื้อน หมอเถาพอหายจุกก็ปราดเข้าปัดมือเจ้าเด็กแจ้งจนแบ๊งค์แทบหลุดจากมือ เฮ้อ อ้ายแจ้งอย่างเพิ่งรับเงิน เขาเอารถยนต์ไล่ทับเอ็งทั้งที อย่าคิดค่าเสียหายถูกๆ ไม่ได้มันต้องเป็นร้อยเป็นชั่งถึงค่อยยอมว่ะ อย่างยุ่งนะลุงหมอ เจ้าแจ้งผลักมือหมอเถาออกไปห่างๆ ฉันรับค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้ตะหาก อ้าว
หมอเถามองหน้าเลิ่กลั่กไม่เข้าใจ รับจ้างอะไรของเอ็ง รถยนต์มันวิ่งไล่กวดหลังเอ็งจี้ๆ ข้าถึงได้แห่วิ่งกันมาหวังว่าจะช่วยนึกว่าเอ็งตายแน่
ปัดโธ่เอ๊ย
ลุง เจ้าแจ้งหัวร่อก้ากจนตัวงอ หญิงทั้งสองพลอยสำรวลไปด้วย ฉันรับจ้างเขาจะพามาหาหลวงตาชื้นกุฏินี้แหละ เขาให้ยี่ซิบ
ก็แล้วเอ็งทำไม่ถึงต้องวิ่งนำหน้ารถมาให้มันเหนื่อย ก็นั่งรถเขามาก็ได้
อ๊ะ
ไม่ได้ซีลุงหมอ เจ้าแจ้งอธิบายอย่างอวดฉลาด เจาว่าจะได้ค่าเหนื่อยนี่ ถ้านั่งรถยนต์มามันไม่เหนื่อยเดี๋ยวเขาไม่จ่าย ฉันถึงต้องวิ่งนำหน้ารถมาให้มันเหนื่อยถึงจะได้เงิน
ถุย ไอ้แจ้ง หมอเถาถุยน้ำลายเป็นฝอยรดหัวเจ้าแจ้งจริงๆและเสียงถุกอีกสิบถุยข้างหลังก็ดังพร้อมๆกัน
เจ้าเด็กพิเรนเกือบพาผู้ใหญ่เสียคนไปตามๆกัน
สองหญิงมาดผู้ดี ก็หันมาทางหมอเถายกมือไหว้พูดสีหน้ายิ้มแย้ม ฉันมาจากกรุงเทพฯจะมาหาหลวงตาท่าน หมอเถาพนมมือรับไหว้ ชักเงอะงะเพราะยืนใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอม ยิ่งทำให้หัวใจเต้นตูมตามไม่เป็นจังหวะ
เชิญซีคะรับ เชิญหลวงตาไปพบคุณนาย เอิ๊บ !ไม่ใช่ผมขอเชิญคุณนายไปพบหลวงตา ผมจะนำไปเอง
เจ้าเด็กแจ้งสะกิดพุงหมอเถาสัพยอก โถ
ลุงหมอวิ่งมาเหนื่อยเสียจนสติไม่อยู่กะตัวเชียวน๊ะ หมอเถาแสนอาย ที่ห้าแต้มจึงรีบรวบรัดนำหน้าขึ้นกุฏิหลวงตา ทำหูทวนลมกับเสียงหัวเราะที่ไล่หลังมา หลวงตาชื้นเพิ่งกลับจากลงโบสถ์ขึ้นกุฏิยังไม่ทันปลงจีวร ก็ต้อนรับขับสู้เป็นอันดี เมื่อรับประเคนดอกไม้ธูปเทียนแล้วท่านก็วิสาสะ เชิญคุณนายตามสบาย กุฏิพระบ้านนอกสกปรกรุงรังสักหน่อยให้อภัยด้วย
หญิงกลางคนก้มกราบอีกครั้ง มาไกลทั้งทีได้พบหลวงตาก็เป็นกุศลที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ดิฉันมาจากกรุงเทพฯใคร่จะมาเรียนขอความกรุณาหลวงตา
เออน่ะ อุตสาหะมาแต่ไกล อตมาเป็นพระแก่ๆมีแต่วิชาโหราศาสตร์ติดตัวถ้ามีประโยชน์สงเคราะห์คุณได้ก็ยินดี
คือว่าลูกสาวดิฉันจะแต่งงานจึงมากราบขอฤกษ์หลวงตา
หมอเถาซึ่งนั่งกับครูก้อนก็พลอยออกความเห็น โหรกรุงเทพฯเก่งๆก็มีมาก คุณนายไม่น่าจะต้องมาไกลถึงที่นี่เลย
ดิฉันไม่ใคร่รู้จักคุ้นเคยกับโหรท่านเลย ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่เพชรบุรีท่านแนะนำมาและดิฉันก็ศรัทธามาก
หลวงตาทราบเจตนาก็ค่อยๆหยิบกระดานโหรามาเข็ดทำความสะอาด มองหน้าหญิงสาว คุณหนูบอกวันเดือนปีและเวลาเกิดดูทีหรือ
คุณแม่กลับเป็นผู้ตอบแทนลูก เกิดวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2495 วันอังคาร ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เวลา14.30 น. เจ้าค่ะ หลวงตาเปิดปูมดูและเขียนตำแหน่งดาวลงวางลัคนาเสร็จก็จ้องดูนิ่งอยู่นานจนหมอเถาและครูก้อนสงสัยค่อยกระเถิบเข้าไปใกล้เพื่อจะได้เห็นบ้าง เดี๋ยวนี้ เดือนมกราคม พ.ศ.2516 คุณหนูก็อายุย่างเข้า 22 แล้วซีน๊ะ คุณนายประมาณว่าจะแต่งกันเมื่อใด ช้าหรือเร็ว
ตั้งใจว่าจะหมั้นเดือนหน้า และต่อไปสักเดือนก็อยากจะแต่งกันเสียให้เสร็จเจ้าค่ะ หนุ่มสาวสมัยนี้หมั้นกันนานๆ มากไม่ใคร่ดี ไม่หนุ่มก็สาวมักเปลี่ยนใจพาให้ผู้ใหญ่เสียหน้ามานักต่อนัก
หลวงตานิ่งตรองดูสีหน้าหนักอก หนักใจอึดอัดอยู่ หมอเถาแอบกระซิบถาม เป็นไงครับ หลวงตา หลวงตากลับหันไปตอบแขกสตรี กำหนดฤกษ์ที่คุณนายต้องการนั้น จะให้ตามใจอาตมาหรือตามใจคุณนาย
สุดแต่พระเดชพระคุณจะเห็นสมควรซีเจ้าคะเพราะวันดีเดือนดี อิฉันไม่ทราบก็ต้องสุดแต่โหร
ถ้าตามใจโหร อาตมาขอตอบว่าในปีนี้ไม่มีฤกษ์แต่งงานของคุณหนูแหวนเพชร นอกจากขึ้นปีหน้าไปแล้วละก็พอจะมี ทั้งคุณนายแม่ลูกตกตะลึงคาดไม่ถึงต่างมองดูนัยน์ตากันอยู่นาน พระเดชพระคุณหลวงตาจะกรุณาหาวันดีกลางๆ ปีก็ยังได้เจ้าค่ะ ถ้าข้ามปีคู่บ่าวสาวเขาคงจะใจร้อนไม่ยอมฟัง
คุณนายฟังอาตมาให้ดี หลวงตาปฏิเสธไปแล้วก็มีสีหน้าไม่สบายใจนัก อันวันดีคืนดีนั้น มันมีอยู่ทุกเดือนตลอดไปน่ะแหละแต่มันจะเป็นวันดีของใครต่างหาก เช่นวันได้ฤกษ์แต่งงานของคู่นี้ แต่วันเดียวกันนี้แหละเป็นวันเลิกร้างของคู่ผัวตัวเมียคู่อื่นก็มาก วันเกิดของคนๆ นี้ก็เป็นวันตายของคนอื่น วันรวยของคนนี้แต่เป็นวันฉิบหายของคนอื่นมันเป็นเรื่องเฉพาะของใครของมัน มิใช่ว่าวันดีแล้วมันจะดีตลอดทุกคนก็หาไม่
สีหน้าคุณลูกสาวบอกความไม่พอใจเต็มที่ หนูเรียนคุณแม่แล้วว่าสมัยนี้ฤกษ์ผานาทีไม่สำคัญหรอกค่ะ คุณแม่จุ๊ปากรีบปราม อย่าพูดเช่นนั้นลูก จะกลายเป็นคนหัวดื้อ ลบหลู่ผู้หลักผู้ใหญ่ไป
หลวงตายังคงยิ้ม ช่างเถอะคุณนายหนูแหวนเพชรพูดตรงตามความรู้สึกของแกดีแล้ว ความเชื่อเหตุผลขตองเด็กหนุ่มสาวกับความเชื่อของผู้ใหญ่มักตรงกันข้ามเสมอ
ดิฉันขออภัย เธอพนมมือไหว้ ดิฉันมิได้เจตนาลบหลู่หลวงตาเลยเป็นความสัตย์ เป็นแต่คิดไม่แน่ใจและสงสัยเรื่องฤกษ์ตลอดมา
แม่หนูสงสัยเรื่องอะไร ถ้าอาตมารู้ก็จะตอบให้ทราบ ถ้าไม่รู้ก็จนใจ
เธอพูดชัดถ้อยชัดคำว่า ดิฉันไม่เชื่อว่าฤกษ์จะมีผลสมจริงดูเป็นการหลอกๆให้ปลาบปลื้มกันมากกว่า จริงอยู่ดิฉันเชื่อถือโหราศาสตร์ด้านการพยากรณ์ แต่ฤกษ์เป็นสิ่งไม่มีเหตุผล เพียงแต่วันดี เวลาดีวันเดียว จะเปลี่ยนแปลงพรหมลิขิตชีวิตมนุษย์ให้ดีตลอดไปอย่างไรเจ้าคะ เพื่อนๆ ดิฉันแต่งงานด้วยฤกษ์โหราจารย์ที่มีชื่อเสียงอยู่กันไม่ทันไรเลิกกันมาหลายคู่แล้วเจ้าค่ะ
แทนที่หลวงตาจะขุ่นเคืองกลับหัวเราะชอบอกชอบใจ คุณหนูสงสัยอย่างฉลาดคิดฉลาดพูด อาตมาชอบนิสัยอย่างนี้ ท่านขยับนั่งตัวตรงพูดช้าๆ อันว่าฤกษ์แปลว่าโอกาส เมื่อฤกษ์ดีก็แปลว่าโอกาสอันดี การหาฤกฺษ์ของอาตมาจึงต้องดูดวงชะตาเขาเสียก่อนว่าในปีนั้นๆชีวติของเขาจะมีโอกาสในเรื่องนั้นๆหรือไม่ ถ้ามีแล้วจึงจะแสวงหาวันดี จริงอยู่ฤกษ์จึงเป็นโอกาสชั่วคราวอาจเป็นปีหนึ่งแต่การใช้ฤกษ์หรือโอกาสชั่วคราวนี้ จะเกิดผลเช่นว่าการแต่งงาน ถ้าดวงชะตาเขาได้ฤกษ์ได้โอกาสดีในเรื่องคู่ครอง เมื่อแต่งงานกันก็จะมีความรักความเข้าใจกันดีชั่วปีหนึ่งก็ดี เพราะเป็นพื้นฐานการครองชีวิตเริ่มต้น แม้ปลายมือจะขัดแย้งขัดใจ ก็ยังพอทำความเข้าใจกันได้ ไม่ถึงกับเลิกร้างกันได้ง่าย เพราะความรักยังเป็นเยื่อใยกันมาก่อน หรือเช่นฤกษ์การเปิดร้านค้าขายในฤกษ์โอกาสดี ก็จะพอมีกำไรเป็นการเริ่มประเดิม แม้นปีหลังจะขาดทุนหรือพบอุปสรรคก็ยังพอแก้ไขให้หนักเป็นเบาได้ ถ้าฤกษ์โอกาสร้ายเริ่มเปิดก็ขาดทุนแล้วจะเอาอะไรมาสู้ในเวลาต่อ ๆ ไป
สีหน้าคุณหนูแหวนเพชรคลายบึ้งขึ้งเครียดลงไปทันที แสดงถึงความเข้าใจในเหตุผลที่หลวงตาวิสัชนามายืดยาว แต่สีหน้าระรื่นปิติยินดีมาก ก็คือหมอเถากับครูก้อนที่นึกนิยมชมชื่นในอาจารย์ของคนช่างยกเหตุผลมาอ้างอิงเห็นจริงอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน
คุณแม่ซึ่งฟังเหตุผลของหลวงตาเข้าใจได้ดีพอ ๆ กับคุณลูกสาว ก็เห็นว่าไม่มีทางท่าจะอ้อนวอนหลวงตา ให้ท่านให้ฤกษ์ได้สำเร็จ ด้วยไม่แน่ใจว่าลูกสาวจะยกเอาข้อสงสัยอะไรอื่น ๆ มาซักไซร้จนกลายเป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายแรง จึงถือโอกาสลากลับ
ดิฉันขอกราบลาเจ้าค่ะ เพราะตั้งใจจะไปเยี่ยมญาติที่หัวหินอีก และเรียนขออนุญาตที่จะมารบ กวนหลงตาอีกครั้งเจ้าค่ะ
เชิญคุณนาย ขอให้จำเริญ ๆ ทั้งคุณหนูด้วย มีกิจประสงค์เมื่อใดอาตมายินดีสงเคราะห์ทุกโอกาส เชิญเถอะ
สองแม่ลูกก้มลงกราบลา ถอยลงจากกุฏิไป กระทั่งเสียงรถยนต์ติดเครื่องแล่นลับหายไปแล้ว หมอเถาและครูก้อนกระเถิบเข้าไปถึงกระดานโหรที่หลวงตาเขียนดวงลูกสาวคุณนายเอาไว้
หลวงตารู้ใจของลูกศิษย์ว่า อยากรู้อยากถาม จึงลากกระดานมาชี้ให้ดู
หมอเถากะครูก้อน ลองดูดวงคุณผุ้หญิงคนนี้ดูทีหรือว่าพื้นดวงในเรื่องคู่ครองเขาเป็นอย่างไร
หมอเถายังมัวนับเรือนไล่ดาวไล่ภพอยู่ไม่ทันครูก้อนเพียงมองปราดเดียวก็ตอบหลวงตาทันที
ดวงเธอศุกร์เล็งลัคน์ เป็นพินทุบาทว์ในเรือนปัตนิ เรื่องคู่เห็นทีจะไม่ดีนักครับ หลวงตาพยักหน้าถามศิษย์อีกคน หมอเถาล่ะว่ายังไง
หมอเถายังนี้กระดานจนรอยแป้งลบติดนิ้ว เป็นพินทุบาทว์นั้นมันแน่ละ แต่ศุกร์เป็นมหาจักรมาจากภพวินาสน์และปุตตะก็คงจะหมายถึงว่าในระยะเริ่มแรกเท่านั้นไม่เข้าใจกัน เข้ากันไม่ได้คะรับ
เออหมอเถาทายถูกใจว่ะ หลวงตาว่า มันต้องดูเขาให้ถึงแก่นอีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นนะ เขาจะแตกแยกเลิกร้างกันหรือไม่
ทั้งหมอเถาและครูตอบเสียงเดียวกันว่า ดูไม่ออกครับ
หลวงตาหัวร่อชอบใจ สองคนนี้ลืมกฎเกณฑ์เสียหมด ดูเจ้าเรือนที่ศุกร์มาครองซี เป็นพฤหัสซึ่งเป็นเกษตรอยู่เท่ากับว่าพื้นเรือนของเขาแข็งแรงมั่นคง ศุกร์ก็ทำลายไม่ได้ ทากทักษา เกิดวันอังคาร พฤหัสเป็นศรี ศุกร์มาเป็นพินทุบาทว์ในเรือนศรีก็ไม่ร้ายแรงนัก เขาพอประสานปรับเข้าหากันได้ ไม่เกิดผลร้ายแรงให้เสียหายหรอก
โอ้
จริงครับ หมอเถามองตามเห็นจริง และอดถามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มิได้ ผมไม่เห็นหลวงตาเปิดปูมดูวัน เดือนปีอะไร แต่หลวงตาบอกเขาว่าไม่มีฤกษ์ละครับ
บ๊ะ
ช่างทื่อจริง ๆ พูดเมื่อกี้ไม่ฟังให้ดี หลวงตาโขกกระดานโหรดังโป๊ก ดวงของเธอนี่แหละวะคือฤกษ์ที่แท้จริงละ ก็ดูทีหรือว่าดวงจรเขาทำมุมอยู่ในตำแหน่งแห่งที่อย่างใด
ครูก้อนรีบตอบอีก ราหูเล็งลัคน์อยู่เป็นพินทุบาทว์อีกแหละครับ
หลวงตาหัวร่อก๊าก บ๊ะ
เจ้าครูก้อนนี้มันช่างสังเกตแต่พินทุบาทว์เสียจริง ๆ
หมอเถาเลี่ยงตอบอีกสถาน พฤหัสเจ้าเรือนปัตนิกำลังจรเป็นนิจอยู่ในภพมรณะ
เออ
ใช่ทั้งสองคน หลวงตาพูดน้ำเสียงจริงจัง ดวงเดิมเขาเป็นพินทุบาทว์เท่ากับเรือนปัตนิมันมีรอยร้าวอยู่แล้ว ทางจรราหูเล็งเป็นพินทุบาทว์ซ้ำเท่ากับว่ากระเทือนตรงรอยร้าวมันจะแตกง่าย ๆ และอีกสถานหนึ่งเจ้าเรือนปัตนิตกภพมรณะเท่ากับเป็นการซ้ำสองให้แตกแยกจากกัน ได้แน่นอน เข้าทางทักษาอายุ 22 ตกพฤหัสเสาร์ก็คือกาฬกิณีมันร้ายอยู่มาก มันเป็นเช่นนี้แหละ อาตมาถึงบอกเขาว่าไม่มีฤกษ์ ขืนให้ฤกษ์แต่งไป มันจะเลิกกันเสียเป็นแท้ รอให้พ้นรอบอายุและพฤหัสกับราหูยกเสียก่อน จึงจะพอแต่งกันได้ดีมีสุข
หมอเถายังไม่หมดข้อสงสัย ถามต่อไปอีกว่า เมื่อหลวงตาเห็นว่าแต่งกันแล้วจะเกิดแตกแยก หลวงตาน่าจะบอกให้เจ้าตัวเขารู้ว่าเพราะเหตุนี้จึงไม่ให้ฤกษ์ไป
ว่ะ หมอเถาเจ้ามันคิดแค่สองสลึง ถ้าบอกเขาไปเขาจะเกิดอุปทาน ถ้าลูกสาวคิดดิ้นรนใจร้อนแต่งขึ้นมา มีเหตุอะไรเล็กน้อยก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะใจมันคอยนึกแต่คำทำนายที่บอกไป อาตมาจึงนิ่งเสีย
เสียกลองเพลจากหอฉันดังตูม ๆ ทั้งหมอเถาและครูก้อย ก็เลยหยุดวักไซร้ไล่เลียง เพราะได้เวลาฉันเพลของหลวงตาแล้ว ทั้งเณรชั้วก็ยกสำรับมาตั้งเหมือนไล่อยู่ในทีจึงกราบลากลับ
จับโจร
ดวงตะวัน เพิ่งจะด้นขอบฟ้า แม้จะเป็นเดือน 11 ฤดูฝน แต่เช้าวันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ลมเช้าพัดระรื่นเย็นสบาย หลวงตาชื้นกลับจากบิณฑบาตรเดินกลับวัดตามทางนอกตลาดซึ่งมีหมู่บ้านเรียนรายตลอดสองข้างทาง แต่สงบเงียบไม่จอแจพลุกพล่าน ท่านเดินไปคิดไปตามประสาผู้ล่วงวัยเข้าสู่ปลายทางชีวิตผ่านบ้านที่เคยวิ่งเล่นมาแต่เด็ก เคยเป็นทุ่งกว้างหนองน้ำและเนินดินร่มรื่นด้วยสุมทุมพุ่มไม้ บัดนี้เปลี่ยนแปรไปเป็นตึกรามบ้านเรือนไปหมด ท่านก็คิดปลงอนิจจังถึงความไม่เที่ยงแท้ แม้แผ่นดินซึ่งไม่มีชีวิตก็ยังรู้เกิดรู้ดับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ประสาอะไรกับมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์มีชีวิตมีใจครองจะไม่เปลี่ยนแปรจากดีเป็นชั่ว จากชั่วเป็นดี ไม่คงทนถาวร ผืนแผ่นดินตรงนี้เคยเป็นบ้านคหบดีผู้หนึ่งที่ยึดมั่นในศีลในธรรมเคร่งครัดมาตลอดชีวิต เมื่อถึงกาลชีวิตไปแล้วบุตรผู้สืบสกุลก็กลายเป็นโจรปล้นเขากินจนถูกจับลงโทษไปเมื่อเร็วๆนี้ เออ
หนอหนทางชีวิตมนุษย์มันช่างคดเคี้ยวยอกย้อนวกวนไม่รู้แห่งหน ไม่เหมือนถนนหนทางที่เขาสร้างไว้มันตรงคงเส้นคงวา จะแยกจะเลี้ยวที่ใดก็มีที่สังเกตรู้ได้ ดังนั้นท่านจึงใช้วิธีโหราศาสตร์เกื้อกูลเพื่อนมนุษย์เพื่อเป็นเครื่องเตือนเครื่องบอกทางชีวิตแก่เขา ให้รู้หนทางแยกหนทางเลี้ยวไปสู่ความดีความชั่ว เป็นการสร้างกุศล แม้บางครั้งบางคราว จะถูกเพื่อนบรรพชิตด้วยกันเหยียดหยามลบหลู่ว่า เป็นพระหมอดูเลี้ยงชีพด้วยลาภสการะ ถึงทางสี่แยกเป็นทางเลี้ยวไปสู่วัด และเป็นทางผ่านบ้านคุณนายทรัพย์ผู้ใจบุญที่ตักบาตรทุกวัน และหลวงตาเคยรับบาตรเป็นประจำตอนขากลับ เมื่อนึกถึงคุณนายทรัพย์ผู้ใจบุญ หลวงตาก็นึกคิดไปอีกหลายเรื่องโดยเฉพาะลูกเขยคุณนายที่ชื่อทิดจวง เป็นคนที่หลวงตาบวชให้ตั้งแต่เป็นเณรจนกระทั่งเป็นพระบวชอยู่หลายปี เกิดร้อนผ้าเหลืองแหกพรรษามาตบแต่งอยู่กินกับบุตรสาวคุณนายเมื่อต้นพรรษาที่แล้ว จะเหนี่ยวรั้งทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟังเพราะผ้าเหลืองนี้น่ะหอหุ้มไว้แต่เพียงผิวกายมิได้ห่อหุ้มถึงหัวใจภิกษุจวง พอเดินใกล้บ้านคุณนายทรัพย์เข้ามา หลวงตาก็ยิ่งแปลกใจ แทนที่จะเห็นโต๊ะตั้งขันข้าวและปัจจัยใจใส่บาตรอย่างเคย กลับเห็นแต่ผู้คนมากหลายมุงล้อมอยู่หน้าบ้านดังมีเหตุร้าย ท่านเดินเร่งฝีเท้าใกล้เข้าไปจนถึง ท่านได้ยินสียงโต้เถียงกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงคุณนายทรัพย์ลำเลิกเบิกประจานทิดจวงลูกเขย บางคำเป็นคำหยาบคายชาวบ้านที่มุงดูก็หัวเราะเฮฮาผสมโรง
หลวงตาพิจารณาเห็นว่ามิใช่กิจของสงฆ์จะพึงรับรู้และเกี่ยวข้องด้วยก็ถอยหลีกออกมาเพื่อจะเดินไปเสียให้พ้น แต่ชายจีวรกลับถูกดึงไว้แน่น เมื่อเหลียวดูเจ้าของมือก็พบหมดเถาศิษย์เอก
นิมนต์หลวงตาหยุดก่อนเถอะครับ หมอเถายกมือไว้ท่วมหัว ทิดจวงเห็นจะแย่แน่ละคะรับ
มันไม่ใช่กิจของพระจะยุ่งด้วยนะหมอเถา เขาแม่ยายลูกเขยกันครอบครัวเดียวกันก็ย่อมมีปากมีเสียงกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา
มันไม่ธรรมดาซิคะรับ หลวงตา สีหน้าหมอเถาดูเป็นทุกข์เป็นร้อนจริงจัง คุณนายทรัพย์แกไล่ทิดจวงออกจากบ้าน หอบผ้าหอบผ่อนทิดจวงโยนออกมาเกลื่อนถนนไปหมด ถ้าหลวงตาไม่ช่วยทิดจวงต้องกลับไปกินข้าววัดของหลวงตาอีก
ว๊ะ
มันเรื่องอะไรกันร้ายแรงหนักหนาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ หลวงตาชักสนใจ
หมอเถาอธิบาย ผมก็ไม่ทราบเรื่อง ฟังเป็นนัยว่าขุนไม่เชื่องอะไรทำนองนั้น
ครูก้อนโผล่จากไหนก็ไม่รู้เข้ายึดจีวรหลวงตาไว้อีก หลวงตาต้องห้ามทัพไว้ก่อนเถอะขอรับ ผมห่วงทิดจวงจริงๆ
หลวงตาลังแลใจชะเง้อข้ามไหล่ผู้คนที่มุงดูเข้าไปในบ้านตา อยากรู้ว่ามันมีสาเหตุอะไรกัน จะได้ตัดสินใจว่าควรจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
ครูก้อนว่า ผมได้ยินคุณนายทรัพย์ตะโกนแต่ว่าทิดจวงกินบนเรือนแล้วถ่ายรดหลังคา
หมอเถาร้องเอ๊ะ! ทิดจวงถ้าจะทำพิเรน คิดเป็นพ่อตาตัวเองกระมัง
อย่าเดาง่ายๆ หมอเถาเดี๋ยวหลวงตาเข้าใจผิด ครูก้อนดุหมอเถา แล้วก็อ้อนวอนหลวงตา ทิดจวงก็เหมือนลูกศิษย์ของหลวงตาคนหนึ่งไฟกำลังไหม้ทิดจวง หลวงตาจะยืนเฉยอยู่ได้หรือขอรับ
หลวงตาหยุดยั้งลังเลใจ หมอถาและครูก้อนเข้าขึดแขนทานไว้คนละข้างพยุงกึ่งลากหลวงตาฝ่าคนที่มุงเข้าประตูบ้านคุณนายทรัพย์ล่วงเข้าไปจนถึงห้องกลาง คู่กรณีพิพาทอยู่กันพร้อมหน้า คุณนายทรัพย์ยืนเท้าสะเอกหน้าเขียวด้วยฤทธิ์โทสะแต่ทิดจวงนั้นหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ ข้างแม่ศรีลูกสาวคุณนายเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ร้องห่มท่าเดียว
คุณนายทรัพย์พอเหลียวเห็นหลวงตาก็ทรุดตัวลงไหว้เคารพ ทิดจวงพอเห็นหลวงตาเหมือนเห็นพระมาลัยมาโปรดสัตว์ ปราดเข้าเกาะชายจีวรไว้ทันที แววตาเหมือนเด็กถูกเฆี่ยนกำลังขอร้องวิงวอน
หลวงตาช่วยผมที ผมตายแน่ ทิดจวงพูดเสียงเครือเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
หลวงตายังไม่ทันเอ่ยว่ากะไร คุณนายทรัพย์ก็แหวขึ้นอีก จึงโบกมือห้าม เบาๆเถอะคุณนายมันเรื่องร้ายแรงอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันก่อน อย่างให้รู้หูชาวบ้านอายเขาเปล่าๆ มันเรื่องภายในครอบครัว พูดบอกให้อาตมารู้บ้าง อาตมาเป็นสงฆ์ไม่ลำเอียงเข้าข้างใครหรอก
คุณนายได้สติและเกรงใจหลวงตาแต่เดิม จึงค่อยสงบเลี่ยงมาปูเสื่อนิมนต์หลวงตานั่งบนยกพื้นริมห้อง ส่วนตัวเองทรุดนั่งลงกับพื้น ทิดจวงหัดไปจูงมือเมียมานั่งอยู่ข้างหนึ่ง หมอเถานึกอายชาวบ้านแทนทิดจวงจึงแอบไปงับประตูบ้านเสีย
คุณนายลองเล่าเนื้อหาเรื่องราวมันยังไงกัน หลวงตาถามช้าๆอย่างตั้งใจ
คุณนายทรัพย์เหลือบค้อนทิดจวงลูกเขยก่อนเล่า ของมีค่าของอิฉันหาย แล้วก็ไม่มีใครนอกจากทิดจวงคนเดียวเท่านั้น
ทิดจวงสอดทันควันไม่ลดละ ไม่จริงครับหลวงตาผมบวชแล้วเรียนแล้วคุกเข่ารับศีลมาจนหัวเข้าด้านไม่ประพฤติอทินนาแก่ทรัพย์ของใครแน่
หลวงตาเบาใจลงเป็นกองที่มิใช่คดีกาเมสุมิจฉาเหมือนที่ระแวงคิดอยู่ จึงโบกมือห้าม เพราะคุณนายทรัพย์กำลังจะแผดเสียงออกมาอีก
เดี่ยว ทิดจวงให้คุณนายเขาเล่าก่อน เรื่องมันมีมูลมาอย่างไร
ของมีค่าของอิฉันให้นังหนูเอาไว้ เขาเก็บไว้ในห้องนอนแล้วอยู่ๆ ก็หายไปเขาอยู่กันสองคนผัวเมียเท่านั้นจะมีใครเจ้าค๊ะหลวงตา
หลวงตาหันมาซักแม่ศรีที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างสามี ของอยู่ที่แม่หนูตามที่แม่เขาบอกจริงหรือ
เจ้าค่ะ เธอเงยหน้าเปียกน้ำตาตอบ อันที่จริงของสิ่งนี้คุณแม่ยกให้เป็นสมบัติของหนูแล้ว เมื่อมามีอันเป็นต้องหายไปหนูก็ไม่ติดใจถือเสียว่าเป็นคราวเคราะห์
คุณนายทรัพย์แหวลูกสาวทันควัน ช๊ะ
นังหนู เป็นเมียทิดสึกจากพระหน่อยทำเป็นใจพระไม่เอาเรื่อง ของมีค่าเป็นเรือนพันเรือนหมื่น
หลวงตาว่า อ้อ เป็นเรื่องของหาย ฉันพอสงเคราะห์มูลเหตุได้บ้าง
ทิดจวงพูดเหมือนปรับทุกข์กับตัวเอง เมื่อตอนสึก หลวงตาก็ให้ฤกษ์ผานาทีมาดีแล้ว ไม่น่าเกิดเรื่องเช่นนี้เลย
เอ็งจะโทษฤกษ์ของข้าละซีทิดจวง หลวงตาจ้องหน้าเขม็ง ฤกษ์เขาใช้ทำความดีมีสิริมงคล แต่ถ้าคนมันทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว เหมือนฤกษ์โจรปล้น พาคนติดถูกมาเสียนัก
ทิดจวงรีบพนมมือไหว้ อภัยเถอะครับหลวงตา ผมมิได้ลบหลู่หลวงตาหรอก มันกลุ้มใจน้อยใจในวาสนาตัวเอง
หลวงตาหันไปทางคุณนายทรัพย์ ธรรมดาของหายมันต้องคิดอ่านหาของให้ได้ไม่ใช่คิดหาตัวคนขโมยก่อนไม่ถูกต้อง
คุณนายทรัพย์พอสงบสติได้บ้างก็ได้คิด เจ้าค่ะ อิฉันอยากจะให้หลวงตาจับยามดูว่าของมันหายไปได้อย่างไร อยู่ที่ไหน จะติดตามยังไง
อ๋อ ได้ซี หลวงตารับคำเต็มใจ ของมันอยู่ที่แม่หนูเขาเป็นสิทธิของเขา มันต้องเอาดวงแม่หนูเขามาดู
ดวงแม่ศรี ที่หลวงตาผูกไว้ให้ก็ยังอยู่ ทิดจวงลุกขึ้นเข้าห้องไปหยิบมาส่งให้หลวงตาชื้น พร้อมทั้งแป้งผัดหน้าอีกกำมือเพราะรู้ใจอาจารย์
หลวงตารับแป้งมาขีดดวงเขียนดาวตัวโตลงบนพื้นกระดานที่นั่งตามดวงเดิม ข้างหมอเถากะครูก้อนแอบกระแซะข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้ดูถนัดๆ
หลวงตาชื้นนับนิ้วพึมพำไล่อายุแล้วพิจารณาดูดวงดาวนิ่งอยู่นาน จนหมอเถาอดสงสัยมิได้ต้องเอ่ยปากถาม
เป็นยังไรคะรับหลวงตา หลวงตาครางอือในคอ มันยากเว้อหมดเถา
ดวงมันยาก ดูยากอย่างนั้นหรือคะรับ หมอเถาถามไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่เคยได้ยินหลวงตาชื้นพูดคำนี้มาก่อน
มันยากปากที่จะพูดบอก มันยากใจยากปากที่จะพูดบอก หลวงตาถอนหายใจยาว แล้วหันมาทางคุณนายทรัพย์ ขอถามอะไรแน่ใจก่อน
เชิญเถอะเจ้าค่ะ
ของที่หายเป็นแหวนเพชรใช่ไม๊ หลวงตาทั้งถามทั้งทายพร้อมๆกัน เป็นของเก่าแก่นมนานมาแล้ว
คุณนายทรัพย์ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เพราะนึกไม่ถึงว่าหลวงตาจะทายเหมือนเห็น ใช่เจ้าค่ะ เป็นแหวนเพชรน้ำงามจริงๆ ตกทอดมาตั้งแต่คุณแม่อิฉัน ราคาร่วม 100 ชั่ง
ทั้งหมอเถาและครูก้อน ตกใจในอภินิหารของหลวงตาชื้นผู้เป็นอาจารย์ จนพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองสบนัยน์ตากันและกัน ถ้าเช่นนั้นมันก็เข้าเค้าละหลวงตาพูดลอยๆ ถ้าจะเอาของเห็นทีจะสูยเสียมากกกว่าเพราะของมันเดินทางเปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว แต่ถ้าจะเอาคนก็พอจะได้ตัวแน่
ดวงตาคุณนายลุกวาวบอกความแค้นใจเต็มที่ ถ้าไม่ได้ของก็ต้องเอาคนละเจ้าค่ะ ต้องขอเอาเข้าคุกให้หายเจ็บใจให้ได้
ทิดจวงมองหน้าหลวงตาไม่เข้าใจคำอรรคคำแปล ภายในหัวใจเต้นอ่อนลงแทบจะหยุด ทั้งหมอเถาครูก้อนพลอยใจหายวับๆหวำๆแทบนั่งไม่ติด หลวงตาหันทางลูกสาว แม่หนูเธออยากให้ผัวถูกจับเข้าคุกหรือไม่ล่ะ
ไม่เจ้าค่ะ แม่ศรีรีบตอบปนเสียงร้องไห้ คนทั้งหมดมองหน้าทิดจวงเป็นตาเดียวกัน นึกเสร็จแน่ๆ ตัวทิดจงเหงื่อไหลเหมือนอาบน้ำ
หลวงตากวักมือเรียกแม่ศรีเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบกระซาบไม่มีใครได้ยินอยู่พักใหญ่ เห็นแต่แม่ศรีพยักหน้ารับคำน้ำตาไหลนองแก้ม ลงท้ายที่สุดหลวงตาก็พูดดังพอได้ยินกันทั่วๆไป ถ้าแม่หนูไม่อยากให้ผัวเธอเข้าคุก ก็ต้องพูดกับแม่เอง อย่าให้อาตมาต้องเป็นคนบอกเลยจูงแม่เข้าไปพูดกันสองต่อสองในห้องในหับ เพราะคงจะต้องพูดกันนาน
แม่ศรีลุกขึ้นจูงมือแม่ คุณนายเองก็งงๆไม่เข้าใจถ้อยคำของหลวงตาจึงตามลูกสาวเข้าไปในห้อง
ทิดจวงคลานเข้ามากราบตักหลวงตาถาม หลวงตากระซิบบอกอะไรกะแม่ศรีเขาครับ หรือในดวงมันบ่งว่าผมขโมยเขา
หลวงตาลูบหัวทิดจวงอย่างเมตตา สบายใจเถอะว๊ะทิดจวงเอ็งไม่ติดคุกแน่ ข้าช่วยเอ็งแล้ว แม่ลูกเขาพูดจากันเอง ทำใจให้สบายเถอะหมดเคราะห์แล้ว ฤกษ์สึกของข้ามันยังขลังอยู่ว่ะ
หมอเถาคุกเข่าชะโงกดูดวงให้ถนัดตา และอยากออกความเห็นว่า อายุย่างเข้า 26 ปีนี้ อาทิตย์เป็นกาฬกิณีเรือนกฎุมภะพอดี มิหนำซ้ำอาทิตย์กาฬกิณีจรถึงอังคารกาฬกิณีเดิมอีก มันถึงเสียทรัพย์จนได้
เออหมอเถามันมักง่าย มองแต่กาฬกิณีท่าเดียวเอาแต่สะดวก ๆ หลวงตาตำหนิเอาซึ่งๆหน้า ไหนลองบอกต่อไปอีกซิว่า ทำไมมันถึงหายใครเป็นคนเอาไป
หมอเถาจับตาดูดวงอึกอักเพราะไม่นึกว่าจะถูกซักละเอียดลออเช่นนั้น ไม่รู้ครับ รู้แต่ทรัพย์มันเสียเท่านั้นเอง หลวงตากวาดนิ้วชี้ดูดวงดาวในกระดานพื้น มันต้องดูเสียก่อนว่าอาทิตย์จรที่มาครองอยู่เรือนทรัพย์เขานั้น อาทิตย์จรนั้นเป็นใครมาจากไหน
หมอเถาอ่านดวงตอบ อาทิตย์เดิมอยู่วินาสน์ลัคนา และอาทิตย์จรนั้นคือเจ้าเรือนลัคนาคือตนุลัคน์นั่นเอง
เออ
ล่ะ หลวงตาหันมาไล่เบี้ยหมอเถาต่อไปอีก เรือนวินาสน์แปลว่าคิดไม่ถึง ซ่อนเร้นปิดบังสูญเสีย ลองเอาความหมายมาปะติดปะต่อกับคำว่าตนุลัคน์ที่หมายถึงตัวเองดูซิมันหมายความว่ากะไรกับเรือนทรัพย์
หมอเถานิ่งนึกตาจับดูดวง ทรัพย์สินสูญเสียเพราะตนเองหรือตัวเองทำให้ทรัพย์เสียโดยนึกไม่ถึงหรือตัวเองแอบปิดบังทำให้เสียหาย
มันก็ความหมายเดียวกันนั่นเอง ครูก้อนเอยขั้นบ้าง ถ้าเช่นนั้นตัวเองก็เป็นคนเอาไปหรือทำหายน่ะซีขอรับ
ยังไม่หมดต้องอ่านต่อไปอีก แค่นั้นยังไม่พอ หลวงตาชี้กระดาน พุธเจ้าเรือนกฎุมภะจร ที่เสียหายนั้นจรไปอยู่ที่ใด และพุธเดิมเป็นอะไร
พุธจรอยู่เรือนสหัชชะ เพื่อนฝูงคะรับ หมอเถาพอถูกจูงชักตอบคล่อง มายถึงว่าทรัพย์นี้ไปตกอยู่กับเพื่อน พุธเดิมก็วินาสน์ลัคนาอยู่และพุธคือคำพูด ก็หมายถึงถูกหลอกลวงด้วยคำพูดถูกอุบายเช่นนั้นกระมังคะรับ
เออ
ใช่แล้ว หลวงตายิ้มถูกใจ เรือนสหัชชะมันแปลว่าเดินทางหรือเปลี่ยนแปลงก็หมายถึงว่าทรัพย์นั้นมันเปลี่ยนแปลงและเดินทางไปเสียเล้วนั่นเอง เมื่อดูแล้วเจ้าเรือนสหัชชะคือศุกร์เป็นเกษตรร่วมพุธจรตัวทรัพย์อยู่ เพื่อนนั้นมันก็รวยเป็นเศรษฐีเพราะทรัพย์นั่นไปเลย
แล้วหลวงตากระซิบบอกกับแม่ศรีเขาอย่างไรคะรับ
หลวงตาหัวเราะชอบใจ ข้าบอกแม่ศรีเขาว่า ทรัพย์นี้เธอเป็นคนเอาไปให้เพื่อนเขาเอง และถูกหลอกไปเสียแล้วไม่ได้คืนแน่ เธอก็รับว่าเพื่อนสาวยืมไปแต่งตัวจะไปงานออกหน้าออกตา แต่กลับหนีออกจากบ้านไปกับคู่รักเข้ากรุงเทพฯ ถ้าจะว่ากันไปเธอเองเป็นตัวการควรรับผิดกับแม่เขาเสีย มิฉะนั้นเสียทรัพย์แล้วจะเสียผัวอีกด้วย เธอก็รับว่าจะพูดกับแม่เอง เพราะถึงอย่างไรก็คงฆ่ากันไม่ตายขายไม่ขาด
ทิดจวงนั่งฟังสีหน้ามีเลือดมีฝาดจนเห็นชัด ยกมือท่วมหัว เจ้าประคุณ ผมรอดตัวเพราะหลวงตาแท้ ๆ ม่ายเช่นนั้นตายแน่
หมอเถาก็ก้มลงกราบบ้าง แล้วถาม ที่หลวงตาทายเขาว่าแหวนเพชรนั้น เพราะอะไรคะรับ ผมมองดูเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น
เดา ๆ เอาตามดาวมันว่ะ หลวงตาหัวร่อชอบใจ ลองทายดูเค้าเรือนกดุมภะดูก่อนถ้าถูกต้องเรื่องอื่นที่มันต่อเนื่องกันอยู่ก็ควรจะถูกต้องด้วย
ดาวมันบอกว่าเป็นแหวนเพชรเช่นนั้นหรือขอรับ ครูก้อนยังติดใจสงสัย
ดาวมันสิบดวง จะให้มันบอกตรง ๆ ถึงสิ่งของเป็นแสนเป็นล้านสิ่งได้อย่างไร มันต้องอ่านประกอบเอาแนวเข้ากับเรื่อง คือว่า อาทิตย์ หมายถึง มีแสงมีค่ามีเกียรติ มฤตยูหมายถึงวงกลมๆ หรือเก่าดับสูบ เมื่อวงกลมๆมีค่ามีแสง มีเกียรติมันก็พอเดาได้สองสิ่งคือแหวนเพชรกับกำไลเพชรของเก่าแก่นานมาแล้ว ที่ไม่ทายกำไลเพชรก็เพราะคนโบราณเขาไม่ทำกำไลเพชรใส่ข้อมือ มีแต่กำไลข้อเท้า และคนสมัยนี้มันก็ไม่ใส่กำไลเท้ามันก็เดาได้ว่าต้องเป็นแหวนเพชร
ทั้งหมอเถาและครูก้อนได้แต่นั่งอ้าปากฟังคำอธิบายสิ่งคิดในใจแต่เพียงว่าอีกนานกว่าตนจะรอบรู้ความหมายของดาวได้ละเอียดชัดเจนเท่าอาจารย์
หลวงตาชื้นคว้าบาตรลุกขึ้นยืน ไปกันเถอะวะข้าชักหิวแล้ว ประเดี๋ยวจะเลยเวลาฉันเช้า เรื่องของเขาแม่ลูกยังอีกมาก ไม่ต้องรอบอกลาเจ้าของบ้านหรอก ช่วยเอาทิดจวงรอดตัวมาได้ก็พอใจแล้ว
ทิดจวงก้มลงกราบลงบนเท้าหลวงตาอย่างระลึกถึงพระคุณไม่รู้ลืม และมองตามจนหลวงตาล่วงพ้นประตูลับหลังไป พร้อมด้วยหมอเถาและครูก้อน
(คัดลอกมาจาก http://www.horathai.com) |